580101-ทวย งานว.บบบ.ครั้งที่ ๓
สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกายได้วิชชา ๘

พ่อครูว่า... วันนี้วันที่ ๑ ปีใหม่ตั้งใจดีๆ เอาสิ่งประเสริฐ ให้แก่ตนเองให้ได้ รับพร คือธรรมะ ซึ่งธรรมะตอนนี้ ที่อาตมาบรรยาย เป็นธรรมะที่ ไม่มีให้ช็อบปิ้ง ในซุปเปอร์มาร์เกต หรือห้างใหญ่ใดๆ ก็ไม่มี หรือจะไปหาเอาจาก สำนักไหนนะ ตอนนี้เขาก็ให้แก่ประชากร เขาควักสินค้าออกมาใหญ่เลย แต่อาตมานี่ ให้พวกเรา โดยพวกเรา ไม่ต้องไปเดินเลย ไม่ต้องไปนอนโลงเลย พวกเรานั่ง ตั้งใจฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา ได้สิ่งที่เป็นพรปีใหม่ ได้สินค้า ที่ยอดเยี่ยมเลย เป็นผลผลิตที่เราได้ปีนี้ ให้ตั้งใจรับ อาตมาตั้งใจจะให้ดีๆเลย

วันนี้จะจับประเด็นของความจริง และความจำให้ลึกขึ้น

ความจริงปฏิบัติถูกต้อง ตามธรรมพระพุทธเจ้า มีรูป ๒๘ แล้วก็ศึกษา นามธรรม ที่เรียกว่า เจตสิก ๗๒ เป็นต้น นามธรรมเหล่านั้น ล้วนเป็นลักษณะของ กาย-จิต-วจีสังขาร ต้องหยั่งรู้ นามธรรมเรา ที่เรียกว่ากาย รู้ถึงอาการ  เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ  แล้วรูปอีก ๒๘ ท่านว่าไว้ครบ มีมหาภูตรูป ๔ และ อุปาทายรูปอีก ๒๔ ส่วนนามนั้น ให้ศึกษาไปจาก นาม ๕ อย่างนี้ ถ้าเราศึกษานามรูปนี้ได้ เราจะได้ความจริง เกิดครบทั้งวิญญาณ ๖ สังขาร ๓ (กาย-วจี-จิตสังขาร) แล้วจะเรียนวิญญาณ ๖ ครบ ตามที่พระพุทธเจ้าตรัส ในพระไตรฯ ล.๑๖ ที่จะต้องศึกษา วิญญาณ ๖ ไม่ใช่ว่า ศึกษาแต่ภายใน ไม่มีทวารนอกเลย ก็เลยไม่ครบ ตามพระพุทธเจ้าสอน ก็ไม่เป็นความจริง เพราะเข้าไปอยู่ในภพ มีแต่ความจำ ไม่ครบตาม สุรภาโว สติมันโต ก็เลยมีแค่ความจำ อยู่ในรูปจิต อรูปจิต

ศึกษาครบ ตั้งแต่ภายนอกเลย แต่ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่เป็นกาย แต่ส่วนที่ลึกเข้าไปถึงปลายประสาท ก็เป็นกาย ผิวหนังหนาๆนี่ เราเฉือนทิ้งได้สบายเลย ไม่เจ็บ ผิวหนังนี่แหละ คือสิ่งที่รวมแล้วทุกอย่าง ก็คือผิวหนัง เรียกว่า กาย หากมีปสาทรูป โคจรรูปเรียกว่านาม

ก่อนจะเริ่มต้น อาตมาตั้งหลักให้ ว่าผู้ปฏิบัติธรรม นั่งหลับตาสมาธิ ทำมนสิการแบบหนึ่งทำให้เกิดผลสมาธิ ที่เขาเข้าใจว่า เป็นฌาน สมาธิ ผลของการปฏิบัติ หลบจิตเข้าในภวังค์ เป็นสัญญา แบบนั้นเขาจะได้ผลของจิต เป็นมนสิกโรติ ได้สมาธิแบบนั้น ไม่ใช่สมาธิความจริง เป็นแค่สมาธิความจำ ไม่มีองค์ประกอบ นอก-ในครบ ที่ต้องเกี่ยวกับ มหาภูตรูป โคจรรูป เป็นภาวรูป เป็นอิตถินทรีย์ ปุริสสินทรีย์ ตามภาวะจริง ที่ปรากฏอยู่ อย่างหลัดๆ เป็นปัจจุบัน นี่คือตัวภาวะ ที่ปรากฏแท้ๆ เป็น Phenomenal life เราจะอ่านภาวรูป ๒ นี้ได้ แล้วต้องรู้ว่า มันเป็นชีวิต ผ่านหทยรูป ตรงไหนที่เราจับ อ่านอาการจิตได้ ทางอภิธรรม เขาชี้ไปที่หัวใจ ห้องที่สี่ ก็ว่ากันไป แต่ความเห็นอาตมา ไม่ได้กำหนดแบบนั้น ซึ่งเรากำหนดไม่ได้ ไม่มีสถานที่ แต่ตอนนี้ อยู่ใน คูหาสยัง ถ้ารู้ว่าตรงไหน ก็คือรูปกาย เป็นนามก็ได้ มีนามร่วมด้วยเสมอ เพราะกายนี่แหละ คือ จิต มโน วิญญาณ

การนั่งหลับตาสมาธิ คือความจำ ไม่มีวิญญาณ ๖ เวทนา ๖ อายตนะ ๖ ผัสสะ ๖ ในปฏิจจสมุปบาท ครบตัณหา ๖ ในภาคปฏิบัติ ต้องเรียนรู้จาก ตัณหา ๖ ที่ทำงานครบนอกและใน เป็นกายสังขาร พระพุทธเจ้า ย้ำว่า ถ้าผู้ใดไม่ปฏิบัติครบ จนมีปัญญาเห็นความจริงจบ เป็นสัจญาณ กิจญาณ เห็นด้วยปัญญาว่า อาสวะ สิ้นแล้ว แล้วมี สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย มีกายสังขาร ไม่ใช่มีแต่จิตสังขาร อย่างการนั่ง หลับตาสมาธิ ไม่มีกายร่วม ก็ไม่ครบวิโมกข์ ๘ ท่านก็ไม่ถือว่าบรรลุ แม้อาสวะบางอย่าง จะสิ้นไป ในกายสักขี จะมีองค์ประชุมของจิต จิตคุณทำกาย ให้เป็นสักขี ยืนยันว่า อาสวะบางอย่าง สิ้นไป แต่ถ้าไม่ครบกาย รู้กายสังขารไม่ถูก คนนั่งหลับตาสมาธิ จะมีแต่จิตสังขาร และไม่ค่อยรู้จักวจีสังขารหรอก

กายปัสสัมภยัง เขาก็ว่า คือทำให้ร่างนี้ นั่งนิ่ง เขาก็ถือว่า กายสังขารพ้นแล้ว ไม่รับรู้ภายนอกเลย ซึ่งผิด พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ กายสังขารเป็นองค์ประชุม ของเจตสิก ทั้งภายนอก ภายใน มีมหาภูตรูป ๔ ครบเลย

แม้ลืมตาสมาธิ ก็ต้องปฏิบัติที่จิต ที่มีองค์ประชุมครบ ภายนอกและภายใน การนั่งหลับตา จะไม่รู้วจีสังขาร เพราะว่าวจีนี่ กึ่งนอกกึ่งใน แต่ตอนวจีสังขาร มันเป็นวิญญัติใน เป็นวิการรูป ไม่ออกมา เป็นกรรมตอนนั้น 

ความผิดพลาดของศาสนาพุทธ ที่ไม่ตรงคำสอน พระพุทธเจ้า ไม่รู้จักกายวิญญาณ ไปเอาแต่ความจำ แล้วระลึกว่า วิญญาณคือผี เป็นตัวๆ เทวดาก็เป็นตัวๆ มันไม่ใช่ เพราะว่ามันเป็นอาการจิต ที่เป็นโลกียะ หรือโลกุตระ มันไม่มีการให้เรียนรู้ จนเกิดปัญญา เห็นความจริง ตามความเป็นจริง ตามลำดับนะ

อาจารย์ไหนๆ ก็อธิบายสมาธิ มีแค่ความจำ ก็ฟังดีๆ ว่าใช่หรือไม่ใช่ ถ้าฟังดีๆจะรู้ว่า มันต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย อาสวะก็สิ้นไป อย่างปัจจุบัน หลัดๆเลย ถ้าทำได้แค่ความจำ ก็จะไม่ใช่ความจริง สติก็ไม่ครบรูป ๒๘ ไม่มีปสาทรูป โคจรรูป  ไม่มีกายวิญญาณ คุณหลับตา เข้าไปข้างใน พวกศึกษาธรรมะยึดว่า กายนี่คือ ภายนอก

ผู้ใดอวิชชา จะไม่รู้จักสังขาร สังขารมีวิญญาณ เป็นปัจจัย มีนามรูป สฬยตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรามรณะฯ พระพุทธเจ้าว่า สภาวะเหล่านี้ ต้องถูกรู้โดยเรา รู้สังขาร ๓

ในพระไตรฯล.๑๖ มีสังขาร ๓ (กาย-จิต-วจีสังขาร) คุณต้องมีผัสสะ ไม่มีผัสสะ ก็เรียนรู้ไม่ได้ ในกายสังขาร เมื่อมีตากระทบรูป มีปฏิกิริยา มีธาตุจิตมารับรู้ ก็เป็น กายสังขารแล้ว

กายสังขารที่มี มหาภูตรูป มีองค์ประชุม ทั้งนอกและใน แต่เวลาศึกษา ต้องอ่านที่ จิต ต้องทำ ใจในใจตรงนั้น ร่างกายเรา ก็ดูแลมันพอควรก็พอ ไม่ต้องทำให้สวย หล่องามหรอก ไม่ต้องไปผ่า ทำให้สวยหรอก แต่ว่าผ่าเพื่อ รักษาโรคก็ได้

สังขาร วิญญาณ เป็นนามธรรม เราก็อ่านรู้มันได้ ต้องมีเหตุ มีปัจจัย ต้องมีผัสสะ อายตนะจึงเกิด เมื่อเกิด เราก็อ่านได้ เรารู้ว่า มันเป็นเวทนา องค์รวม (สัมโมสรณา) ในมูลสูตรตรัสไว้ แยกแยะเวทนา ๑๐๘ ไล่ต่อไปจนถึง ภพ ชาติ ชรามรณะฯ....

เราจะเริ่มรู้ตั้งแต่ กายสังขาร สรุปย้ำว่า นั่งหลับตาสมาธิ เป็นมนสิกโรติ ที่ไม่มีกายสังขารให้คุณศึกษา พระพุทธเจ้าว่า ต้องมาสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ไม่อย่างนั้น อาสวะไม่สิ้น ไม่มีสภาวะความจริง ว่ากิเลส หมดสิ้นได้ เป็นอรหันต์ได้ ต่อให้ว่า อาสวะบางอย่าง สิ้นได้ก็ตาม ไม่ง่ายด้วยนะ ที่จะอาสวะหมดได้ ในการนั่งสมาธิ แต่การสัมผัสจริง ก็จะรู้ตัวจริง จะดับก็ดับได้จริง ทำการปหาน ๕ ได้จริง เป็นนิสรณปหานได้จริง พากเพียรทำตามที่ พระพุทธเจ้าสอน ทำได้สุมเฉท แล้วก็ต้องทำต่อ นิสรณปหาน จนปฏิปัสสัทธิปหาน เลย อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ทางจิตด้วย

กายสังขาร คือผู้มีญาณ หยั่งรู้กายสังขาร ที่เรียกว่ารูปกาย คือองค์ประชุม ของรูป ๒๘ คือกายสังขาร ที่มีกายวิญญาณ มีนามธรรมปรุงแต่งอยู่  เมื่อมีผัสสะ ๓ ก็เกิดวิญญาณ อย่างปัจจุบันขณะ ไม่ใช่ว่า ไปรู้วิญญาณตอนตาย หรือนั่งหลับตาทำ  ซึ่งกายวิญญาณ เป็นนามธรรม ปรุงแต่งกับรูป ที่มีมหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป อีก ๒๔ ซึ่งรูปนามนั้น แม้จะแตะ สัมผัสกัน แต่ว่าไม่ได้ทำงาน ทำปฏิกิริยา ก็ไม่เกิดอะไร เหมือนมนายตนะ กับ ธรรมายตนะ เขาไม่เรียกว่าผัสสะ เพราะว่า มันอยู่ร่วมกันอยู่แล้ว เป็นธาตุภายใน ธรรมะคือสิ่งทรงอยู่ ถือเป็นจิต มันไม่ทำงานร่วมกัน ก็ไม่เกิดอายตนะ แต่เมื่อทำงานร่วมกัน ก็เกิดอายตนะ ท่านเรียกว่า ธรรมารมณ์ ส่วนที่ทำงาน ร่วมกับภายนอก เรียกว่า โผฏฐัพพารมณ์ ส่วนมนายตนะ กับ ธรรมายตะ ทำงานร่วมกัน อย่างหยาบ ก็คือรูป อย่างละเอียดคืออรูป

ถ้าข้างนอกทำงานกับข้างใน คือกายวิญญาณ เป็นมโน เป็นจิต ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า คือกาย เพราะว่าเป็น อาการนามธาตุ ที่ปรุงแต่งกันเป็น กายในกาย ซึ่งเราปฏิบัติตามมรรค ๘ จะมีความจริงครบ มีมหาภูตรูป และมีนามธรรม เราก็อ่านวิญญาณ แล้วแจกเป็น เจตสิก ๓ คือ เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือ กาย (กายคือ หมวดของ เจตสิก ๓)

กายในกาย ของผู้ทำมรรค ๘ ก็ปฏิบัติมรรค ๗ องค์ อย่างลืมตามีผัสสะ ส่วนผู้ปฏิบัติ แบบนั่งหลับต าก็จะมีแต่ความจำ ไม่มีกาย การนั่งหลับตา ทำฌานสมาธิในภวังค์ เขาจะไม่มีกาย ยิ่งเขากำหนดกาย เป็นรูปรูป รูปร่างก็ยิ่งไม่ขัดแย้ง เขาไม่มีกายสังขาร

ในปฏิจจสมุปบาท ถ้าไม่มีกาย ก็ไม่มีให้ศึกษา สังขาร ก็ต้องไม่รู้ไปอีก นานนับชาติ เพราะมิจฉาทิฏฐิ ในเมื่อผิดตั้งแต่ต้นทาง ก็ไม่มีวันเข้าใจ วจีสังขารได้อย่างสมบูรณ์แบบ ยิ่งไปคุยกัน อย่างภิกษุณี ธัมมทินนา กับ อุบาสกวิสาขา ว่าเข้านิโรธ อะไรเกิดก่อน ก็จะตอบไม่ได้หรอก จะตอบว่าอย่างไร เมื่อคุณว่า คุณเป็นอรหันต์  ก็ตอบไม่ได้

กายในกาย คือปฏิบัติมรรค ๘ มีสมาธิที่เกิดจาก สั่งสมผลจาก มรรค ๗ องค์ เป็นสัมมาสมาธิ ไม่ใช่ ให้ไปนั่งหลับตา สะกดจิต ให้ใสๆๆๆ มันไม่ใช่สัมมาสมาธิ ที่เกิดจากอุปนิสา ปริขารัง เป็นเหตุ เป็นองค์ประกอบเลย เป็นแค่สมมุติสัจจะ ไม่ใช่ปรมัตถสัจจะของพระพุทธเจ้า

เมื่อไม่มีกายสังขาร ด้วยไม่ครบรูป ๒๘ ก็ไม่เรียกว่า กาย ไม่มีโคจรรูป ปสาทรูป ... ก็คือไม่มีกาย ไม่ครบ ไม่มีสัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย ดังนั้นภาวรูป ที่เกิดต่อจาก ปสาทรูปโคจรรูป แล้วมาเป็น หทยรูป แม้ภาวรูป ก็ไม่มีให้เกิด เพราะไม่มีกาย ภาวรูปที่ต่อจากสังขาร คุณไม่มีกายสังขารให้ศึกษา

เมื่อมีความจริงให้สัมผัส ก็เกิดกาย ก็มีกายสังขาร ให้ศึกษาเรียนรู้ สังขาร ๓ ได้ แต่ถ้าไม่มี การสัมผัสด้วยกาย ก็ไม่เกิด อายตนะ ๖ ตัณหา ๖ เวทนา ๖ ตัณหา ๖ ผัสสะ ๖ ส่วนนามก็มี ๕ รูปก็มีรูป ๒๘  วิญญาณ ๖ สังขาร ๓ (กาย-วจี-จิตสังขาร) ก็อวิชชาก็คือ ความไม่รู้ในอาริยสัจจ์ และ ปฏิจจสมุปบาท

  ยมกวรรคที่ ๒
                         อวิชชาสูตร
  ๑.   การคบสัตบุรุษที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้การฟังสัทธรรม ที่บริบูรณ์ . .
๒.     การฟังสัทธรรมบริบูรณ์ ย่อมทำศรัทธาให้บริบูรณ์
๓.     ศรัทธาที่บริบูรณ์ ย่อมทำมนสิการโดยแยบคายให้บริบูรณ์ 
๔. การมนสิการโดยแยบคาย ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ .สติสัมปชัญญะบริบูรณ์ ที่จะรู้ทันผัสสะ รู้ทันเวทนา
๕. สติสัมปชัญญะที่บริบูรณ์ .  ย่อมทำให้ความสำรวมอินทรีย์บริบูรณ์
๖. ความสำรวมอินทรีย์ที่บริบูรณ์  ย่อมทำให้สุจริต ๓ บริบูรณ์  คือ กาย วาจา ใจ เลิกทำการงานทุจริต
๗. สุจริต ๓ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ สติปัฏฐาน ๔ บริบูรณ์
๘. สติปัฏฐาน ๔ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้โพชฌงค์ ๗ บริบูรณ์ .
๙. โพชฌงค์ ๗ ที่บริบูรณ์ ย่อมทำให้ วิชชาและวิมุติ บริบูรณ์    

(อวิชชาสูตร พตปฎ. เล่ม ๒๔  ข้อ ๖๑)

คาดคะเนว่า ฝ่ายคันถะธุระ (ศึกษาวิชาการ) เป็นพระบ้านส่วนใหญ่ ส่วนสาย วิปัสสนาธุระ ก็พวกพระป่า นั่งหลับตา ซึ่งมันผิด ไม่มีกาย แล้วจะปฏิบัติอย่างไร การปฏิบัติแบบ ลืมทิ้งไปนี่ เป็นแบบฤาษี ไม่ครบมรรค ๗ องค์ ที่มีอาชีวะ กัมมันตะ วาจา สังกัปปะ เราก็ต้องควบคุม ไม่ให้ผิด ไม่ว่าจะพูดผิด (มุสา) ตอนต้น ต้องไม่โกหกเลย แค่อย่างนี้ ถ้าทำได้ บ้านเมืองวิเศษเลย ถ้ายิ่งเป็นผู้มี บทบาทการเมือง ไม่โกหก สีขาวสีดำอะไร ข้อเดียวไม่โกหกนี่ ก็บ้านเมือง สุขสำราญแล้ว อย่างรักษาการ พระสังฆราช ว่าให้แต่ละ หมู่บ้าน รักษาศีล ๕ อาตมาก็ว่า สนับสนุให้คสช. ให้ทำไปเลย

มนุษย์ถ้าไม่มีศีล ๕ ที่เป็นผลนี่ เป็นเดรัจฉานอยู่นะ โดยสัจจะเลย คุณต้องรู้สัจญาณ กิจญาณ กตญาณเลย ต้องยกเว้น ไม่กินสัตว์ ไม่เอาของที่ไม่ใช่ของเรา เรื่องกาม ก็ผัวเดียวเมียเดียว ศีล ๕ จะมีสวยงามตามฐานะ ก็มีอยู่บ้าง อาหารการกิน ก็ไม่ต้องถึงกับ กินสองมื้อ หรือมื้อเดียว ไม่ต้องก็ได้ จะมีเงินทอง บ้านใหญ่โต ก็ไม่ว่า  แค่ศีล ๕ นี่ยอดแล้วสังคมเป็นสุขแล้ว

ชาวอโศก คนจะมาอยู่ในชุมชนเรา ต้องอย่างน้อย ศีล ๕ ละอบายมุข ไม่กินเนื้อสัตว์ เพราะว่า แค่ไม่ฆ่าสัตว์นี่ ก็ไม่ทำให้เกิดผลต่อจิต เท่าไหร่หรอก แต่ว่าไม่กิน เนื้อสัตว์นี่ ทำให้เกิดผล ต่อจิตมากเลย

มาพูดถึงวิโมกข์ ๘

สมติกมะ คือล่วงพ้น เราฆ่าเหตุ ดับสมุทัย เราก็ล่วงพ้นจากโลกเก่า เป็นวงวนก้นห้อย แม้ภาษาเก่า แต่รอบใหม่ เป็นสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ไม่มีสวรรค์เก่า เป็นสวรรค์ใหม่ เป็นอุบัติเทพ จนสูงสุด หนึ่งเดียวเป็น วิสุทธิเทพ เลิกวงวนแล้ว ดับภพ

ทุกวันนี้พูดกัน ไม่เข้าใจ วนกับที่ อย่างเช่น ปุญญาภิสังขาร กับ อปุญญาภิสังขาร นี่ก็แปลแค่บุญกับบาป วนไปวนมา ไม่วนรอบจบ แล้วขึ้นรอบใหม่ ท่านเข้าใจไม่ครบ ก็แปลออกมาเช่นนี้ ท่านแปลผิดว่า อปุญญาภิสังขาร คือสังขารเป็นบาป นี่คือ วนที่เก่า  จะเข้าใจบุญ ว่าคือการชำระกิเลส ก็คือทำจนหมดบุญ ก็อปุญญะ คือทำบุญ จนครบหมดรอบ ก็ขึ้นรอบใหม่

กายสังขาร จิตสังขาร จนถึงอรูป ตอนนี้เรามาถึง ภาวะของอรูป ล่วงพ้นมาแล้วจากวิโมกข์ ๓ ข้อแรก มาถึงวิโมกข์ข้อ ๔ เป็นอุเบกขาฐาน ศึกษาสู่อากาสาฯ ตรวจสอบสภาวะว่าง คำว่าว่าง ไม่ได้หมายถึง จิตว่างเด๋อๆ ว่างโดยไม่มีเครื่องอาศัยเลย แต่ว่าว่างนี้คือว่างจาก สิ่งสกปรก เป็นจิตดีใสเจริญขึ้น แล้วถึงขั้น อรหัตตมรรค พอปฏิบัติ ไม่มีกิเลสแล้ว ไม่มีนิวรณ์ ๕ ก็มีแต่อาการว่าง แต่ไม่ใช่ไม่มีจิต แต่มีจิตเจริญ ทำให้ว่างได้ เป็นปุญญะ จน อปุญญะ ไม่ต้องทำบุญแล้ว แต่เมื่อไม่ต้องทำบุญแล้ว เป็นสมุทเฉทปหาน ก็ต้องทำซ้ำ ทำทวน ทำให้สงบ ปัสสัมภยัง กายสังขารัง ในอานาปานสติ ช่วงแรก ถ้าไปหลับตา ก็ทำอานาปานสติ ไม่ครบ เพราะไม่มีกายสังขารัง ถ้าเข้าใจถูก ก็มีกายสังขารัง จากรูป ก็ทำอรูป มีอะไรเหลือ ก็ทำเพิ่ม แม้มันไม่เหลือ ก็ตรวจให้มั่นใจ ให้แน่วแน่ แนบแน่นปักมั่น เป็นสมาหิตจิต วิมุติจิต สมบูรณ์ เป็นเครื่องแสดง อนุตตรังจิตตัง

สมาหิตัง คือภาษาทางไวยกรณ์ ช่อง ๓ past perfect tense คือจิตตั้งมั่นแล้ว เป็นนิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณามธัมมัง ในเจโตปริยญาณ ๑๖

เป็นเจโตปริยญาณ ในบาลีว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง ท่านที่ไม่รู้ ก็แปลไปว่า รู้ใจสัตว์อื่นคนอื่น เป็นตัวตนบุคคลไป แต่ไม่ใช่ ที่จริงคือ รู้จักสัตว์กาม สัตว์รูปภพ อรูปภพ มันต่างกัน ปรสัตตานัง เห็นความเป็นสัตว์ โอปปาติกะ แต่ก่อน เราอยู่ในโลกเก่า เป็นสัตว์แต่ตอนนี้เป็น อาริยบุคคล เป็นคนโลกใหม่  มันชัดเจน ว่าคือ สัตว์ผุดเกิดในจิต ไม่ใช่ตัวตน บุคคลเราเขาหรอก

สราค สโทสะ สโมหะ เราอ่านรู้สราคะ อย่างกาม หรือพยาบาท หรือโมหะ คือรากของกิเลส เรารู้สภาวะ ที่มันประกอบอยู่ แล้วเราก็ทำให้มันจางคลาย หรือดับลง ดับได้บางครั้ง (ตทังคปหาน) หรือได้ชั่วคราว หรือ ทำได้ดีเก่ง เด็ดขาด ทำไปแล้ว จะเกิดลักษณะของ ๗ หรือ ๘ เป็นสังขิตตจิต หรือ วิกขิตตจิต เหมือนคน หัดขับ จักรยานใหม่ ก็ยังไม่คล่องทุกข์ จะมีวิกขิตตังจิตตัง คือ สายฟุ้ง (ปัญญา) ส่วนสาย สังขิตตังจิตตัง คือ สายหด (สายเจโต)  คือยังไม่สบายหรอก เราต้องทำให้มหรรคตะ ทำวิตกวิจาร ในการตรวจสอบ สังกัปปะ ไม่ให้กิเลสมี อย่างตทังคปหาน ทำได้แล้ว แต่ยังไม่เก่ง ก็ทำให้ยิ่งขึ้น มหรรคตะ ให้ดีขึ้นอีก เมื่อทำได้ก็พ้น อมหรรคตะ (ยังไม่เจริญ ได้แค่สังขิตตะ วิกขิตตะ) เมื่อทำได้ ก็ทำให้มาก ทำให้บ่อย อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ให้ปรุงแต่งจัดการอย่างนี้แหละ ทำโพธิปักขิยธรรม จนจิตดีขึ้นๆ เป็นสอุตตรังจิตตัง จะมีปฏิภาณ รู้ว่าดี แต่ไม่จบ มันแต่สอุตตรัง แต่ดีกว่านี้มีอีก คุณจะรู้เอง ต้องทำให้เป็น อนุตตรังจิตตัง ทำให้ ๓ กาล ของเวทนา ๑๐๘ ทำจนอดีต อนาคต มันสูญถาวร จิตก็สมาหิตัง ถ้าทำไม่ได้ก็อสมาหิตัง เป็นวิมุติจิต ถ้าทำไม่ได้ก็ อวิมุตจิต

แม้แต่โสตทิพย์ รสทิพย์รสมนุษย์ สัตว์ทิพย์สัตว์มนุษย์ นี่คือเสียงสอง หรือรูปสอง สามารถแยกได้ว่า อันหนึ่งเป็นปุถุชน อีกอันหนึ่งเป็นระดับ อาริยบุคคล อย่างเห็นรูปนี่เห็นเหมือนกัน แต่ทิพย์นี่ เป็นสิ่งวิเศษ เห็นกระทบรูปนี้แล้ว ใครก็เห็นเหมือนกัน แต่ว่า คนมีตาทิพย์ รูปทิพย์ เสียงทิพย์ สัมผัสรูปนี้ เห็นผีของเรา เรียกว่า โสตทิพย์ ในวิชชาข้อที่ ๔ รู้ของเกินมนุษย์สามัญ เพราะเป็น สัจธรรมปรมัตถ์ ไม่ใช่แบบโลกีย์ ที่เห็นผีเทวดา อย่างนิยาย มีรูปร่าง แต่แท้จริงคือจิตผี จิตที่มีกิเลส แต่ถ้าจิตลดกิเลสได้ นี่แหละจิตทิพย์ ถ้าได้ทิพย์แบบเสพสุข ก็เทวดาโลกีย์ แต่ว่ารสทิพย์แบบโลกุตระ คือตัดหัวใจ เทวดาเก๊เลย  นี่คือ ทิพย์สองอย่าง อย่างสมมุติสัจจะโลกียะ กับโลกุตระ ปรมัตถสัจจะ  ผู้ใดมีโสตทิพย์ คือเช่นนี้  แต่เรื่องทิพย์ๆ แบบโลกๆนั้น หลงออกนอก ขอบเขตพุทธมากเลย จนกู่ไม่กลับ

วิปัสสนาญาณ เขาเข้าใจกันเลอะเทอะ เขาอธิบายว่า ถ้าสามารถลืมตา ก็เป็นวิปัสสนา แต่ถ้าหลับตา ไม่เป็นวิปัสสนา คนก็เลยลืมตาเคลื่อนไหวมือ ไม่ต้องดูก็ได้ แต่กำหนดจิตจดจ่อที่มือ หรือว่าเดินก็ได้ จดจ่อตรงนั้นที่กำหนด ก็ได้แต่สมถะ ไม่เป็นวิปัสสนาเลย  เขาก็ว่า เคลื่อนไหวเป็นวิปัสสนา หรือลืมตา ก็วิปัสสนา ก็ดีขึ้นมา แต่ว่าไม่เห็นๆรู้แจ้ง ด้วยมีสัมผัสทวาร ๖ ก็ยังไม่ใช่วิปัสสนา สำเร็จอิริยาบถอยู่ มีสัมผัสนอก ใน มีรูป ๒๘ ครบ

ถ้ามีเห็นข้างนอก รู้ตื่น ก็ยังดี แต่ว่าวิปัสสนา ไม่ใช่แค่นั้น แต่ต้องมีปัญญา ทำจิตในจิต ให้สำเร็จก็มี มโนมยิทธิ หรือ มนสิกโรติ ให้เป็นผลสำเร็จทางจิต มโนมยัง ให้เกิดจิตใหม่ เรียกว่า มโนมยิทธิ คือฤทธิ์ทางใจ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ ไม่ใช่ที่ฤาษี เขาสอนกัน แบบอิทธิ-อาเทสสนาปาฏิหาริย์  แต่มโนมยิทธิ นั้นเป็น อนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์ มโนมยิทธิ คือทำจิตในจิต ให้สำเร็จ ด้วยการลดกิเลสได้ผล จนจิตเกิดใหม่ จากการดับ อกุศลจิต ไม่ใช่ดับแบบมืดๆ สุภกิณหา แต่ว่าของพุทธ ทำอย่างมี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง  

อิทธิวิธญาณ  คือความหลากหลาย ผู้เก่งหลากหลาย เช่น เอโกปิ หุตวา พหุทา โหติ หนึ่งเดียว เป็นหลากหลายได้ ไม่ใช่ว่า เป็นตัวคนเป็นๆ นี่เป็นเรื่องโลกีย์ ก็เลย เป็นเรื่องเมจิคไป แต่ว่าที่อาตมา อธิบาย ภพชาติ มาเป็นสังขาร หรือจากสังขาร มาเป็นภพชาติได้ แจกแจง จากหนึ่ง เป็นหลายอันได้ หรือหลายอัน เป็นหนึ่งเดียวได้  ของพระพุทธเจ้านั้นกระทุ้งไล่จาก จิตไร้สำนึก ขึ้นมาเป็น จิตใต้สำนึก เป็นจิตสำนึก เพื่อจัดการตัวกิเลสได้ นี่ก็มีหลากหลายวิธี หรือคุณทำให้ กิเลสหายไป ไม่ใช่ว่า แค่หายตัวได้ อย่างร่าง หายไปแค่นั้น หรือคุณจะปรุงแต่ง ทำงานเพื่อคนอื่น โดยตนเองไม่มีตัวตน ไม่ทำเพื่อตัวตนเลย นี่คือ อิทธิวิธญาณ เป็นฤทธิ์ที่แท้ ในความหลากหลาย ทำสิ่งที่หาย ให้ปรากฏได้ โดยตนเอง ปรุงให้เขากิน อย่างแม่ครัวอรหันต์ ไม่ทำเพื่อตนเอง ตนเอง อาศัยกินได้ โดยตน ไม่มีรสอร่อย อัสสทะ ทำให้ปรากฏ หรือหายไปได้ มีมุทุภูตธาตุ เพราะมีวิมุติแล้ว เนมิตได้ ทำให้เกิดหรือตาย ทำให้เร็วหรือช้าได้ ทำให้หาย หรือมีก็ได้ ทำให้ทะลุภูเขา หรือกำแพงก็ได้ ก็ไม่เห็นพระพุทธเจ้า ทะลุภูเขาจริง แต่ว่าโลกียะ กองเท่าภูเขา เราก็เดินผ่านได้ อย่างไปชุมนุม มีกองอาวุธมาเลย แต่อาตมาไม่ได้หวั่นไหว มีโลกธรรม กองเต็มไปหมด ทั้งอำมหิต ยั่วยวน กามเยิ้มราคะเยิ้ม โทสะหยาบคาย มีเต็มโลก แต่เราเดิน เหมือนไปในที่ว่าง ไม่ติดขัดเลย ท่ามกลางโลกีย์หยาบคาย กระด้างยิ่งกว่าภูเขา เราก็ไม่ติด ไม่ซึมซับ สิ่งนั้นทำลายเราไม่ได้ เหมือนไปในที่ว่าง

ผุดขึ้นดำลงไปในดิน เหมือนไปในน้ำได้ เดินไปบนน้ำ โดยน้ำไม่แตกก็ได้ ไม่ใช่ว่ามีฤทธิ์ แบบโลกีย์ เดินน้ำ ดำดินได้ เป็นอภินิหารพิเศษ เช่น ถ้าคุณเจอ เงินลับเลย หมื่นล้านคนที่ใจไม่แข็ง หรือคนสามัญ หวั่นไหวแน่ เหมือนตกลงไปในน้ำแน่ แต่คนมีอุตริมนุสธรรม อยู่เหนือเงิน จะไม่ได้อยากได้เลย ของหลวง ก็ทำให้หลวง นี่คือ คนประหลาด เดินน้ำดำดินได้ กลับกับโลกเขา นี่คือ อิทธิวิธญาณ

คุณเจอของอันนี้ ใครมากิน ก็ต้องว่าอร่อย นี่คือ ธรรมดาต้องจมน้ำ หรือบนดิน แต่ของเรานี่ เดินน้ำดำดินได้ ของเขาว่าอร่อย เราก็ว่าเฉยๆ ไม่อร่อย อันนี้เขาว่าสวยเพราะ แต่ว่าทำไมเธอ ไม่เพราะไม่สวย เหมือนเขา แต่ไม่ดูด ไม่ผลัก แต่รู้ว่า เขาก็ชอบของเขาได้

คุณถูกกระทบสัมผัส ถูกเขาว่าก็โกรธ แค่ว่าเบาๆก็โกรธ แต่ว่าคนนี้ ว่าแรงๆก็ไม่โกรธ นี่คือ คนประหลาด เดินน้ำ ดำดินได้ คือ อนุสาสนีปาฏิหาริย์ 

เหาะไปในอากาศ เหมือนนกได้ ก็เบาลอยว่าง สบาย ไม่มีอะไรติดขัดเลย เบายิ่งกว่านกอีก นกมันยังหนักเลย

ลูบคลำพระอาทิตย์ได้ อาตมาเคยใช้ภาษาว่า ลูบหัวล้าน พระอาทิตย์ได้ ไม่สะทกสะท้าน เราอยู่กับโลกีย์ เงินหมื่นล้านแสนล้าน เราก็อยู่กับมันได้ เขาให้เอามาทำงาน เราก็ทำเหนื่อยก็ทำ ถ้าไม่หมดก็คืน ใจไม่หวั่นไหว โลกีย์เลย ต่อให้อำนาจโลกีย์ โลกธรรม ร้อนกว่าพระอาทิตย์ เราก็อยู่ได้ เหมือนก้อนน้ำแข็ง ท่ามกลาง เตาหลอมเหล็ก เราก็เย็นได้  คืออำนาจทางกาย ไปตลอดพรหมโลก หมายความว่า พรหมโลก คือผู้สร้างทุกอย่าง ให้อย่างสุจริต

เราสร้างลาภ ยศ สรรเสริญ ให้แก่เมืองไทย เราอาศัยทำงาน ให้สังคมสะอาดสุจริต เป็นพระพรหม เป็นพหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ช่วยเขาได้ เราก็จบวาง อุเบกขา เป็นพระพรหมสร้างโลก เขาจะไม่ดี ทุจริตอย่างไร เราก็อยู่ได้ แม้โลกธรรมอย่างไร แรงมาก เราก็ไม่หวั่นไหวเลย จิตใจเราเบา เหาะได้ ยิ่งกว่านก