.

ข่มขืนในโรงเรียน...เกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทยวันนี้?

จากเหตุการณ์สลดที่เด็กกลายเป็นผู้กระทำความรุนแรง ต่อเด็กด้วยกันเอง ทั้งเหตุการณ์ เด็กชายวัย 9 ขวบ ฆ่าเด็กวัย 3 ขวบ ด้วยความอิจฉา และต้องการแย่งของเล่น ตลอดจนเด็กชาย รุมข่มขืนนักเรียนหญิง ทำให้สถาบันครอบครัวรักลูก ต้องออกโรงจัดเสวนาเรื่อง "ข่มขืนในโรงเรียน... เกิดอะไรขึ้นกับเด็กไทยวันนี้" ขึ้น ณ ห้องประชุม บริษัทแปลนพับลิชชิ่ง จำกัด เมื่อวันจันทร์ (3 ก.ย.) ที่ผ่านมา โดย พญ.พรรณพิมล หล่อตระกูล ผอ.ส่วนส่งเสริม และป้องกัน ปัญหาสุขภาพจิต 2 กรมสุขภาพจิต กล่าวถึงปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นว่า เป็นเพราะ สังคมโลกภายนอกได้เข้ามากลํ้ากลายโลกของเด็ก ทำให้เด็กไม่ได้เติบโตมา ในโลกที่เขาต้องการ และสังคมก็ไปตั้งความคาดหวังกับเด็ก ว่าต้องเป็นไปตามที่ผู้ใหญ่ ต้องการทำให้เด็ก ค้นหาตัวเองไม่เจอ และกลายเป็นโรคเหงาที่รุนแรงมาก ต้องหาช่องว่างทดแทน ความเหงาให้ตัวเอง ขณะที่ผู้ใหญ่เองก็ไม่ทันต่อปัญหา คงปล่อยให้เด็กอยู่ในความเสี่ยง จนเกิดปัญหา ที่สำคัญคือพ่อแม่สมัยนี้ กำลังพูดกัน คนละภาษากับลูก ไม่รู้ความต้องการ ของลูกสมัยนี้ว่าชอบอะไร พ่อแม่มัวแต่พูดเรื่อง 30 ปีที่แล้ว ไม่ยอมรับฟัง ว่าเด็กกำลัง ต้องการอะไร

ด้านนางอรสม สุทธิสาคร เจ้าของผลงานอาชญากรเด็ก และเด็กพันธุ์ใหม่วัยเอ็กซ์ กล่าวถึงการที่เด็ก กระทำรุนแรงในสังคมมากขึ้นว่า คงไม่มีเด็กคนไหน อยากทำอาชญากรรม ร้ายแรง ลุกขึ้นมาข่มขืนหรือฆ่าใคร สิ่งที่เกิดขึ้น น่าจะมีอะไรมากไปกว่านั้น และจากการที่ได้ศึกษา กรณีข่มขืนในโรงเรียน ก็พบว่า กรณีเช่นนี้เกิดในเมืองไทย ซํ้าแล้วซํ้าเล่า และการกระทำอาชญากรรมรุนแรง โดยเด็กเป็นผู้กระทำตนคิดว่า ยังมีอีกมากที่ไม่เปิดเผย โดยเฉพาะเรื่องอนาจาร การกระทำรุนแรงทางเพศ นางอรสมกล่าวด้วยว่า เมื่อศึกษาลึกลงไป พบว่า การที่เด็กกระทำรุนแรง ในเหตุการณ์ต่างๆ เป็นเพราะพ่อแม่ไม่สามารถ เป็นแบบอย่าง ทางจริยธรรมให้แก่ลูกได้ การที่พ่อแม่ชอบตบตีกัน ทำให้เด็กเติบโตมา ในบ้านที่ไม่รู้ว่า ความสุขคืออะไร และเด็กก็มีความเจ็บป่วย อยู่ในจิตวิญญาณ ไม่รู้ว่าคุณธรรมความดี คืออะไร สามารถระเบิดความรุนแรงได้ทุกเมื่อ เมื่อมีอะไรมา กระทบจิตใจ ดังเช่น กรณีเด็กชายวัย 9 ขวบ ตัดจู๋เด็กวัย 3 ขวบ เพราะเห็นว่า เขามีของเล่น แต่ตัวเองไม่มี

นางอรสมยังตั้งข้อสังเกตในเรื่องเกี่ยวกับเด็ก ที่กระทำการข่มขืนด้วยว่า ไม่น่าเชื่อว่า เด็กสมัยนี้ จะมีความรู้เรื่องเพศศึกษาน้อย เพราะจากการที่ได้มีโอกาส ไปพูดคุยกับเด็กในเรื่องเพศ ปรากฏว่าในภาคทฤษฎี เด็กจำนวนมากไม่รู้ว่าพรหมจรรย์ หรือคำว่าเวอร์จิ้น หมายถึงอะไร แต่ในทางปฏิบัติ เด็กได้มีอะไรกันไปถึงไหนต่อไหนแล้ว และสิ่งหนึ่งที่เด็กนิยมใช้ ในการคุมกำเนิด กลับไม่ใช่การใส่ถุงยางอนามัย กลายเป็นว่าใช้วิธีหลั่งภายนอกมากที่สุด รองลงมาคือ ใช้ยาเม็ดคุมกำเนิดชั่วคราว หลังมีเพศสัมพันธ์ ซึ่งทางออกของปัญหาต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้น นางอรสมชี้ว่า พ่อแม่ต้องรู้เท่าทัน ความเป็นไปของโลก และเป็นแบบอย่าง ที่ดีของลูก ให้ความเป็นเพื่อนกับลูก ในบางครั้ง ก็ต้องแกล้งปิดหูปิดตาข้างหนึ่ง เมื่อเห็นลูกทำอะไรที่ไม่ถูกใจ ทั้งนี้เพื่อให้ลูกเห็นว่า พ่อแม่คือเพื่อน มีอะไรสามารถพูดคุย ปรึกษากันได้

ด้าน อ.จิรดา รัตนรังสี ผู้นำหลักสูตรเพศศึกษา มาสอนในระดับมัธยม และเป็นอาจารย์ แนะแนว กล่าวถึงปัญหาที่เกิดขึ้นว่า ครูมักตกเป็นจำเลยที่ 2 รองจากผู้ปกครอง เมื่อเกิดปัญหาในเด็ก ซึ่งตนคิดว่า ปัญหาที่เกิดขึ้น มาจากการเลียนแบบ พฤติกรรมทางเพศ เลียนแบบพฤติกรรม ความก้าวร้าวจากที่บ้าน และเลียนแบบจากสื่อโดยไม่มีใครชี้แนะ ดังนั้น การเรียนการสอน เรื่องเพศศึกษาจึงยังคงมีความสำคัญ เพราะเป็นการสอนให้เด็ก รู้จักหลีกเลี่ยงการมีเพศสัมพันธ์ และรู้จักปกป้องตนเอง อย่างไรก็ตาม ครูซึ่งมักตกเป็นจำเลยที่ 2 ต่างก็ได้พยายาม ทำหน้าที่ของตัวเอง อย่างดีที่สุด ทุกวันนี้ ครูชั้นประถมแต่ละแห่ง ต่างแบกรับภาระการสอนกัน อย่างเต็มมือ และไหนยังจะต้องสนองความต้องการ ของภาครัฐในด้านต่างๆ มีแต่คนคาดหวัง จากครู แต่ไม่เคยมีใครสนใจว่า ครูต้องการอะไรบ้าง หรือครูต้องทำงานหนักแค่ไหน

ไทยรัฐ กันยายน ๒๕๔๔