580203_สรรค่าสร้างคน(๒๔) ว.นบ. 
คนจะมาเอาระบบบุญนิยมเพราะอะไร

พ่อครูว่า... วันนี้ ๓ ก.พ. ๒๕๕๘ จะมาพูดกันเรื่อง สรรค่าสร้างคน เราได้ตั้งวิชาเรียน สรรค่าสร้างคน เขามีการรวบรวม ที่อาตมาได้เทศน์ไว้ เป็นหลักเกณฑ์ไว้ ก็มีความจริงอยู่เยอะ คือ สิ่งจริง เป็นจริง มีจริงในสังคม เกิดขึ้นอยู่ ที่เขาว่าการโกง ทุจริต วุ่นวาย ทุกข์ สุขโลกีย์ ก็มีอยู่ แล้วถามว่า สุขโลกุตระมีไหม? แล้วต่างกับ สุขโลกีย์อย่างไร อาตมาว่า สรรค่าสร้างคน จะสร้างคน ให้มีสุขโลกุตระ เพราะสุขโลกียะ นั้นไม่มีจริง เป็นสุขเท็จ แต่ก็รู้ได้ยากว่าเป็นเท็จ เพราะต้องมี ปัญญาญาณที่เข้าใจ

จิต เจตสิกของตนเอง อันนี้เป็นหลัก ถ้านักปฏิบัติธรรมต่างๆ พอจะเรียนรู้ไปนิพพาน แล้วนิพพานคือ การดับความทุกข์ แต่อาตมาว่า ท่านไม่เข้าใจว่า ความทุกข์ สุข นั้น แบบสามัญโลกีย์ กับ ทุกข์อาริยสัจ นั้นต่างกัน

ทุกข์โลกีย์คือไม่มีลาภ ยศ สรรเสริญ กามารมณ์ ไม่ได้เสพสมอัตตา แต่พอได้เสพสมใจ ให้แก่ตนเอง เขาก็สุข ไม่ได้ก็ทุกข์ หรือเฉยๆว่างๆ เพราะพักยก อย่างนี้ ก็รู้กันทั่วไป พระพุทธเจ้า ก็สอนเรื่องนี้ แต่สอนขั้นสูงกว่านี้ คือหมดทั้งสุข ทุกข์โลกีย์ นั่นคือ ทุกข์อาริยสัจะ และ ทุกข์อาริยสัจเท่านั้น ที่มี แต่ไม่มีสุขอาริยสัจะ แต่ท่านมีสุข ที่ยิ่งกว่าสุข ที่แปลว่า ยิ่งกว่าสุข แต่เขาแปลกันว่า สุขอย่างยิ่ง ก็เลยไปกันใหญ่ หลงทิศทางกันไปใหญ่ มันไม่ใช่ มันกลับเป็น ความไม่มีสุขโลกียะ ต่างหาก แต่พระพุทธเจ้า รู้ว่าไม่ง่าย ก็เลยมีลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายให้

ทางนักปฏิบัติสายเทวนิยม เขาก็มีทฤษฎีปฏิบัติ เพื่อจะไม่หลงโลกีย์ เพราะว่าการได้ โลกียสุข โลกธรรม นั้นไม่ดี เขาก็พอรู้ แล้วหาวิธีการ ทฤษฎีที่พาพ้น สุขทุกข์ อย่างนี้ แต่เขาไม่ชัดหรอกว่า สุข ทุกข์โลกีย์ มันสองขั้ว ของอารมณ์เท่านั้น พระพุทธเจ้า ท่านสูงกว่านั้น ที่เข้าใจสภาพ อารมณ์เวทนา ว่าเป็นความปลอม ปั้นเอาสร้างเอา ตามกิเลส ตัณหา อุปาทาน หากยึดอยู่ก็ได้ทุกข์ ตลอดกาลนาน อยู่ในอนุสัยไปอีก หยาบ กลาง ละเอียด อยู่ในนั้นจริงๆ

เมื่อกี้นี้ เห็นที่ประดับฉากอยู่ นี่คือ ต้นคะน้า นะ ไม่ใช่ต้นกระดาษ นะ ที่อาตมาต้องอุทาน เพราะเป็นอาหาร ที่มนุษย์ต้องอาศัย แล้วอาหารนี่ เป็นหนึ่งในโลก พวกเราต้องพยายาม ผลิตอาหารเลี้ยงตน ให้รอด ไม่ต้องพึ่งคนอื่น ให้ได้ เศรษฐกิจโลก จะปั่นป่วนอย่างไร เราก็มีอยู่มีกินได้ อันอื่นเป็นรองนะ อาหารเป็นหนึ่งในโลก ก่อนอาตมาจะตาย ให้พวกเรามี จนแจกจ่าย เลี้ยงดูคนอื่นได้ ถ้าเรามาปฏิบัติธรรม แบบพระพุทธเจ้า แล้วจะรู้ว่า ความหลงเป็นสุข จะต้องมีลาภ วัตถุสมบัติ ทรัพย์ศฤงคาร ได้มาแล้วสุข ก็มีสามัญสำนึก เข้าใจทุกคน ตกในสภาพนี้ ทั้งนั้น มากหรือน้อย ก็แล้วแต่ บางคน ต้องการมากจนต้องทำ ทุจริตอกุศล ฆ่าแกงกัน สารพัด หลงมันว่า จะต้องมี ทั้งที่มันสำคัญ น้อยกว่าอาหาร ในปัจจัย ๔ นี่ อาหารเป็นปัจจัย สำคัญสุด

ถ้าเราศึกษาจิตเรา ว่าไปมีกิเลส หลงใหล อยากได้ อยากมี อยากเป็น แต่พระพุทธเจ้า มีวิธีให้เราล้างกิเลสได้จริงๆ เท่าที่อาตมา พาทำมานี่ ก็มีผล ไม่นานก็มีคนเข้าใจ มาลดละเลิก จนมารวมตัวกัน เป็นหมู่กลุ่ม อาตมา ไม่เคยคาดคิดนะ ตั้งแต่เริ่มทำงานมา เพราะอาตมา เห็นโลกแห่ง วงการศาสนาพุทธ ที่เขาจะต้อง ทำงานแล้ว สอนแล้ว สร้างคนเสร็จแล้ว จนคนจะต้อง ละเลิกจากโลกีย์ ออกมารวมตัว จับกลุ่มเป็นชุมชน กลุ่มคนมีวัฒนธรรม ระเบียบแบบแผน อย่างชาวอโศกนี่ ไม่ได้คาดคิดว่า จะได้นะ แม้สมัยพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้ทำ ในฆราวาส แต่ท่านทำ ในวงสงฆ์ มีสาธารณโภคี นานมาจนป่านนี้ กว่า ๔๐ ปี ลึกๆอาตมาทึ่ง เพราะยุคพระพุทธเจ้า ก็ไม่ได้เป็นถึง ในฆราวาส แล้วซ้อนคือ โลกยุคนี้ กิเลสมันมาก เห็นแก่ตัวจัด หลงโลกีย์หนัก แต่มันยังทำได้เป็นได้ เอหิปัสสิโก สันทิฏฐิโก โอปนยิโก จนต้องแต่งเพลงทึ่ง ทึ่งตะลึงซาบซึ้งจับใจ ดูไฉนเขาก็คน เช่นเราทุกอย่าง... แล้วมาเป็นเช่นนี้ได้ คนเหมือนกัน แต่ไม่เป็นเหมือนเขา จนเขาหาว่า เราบ้าบอ เขาก็ต้องว่า อาตมาทึ่ง ธรรมะพระพุทธเจ้า มีประสิทธิภาพ ที่เป็นได้ อกาลิโกได้ ไม่จำกัดกาล คนออกมาได้ขนาดนี้

อาตมาพูดพาดพิงถึง แม้ในวงสงฆ์ เขาก็สอนมา เป็นร้อยเป็นพันปี ก็ไม่ได้เกิด หมู่กลุ่มสังคม แบบเรานะ สังคมข้างนอกเขามอง ไม่เชื่อหรอกว่า เราจะเป็นได้ อย่างมั่นคง ถาวรยั่งยืนได้ เขาก็ว่า ก็คงทำได้เท่ๆ ระยะหนึ่ง อย่างน้อย ก็ในตอนที่ อาตมาอยู่ เขาก็หาว่า อาตมามีน้ำมนต์ ให้คนหลงงมงายบ้าบอ มันดูแล้ว ไม่น่าจะเข้าท่าอะไร แต่เมื่อสาธยาย ตามหลักธรรม พระพุทธเจ้าแล้ว มันทวนกระแสโลกจริง เขาไม่เชื่อว่าถาวร แต่อาตมาว่า นี่คือความถาวรยั่งยืนเสถียร อาตมามั่นใจไปอีก สองพันกว่าปีนะ

ถ้าจะเหลือแต่อาตมาคนเดียว อาตมาก็ไม่เปลี่ยนแปลง ความเข้าใจนะ แต่ก็ไม่ร่อยหรอนะ จนอาตมานี่มั่นใจกว่านั้น ตรงที่ คนต้องหันมาเอา ระบบนี้ ในสรรค่าสร้างคน หน้า ๒๑ คนจะหันมาเอา ระบบนี้เพราะอะไร

๑. คนทุกข์กันมากขึ้น สาหัสมากขึ้น เอารัดเอาเปรียบกันมากขึ้น ไม่รู้สึกอบอุ่น ไร้ความไว้วางใจ หวาดระแวงกัน มากขึ้น ทำร้ายกัน รุนแรงยิ่งขึ้น ทุจริตหยาบคาย ยิ่งขึ้น
๒. ทรัพยากรของโลก ร่อยหรอ ขาดแคลน ไม่พอกันจริงๆ
๓.ไม่มีทางอื่นให้เลือก หมายความว่า ทางที่เราทำ แบบที่เราเป็น ตัวอย่าง ที่เราได้แล้ว

อาตมาว่า โลกต้องการ อย่างที่เราเป็นแล้ว แล้วทำทางอื่นทางใด ไม่มีทางได้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าว่าไว้แล้ว ว่า เอเสว มัคโค นัตถัญโญ ไม่มีทางอื่นให้เลือก นอกจากทางนี้อีกแล้ว

๔. มีตัวอย่างของสังคม ที่ไปรอดได้แล้ว จริงๆให้ดู เป็นการยืนยัน แล้วจริงๆ
๕. ระบบบุญนิยม เป็นระบบที่ยั่งยืนจริง พิสูจน์ได้ด้วยกาละ จนคนต้องเชื่อ ในที่สุด อาตมาไม่สามารถพยากรณ์ได้ว่า เมื่อไหร่ เราก็พยายาม สร้างเหตุปัจจัย ให้เป็นองค์ประกอบ เช่นกลุ่มคนนี้ อยู่อย่างเบิกบาน ร่าเริง แจ่มใส ไม่เดือดร้อน ถ้าเรากล้าให้คนมาพิสูจน์ เข้ามาสัมผัส จะเห็นว่า อย่างหยาบ เราไม่เดือดร้อนกับเขา ดูได้ง่าย ข้างนอกเขาเดือดร้อนกัน แย่งชิงกัน มากมาย เขาก็พอรู้ได้ว่า อะไรดีกว่ากัน พิสูจน์ได้ แล้วเหตุปัจจัย ที่คนจะรู้ได้ เราต้องมีมากพอ มีคุณลักษณะต่างๆ ว่าอย่างนี้ถูกต้อง สงบสบาย ไม่เดือดร้อนมากกว่า ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง ความโกรธ ความโลภ

ความโลภ คือ ความต้องการมาให้ตน ทีนี้มันซ้อนที่ว่า คนอย่างพวกเรานี่ มีพฤติกรรมว่า พวกเราทำงาน เหมือนเขา ไม่ขี้เกียจด้วย อาตมาว่า คนข้างนอกเขาเข้าใจ เช่น คนข้างนอกเขาบอก เด็กของเรา กับเด็กของเขานี่ เด็กของเขา มาไล่ทำร้าย เด็กของเรา มันมากวนเด็กเรา คนข้างนอกก็ว่า เด็กที่มากวนเด็กเรา  ว่าจะมาทำชั่วอะไร พวกนี้ เขามาเรียนมาขยัน เป็นคนดี พวกเอ็ง มาทำร้ายเขาทำไม ทำไมชาติชั่ว แรงอย่างนี้ (ว่าเป็นภาษาอีสาน) นี่คือสามัญ ลึกๆเขามองออก ว่าเด็กเรา ขยันทำการงาน

เราไม่ต้องการล่าบริวาร ต้องการให้คนมานับถือ อาตมาไม่มีจิตเช่นนี้ อาตมาทำตามที่ พระพุทธเจ้าว่า พรหมจรรย์นี้ เราไม่ได้ทำเพื่อ ให้คนมานับถือ ให้ได้บริวาร ไม่ทำเพื่อแลก ลาภยศสรรเสริญ หรือไม่ได้ทำเพื่อ ให้คนว่า เราวิเศษเก่งกล้า เรามาทำความจริง ให้ปรากฏ ว่าสิ่งนี้ดีจริง แล้วให้คนตัดสินเอง ว่าดีจริงไหม ถ้าคุณเกิดปัญญา ของคุณเอง อาตมากลัวนะ กลัวว่าแสดงออกไป แบบหว่านล้อม ครอบงำทางความคิด แค่มีการหว่านล้อมนี่ ก็ไม่ดีแล้ว เราไม่ให้มี ลักษณะเช่นนั้น แล้วเราไม่ครอบงำ ความคิด ถ้าเราทำ เราก็ได้คนถูกครอบงำมา อาตมาก็ได้ คนโง่มาสิ อาตมา เอามาทำควายหรือ?

ถ้าคุณเข้าใจเอง เห็นดีเห็นงาม อาตมาก็ไม่ลำบาก แต่ถ้าหลอกมา อาตมาก็ต้องคอยระวัง ว่าคุณจะรู้ความจริง มันเหนื่อยนะ จะไปทำทำไม อาตมาเห็นหลายสำนัก ใช้วิธีหว่านล้อม สารพัด อาตมาสงสารไม่รู้หรือ ว่าคุณต้องเหนื่อย จนตายเลย อาตมาว่า ถ้าให้เขามีปัญญา เต็มใจมาเอง มาแล้วมันก็ง่าย สบาย และที่สำคัญคือ มันเป็นความจริง ซึ่งจริงๆแล้ว มันไม่ง่าย ในสนามแม่เหล็กโลกีย์ มันหยาบ แย่งชิง หลอกลวง ครอบงำ สารพัด มอมเมาให้ติดยึด อีกต่างหาก แล้วคนก็ติดยึดจัดจ้าน เท่าไหร่ไม่รู้ ก็ยังดี มีพวกคุณ มีธุลีในดวงตาน้อย ยังสามารถมองออก เข้าใจเป็นได้มาถึงอย่างนี้ ก็ขอยืนยันว่า อันนี้แหละยั่งยืน มันมีอยู่ว่า ถ้าอาตมาสอนไปแล้ว เข้าใจว่า อันนี้เป็นของจริง แต่มันไม่ใช่ของจริง มันผิด เท่านั้นแหละ ที่พามานี่ อาตมาหลงทำ ด้วยจริงใจ แต่อาตมาก็ตรวจ ตามพระไตรปิฎกดู ส่วนใหญ่ อ่านแล้วยอดเยี่ยม เข้าใจได้ทันที ซึ่งเขาไม่ได้อธิบายกัน เอาแค่มรรค มีองค์ ๘ ท่านสรุปมา เป็นทฤษฎีหลัก หนึ่งเดียว หลักของศาสนาพุทธ สรุปรวมไว้ข้นเข้ม เต็มครบรอบ เช่น

๑.สัมมาทิฏฐิ คำว่าสัมมา เป็นศัพท์เฉพาะของพระพุทธเจ้า หมายความว่า ดีแล้ว ถูกต้องที่สุด พ้นทุกข์ ทุกอย่างไม่เป็นภัยเป็นโทษ ทฤษฎีที่พาให้คน เป็นพระอรหันต์ หมดพิษภัยกับใคร แล้วเป็นคน รับใช้สังคม รับใช้โลก ตลอดตาย แล้วกลับมารับใช้ต่อ แล้วของพระพุทธเจ้านี่ ได้แล้วได้เลย ตั้งแต่โสดาบัน เป็นนิยตนะ ไม่สูญไม่เสื่อม สกิทาฯก็ยิ่งยั่งยืน เป็นอนาคาฯ อรหันต์ ก็ยิ่งไม่มีเปลี่ยน เป็นการ สรรค่าสร้างคน ได้จริง

ตั้งแต่คนเข้ากระแส ก็คือ คนมีปัญญา อ่านจิตได้ แล้วอ่านออกจริง ว่าจิตตัวนี้ คือตัวเหตุ ตัวกิเลสตัวต้นที่เรียกว่า สักกายะ เป็นองค์ประชุมรูปนาม ของสิ่งที่เราสัมพันธ์ เช่นติดการเมือง เป็นสักกายะ เป็นกิเลส มันติดจริงๆ การเมืองมันออกไม่ได้ แล้วการเมืองที่จะเล่น ต้องเล่นแบบนี้ เขาไม่เข้าใจการเมือง ทุกวันนี้ อาศัยคำว่าการเมือง แต่ไม่ใช่เลย มันเป็นเกม เอามาสร้างโลกธรรม ให้แก่ตน เอามาเป็นอาชีพ อย่างเก่งก็แค่ ทำให้ได้ว่า อย่าทุจริตมาก แต่ก็เพื่อให้สร้างฐานะ ให้เจริญงอกงาม เป็นศักดิ์ศรี ไปตลอดชาติ แม้มีปฏิภาณว่า จะมารับใช้ประชาชน แต่ไม่จริงเต็มที่หรอก

โครงสร้างการเมืองไทยนี่ ตอนที่อาตมา อยู่นครปฐม เขาเป็นกำนันบ้านนอก ธรรมดา แต่ต่อมา พยายาม เล่นการเมือง จนเป็นสส. ได้หลายสมัย ชีวิตก็มีฐานะดี มีอำนาจ แค่เป็นสส. ไม่ได้มีชื่อเสียงอะไรเลยนะ แต่มีอาณาจักร กิจการ มีรถสิบล้อ ไม่รู้กี่คัน เป็นร้อยคัน เดิมเป็นกำนัน คือเขาไปเป็นสส. แล้วจะได้เงิน เจ้าของคอก ก็ให้เงินเขา เป็นอาชีพเลวร้ายจริงๆ อันนี้เป็น สักกายะของเขา ถ้าเขารู้ตัวว่าติดยึด ไม่ดี ถ้าเขาเข้าใจนะ อาชีพพวกนี้ยิ่งกว่า ทำนาบนหลังคน เขารวมเงินทอง กลวิธีมาให้ แล้วให้คุณมาทำงาน ได้ทำนาบนหลังคน นี่เป็นอาชีพ บาปมากเลย ถ้าศึกษาธรรมะ รู้ว่าอาชีพบาป ก็เลิก คุณก็อ่านใจตน ตั้งศีล ว่าจะต้องเว้น ต้องเลิกอาชีพนี้ คุณเข้าไปวงวน การเมืองนี้ คุณไปเป็นแกะดำ ในฝูงแกะขาวในนั้น เป็นไม่ได้หรอก

คำว่าการเมือง คือรับใช้ประชาชน อย่างที่อาตมา พาพวกเราทำ นี่เป็นการเมือง ภาคปชช. แต่เขาไม่เข้าใจหรอก เขาว่าการเมือง นอกรัฐสภาไม่มี ปชต.นอกสภา ไม่มีหรอก แล้วประชาธิปไตย ก็เป็นปชช.นะ จะไปอยู่ แต่ในสภาได้อย่างไร? คุณต้องอ่านใจตน ว่าตนเสพติด มีส่วนได้ส่วนมีอย่างไร ก็ต้องล้างออก นี่โลกีย์หยาบนะ อ่านจิตออก มีวิธีลดกิเลสได้ นั่นแหละ คือโลกุตระ

โลกุตระต่างจากโลกียะ คืออ่านจิตตนเองออก มี อนิจจานุปัสสี วิราคานุปัสสี นิโรธานุปัสสี ปฏินิสสัคคานุปัสสี

อนิจจานุปัสสี คือตามรู้ เห็นความไม่เที่ยง กว่าจะได้ก็ยาก จะรักษาก็ยิ่งยาก พูดก็เมื่อยแล้ว แล้วอยู่อย่างนี้ เป็นสุขกว่า ไม่ต้องไปตะเกียกตะกายให้ได้ อยู่อย่างนี้ ก็มีพอแล้ว

เป็นคนกว่าจะเข้าใจ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ถ้ายังเป็นคน หรือจะเป็นคนต่อไป เป็นคนแบบพระพุทธเจ้า สอนนี่ ไม่ต้องไปติดกาม ติดอัตตาไม่ติดกิเลส ได้แล้วได้เลย ไม่ต้องปฏิบัติอีก ถ้าถึงรอบเป็น อรหัตตผลแล้ว ก็จะติดตัว เราไป ถ้าเรายังไม่ปรินิพพาน เป็นปริโยสาน แต่เถรวาทเมืองไทย ถือว่าเป็นอรหันต์ แล้วต้องตายเป็น อุจเฉททิฏฐิ นี่ไม่ได้มรรคผลนะ ศาสนาพุทธในเมืองไทย จึงมีแต่คนหลงเป็นอรหันต์เก๊ แต่ที่ศึกษากันจริงๆ ไม่มีใครกล้า ว่าตนเป็นอาริยะ นอกจาก สายนั่งหลับตา แล้วนึกว่าตนเป็นอรหันต์ แต่ถ้าสายที่ศึกษา ปริยัติพระพุทธเจ้าแล้ว จะไม่กล้าประกาศ แม้แต่เข้าใจว่า เป็นอรหันต์แล้ว ต้องปรินิพพานเลยนะ

กว่าคนจะมาเข้าใจ แล้วได้อย่างนี้ ต้องมีจิตจริง แล้วเป็นมนุษย์ ที่มีประโยชน์ แก่สังคมต่อไป เขาจะว่าโพธิรักษ์ จะทนได้กี่น้ำ หรือว่า แค่โพธิรักษ์ตาย ก็จบ แต่อาตมากลับเห็นว่า จะต้องอยู่ไปอีก สองพันห้าร้อยปีนะ ชีวิตมนุษย์ ไม่มีอะไร สำคัญกว่าอันนี้ เป็นเรื่องที่ เกิดมาเป็นสัตว์ มีจิตนิยาม ตั้งแต่เดรัจฉาน จนเป็นมนุษย์ เป็นเวไนยสัตว์ (โลกียะกับโลกุตระ)

ถ้าตรวจสอบจริงๆนะ อย่างคุณจำลอง ไม่ศึกษาตำราพระพุทธเจ้า แล้วตรวจจิตตน ว่าเป็นอาริยะระดับไหน ถ้าไม่เป็นจริง อยู่ไม่ได้ขนาดนี้หรอก คลุกคลีกับ ลาภยศ สรรเสริญ แต่ตนไม่เลอะเทอะ เผลอไผลไปกับเขา มันมีจิตจริงของตน แต่ไม่ได้ศึกษาว่า พระพุทธเจ้าว่า จิตโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์มีจิตแบบไหน ถ้าศึกษาแล้ว อ่านจิตตน จะรู้ว่าได้ขนาดไหน เผลอๆตนเป็น อรหันต์แล้วก็ไม่รู้ อรหันต์จริง คือคนช่วยโลก

คุณว่าคานธีเป็นอรหันต์ไหม?... เป็น

คนเข้าใจยาก ไปเข้าใจว่า เป็นเรื่องเลอะ พิลึกพิลือ อรหันต์คือ ตัวตลกอะไรไม่รู้เสีย ไม่ใช่เลย อรหันต์คือคนสามัญ ที่อยู่ช่วยโลก ทำคุณงามความดี นี่แหละ ไม่ใช่คนประหลาดอะไร เป็นคนรับใช้สังคม แม้ไม่โด่งไม่ดัง อะไรเลยนะ

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

ดั้นเมฆถามว่า... อุปาทาน มันเริ่มจากตรงไหน? มันเริ่มจากที่เราบำบัดทุกข์ตรงไหน ทุกที่เลี่ยงไม่ได้ เป็นกายิกทุกข์หรือไม่?
ตอบ.. ไม่ใช่สบายใจ มันติด จิตมันเป็นอาการติดอยู่ คนไม่รู้หรอกว่า ตนติด แม้รู้แล้ว จะให้อาการจิตนี้ออกไป แต่มันไม่ออก นี่แหละมันติด ใครอ่านใจตน จะรู้ว่า อ๋อ อย่างนี้ ตนยังยึด ยังชอบอยู่ เรารู้แล้วว่าอันนี้เป็นการติดอยู่ แล้วที่ถามว่า กายิกทุกข์ คนก็มักเข้าใจว่า เป็นทุกข์ทางร่างเนื้อ นั่นไม่ใช่ กายิกทุกข์เลย แต่กายคือ องค์ประชุมของรูปนาม ที่มีการกระทบสัมผัส แล้วเกิดสุขทุกข์ นี่คือ กายยิกทุกข์ ไม่ได้หมายความว่า ร่างเนื้อนี้ไม่สมดุล แล้วเกิดทุกข์ ถ้าจะว่าไปแล้ว รูปร่างก็เกี่ยวด้วย ถ้าคุณไม่ติดยึด รูปร่างมันปวดเมื่อย คุณจะไม่มีจิตเศร้าหมอง คุณจะรู้ว่า เป็นเหตุปัจจัยสรีระ คุณจะไม่เศร้าหมอง คุณจะเบิกบาน ร่าเริง แต่เจ็บปวดเป็น แต่ถ้าคุณมีจิต ไม่เบิกบาน มันเศร้าหมอง แล้วกายยิกทุกข์ อาจไม่เกี่ยวกับ การเจ็บปวด ร่างเนื้อเลย แต่คือ องค์ประชุมรูปนาม

เช่น อยากได้แตงโม เห็นแล้วนี่ อยากได้มากๆ เขาไม่ขายให้เรา เราจะเอาอย่างไร เขาก็ไม่ให้เลย อยากได้มากก็ทุกข์ กายิกทุกข์ คือองค์ประกอบทั้งหมด นอกและใน ก็เกิดทุกข์ ส่วนเจตสิกทุกข์ รู้แล้วว่าเกี่ยวกับข้างนอก คุณก็พิจารณา เข้าไปในภายใน เป็นกายในกาย ส่วนเหลือทาง จิตเจตสิกทุกข์ ก็เลื่อนเข้าไป เป็นเวทนาในจิต เป็นเวทนา ๑๐๘ ลึกเข้าไป แต่กายยิกทุกข์ คือทุกข์หยาบ แต่เวลาศึกษา ต้องศึกษาถึงจิต พระพุทธเจ้าจึงกล่าวว่า กาย คือ จิต มโน วิญญาณ แต่ท่านก็ว่า กายไม่ได้หมายถึงแค่ จิต มโน วิญญาณ เท่านั้น ต้องมีการเชื่อมโยงจากนอก ไปถึงจิต พิจาณาว่ามันสุขทุกข์ มีอกุศลจิต ที่ไปติดยึด เป็นราคะ เป็นกามยังยึดมันอยู่ ก็พิจารณาล้าง ให้มันหมดไปได้ พอหมด เวทนาก็เป็นอุเบกขา แล้วกายนี้จะสัมผัสเมื่อไหร่ ก็ไม่เหมือนเก่าแล้ว เพราะมันไม่ติดแล้ว ได้ก็ได้ ได้แตงโมเพราะกินได้ธาตุอาหาร กินอย่างอื่นแทนก็ได้ ถ้าไม่มี

อุปาทานคือตัวติด พอเกิดอาการ มันก็ขึ้นมา อุปาทานมันฝังอยู่ เรียกว่าอนุสัย ก็คือฝังนิ่ง ไม่ได้ล้างออก ก็ไม่หมดจากจิต อุปาทาน พอมันเคลื่อน ก็เป็นตัณหา เป็นอาการกิเลส เป็น kinetic energy ออกมา มันไม่ตายหรอก มีบทบาท เป็น Potential energy พระพุทธเจ้าว่า ฆ่าตัวที่เห็นง่าย คือตัณหา ฆ่าตัณหาอุปาทานก็หายไปด้วย

ดั้นเมฆถามว่า... ขั้นตอนที่มันเริ่มยึดว่า สุขคือมันได้บำบัดทุกข์ ใช่ไหม ..เริ่มที่ไหน

ตอบ... พระพุทธเจ้าก็ไม่ได้ตอบว่า เริ่มที่ไหน คุณจะไปรู้ทำไม ว่าติดตอนไหน? ให้รู้ว่า จะล้างได้อย่างไร ต่างหาก ของคุณใครจะไปตามรู้ว่า คุณไปติดตอนไหน ขนาดพระพุทธเจ้า ยังตอบไม่ได้เลย พระพุทธเจ้าว่า อวิชชานี่ ตามหาที่ต้นไม่ได้

ถามว่า นิพพานคือ ดับทุกข์ดับสุข แต่ดิฉันมีว่า เกิดแก่เจ็บในร่าง แต่มันก็เหมือนไม่เจ็บ บางคนถามว่า ทำงานนี่ ยังเจ็บอยู่นี่ ทำไหวหรือ? ฉันก็ว่า ไม่ทุกข์หรอก

ตอบ... ทุกข์ร่างกายนี่ ไอ้ที่เรายึดมั่นถือมั่น คือทุกข์อาริยสัจ แต่เหตุที่มาจาก ร่างเนื้อนี่ เราก็บำบัดไป ส่วนเรา ไม่ยึดได้นี่ พ้นทุกข์อาริยสัจ ถ้าร่างกายมันเป็น แล้วเราไม่เศร้าหมอง นี่คือ อาริยสัจ แต่หากเรายึดแล้วเศร้าหมอง เพราะเหตุปัจจัย ร่างกายไม่ปกติ ไม่สมดุล เราก็บำบัด เหตุที่ทำให้ ร่างไม่สมดุล แต่ถ้าเรา ไม่เศร้าหมอง นี่คุณมีอาริยสัจ พระพุทธเจ้าเปรียบเหมือน หนุ่มสาวมีไฝมีฝ้า แล้วทุกข์ นี่แหละคือ โง่อาริยสัจ อ้าวมันมีไฝมีฝ้า ก็บำบัดรักษา ให้หายไป ไม่เศร้าหมอง คุณมีจิตโลกุตระ

สุขโลกุตระนี้ ต้องทุกข์มาก่อนเสมอหรือไม่?
ตอบ...ใช่แล้ว ถ้าล้างเหตุ ก็ไม่สุขไม่ทุกข์ จะเรียกว่าสุข ก็ไม่เหมือนสุขโลกีย์ แต่เป็น วูปสโมสุข

ทิศทางของความกว้างเกื้อ ช่วยสังคมได้ขนาดไหน ?อย่างหมอเขียว จะมาทำคอร์สสุขภาพ แล้วได้คนมาช่วยทำงาน ได้หรือไม่อย่างไร? มีขอบเขตแค่ไหน?
ตอบ.. ขอบเขตของอาตมานี่ ไม่อยู่กับที่หรอก อาตมานี่ ยืนอยู่บนความไม่เที่ยง ของอาตมานี่ ยืนอยู่บน อภิมหาปรมานิจจัง พูดถึงหมอเขียว ก็พยายาม สัมพันธ์มามากขึ้น คือตัวหมอเขียว เขาก็ทำได้อยู่ ทีนี้อาตมาเข้าใจเองว่า หมอเขียว อยากจะมาสัมพันธ์ กันมากขึ้น แต่ทีนี้อาตมา อยากให้รู้ตัวเอง อาตมาว่า พวกเราหลายคน ขัดข้องหมอเขียว ขัดไม่ได้ แต่มีตัวกีดกันอยู่ อาตมาเข้าใจเช่นนั้น ขอบอกว่า เราไม่ต้องไป กีดกันใครหรอก แม้แค่คนข้างนอก จะแค่ป้องกัน คนที่จะมารวน แต่คนที่จะมาทำ สิ่งดีงาม เราเอง เราไม่รู้หรอก ว่าใจเราลำเอียง จะอดีตและปัจจุบัน มีเหตุมาก็ตาม แต่เราดูองค์รวม ว่าเขาประพฤติดีงาม แล้วเขาก็จะมาทำดี เราก็ไม่น่า ปฏิเสธอะไร เป็นแต่เพียง องค์ประกอบที่เกิด จะมาฉุดแรงงาน ให้เกิดสะดุด เป็นผลเสีย มากกว่าผลดี เราก็รับหรือไม่รับบ้าง ก็ดูเหตุปัจจัย ถ้าจะมาร่วมกับเรา เราเอง เราต้องการบางอย่าง ก็มีคนมาชักจูง บางอย่าง เขามาร่วมเอง สิ่งที่เขามาร่วม ใครก็แล้วแต่ ที่จะมากวน เราป้องกัน แต่ถ้าดูแล้วว่า ไม่ได้เสียผล มีผลดีมากกว่าชัดๆ นี่ไม่มีปัญหาอะไร ที่พูดไปพูดมา อยากให้พวกเราปลดเปลื้อง ตัวจองเวร จองกรรมกัน จิตวิญญาณพวกคุณนี่ มันเกลียดชัง ริษยา กันไปทำไมกัน พอได้แล้ว ตรวจจิตตนเองให้ดีๆ

ส.เดินดิน... วันนี้เหมือนกับ พ่อครูตอกย้ำ ให้พวกเราเข้าใจว่า ศาสนาพุทธ จะไปได้อีก สองพันห้าร้อยปี แต่ถ้าพ่อครูไม่เห็น ก็คงไม่กล้าประกาศ ในช่วงพ่อครูมั่นใจ พวกเราก็เดินตาม แต่วันนี้ ทิศทางที่พ่อครู บอกเราว่า ผู้เข้ากระแส จะอ่านจิตตนเองได้ แล้วลดกิเลส ตนเองได้ ในช่วงเดินทางกันไปนี่ หลักสูตร ว.นบ. จะมีปริยัติ และปฏิบัติ มีผัสสะตลอดเวลา มีสนามรบ ตลอดเวลา จะรู้ว่า ใครเข้ากระแสหรือไม่? ก็ตรงนี้ รบกันไปแล้ว มันเห็นกิเลสเรา หรือเราเห็นกิเลสมัน คือถ้าเห็นกิเลสตน กิเลสเราก็คือเข้ากระแส แต่ถ้าเห็นกิเลสมัน ๆๆ ก็จะทนไม่ได้ แล้วจะถอย แต่ถ้าเห็นกิเลสเราได้ชัด แล้วตั้งใจลดละได้ ก็จะเจริญ มีสนามสอบ ได้ทุกวันๆ

ที่พ่อครูพูดถึง ลุงจำลอง ที่ว่าคงไม่ได้เน้น ศึกษาวิชาการ ทั้งที่ลุงจำลอง อาจปฏิบัติได้ มากกว่าพระเสียอีก ก็รักษาศีล ได้บริสุทธิ์บริบูรณ์ ที่แม้แต่พระ ก็ยังทำไม่ได้ ก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พูดถึงความเสื่อมของ
๑. มีกัมมารามตา คือยินดีในการงาน หมกมุ่นจมไปกับงานเลย
๒. มีภัสสารามตา ยินดีในการเจรจาปราศรัย
๓. ยินดีในการนอน นิททารามตา
๔. สังคณิการามตา ยินดีในการเข้าสังคม
๕. ไม่พิจารณาตามจิตตน ที่หลุดพ้นแล้ว บางทีเราปฏิบัติธรรม แบบมวยวัด ก็ไม่รู้ว่า ได้อะไร ไม่รู้ว่า  เราได้หรือไม่ได้

พ่อครูว่า.. มันน่างงนะ ข้อ ๑ กัมมารามตา คำว่า อารามแปลว่า ความยินดี แต่เราแปลกันตื้นๆ ที่จริงแปลว่า ไม่มัวหลงเพลินกับการงาน หมกมุ่นอยู่กับการงาน เพราะพอบอกว่า ผู้ยินดีในการงาน ก็แปลกันตื้นๆ มันก็เลยกลายเป็นว่า ฟังแล้ว หากใครยินดีในการงาน นี้ก็เสื่อม ตกลงเลยไม่ทำ การงานอะไร  ตีกินเลย นี่คือ นัยละเอียดลึกซึ้ง หากเข้าใจไม่ได้ ก็ปฏิบัติไม่ถูก คือเราไม่ไปติดยึด เพลินจนติด จนเสีย อยู่กับการงาน จนอ่านใจตนไม่ทัน ไม่เป็นเลย อยู่กับการงาน แต่ไม่รู้ว่า กิเลสเกิดกี่ตัว กองไว้ๆ จับจิตตน ไม่ได้ไม่ทันเลย หากทำการงานเช่นนั้น ถือว่าเป็น กัมมารามตา อันนี้เสื่อมแน่ แต่ถ้าไม่ให้หลง กัมมารามตา ต้องเข้าใจนัยนี้ คุณจะขยันหมั่นเพียร ไม่เป็นไร แต่อย่าหลงติดมุ่น พาเราเสริมกิเลส แต่ที่จริงการทำการงานเยอะนี้ จะมีผัสสะเยอะ มีโพธิปักขิยธรรมพร้อม คนทำงานไม่เกี่ยวกับคน แม่ครัวยังเกิดกิเลส กับตะหลิวอีก คุณมีผัสสะกับอะไร ก็เกิดกิเลสได้ทั้งนั้น ไม่เช่นนั้น คุณนั่นแหละ เป็นกัมมารามตา คุณทำมากไปเถอะ มันมากสุขภาพจะเสีย ก็หยุดบ้าง แต่ทำมาก แล้วสุขภาพดี ก็ทำไปเถอะ
จบ....