ความจริงที่เจ็บปวด

อาชีพที่สร้างความร่ำรวยเป็นเศรษฐีได้ภายในพริบตาของบ้านนี้เมืองนี้ ผมว่า “นักการเมือง” คืออาชีพหนึ่งที่พิสูจน์ความจริงมาแล้ว ก่อนที่จะเป็นนักการเมืองแทบจะไม่มีอะไร พอเป็น นักการเมืองเต็มตัวโอ้โห...รวยเอาๆ อย่างน่าประหลาด

มีบ้านหลังหนึ่งยังไม่พอ ยังจ้องบ้านหลังเล็กหลังน้อย มีบ้านพักตากอากาศ มีรถยนต์อีกหลายคัน เอาไว้ประดับบารมี และยังมีอะไรอีกมากมาย

นี่ยังไม่นับถึงบรรดานักการเมืองที่ได้นั่งเก้าอี้รัฐมนตรีที่วิเศษไปกว่าประเภท ส.ส.ธรรมดา นอกจาก ความร่ำรวยที่เหนือธรรมดาดังที่ว่าเอาไว้แล้ว ยังมีเงิน “ใต้โต๊ะ” แจกบรรดา ส.ส. เอาไว้ค้ำจุน เก้าอี้ตัวเองอีก

การหาเสียงเลือกตั้งก็ยังมีเงินเอาไปแจกจ่ายชาวบ้านเพื่อ “ซื้อเสียง” ให้ตัวเองได้เข้ามาสู่สภา ถึงฤดูเลือกตั้ง ไม่รู้ไปเอาเงินมาจากไหน แต่ละคนอย่างน้อยก็ต้อง 15-30 ล้านบาท

แต่ที่แปลกใจก็คือ วันนี้ได้ออกมาเรียกร้องขอเงินเดือนเพิ่มจาก 7-8 หมื่นบาทต่อเดือน มาเป็นแสนกว่าบาท

โอดโอยอ้างเหตุผลว่า เพื่อนำไปใช้จ่ายเป็นค่า “ภาษีสังคม”

มิหนำซํ้า ยังจะออกกฎหมายขอบำเหน็จบำนาญให้เหมือนกับข้าราชการประจำ มีการตั้งข้อกำหนดว่า หากอยู่ในตำแหน่ง ครบ 2 ปี ขอสิทธิรับบำนาญ 20% 3 ปีขอสิทธิ 30% ถ้าอยู่เกิน 15 ปีก็จะขอ 70%

ทำงานกันแค่ 2 ปี แต่ขอบำนาญ แต่ข้าราชการประจำที่ทำงาน มาทั้งชีวิตเมื่ออายุครบ 60 ปี เกษียณ อายุราชการ ถึงจะได้บำเหน็จบำนาญ

มันน่าประหลาดใจดีมั้ยครับ...

ความเป็นธรรมมันอยู่ ณ จุดไหน แบบนี้มันก็คงอยู่ในทำนองที่ว่า ใครเขียนกฎหมาย ก็เพื่อให้กฎหมาย มารับใช้ตนไม่มีผิด

แนวคิดนี้ดูเหมือนจะเป็นปฏิภาคด้านกลับกับความร่ำรวยที่ปรากฏในสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้น

และคงไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนที่คัดค้าน การขอขึ้นเงินเดือน ของ ส.ส.-ส.ว. ไม่ว่าจะเป็นโพลจากสำนักไหนก็ตาม เพราะประชาชนในประเทศนี้ ย่อมซึมซับ รับทราบความจริง ได้เป็นอย่างดี

นักการเมืองนั้น ถือว่าเป็น “ผู้อาสา” เข้ามารับใช้ชาติบ้านเมืองด้วยความ “เสียสละ” ไม่มีใครไปบังคับ บีบคั้นว่าจะต้องเข้ามา เป็นนักการเมือง

ทุกคนต่างมุ่งมั่นแข็งขันเพื่อจะได้เป็น ส.ส.-ส.ว. กันทุกรูปแบบ เว้นแต่บางคน บางท่านที่มีความตั้งใจจริง ที่จะเข้ามาทำหน้าที่ ซึ่งบุคคลเหล่านี้ ดูเหมือนจะไม่ค่อยมีปัญหา แต่ก็เป็นส่วนน้อยเท่านั้น

ส่วนใหญ่แล้วจะคิดต่างไปจากนี้คือ มุ่งแสวงหาอำนาจ เกียรติยศ ชื่อเสียง บารมี และลงท้าย ด้วยผลประโยชน์ ที่เขาเห็นว่า เป็นวิธีการที่ง่ายที่สุด เร็วที่สุด จึงพร้อมที่จะลงทุน ทุกรูปแบบ เพื่อให้ได้มา ซึ่งความเป็น “นักการเมือง”

คิดถึงผลประโยชน์ของชาติแค่ลมปาก สร้างภาพไปวันๆ เพื่อความดำรงอยู่ ในความเป็นนักการเมือง เท่านั้น

ระบบการเมืองไทยมันจึง “ล้มเหลว” เพราะบุคคลเหล่านี้ เมื่อนักการเมืองไทยเริ่มต้น คิดเพื่อผลประโยชน์ ของตัวเอง พวกพ้องมากกว่า ผลประโยชน์ชาติ การลงทุนทางการเมือง มันจึงต้องมีค่าใช้จ่ายที่สูง

เมื่อการลงทุนสูงก็ต้อง “ถอนทุน” ให้คุ้มค่า บวกกำไรอีกมหาศาล เป็น ส.ส.ธรรมดาก็ต้องไต่เต้า แย่งชิง เพื่อจะได้เป็นรัฐมนตรี กระทรวงไหนผลประโยชน์สูง เม็ดเงินเยอะ ช่องทางหากินมีมาก ก็ต้องฟัดกัน ให้แหลกไปข้าง

นี่คือความจริงของการเมืองไทย...เท่านี้จริงๆ.

"สายล่อฟ้า"

ไทยรัฐ ๑๒ ส.ค. ๔๕