580115 - ความรัก ๑๐ มิติ มิติที่ ๑ อธิบายแบบง่ายแต่ลึกซึ้ง |
มีข้อเขียนของ คุณสันติ ในเอเอสทีวี ผู้จัดการ เรื่อง เมื่อฝรั่งเรียกร้อง ของความเป็นไทย ฟังหัวข้อแล้วก็ตลก คนไทยหายไปไหนหมด ... คือฝรั่งมาที่เมืองไทย เขาชื่มชมวัฒนธรรมไทย แต่ฝรั่งเขาสงสัยว่า ทำไมสาวไทย ต้องย้อมผม เหมือนฝรั่ง ทำไมไม่แต่งแบบไทย สรุปคือ ทำไมสาวไทย จึงอยากจะเป็นฝรั่ง มีแฟนเป็นฝรั่งไป
คนไทยทุกวันนี้ ไม่ได้แต่งเสื้อผ้าไทย โดยเฉพาะในกรุง ทั้งเสื้อผ้า แต่งผมเผ้า ไม่เหมือนแบบไทยๆ ไม่มีเอกลักษณ์ ของไทย ไม่เป็นวัฒนธรรมไทย ไปเลียนแบบ ฝรั่งตะวันตก ทั้งที่เราเป็นคนไทย จะมีวัฒนธรรมไทย มันมีได้เยอะแยะ แต่ไปเอาแบบฝรั่ง จนฝรั่งมาในเมืองไทย หาแบบไทยๆ ไม่ได้เลย จะมีบ้าง ในต่างจังหวัด ยังเหลือเชื้อ ความเป็นไทยๆ อยู่บ้าง ถ้าเป็นชนบท ก็มี แต่ถ้าจังหวัดใหญ่ๆ เจริญๆ ยิ่งไม่เหลือ วัฒนธรรมไทย ไม่เหลือ มันน่าเสียดาย ประเทศลาว พม่า เขมร เขาก็มีของเขาอยู่เลย ยังภาคภูมิใจ ในวัฒนธรรม ของชาติ แต่ไทยนี่ไม่เลย ออกไปต่างชาติ ไปโชว์ ก็ประยุกต์แบบไทย มันเป็นเรื่องตลก ไปประกวดนางสาวโลก บอกว่า ชุดประจำชาติ แล้วประดิษฐ์ ประดอยซะ มันเป็นของชาติไทย ตรงไหนนะ มันไปไกลลิบเลย ป้ายที่ ฝรั่งคนนี้ เขาเขียนบอกไว้ว่า..... "ผู้หญิงไทย กำลังไม่มีแล้ว ทิ้งตัวเอง ไม่ยอมเป็นตัวเองแล้ว เพื่อตามแฟชั่นฝรั่ง เปลี่ยนเป็นโคลนฝรั่ง กันทั้งหมด น่าอับอายจริงๆ ช่วยชีวิตความสวยงาม ที่แท้ของผู้หญิงไทย 'ขอเลิก' ทำสีผม เหมือนฝรั่ง ทำจมูกโด่ง เหมือนแม่มด เปลี่ยนใบหน้า เหมือนฝรั่ง ทำศัลยกรรมทุกชนิด ทำสีผิวขาวๆ เหมือนเป็น โรคมะเร็งโลหิต ทำร่างกายผอมๆ เหมือนโครงกระดูก
มันไม่เป็นธรรมชาติ ไม่แท้ และ ขี้เหร่มาก ต่างหากด้วย ถ้าไม่มีใครเสียใจ การสูญเสียหาย ของผู้หญิงไทย แต่ผมเสียใจ เต็มหัวใจ เพราะว่าผมรัก ไม่มีอะไรสวยกว่า ผู้หญิงไทยแท้ บนโลก เลยขออภัย ที่มาประท้วง"
อาตมาว่า เป็นเรื่องใหญ่เลยนะ นี่เป็นความหลง เป็นความใคร่ กาม เรื่องความสวยงาม ประเด็นหลัก คือหลงว่า นั่นคือ ความสวยงาม ซึ่งความสวยงามนี้ เป็นสมมุติ แล้วพยายาม โฆษณาว่าอย่างนี้สวย แล้วก็สมมุติยึดถือกัน จนคนทั้งโลก มีแนวโน้ม ไปสู่จุดเดียวกัน คล้ายกันไป แต่ก็ไม่ทีเดียว ก็ยังมีความต่างกันไม่น้อย แต่จะเป็น จุดเดียวกันเลยว่า อย่างนี้สวย ทั้งโลกเห็นเป็นเช่นนั้นก็ตาม มันก็คือ การสมมุติ สัญญาย นิจจานิ กำหนดหมายว่า อย่างนี้คือสวย พระพุทธเจ้า ตรัสว่า เป็นการสัญญา สมมุติกันขึ้นมา เห็นตามกันไป มันต่างกันที่ แต่ละประเทศ ก็มีต้นตอ ในตระกูลหลักๆ เขาก็แบ่งว่า เป็น มองโกเลี่ยน คอเคเซี่ยน นิกรอยด์ เป็นต้น สรุปแล้วก็คือ การยึดถือ แท้จริงเลย
ภาษาบาลี ว่า อุปาทาน ไปหลงยึดถือว่า เป็นสิ่งน่าได้ น่ามีน่าเป็น แล้วอยากได้ อยากมีอยากเป็นจนต้องเสี่ยงตาย แล้วได้ตายกันมาแล้ว ก็มีจริง เพราะรักสวยงาม ตามที่ตนอยากได้ จนกระทั่งพิกลพิการกันก็มี อันนี้เป็นเรื่อง ที่รู้ง่าย เป็นอบาย เป็นกามนิยม เมถุนนิยม เสพ รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ในทางตัวตน บุคคลเราเขา
ในกามเมถุนก็ง่ายๆ คือได้สัมผัสเสียดสี ทางเพศ แล้วเกิดรสสมมุติ จะสัมผัสอย่างไร เย็นร้อนอ่อนแข็ง ถ้าได้ตาม ที่เราได้ยึดไว้ สมมุติไว้ ได้แตะสัมผัสเสียดสี แล้วใจมีความสุข อย่างนั้นจริงๆ ตั้งแต่เรื่องเพศ เพราะเป็น กามใคร่อยาก ที่สัตว์โลกทุกชนิด ต้องยึดต้องติด ติดยึดแม้เป็นสัญชาตญาณ ไม่ได้เป็นกามนะ เป็นสัญชาตญาณ ที่จะต้องสืบพันธ์ต่อเชื้อ ต่อเผ่าพันธ์
สัตว์หลายชนิด ไม่ได้มีความสุข แต่เป็นสัญชาติญาณ ต่อเผ่าพันธุ์ สัตว์หลายชนิด สืบพันธุ์แล้วตัวผู้ก็ตาย ตัวเมีย ก็ต่อเผ่าพันธุ์ ต่อไป มีสัตว์หลายชนิด มันไม่ใช่กาม แต่เป็นสัญชาติญาณลึกๆ เรื่องสืบพันธุ์ ในสัตว์โลกแท้ๆ ไม่ใช่เรื่องกามรส ได้สัมผัสเสียดสีอย่างนั้น มันไม่ใช่ พระพุธเจ้า ท่านค้นพบ จึงให้มาล้าง ความติดยึดหลง โมหะอวิชชา ว่ามันเป็นของจริง มีจริง จะต้องได้ต้องมี แล้วไปผนวกรสนี้ไว้ ในการสืบพันธ์ ในการเสียดสี มันก็ผนวกกับ สัญชาติญาณ มันก็เลยดิ่ง เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกันเลย
หลายศาสนา ทางตะวันตกนั้น แต่ว่าโดยพุทธแล้ว สามารถหยุด กิจกรรมทางเพศเลย ไม่ต้องสัมผัสเสียดสี แต่ต่างประเทศงงมาก เขาว่าเป็นธรรมชาติสัตว์โลก ไปเลิกทำไม เขาว่าถ้าเลิก สัตว์ก็สูญพันธุ์นะ ฟังแล้วน่าเชื่อนะ ผลแท้ก็คือ การสืบพันธุ์ แต่ผลไม่แท้ ผลรองคือ การเสพรส แต่ทุกวันนี้ การเสพรส เป็นผลแท้ไปเสียแล้ว ถ้าไม่ได้เสพรส รู้สึกว่าเกิดเป็นคน เสียชาติเกิด นี่คือสิ่งที่ลึกซึ้งมาก เป็นเรื่องที่ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ เปิดเผย แล้วขัดแย้งกับ หลายศาสนา แต่ก็มีบางศาสนา เห็นว่า ควรละรสทางเพศ โดยเฉพาะของพระพุทธเจ้า มีวิธีล้างละ ฝึกฝนเลย
อาตมาวันนี้ตั้งใจ จะพูดเรื่องกาม ให้ละเอียดให้ง่าย เป็นพื้นฐาน ไม่เจาะจงไปที่เพศ ผู้หญิงผู้ชาย
การสัมผัสเสียดสี เกิดได้ ๕ ทวารหลัก คือตากระทบรูป หูกระทบเสียง จมูกกระทบกลิ่น ลิ้นกระทบรส แล้วทั้งหมด ของภายนอกร่างกายนี่ ได้สัมผัสเสียดสี ตา หู จมูก ลิ้น สี่อย่าง ก็รวมอยู่ในกาย อยู่ในการสัมผัสเสียดสี ทั้งสิ้น คำว่ากาย จึงรวมทั้ง ตา หู จมูก ลิ้น ไปด้วย
ตาไปกระทบรูป ได้ดูแล้วเกิดว่า น่าดูน่าชม ได้ดูได้ชม แล้วสบาย เป็นสุข จะเป็นรสเสพ ต้องใช้เวลา อยู่กับความสุขนั้น ให้นาน จนถึงวาระเวลาก็เบื่อ บางคนไม่นานก็เบื่อ บางคนก็เบื่อเร็ว แต่บางคน ไม่เบื่อง่าย แต่ก็เบื่อได้ แม้สัมผัสอย่างเดิม ที่เคยดู เคยสุข แต่บางอารมณ์ บางกาละ สัมผัสแล้ว อันอื่นมากวน คราวนี้ ก็ไม่เห็นสุข มันไม่ใช่ของจริง ถ้าจริงต้องสุขทุกครั้ง แล้วอยู่นาน คนใดสัมผัส ก็ต้องสุขสิ แต่ว่าบางอัน คนนี้สัมผัส แล้วชอบ บางอันคนนั้น สัมผัสแล้วไม่ชอบ ทั้งสัมผัสในองค์รวมแล้ว ไม่ชอบใจก็มี หรือว่าชอบใจ ในส่วนใด ก็แล้วแต่
อาตมามีเพื่อน ที่ทำงาน โทรทัศน์คนหนึ่ง เขาอยู่ฝ่ายช่าง เพื่อนคนนี้ เขาเกลียดงู เห็นเมื่อไหร่ ต้องฆ่า ถ้าสัมผัสงู เมื่อใด ต้องตามฆ่าให้ได้ ถ้าตามฆ่าไม่ได้ นอนไม่หลับ ไม่ว่าเห็นที่ใดเมื่อไหร่ อาตมาก็ว่า มันยึดอะไรกันนักหนา อาตมาก็มองว่า เป็นอจินไตย กรรมวิบาก หรือว่าเป็นองค์รวม ที่เห็นแล้วไม่ชอบ งูทุกชนิด มันก็แปลกๆ
มาพูดง่ายๆ เช่นเด็กๆนี่ ชอบขนม อะไรก็แล้วแต่ บางคนชอบท็อฟฟี่ ในใจเด็ก มีอุปาทานยึดติด ไม่ชอบ ซึ่งติด ก็ไม่ตรงกันทีเดียว บางคนเขาชอบขนมนั้น แต่เราไม่ชอบ แล้วหลายคนก็ชอบซ้ำกันก็มี ไม่ซ้ำกันก็มีเยอะ ทั้งขนม อาหาร อะไรต่างๆนานา
กามคือความใคร่อยาก ตามสมมุติอุปาทานที่ยึด ว่าต้องได้ รูปอย่างนี้ เสียงอย่างนี้ กลิ่นอย่างนี้ รสอย่างนี้ สัมผัสอย่างนี้ แต่อาหารนี่ชัดที่รูป รส กลิ่น สัมผัส พอตากระทบรูป แล้วขนมนั้นคือดิน น้ำ ไฟ ลม ธาตุที่ผสมในนั้น ทั้งดิน น้ำ ไฟ ลม เป็นวัตถุรูป แล้วตาเราไปกระทบเข้า ยิ่งได้แตะเลยสัมผัส แล้วใส่ปาก แตะที่ลิ้น ก็จะเกิดวิญญาณ บางคนสัมผัสทางตา ก็เกิดวิญญาณ บางคนแตะต้อง ได้กลิ่น ได้รส ก็เกิดวิญญาณ ถ้าวิญญาณนั้นชอบ ได้ดีใจสุขใจ อร่อย ก็เรียกว่าวิญญาณเทวดา เป็นเทวดาเก๊ นี่เป็นเทวดาจริงๆ ที่ตายไป ขึ้นสวรรค์ เป็นเทวดานั้น ไม่ใช่ของจริง ของใครตายไป ก็อยู่ในความนึกคิด ในภพของตน แต่เทวดาคือจิตใจ จิตวิญญาณตน มันเป็นสุข มันชอบใจ ก็เรียกว่า มันเจริญแบบโลกๆ เป็นเทวดา พระพุทธเจ้า เรียกว่า สมมุติเทพ
จะเป็นสมบัติวัตถุ เงินทองข้าวของ วัตถุใดก็แล้วแต่ มันก็มี ทั้งที่เราสัมผัส แล้วดีใจ ถูกใจติดใจ ทั้งอุปโภค และบริโภค มันไปยึดติดทั้งนั้น เน้นมาที่เรา ใช้เป็นตัวอย่าง คือขนมนี่แหละ เพราะเมื่อตาเรา กระทบรูป ก็คือ ตาเป็นปสาทรูป
ขนมเป็นมหาภูตรูป เป็นดิน น้ำ ไฟ ลม ที่เขามาปรุงเป็นขนม แล้วในคนนี่มีตา หู จมูก ลิ้น กาย ที่เป็น ปสาทรูป ๕ (กายคือ องค์รวมภายนอก คือตา หู จมูก ลิ้น ที่จะไปสัมผัส เรียกว่า โผฏฐัพพะ เมื่อเกิดสัมผัส จิตเกิด แล้วจิตนั้น มันมีจิตที่ใช้ประสาท มันมีการโคจระ เป็นวิสัย ที่เป็นธรรมชาติ
ถ้าได้สัมผัส แตะต้องกันเข้า แล้วเกิดธาตุรู้ ตั้งแต่เย็นร้อนอ่อนแข็ง ได้กลิ่นได้รส ได้เสียง ได้เห็นรูป จิตวิญญาณ จะเกิดรู้ขึ้นมา ว่าเป็นอย่างนี้ ตัวจิตวิญญาณ ที่เกิดรู้ขึ้นมานี่แหละ เป็นตัวการหลัก หากไม่ได้เรียนธรรมะ วิญญาณนี้ จะเป็นผี หรือเทวดาทันที มันตั้งค่าไว้เลย ตามที่อุปาทาน อันนี้ตรงกับอุปาทาน ก็ชอบเลย แต่อันนี้ ไม่ตรงอุปาทาน ก็ไม่ชอบเลย สัมผัสปั๊บ ปรุงปุ๊บเลย ไวมา ถ้าสัมผัสแล้วชอบใจ ก็เป็นเทวดา หรือถ้าสัมผัสแล้ว ไม่ชอบใจ เอาไปทำลายเลย อันนั้นเป็นโทสะ อันนี้ก็เป็นราคะ เป็นกาม ได้สมใจ ได้ตามต้องการ ถ้าตาก็ต้องดู ถ้าหูก็ต้องฟังเสียง ถ้าเสียงก็ได้ยิน ลิ้นก็ต้องสัมผัส ถ้ากายก็เป็นทุกอย่าง
เป็นเรื่องเหลวไหลเลอะเทอะ ที่ไปยึดติด หากกิเลสขึ้นมา ก็ต้องไป แสวงหาให้ได้ ใครติดมาก แรงด้วย ก็ต้องเป็น ภาระมาก ในการบำเรอ ความอยากตนเองมาก แล้วพักยก จากนั้น ก็อยากใหม่ เช่นคนติดบุหรี่ มวนแล้ว มวนอีก แล้วก็พัก ขนมก็เหมือนกัน กินแล้วพอเบื่อ เต็มท้อง หรือมีธุระ ก็พักไว้ก่อน แต่เดี๋ยว ก็อยากกินอีก มันกินไม่ได้ เพราะจำเป็น หรือควรกิน แต่กินเป็นโทษด้วย มีการเฟื้อเสียหาย แสลงร่างกายอย่างไร ก็ไม่ฟัง มันชอบ ติด นี่คือ ลักษณะกาม ที่เป็นอยู่จริง
การเรียนรู้ธรรมะ พระพุทธเจ้าต้องเรียนรู้ ลักษณะเหล่านี้ แล้วมันก็ไม่เที่ยง มันไม่จริงแท้ มันเป็นภาระ ที่ต้องหา มาบำเรอ สุขเท็จ เป็นของพระพุทธเจ้า ยืนยันว่าเท็จ หลวงปู่ปฏิบัติมา เคยมีรสสุข อย่างที่คนเขาเป็นกัน ไปยึดอะไร ก็สุขหรือทุกข์ อย่างนั้น ไม่ได้เป็นคนพิศดาร แต่ว่ามาเรียนรู้ แล้วพระพุทธเจ้า ว่าเป็นของหลอก ของเท็จ หลวงปู่มีบารมีเก่า ปฏิบัติไม่นาน ก็หายไป เคยอร่อยเคยสวย เคยไพเราะ เคยสัมผัสเสียดสี แล้วเกิดรส ชื่นอกชื่นใจ มันก็หมดไป หายไปจากจิตเลย อาการเช่นนี้ สัมผัสกับ สิ่งที่เคยเป็นรสอร่อย (อัสสาทะ) แต่ก่อน มันมีอาการ ที่เป็นรสจริง สุขใจ ได้บำเรอ แต่พอปฏิบัติธรรมะพระพุธเจ้า ปัญญามันเห็นจริง จิตมันเลิกละจริง ทิ้งได้ กิเลสถูกชำระกำจัดไปแล้ว มันก็เป็นรสเฉยๆ เรียกว่า ไม่ทุกข์ไม่สุข อุเบกขา เฉยๆ นี่เป็นความจริง ที่หลวงปู่ ได้พิสูจน์มา ด้วยตนเอง
นี่คือ กามนิยม หรือเมถุนนิยม (ต้องมีคู่ในการสัมผัส สิ่งสองสิ่ง ในการสัมผัสกัน ตากระทบรูป เป็นต้น) เมื่อได้สัมผัสแล้ว ก็เกิดสิ่งที่หลง ถูกหลอกว่าเป็นจริง คนไม่ได้เรียนรู้ล้าง ก็มีอยู่ จนมาศึกษาล้างไป เป็นระดับ จนกว่ามันจะหมด ก็จะไม่เกิดรส มันจืดไปเลย แต่มันยาก ที่จิตลึกๆ เราวางแล้ว เฉยได้แล้ว แต่ความจำ ที่แต่ละคน เคยจำได้ว่าอย่างนี้เป็นรส เป็นอาการสุข พอสัมผัสมันทีไร ความจำนั้น ก็เป็นรส อย่างที่เราเคยคิดว่าจริง แต่เรา ไม่ได้ติดมัน จิตคนที่ล้างได้ แล้วไม่ติดมัน เมื่อไม่ติดแล้วคนนี้ ถ้าสัมผัสเดี๋ยวนี้ ก็รู้สึกว่า เหมือนมีรส แต่ว่า เป็นความจำ แต่ถ้าไม่ได้สัมผัสเลย ก็ไม่นึกถึง ถ้าติดมาก จะนึกถึงบ่อย ถ้าไม่ติดแล้ว ก็ไม่นึกถึง ถ้าถึงขั้น ลืมไปเลยก็ได้ จนกว่า มันจะมาสัมผัส ก็นึกได้ว่า เคยมีสุขกับมัน แต่ถ้าไม่มาสัมผัสเลย ก็ลืมไปเลย หายไปเลย
ผู้ลึกซึ้งเป็นจริงแล้ว แม้ยังจำได้ระลึกถึง ก็ระลึกถึงได้ ในเหตุปัจจัยนั้น ที่เป็นคู่เมถุน ทีเคยเกิด อารมณ์สุข แต่นึกถึงแล้ว รสที่เคยได้สัมผัส ก็เคยเกิด อารมณ์สุข แต่นึกอารมณ์สุขนั้นไม่ออก แม้ที่สุด สัมผัสมันใหม่ ก็ไม่เกิดอารมณ์สุขเลย อาตมาเคยพูด รสพริก แต่ก่อนกินได้ ถึงกินข้าวคำ แล้วกินพริก ๑ เม็ด ก็กินได้อย่างไร ก็ไม่รู้ แต่ก่อน แล้วก็รู้รสว่า มันอร่อย จนเดี๋ยวนี้ ลืมไปแล้ว แต่เดี๋ยวนี้ แตะพริกเมื่อไหร่ ก็แสบ นึกไม่ออก ว่าเราเคยหลง ว่าเป็นสุขได้อย่างไร มันลืมรสสุข เมื่อเคยได้สัมผัสพริก เป็นอย่างไร มันแซบ ได้อย่างไร มันลืมไปสนิท
บางอย่างก็จำได้ แต่ไม่ติด บางอย่างก็จำได้ดี บางอย่างก็เลือนไปแล้ว แต่ส่วนมาก พอจำได้ว่า ไม่ติดแล้ว จะสี รูป เสียง กลิ่น จะรสทางลิ้น สัมผัสเสียดสีต่างๆ ก็ไม่ติด แต่มันมีสิ่งที่จำได้บ้าง กับสิ่งที่พยายาม จำให้ได้
ผู้ที่ได้ฟังก็ให้รู้ว่า สัจจะที่ไม่มี คือไม่มีโลกียรส อัสสาทะ ไม่สุขไม่ทุกข์ นี่แหละคือนิพพาน มันยากมากเลย ที่คนจะไปเดา ทุกวันนี้ อาตมาเห็นใจ คนเรียน โลกุตระวันนี้ เขาก็ได้แต่ว่า ปล่อยวาง แต่ที่จริงเขาเจตนา ลืมทิ้งไป รู้แล้วรีบตัด ไม่ได้ล้างเหตุเลย ว่า รสสุขทุกข์ ได้ล้างเป็นอย่างไร แล้วตัวเหตุ คืออย่างไร ได้ล้างเหตุ จนจิต ไม่มีอาการ คือเจโตวิมุติ จนมีปัญญา สำทับเห็นเลยว่า จริงที่สุด แล้วจบเป็น อุภโตภาควิมุติ จบเลย ถึงสองอย่างนี้ครบ ก็จบกิจ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)
เด็กฟังเข้าใจไหม?... ใครมีสิ่งที่มันหมด อย่างนี้บ้าง ...ยังไม่มีเลย ... ใครสัมผัส สิ่งที่เคยติด เคยสุขทุกข์มาก่อน แต่ตอนนี้สัมผัสแล้ว ก็ไม่เกิดสุขทุกข์ ไม่เจอ ก็ไม่นึกถึงเลย ใครมีอย่างนี้แล้วบ้าง ผู้ใหญ่ ... มีคนยกมาก อาตมาถือว่า เป็นผลสำเร็จ เป็นวิมุตินิพพานของกาม แล้วเป็นแต่เพียง พวกคุณ จะดับอนุสัยอาสวะ ได้อย่างไร ก็แล้วแต่ เหลือความจริง ของใครของมัน ที่จะตัดสินว่า เที่ยงแท้ถาวร ต้องตรวจด้วย อรูปฌาน ๔ จนถึง สัญญาเวทยิตนิโรธ ตรวจเวทนา ๓ กาละ ทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ว่าเป็นเนกขัมมสิตอุเบกขา แล้วหรือยัง บางอย่าง ก็จำความอร่อย ไม่ได้แล้ว อื่นๆ ที่เป็นรสของลิ้น ของอาหารนี่ง่ายกว่า กวฬีการาหาร ที่จำยาก ส่วนรูป เสียง กลิ่น รส สัมผัสนี้หายได้ง่ายกว่ามาก อันนี้เคยสวย แต่เดี๋ยวนี้ มันหายไปจริงๆ จนคุณตรวจสอบ ได้เลยว่า แต่ก่อน เราติดสีแดง มันรู้สึกขาดไม่ได้ ติดใจ ชื่นอารมณ์ชื่นใจ แต่เดี๋ยวนี้ สัมผัสสีแดง แล้วนึกไม่ออก ว่าเราเคยชื่นใจ อย่างไร เสียงก็ตาม เราเคยชื่นใจ แต่ฟังเสียงเดิม เดี๋ยวนี้ ไม่เกิดรสเช่นนั้น อีกเลย สัมผัสกระทบอยู่ อย่างเคยมี เคยเป็น แต่ไม่มีรส ไม่มีกามรส อัสสาทะ นี่คือ สัจจะของนิโรธ นิพพาน หรือความดับ ความหลุดพ้น ที่ชาวโลกเขาติด แม้แต่ก่อน เราก็เป็น อย่างชาวโลก แต่เดี๋ยวนี้ เราวิมุติ หลุดพ้นได้จริง
ในเรื่องเงินทองทรัพย์สิน ก็เช่นกัน แต่ก่อนชื่นใจจริง จะได้ทรัพย์ เครื่องอุปโภค บริโภค แต่ก่อน มีรสสุข มีกาม ใคร่อยากได้โลกียรส ได้ข้าวของ ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็นัยเดียวกัน เกิดอาการชื่นใจ ชอบใจ แต่ก่อน มีอาการนี้ แต่เดี๋ยวนี้ บางเบา หรือไม่มีรสนั้น แม้ได้แก้วแหวน เงินทอง ที่เคยติด ได้สิ่งที่เคยติด หลายอย่าง เป็นสิ่งที่ ไม่น่าชอบใจเลย
อ.สอนปริญญาโท สอนศิลปากร เขามาคุยฟุ้งว่า เขาไปได้เสลดของ เกจิอาจารย์ พระดังถิ่นอีสานมา ไปได้เสลดมา แล้วก็ใส่ผ้า ที่ซับเสลดไว้ อาตมาก็พูด แรงไปหน่อยว่า ทำไม คุณโง่ดักดาน เช่นนั้น เขาโกรธอาตมา ทันทีเลย เห็นๆ เขาเล่าทีหลัง ก็มันของเขาทิ้งเสลดแล้ว ไปเก็บมาบูชา ได้อย่างไร การจะยึด เงินทองอะไร ก็ว่าไป แต่นี่ยึดเสลด ที่เขาทิ้งไป บางคนก็ยึดดอกไม้แห้ง ที่เธอให้ไว้ สำคัญมาก เหมือนเสลดของอาจารย์ ที่เขายึดถือ มันเป็นจริงเป็นจังเลย อาตมาก็เคย ของแฟนคนแรก มันเหมือนจริงจังเลย สำคัญไปหมด ได้มาก็มีความหมาย เป็นเครื่องหมาย ที่เรารู้กัน ทั้งที่ไม่มีค่าราคา แต่มันมีค่า สำหรับเรายึดถือ คนเราสมมุติ ตั้งเป้า สัญญา ยนิจจานิเอง เที่ยงแท้เอง ยึดเอง ใครเห็นความโง่ บ้า ของตนไหม.? .... ยกมือกันหลายคนเลย
คนเราติดยึดเช่นนี้ ทั้งนั้น เพชรแก้ว แหวนเงินทอง ทางโลก เราก็เอามาเปลี่ยน เป็นเงินไปซื้อ สิ่งจำเป็น สิ่งที่ไม่จำเป็น เราก็ไปสมมุติ ยึดว่าสำคัญ เช่นทองคำ เขายึดกันว่า มีค่า เราก็เอามาใช้ จริงๆเราไม่ได้ติด ทองคำเลย แต่เราไปติด ค่าของมัน บางอย่างของเล็กน้อย ขนาดน้อย แต่ราคา แพงกว่าทองคำก็มี มันขี้เหร่ด้วย แต่คนเราเห็นว่า ทองคำมีค่าสูง ถ้าเห็นตกก็เก็บ แต่บางอย่างตกอยู่ ก็ไม่เก็บ เหมือนกับ สมบัติอโศก บางอย่าง แพงกว่าทอง แต่ไม่เก็บ ทองตกก็เก็บ บางอย่าง ราคาแพงกว่า ธนบัตรอีก แต่ไม่เก็บ แต่ถ้าเจอธนบัตร เรากลับเก็บ เห็นไหม ว่าความโง่ของคน มีกี่ชั้น
มาดูที่ฝรั่ง เขาก็มาหลงสมมุติของไทย เป็นชาตินิยม เขาเห็นว่า อันนี้น่าอนุรักษ์ ของฝรั่งเขาก็มี แต่เขาเห็นว่า คนไทยทำไม ไม่รักชาติตน ไม่เป็นชาตินิยม โลกทั้งโลก เขาก็ว่าน่าจะยึดถือ อย่างชาติแต่ละชาติ ก็มีวัฒนธรรม ไม่ว่าอาหาร บ้านเรือน เครื่องใช้ เครื่องเล่น ที่เราคิดเอง สร้างเอง ยิ่งคิดสร้างเอง ยิ่งเป็นเลือดเนื้อเราเลย แม้ไม่คิดเอง แต่ได้ยึดถือ ได้ปรับปรุงมานาน ผสมผสานมา แต่เรายึด เป็นของเราแล้ว ยึดแล้วเราได้อาศัยใช้สอย เป็นประโยชน์คุณค่า จะเป็นอุปโภค บริโภคก็ตาม หรือยาไทย ก็ได้อาศัยใช้สอย อาหารกับยา คือบริโภค ส่วนเครื่องนุ่งห่ม คืออุปโภค เราใช้มาตั้งแต่ ปู่ย่าตายาย มันน่าจะมีเลือด ชาตินิยมบ้าง
ฝรั่งมาเห็นก็มี ได้เทียบเคียงได้ว่า อย่างนี้แบบไทยๆ จะเป็นวัฒนธรรม ศิลปะก็มีของเราเหลืออยู่ ฝรั่งก็เอาเรื่องง่าย เช่นผม หน้าตา เครื่องแต่งกาย ก็ของคนไทย มองโกเลี่ยน อีสานก็ดังแหมบ อย่างนี้ไม่จมูกโด่ง ก็น่าภูมิใจ ว่าสวยอย่างนี้ละวะ ได้จมูกโด่งน่าเกลียดนะ ดีไม่ดี ดั้งหักเ หมือนชิมแปนซี แล้วจะไปติด อย่างฝรั่งทำไม ต้องเสียเวลา แรงงาน หรือทุนรอน เจ็บตัวด้วย มันไม่มีเลือด แห่งวัฒนธรรม ชาตินิยมเอาเลย ไปเสียเวลา ทุนรอน แรงงานทำไม
ความมีประโยชน์ คุณค่าของคน ไม่ได้อยู่ที่ รูปลักษณ์เลย ไม่ต้องเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน อาตมาถึงบอกว่า เอาสิ่งที่สูญเสียคืนมา ถ้าเอาคืนมาได้ จะได้มา มหาศาลเลย ยิ่งสังคมไฮโซ ยิ่งมากเลย คนจนไม่มีตังค์ ไปบ้า อย่างเขา ก็เลยไม่ทำ แต่ถ้าทำได้ อาจบ้ากว่าเขาอีก การแก้เศรษฐศาสตร์ ต้องแก้สัจธรรมพวกนี้ แล้วเราจะได้ มีเวลา ทุน แรงงาน ไปทำประโยชน์แก่ชาติ
อโศกเรา ไม่ได้ไปเสีย อย่างเขา เราจึงเป็น คนจนที่รวย แม้เราหาไม่ได้มาก ก็ตาม คือเรามีผลผลิต แล้วทำให้มาก เหลือก็แจกจ่าย แม้ขาย ก็ขายให้ขาดทุน ไม่เอาเปรียบ ให้เสียสละ ชาวอโศก มันไม่มีวันรวยหรอก แม้ไม่รวย แต่คนข้างนอก เขาไม่เข้าใจว่าอโศกมาจน เขามาถึงอโศกด้วยซ้ำไป
อบายมุข ถ้าแก้ปัญา เศรษฐกิจประเทศ ต้องแก้ที่ อบายมุข ต้องเอาออกไป ให้หมดเลย สนช. ออกกฎหมายเลย ที่เป็นอบายมุข เขาอนุโลมกัน เยอะเลย ตอนนี้มีข่าว โรงฟิตเนส เขาเอาจำบ๊ะ ค้ากามมาด้วย เขาแก้ตัวเป็นไฟเลย ถ้าปราบกันไป ถ้าบ้านเมืองไม่มี อบายมุข จะเป็นอย่างไร ให้แข็งใจทำ ไม่ให้คนมีอาชีพเช่นนี้ ทำจริง เหมือนต่างประเทศ เขาเอาจริง ตัดแขนขา หรือแขวนคอเลย มันไม่ใช่เรื่องเป็น เรื่องตาย เอาจริงเอาจังเลย แล้วไม่ต้องกลัวเลยว่า คนจะไม่นับถือ อย่างศาสนาอิสลาม เขาทำ ก็ไม่เห็นเป็นไร ใครละเมิดก็มี แต่เขาก็อยู่ได้
ศาสนาพุทธ ไม่มีลักษณะบังคับ ก็จริง แต่ว่าสิ่งที่เป็นความเสื่อม น่าจะขันชะเนาะนะ แม้ฝรั่ง เขาก็มาประท้วง คนที่ได้ยิน น่าจะสำนึก ขอบคุณฝรั่งเขา ถ้าใครรู้สึก สำนึกได้ ก็เป็นทั้งประโยชน์ตน และประเทศชาติ
การไม่มีภูมิปัญญา สมรรถนะ แล้วแก้ปัญหาเศรษฐกิจ ด้วยอบายมุข เอาบันเทิง มาชูเชิด ต้องอาศัยเขา แสดงถึง ความอ่อนด้อย ของผู้บริหาร ที่ดูแลสังคม แล้วไม่เข้าใจว่าอบายมุขคืออะไร ง่ายก็การพนัน บันเทิงการละเล่น ที่ไม่มีสาระ แล้วไปหลง ในรสชาติ มันส์ อร่อย ที่เป็นนรกปหาสะ หรือไปหลงจัดจ้าน ที่จะได้ลาภ ให้ได้ก้อนใหญ่ โกงทีละแสนล้าน หรือล้านๆเลย นั่นแหละ คือยอดอบายมุข แนวคิด กล้าโกงด้านๆ นี่แหละ ยอดอภิมหา อบายมุข ถ้าอย่างนี้ไม่เข้าใจ ว่าเป็นสิ่งที่ต้องปิดกั้น ต้องต้านเลย ถ้าอย่างนี้ ไม่เข้าใจ ก็จะไปบริหารสังคม ได้อย่างไร ที่มีการซื้อยศกัน ก็คือ ยอดมหาอบายมุขแล้วหรือ แย่งตำแหน่งกัน ก็บาปแล้ว นี่ใช้เล่กล ในการได้ยศ มาบำเรอตน นี่อภิมหาอบายมุข หยาบคายมาก ก็ไปใหญ่ บานทะโร่ ด้วยอบายมุข
รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส จัดจ้าน คืออบายมุขทั้งนั้น แต่ไม่เข้าใจ ไปหลงส่งเสริมกันอีก สนุกเพลิดไปอีก การอนุโลม ต้องมีขอบเขต ไม่ให้เกินเลย การจะบริหารบ้านเมือง ให้สงบสุข ด้วยสัจจธรรม ถ้าเข้าใจเรื่องอบายมุข ก็ยาก
อาตมาเผยแพร่ ให้คนเลิกอบายมุข ได้ไม่กี่อย่าง เขาเลิกเหล้ายา เที่ยงแต่ เลิกรสจัดได้บ้าง ให้จิตใจเข้มแข็งได้บ้าง แค่เลิกอบายมุขแค่นี้ ชีวิตก็ผาสุกแล้ว พวกเราก็สืบสานช่วยต่อเถอะ
ทำความเข้าใจกับ อบายมุข ให้ได้ แล้วจะแข็งแรง ปฏิรูปเรื่อง อบายมุเลย จะออกกฎหมายอย่างไร ก็แล้วแต่ แต่ทุกวันนี้ อ่อนแอกัน ลูบหน้าปะจมูก กันไป นี่ก็เริ่มทำได้แล้ว เอาตำรวจใหญ่ลงได้ ดีเลย เอาอย่างอื่นอีก อย่าทำลูบหน้า ปะจมูกกันนัก หากทำได้สังคมไทย กระเตื้อง แล้วที่สำคัญคือ หันมาศึกษาโลกุตรธรรม ให้สัมมาทิฏฐิ ช่วยประเทศ ได้จริงๆ
อาตมานี่พูดไปแล้ว เดี๋ยวจะหาว่า มาหาเสียงให้ตน แต่ไม่หรอก ...คืออาตมา พาทำนี่ มันช้า เพราะหลายเหตุปัจจัย มีอจินไตยด้วย อาตมาไม่ได้ท้อถอยเลย มันจะช้า จะยากอย่างไร ก็เข้าใจ เพราะมีเหตุปัจจัย ในสังคมโลก และ วิบากอาตมาด้วย ก็ไม่ได้งง ไม่ท้อแท้ แล้วเห็นว่า ในไทยก็มี อัตราก้าวหน้าได้ ใครมีดวงตา ปัญญา ปฎิภาณ ที่จะดูความจริง ที่อาตมาพาทำนี่ มันกอบกู้เศรษฐกิจได้ ทำให้สังคม อยู่เย็นเป็นสุขได้ การเมืองก็ทำประโยชน์ แก่บ้านเมืองจริง เราเห็นว่าภาครัฐ ภาคบริหาร เรายังเป็นไม่ได้ แม้เราจะมีปัญญา ความรู้เข้าใจ เชิงโลกุตระ ที่จะทำให้สังคมดี แต่เหตุปัจจัยองค์ประกอบ เราไม่พร้อม เราไม่ฝันไม่หวังเลยว่า เราจะไปทำงาน ภาครัฐ แต่เราทำงานการเมือง ภาคประชาชน การเมือง คือการช่วยสังคม อย่าไปแยกว่า การสงเคราะห์ การเมืองไม่ใช่งาน สังคมสงเคราะห์ ไม่ถูก แต่การเมือง คือการสงเคราะห์ประชาชนเลย แต่ทุกวันนี้ การสงเคราะห์ กลายเป็นเรื่อง ปลีกย่อย แต่การเมือง เอาจริงเอาจัง การเมืองนี่ เป็นการสงเคราะห์ที่จริง ไม่ใช่งานอดิเรก การเมืองที่แท้ คือการช่วยเหลือสังคม อย่างไม่ได้หวัง เอาอะไรตอบแทน เข้าใจให้ได้ ว่าประชาธิปไตย ภาคประชาชน คืออย่างไร จนไปเข้าใจว่า การเมืองต้องในรัฐสภา ไม่อยู่ในรัฐสภา ไม่ใช่การเมือง ใครจะเข้าใจเช่นนั้น ก็เชิญ แต่อาตมา เข้าใจว่า การเมืองอย่างนี้ คือการเมืองแท้ แต่การเมืองในรัฐสภา คือการเมืองแฝง
ต่อไปเป็นการตอบประเด็น คำถาม
-น้องโมกข์... ทำไมพระพุทธเจ้า จึงไม่ประสูติ ในเวลาที่คนดีเยอะเกิน หรือน้อยเกิน?
ตอบ.... เพราะถ้าพระพุทธเจ้าเกิด ถ้าคนดีมากเกิน หรือคนชั่วมากเกิน เพราะถ้าพระพุทธเจ้า เกิดมาในยุคแบบนั้น มันเสียของ เสียของหมายความว่า ไม่คุ้มกับของดีที่พระพุทธเจ้ามี ถ้าคนดีมาก ก็ไม่ต้อง ทำอะไรเลย งานไม่มากพอมือ พระพุทธเจ้า หรือคนชั่วมาก ถ้าพระพุทธเจ้าเกิดมา คนชั่วนี่ทำชั่วได้ แล้วพระพุทธเจ้า จะต้องหนัก เสียสภาพ เพราะการทำงานกับคนชั่ว ต้องอนุโลมชั่ว ไปกับเขาด้วย อันนี้หลวงปู่ ซาบซึ้ง ลดความสวยงาม สะอาดลงไป ทั้งเศรษฐกิจ วัฒนธรรม สมณสารูป
-สังเกตมานาน ว่าเพื่อนๆผม ที่จะมีความรัก เขาดูที่หน้าตา แล้วอยู่ได้ไม่นาน ก็เปลี่ยนคน แล้วก็เมื่อไหร่ เพื่อนๆผม ถึงเลิกมีความรัก
ตอบ... เมื่อเขามีปัญญาจริงๆ ๑.ปัญญาเขาเชื่อ เชื่อหลวงปู่ หรือผู้ใหญ่ที่ควรเชื่อ มาแนะนำ (อันนี้ยังไม่เต็มดี ต้องทนฝืน กดข่ม ๒.มีปัญญาของตนเอง เห็นว่าเรื่องนี้ ควรเลิก ไม่จริง มีแฟนนี่ มันเป็นของหลอก ที่ถามว่า เลิกเมื่อไหร่ ก็คือเมื่อมีปัญญา เห็นจริงด้วยตนเอง
-เวลาหนูถูกเพื่อนๆว่า แล้วหนูอยากตอบ แล้วหนูไม่ตอบเขา เรียกว่า การทำใจในใจไหม?
ตอบ... ดีมากเก่งมาก ถูกต้อง เวลาถูกเพื่อนว่า แล้วหนูไม่ตอบกลับ แล้วฟังว่า เขาพูดอย่างไร? นี่เป็นการทำใจในใจ ได้ดี
-วิบากคือผลของ สิ่งที่ได้ทำไปแล้ว อย่างคนที่ เขาไม่ชอบใจงู ไม่ว่าจะงู ชนิดไหน เขาเกลียดหมด เขาก็ไปสมมุติ ยึดติดอันนี้ อาตมาคิดอื่นไม่ได้เลย ว่าเป็นสิ่งที่ติดมา แต่ชาติก่อน สั่งสมอุปาทานติดยึด แล้วเขาต้องฆ่า ให้ตายด้วย
-ฟังหลวงปู่เทศน์ ให้เด็กๆฟัง