อวสานร้านโชห่วย
ถ้าจะพูดถึงร้านค้าปลีกค้าส่ง
หรือที่เราเรียกติดปากว่าร้านโชห่วย
คงต้องย้อนหลังไปตั้งแต่เมื่อมีคนจีนจากผืนแผ่นดินใหญ่
ล่องเรือสำเภาหนีตายเข้ามาพึ่งพระบรมโพธิสมภาร
โดยส่วนใหญ่จะเข้ามาเป็นกุลีรับจ้างแบกหาม
ใช้กำลังแลกเงินเก็บออมจนสามารถเก็บเงินซื้อห้องแถวเล็กๆ
เปิดเป็นร้านขายสินค้าเครื่องใช้ประจำวันจำพวกกะปิ น้ำปลา
อาจเพราะความสะดวกสบายใกล้บ้าน
มีสินค้าหลากชนิดให้เลือกซื้อในราคาสมน้ำสมเนื้อ
เป็นร้านขายยาที่พอจะหาซื้อยาลดไข้แก้ปวดมากินบรรเทาอาการ
หรือเป็นห้องรับแขกไว้รับรองเพื่อนฝูงเมื่อมาเยี่ยมเยียน
แถมบางครั้ง เถ้าแก่ร้านโชห่วยยังทำหน้าที่เป็นนายธนาคารคนยาก
ที่สามารถหยิบยืมกันได้เมื่อเงินขาดมือ
หรือเซ็นข้าวสารอาหารแห้งมาประทังชีวิต
แม้จะต้องแลกกับการเสียดอกเบี้ยบ้างก็ตาม
ทำให้ร้านโชห่วยผูกพันกับวิถีชีวิตของคนไทยจนแยกไม่ออก
รวมทั้งผมก็เป็นอีกคนหนึ่งที่วิ่งเข้าวิ่งออกร้านโชห่วยตั้งแต่เด็ก
ยามมีเงินสลึงสองสลึงก็เวียนซื้อขนมหวานกินจนเกลี้ยงกระเป๋า
มาวันนี้เมื่อห้างสรรพสินค้าสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
เริ่มรุกคืบเข้ามาถึงหน้าประตูบ้านอย่างเงียบๆ ด้วยเงินทุนจำนวนมหาศาล
บุคลากรที่มีประสบการณ์และเทคโนโลยีอันทันสมัย
บวกกับพฤติกรรมการบริโภคของคนไทยที่เริ่มเปลี่ยนไป
ส่งผลให้ร้านโชห่วยเริ่มทยอยปิดกิจการเพราะขาดทุน
ไม่สามารถทานกระแสความเชี่ยวกรากของวัฒนธรรมการค้าแบบตะวันตกได้
จนตัวเลขร้านโชห่วย 400,000 ร้าน ในปี 2540
ปัจจุบันเหลือเพียงสองแสนกว่าร้าน
และคาดว่าก่อนสิ้นปีนี้จะต้องปิดตัวเองอีกหลายหมื่นร้าน
หากรัฐบาลไม่รีบหาทางลงมาช่วยเหลือ
โดยอ้างว่าเกรงจะขัดข้อตกลงว่าด้วยการค้าเสรี
หรือกลัวจะเป็นการส่งสัญญาณผิดๆ ให้กับต่างชาติ
จนอาจจะกระทบถึงบรรยากาศการลงทุนในอนาคต
ก็เท่ากับรัฐบาลกำลังปล่อยให้ร้านโชห่วยเดินไปสู่กาลอวสาน
ปิดฉากวัฒนธรรมห้องแถวที่สืบเนื่องมาอย่างยาวนาน
ยกเว้นแต่เราจะร่วมมือกันปกป้องร้านโชห่วย
ไม่ให้ต้องล้มหายตายจากไปเพราะวัฒนธรรมการค้าแบบตะวันตก
เหมือนกับที่นายเนวิน ชิดชอบ รมช.พาณิชย์
กำลังเดินสายระดมความคิดเพื่อยกร่างเป็นแผนแม่บท
เตรียมเสนอให้รัฐบาลตัดสินใจก่อนสิ้นเดือน เม.ย.นี้
ซึ่งรัฐมนตรีเนวินได้เสนอไอเดียตั้งองค์การบริหารร้านค้าปลีก
เพื่อสนับสนุนเรื่องเงินทุนสินเชื่อและเทคโนโลยีใหม่ๆ
เพื่อยกระดับร้านโชห่วยให้ทันสมัยมากขึ้น
รวมทั้งช่วยเป็นคนกลางประสานเกี่ยวกับการจัดซื้อจัดส่งสินค้า
โดยใช้สำนักงานหอการค้าจังหวัดเป็นตัวเชื่อม
ส่วนรัฐบาลเองก็มีแนวคิดที่จะสร้างคลังพัสดุ 31 แห่งทั่วประเทศ
เป็นโกดังกลางระหว่างผู้ผลิตสินค้ากับร้านค้าปลีก
เพื่อช่วยลดต้นทุนของร้านโชห่วย
ในขณะเดียวกันมีข้อเสนอจากชมรมผู้ค้าปลีกค้าส่งแห่งประเทศไทย
ที่ให้ออกมาตรการห้ามผู้ค้ารายใหญ่ขายสินค้าต่ำกว่าทุน
ซึ่งเป็นการบิดเบือนกลไกทางการตลาด และไม่เป็นธรรมกับผู้ค้ารายย่อย
หรือการกำหนดพื้นที่ที่ตั้งและวันเวลาเปิดปิดบริการ
ของห้างสรรพสินค้าสะดวกซื้อและห้างค้าปลีกขนาดใหญ่
แต่ท้ายสุดก็อยู่ที่ตัวเจ้าของร้านโชห่วย
ที่ต้องเปิดกว้างยอมรับความคิดใหม่
ปรับปรุงตัวเองและหน้าร้านให้ทันสมัย เชิญชวนให้ลูกค้าเข้าไปอุดหนุน
ไม่ใช่ปล่อยให้ร้านรกรุงรังเหมือนโกดังร้าง รู้จักหาสินค้าใหม่ๆ
เข้ามาวางขาย อย่ามัวแต่ซังกะตายขายของไปวันๆ
เพราะทุกวันนี้เป็นยุคการค้าเสรี
หากปลาเล็กไม่รู้จักดิ้นรนเอาตัวรอด
ก็หนีไม่พ้นต้องตกเป็นเหยื่อปลาใหญ่ในที่สุด...