580116
อิตถีภาวะและปุริสาภาวะคืออย่างไร

ในตัวก็มีทั้งแบบ พ่อและแม่ ซ้อนกันอยู่ มีลีลาเคลื่อนไหว เป็นภาวะ

ภาวะอย่างแม่ เรียกอิตถีภาวะ ภาวะแบบพ่อ เรียกปุริสภาวะ เรียกว่า ภาวรูป ๒ อยู่ใน อุปาทายรูป ๒๔ (ในรูป ๒๘)

ภาวรูป ๒ มีอิตถีภาวะ คือเพศที่ทำการเกิดไม่สงบ ยังดิ้น กับเพศที่เป็นเอก เป็นปุริสภาวะ มีอินทรีย์ มีกำลังอย่าง potential energy ผู้หญิงเดี๋ยวนี้ หลงโชว์กันมาก ต้องไม่ทำความบกพร่อง คือ อิตถีภาวะ ให้ทำให้เป็น ปุริสภาวะ

ภาวรูป คือสิ่งที่ปรากฏ เป็นความจริงต้องครบ ทั้งมหาภูตรูป ทั้งประสาทของเรา มีวิญญาณเข้าร่วมรู้ เป็นภาวรูป ก็มีลักษณะอาการ อิตถัตตา และ ปุริสัตตา แล้วในอัตตะนั้น มีพลังงานเป็น อิตถินทรีย์ ถ้าทำได้เป็นเอก ก็เป็นปุริสสินทรีย์ เป็นปุงลิงค์ เป็นเอกบุรุษ แต่ถ้าทำยังไม่ได้ ก็ไม่สำเร็จ แม้ร่างเป็นชายแต่จิตคุณเป็น อิตถีลิงค์ มีอิตถินทรีย์ ก็ต้องรู้ชีวิตรูปเหล่านี้ รู้อินทรีย์ ความเป็นชีวิตของมัน เราก็อ่านพลังงาน ว่ามันมีกำลัง เท่าไหร่ เป็นชีวิตสัตว์นรก สัตว์เทวดา จนทำให้เป็น อุบัติเทพ วิสุทธิเทพได้ ต้องอ่านของตนเอง จับให้มั่น แล้วรู้พลัง รู้อินทรีย์

ว่ามันมีชีวิต มันยังไม่ตายสนิท มีอินทรีย์มีกำลังอยู่ เป็นสัตว์นรก เปรต อสุรกาย ก็รู้เหลืออาสวะ ก็รู้ว่า มันเหลือน้อย เบาแล้ว ต้องรู้ว่า เกิดตัวไหน? รู้ให้ได้ชีวิตินทรีย์ของมัน แล้วดับความเป็นชีวิต ของเปรต นรก อสุรกาย ให้เกลี้ยง โดยเฉพาะ สัตตาวาส ๙ ถ้ารูปก็คือ แค่นี้ในกาม แล้วก็เป็นในจิต เป็นรูปจิต อรูปจิต กำจัดไป ตามลำดับ จึงรู้จักชีวิตินทรีย์ ถ้าดิ้นมากก็เป็น อิตถินทรีย์ แต่ถ้าคุณมี อำนาจเหนือมัน มันไม่ดิ้นแล้ว ก็เป็นเอกบุรุษ เป็นปุริสินทรีย์

ความจริงคือ ต้องมีองค์ประกอบของ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ครบ แล้วเรียนรู้ รูป ๒๘ ปฏิบัติถึง ทำรูปทั้งหลาย ที่เป็นชีวิตินทรีย์ ที่เป็นเหตุ เป็นสัตว์ที่ไม่พ้นสังโยชน์ ก็ฆ่าชีวิตของสัตว์โลกีย์ เป็นโอปปาติกสัตว์ สัตว์ทาง จิตวิญญาณ สัมผัสแล้วมี ปสาทรูป โคจรรูป มีอาการรูป เป็นอิตถีภาวะ ที่เป็นส่วนกิเลส ที่ไม่หมด ก็ล้างเหตุแห่ง อิตถีภาวะ ไปเป็นรอบๆ เรื่องๆ ก็ได้ปุริสภาวะ เป็นรอบๆเรื่องๆ สุดท้ายก็ได้เป็น สัปปบุรุษ หรือสัตบุรุษ ก็คือ เอกบุรุษสุดท้าย ซึ่งไม่ใช่เพศหญิงชาย แบบร่างรูป แต่เป็นภาวรูป ๒ ที่เรียนรู้ได้

กิริยาอาการจิต ที่ดิ้นไปดิ้นมา เหมือนผู้หญิง เดี๋ยวชอบ เดี๋ยวไม่ชอบ นี่แหละคือ จิตใจที่เป็น อิตถัตตะ ถ้ามีอิตถินทรีย์มาก ก็ดิ้นดุ๊กดิ๊กมาก เราต้องทำ ให้หมดอาการ อิตถินทรีย์ มาเป็น ปุริสสินทรีย์ แม้กามคุณ โลกธรรม วัตถุ ก็เป็นเพียงสิ่งอาศัย เราสัมผัสแล้ว เราไปสร้าง อารมณ์บ้าของตน สุข ทุกข์ นี่แหละคืออวิชชา คือตัวโง่ ทุกคนเคยเป็น คุณต้องกำหนดหมาย นิมิตว่า อย่างนี้คือสุข ทุกข์ คือกิเลส ราคะ โทสะ ว่าอาการ มันต่างกันอย่างไร โทสะ ต่างกับราคะ สุขกับทุกข์ ก็คนละตระกูล ก็ทำเครื่องหมายอาการนามธรรม นั้นด้วยตนเอง

อาการทางปุริสภาวะ และอิตถีภาวะ จะมีแรง ทำให้เกิดการเป็น ทั้งสองอย่างนี้ ทิ้งไม่ได้ ต้องมีความเข้าใจ ให้สามารถรู้ อาการ กิริยา องค์ประกอบ ว่าแบบนี้ คือเพศแม่ หรือเพศพ่อ ประเทศอื่น เขาก็มีการแบ่ง เป็นสากล แต่ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง แม้ในสังคมไทย ก็มีลักษณะสองอย่าง ทำให้เกิด

ทุกวันนี้ อิตถีภาวะ มันมีมาก อิตถีภาวะ คือสภาวะไม่แข็งแรง แต่ปุริสภาวะ มีสภาพแข็งแรง

คุณธรรมที่ไม่แข็งแรง คืออิตถีภาวะ ประเทศไทยมีมาก  ทำให้โคตรโกง โกงทั้งโคตร เขาไม่ได้สร้างเฉพาะ โคตรพ่อ โคตรแม่เขา เท่านั้น มันไปเอาคนอื่น นักวิชาการ นักธุรกิจ มาเป็นโคตรโกง ร่วมกันด้วย มันเลว สะบัดช่อเลย

เราต้องมาทำ โคตรอีกแบบ เป็นโคตรของ สมณโคดม มีแล้ว อาตมาก็มาร่วม สืบสานต่อ ในชาวอโศกที่พาทำมา สี่สิบกว่าปี มีคุณสมบัติ ทั้งแม่และพ่อ อันที่นำ เราเรียกว่าพ่อ อันที่ช่วยกันเจี๊ยวจ้าว ฮือฮา นี่ลักษณะ อิตถีภาวะ แต่ลักษณะนิ่งๆแก่นๆ คำเดียวพั๊วเลย นี่คือลักษณะพ่อ ในอโศกมีทั้ง ลักษณะพ่อและแม่ ช่วยทำให้เกิด จิตวิญญาณ

สรุปว่า จริตมันมีสอง แม้รู้ว่าตนเอง เป็นจริตอะไร ก็อย่าดูถูก ปัญญานั้น ดูเหมือนเหนือกว่า เจโต แต่ที่จริง เจโตนั้น เป็นตัวจบ ในลักษณะอิตถัตตะ และปุริสัตตะ มันสลับกันอยู่ว่า ใครให้ใครแพ้ หรือชนะ แต่สุดท้าย ต้องให้ผู้ถูกชนะ แต่สุดท้าย ก็ไม่มีตัวตน ต้องทำให้เขา จนที่สุด ยังไงเขาก็รู้ว่า เราเอง เราถูกแต่เรายอม แต่ถ้าสุดท้าย เขายอมรับ เข้าใจว่าเราถูก เขาผิด อาตมาว่า อาตมาทำอยู่แล้ว ได้ผล แต่เขามีอัตตาซ้อน ว่าเอ็งถูก ก็ไม่เปิดเผยหรอก ขอให้ข้าตายก่อน เราต้องใช้ สัปปุริสธรรม และ มหาปเทส (ใช้ปัญญาตน) พระพุทธเจ้าว่า สิ่งใดที่ พระพุทธเจ้า ไม่ได้ตรัสไว้ ก็ประมาณเอาเอง ก็ใช้ สัปปุริสธรรม ๗ ต้องประมาณ ด้วยไม่ประมาท เช่นว่าใน ๑๐๐ คุณต้อง อย่าเอาเต็มร้อย ต้องเอาลดลงไว้ เสมอ แต่ถ้าคุณเอาเกินร้อย ก็เสียแรง การเอาไม่เต็มร้อย คือการยอม การเสียสละ