580203_พ่อครูพบพระอิสระ พระอุทัย และคณะ ที่บ้านราชฯ |
บ่ายวันที่ ๓ ก.พ. ๕๘ พระอิสระ (อดีตสส.ปชป.อิสระ สมชัย) และพระอุทัย (อดีตแกนนำ คปท.) มาเยี่ยมเยือน พ่อครู ที่บ้านราชฯ ในเวลา ๑๕.๓๐ น.
คุณวิทยา แก้วภราดัย ว่า...ไปทอดกฐิน ที่เมืองลาวมา ก็เลยมาแวะ กราบนมัสการพ่อท่าน และก็มาฟังเทศน์ด้วย
พ่อครูว่า.... เทศนานี่ภาษาไทย แปลว่าด่านะ เทศน์นี่คือ ตำหนิ ติติง เรียกว่าเทศน์ โดนเทศน์แล้วคือโดนติติง นี่เป็นลักษณะของ ศาสนาพุทธ เขาไม่เข้าใจถึงเลือดเนื้อ ศาสนาพุทธ ที่คือ ลักษณะการติติง เป็นการชี้ ข้อบกพร่องข้อผิด เป็นศาสนาที่ระวัง เรื่องความไม่ดี ไม่ไปวุ่น กับความดี ความดีให้มันก่อตัว ไปเป็น เครื่องอาศัยอยู่แล้ว ศาสนาพุทธ เอาจริงเอาจังกับความชั่ว เอาจริงเอาจัง แล้วจัดการกับความชั่ว นี่คือ เนื้อแท้ ศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธทุกวันนี้ จึงเสื่อมมาก เพราะติไม่เป็น มีแต่จะประเล้าประโลม เอาจากเขา
ศาสนาพุทธ ให้หาเหตุแห่งทุกข์ คือความไม่ดี คือที่ต้องจัดการ ระมัดระวัง ต้องตรวจสอบหาแล้วทำลายให้หมด ใครทำลายความไม่ดี ไม่ให้มีเศษเหลือเลย คนนั้นคือ พระอรหันต์ เมื่อเอาความไม่ดีออก ก็เป็นความดี โดยปริยายแล้ว ความดีไม่ต้องไปเรียนเลย หาเหตุความไม่ดี ทำลายความไม่ดี นี่คือยอดของ ศาสนาพุทธ แต่ไปเผินแล้วเดี๋ยวนี้ ศาสนาพุทธนี่คือ นักด่า นี่คือเนื้อแท้ ของศาสนาพุทธ หากไม่มีการตำหนิ ด่าทอกัน ศาสนาพุทธ ก็ไม่ต้องมี เพราะสังคมดีอยู่แล้ว ไม่ต้องตำหนิกัน เพราะไม่มีข้อบกพร่องกันเลย แต่ถ้าสังคมนั้น ไม่ได้เป็นสังคมดี แต่ไม่มีเสียงด่า ไม่มีตำหนิ นั่นคือ สังคมนั้น ไม่มีศาสนาพุทธ เพราะเนื้อแท้ ของศาสนาพุทธ หายไปแล้ว นี่พูดตรงๆไม่ลดเลี้ยว เล่นโวหารเลยนะ พูดตรงๆให้ฟัง
ศาสนาพุทธ ท่านชมเชย คนที่ตำหนิ ให้คนอื่นดื่มได้ สังคหวัตถุ สังคหะคือ การสงเคราะห์ ให้ดีขึ้นมา มีทาน เปยยวัชชะ อัตถจริยา สมานัตตตา คำว่าเปยยะ คือของควรดื่ม วัชชะ คือคำตำหนิ ใครทำคำตำหนิ ให้เป็นของที่คนดื่มได้ นี่เรียกว่ามี ปิยวาจา
คำว่าทาน เขาก็เพี้ยนไปแล้ว เพราะกิริยาที่ทานแล้ว กลับทำให้คน เพิ่มกิเลส ทั้งพระและโยม คำว่าบุญไม่ใช่ทาน คำว่าบุญ ไม่ได้เป็นของ ควรได้เลย คำว่าบุญ แปลว่า ชำระกิเลส ในพจนานุกรม ภาษาบาลี ไทย ก็เกือบไม่เหลือ มีเล่มเดียว ที่เหลือคำแปล คำว่าบุญ ท่านแปลเป็นบาลีว่า สันตานัง ปุนาติ วิโสเทติ แปลว่า การชำระกิเลส ในสันดาน ให้หมดจด, ปุนาติ แปลว่า การชำระ วิโสเทติ คือให้หมดจน เดี๋ยวนี้เพี้ยนไปหมดแล้ว เอาบุญไปแทนทาน เอาบุญไปแทนกุศล ผู้ชำระจิตสันดานได้ ก็เป็นอาริยบุคคลได้ไปเป็นลำดับ บุญนั้นสูงกว่าทาน
คนที่ชำระบาปได้หมด บาปคือกิเลส คนนั้นก็ไม่ทำบาป ทั้งปวงแล้ว สัพพปาปัสส อกรณัง คนเป็นพระอรหันต์ คือสิ้นบุญ สิ้นบาป ปุญญาปาปริกขีโณ จบ ไม่มีบุญ ไม่มีบาป บาปคือ กิเลสหมดแล้ว คนเดี๋ยวนี้ เอาบุญมาค้า มาขายกันหมด อย่างธุดงค์ธรรมชัยนี่ มันพาสวนกลับ กับคำสอน พระพุทธเจ้าเลย สร้างกันดราม่า สร้างเรื่องปรุงแต่ง ไม่รู้แม้ผิดศีล ข้อ มาลาคันธวิเลปน ธารณมัณฑณ วิภูสนัฏฐานา พูดไปนี่ เขาก็หาว่า เราทำไม่ได้เท่าเขา ริสยาเขา บริวารน้อย อาตมาจะไปริสยา ความผิด ความบาป ไปทำไม เขาทำลายศาสนานี่บาป มีค่าสูงนะ แต่เขาไม่รู้ตัวหรอก เขาอวิชชา สรุปแล้ว
ทาน เปยยวัชชะ เขาก็ไม่รู้ ไม่เข้าใจแล้ว อัตถจริยา คือความประพฤติ พฤติกรรมที่เป็น เนื้อหาสาระ เข้าสู่แก่นสาระ อัตถะ ประโยชน์ที่แท้จริง แต่ทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อแท้แล้ว ส่วน สมานัตตตา คือ สมานสามัคคี ไม่ทะเลาะวิวาทกัน พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ นี่คือคุณลักษณะ เนื้อแท้ของ ศาสนาพุทธ
อาตมาเห็นแล้วว่า สังคมประเทศชาติ เขาก็ต้องการสิ่งนี้ ผู้บริหารที่อาสา ไปบริหารประเทศ ตั้งแต่นักการเมือง ขาประจำ นักการเมือง คือผู้มาทำงาน รับใช้ประชาชน โดยไม่ต้องมีอาชีพ ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ ก็กินเงินเดือน จากประชาชน ส่วนนักการเมือง คือผู้ที่ถูกเลือกไป เป็นครั้งคราว ตามหลักบริหารประเทศ นักการเมือง คือนักการเมืองจร, ส่วนข้าราชการ คือนักการเมืองประจำ มีหน้าที่รับใช้ประชาชน แต่ว่าเข้าไปทำงานแล้ว กลับไปเป็น เจ้านายประชาชน หมดเลย นักการเมือง คือผู้มีหน้าที่ไปตรวจสอบ ข้าราชการประจำ ประชาชน เลือกเข้าไป หากเข้าไปแล้ว ทำงานไม่ดี ประชาชน ก็ปลดออกได้ ทีละ ๔ ปีเป็นต้น ไม่ใช่อาชีพ แต่เป็นงานอาสา ไปรับใช้ประชาชน แต่ว่าเวลาหาเสียง พฤติกรรม ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ก็เลยไปกันใหญ่ ก็ไม่ตรงสัจจะ
นักการเมืองนี่ตัวดี พอได้อำนาจ ก็เลยกีดกันนักธรรมะ นักสัจจะที่รู้ความจริง กันนักตรวจสอบออก จนสำเร็จ เพราะตนเอง ก็จะได้โกงกิน ได้สะดวก ไม่ว่าจะศาสนาไหน ก็ถูกนักการเมืองกันออก ก็เลยหลงไปว่า นักธรรมะ ไม่ยุ่งเกี่ยว กับการเมือง ถูกนักการเมือง ครอบงำความคิด แต่ก็สมแล้ว เพราะไม่มีความฉลาดพอ แต่นักการศาสนา ที่จริง จะไม่กลัวการเมือง อย่างพระพุทธเจ้า ท่านเป็นคน ในประเทศเล็กๆนะ แคว้นสักกะ ของท่านนี้ แคว้นน้อย แต่ท่านเป็นนักการเมือง ตัวจริงยิ่งใหญ่ จนพระเจ้าแผ่นดินไม่ว่าแคว้นไหนๆ ก็ยอม ให้ท่านหมด ให้ท่านมี ธรรมนูญของท่าน เป็นกฎเกณฑ์ของ ประชาชน ของท่าน เรียกว่าศีล จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล เดี๋ยวนี้ เขาไม่เอากันแล้ว แต่ก็มีในพระไตรฯอยู่ ท่านตราอันนี้ขึ้นมา
ถ้าศาสนาพุทธแล้ว ต้องอยู่ในเกณฑ์นี้ หากไม่อยู่ในเกณฑ์นี้ ก็ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ใครมาขอเข้ารีตนี้ ไม่ว่ารัฐไหนๆ ก็ยอมหมด พระเจ้าอชาตศัตรู ยังยอมเลย พระพุทธเจ้าว่า ถ้าเผื่อว่าคนของท่าน เป็นคนที่ท่านรักด้วย ท่านต้อง พึ่งพาเขา พระพุทธเจ้าว่า ถ้าเขามาบวชกับเรา ประพฤติธรรมกับเรา แล้วท่านจะว่าเขาไหม ท่านจะเอาคืนไปไหม? พระเจ้าอชาตศัตรูก็ว่าไม่ มีแต่ต้องส่งเสริม เคารพเขา อย่างนี้เป็นต้น พระพุทธเจ้า ไปที่ไหนๆ แม้พระเจ้าพิมพิสาร ก็ว่าจะยกแคว้นให้ ครึ่งหนึ่งเลย พระพุทธเจ้า ว่าท่านไม่เอาแล้ว เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ คนยุคโน้น มีปัญญาจริงๆ ยุคนี้คนไม่รู้เรื่องเลย
อย่างพระเจ้าอยู่หัวเรานี่ อาตมาก็ว่า ท่านเป็นพระโพธิสัตว์ ท่านยิ่งกว่า จักรพรรดิ ท่านบริหารประเทศ ด้วยพระกรุณาธิคุณ อาตมาเห็น พระทัยท่าน มากเลย ท่านเป็นผู้ดี ที่สุดเลย ท่านเป็นแต่เพียง แนะนำ ขนาดประเทศชาติ จะล่มจม ท่านก็ตรัสว่า ให้ช่วยประเทศหน่อย ท่านตรัสกับศาล แต่ศาลก็ไม่รู้เรื่อง ไม่ทำ ถ้าตัดสิน ตั้งแต่ตอนนั้น บ้านเมืองไม่มาแย่ ขนาดนี้ ขนาดนี้ ท่านประยุทธ ต้องใช้ลีลา บทบาท อย่างที่เบาก็ไม่ได้ แรงก็ไม่ได้ มันพร้อมจะบ้าเลือด รักษาสภาพยาก แต่อาตมาชมเชยนะ ฝีมือไม่เบาฝีมือใช้ได้ ต้องเหนื่อย แต่คนไม่เข้าใจ ว่ามันไม่ง่าย ต้องระมัดระวังอย่างยิ่ง
อาตมาเห็นว่า สังคมถึงช่วง ที่ต้องปรับตัว เหตุการณ์คราวนี้ผ่านไป ก็ปรับตัวกัน อาตมาคิดว่า จะปรับไปสู่ ความดีงาม ที่เหลือก็เป็น โมเมนตั้ม ของความไม่ดี สุดท้ายแล้ว
พระอิสระ ถามว่า สถานการณ์ของประเทศชาติไทย ยุคนี้สมควรมีเลือกตั้งไหม?
ไม่สมควร เพราะตอนนี้ ค่ายกลที่เขาสร้างมา ๘๒ ปีเข้าฝักแล้ว เป็นค่ายกลการเมือง อันอำมหิต ตอนนี้ต้องรื้อ ค่ายกลนี้ให้ได้ ถ้ารื้อค่ายกลนี้ไม่ได้ ก็เข้าไปที่เก่า
พระอิสระว่า... ผมเห็นว่า กระบวนการต่างประเทศ ก็บีบเราให้มีเลือกตั้ง ให้เลิกอัยการศึก ร่วมมือกับเพื่อไทยอีก
พ่อครูว่า... พวกนี้ครอบงำ และเห็นแก่ประโยชน์ ไม่ได้หวังดีต่อประชาธิปไตย แต่ต้องการ อาณานิคม ประเทศราช เบ่งอำนาจ มาหากินง่ายๆ คือต้องให้มี การเลือกตั้ง ถ้าความรู้รัฐศาสตร์ หรือประชาธิปไตย มีแต่เลือกตั้ง ก็ไม่ยากเลย จะต้องไปเรียนดร.ทำไม ให้ลำบาก
แล้วจะต้องมีเลือกตั้งไวไหม? อาตมาเห็นว่า ถ้าจะไม่ให้มี การเลือกตั้ง ไปอีกนานเท่าไหร่ได้ ยิ่งดี จนกว่าจะทำให้ ประชาชน เข้าใจประชาธิปไตย จนกว่าจะมีผู้บริหาร ที่เป็นประชาธิปไตย จริงๆพอ ตอนนี้ ความรู้ประชาธิปไตย ของคนไทย ยังไม่มากพอ ประชาธิปไตย อาตมานิยามไว้ ๑๐ข้อ
เช่น นักการเมืองที่เป็น นักประชาธิปไตย ทำงานให้แก่ประเทศ อาสาทำงาน คือผู้รับใช้จริงๆ ผู้อาสา ไปเสียสละ ไม่ใช่ผู้ไปรับประโยชน์ แล้วไม่ใช่อาชีพเลี้ยงตน จริงๆแล้ว ของพระพุทธเจ้านี่ สุดยอดเลย พระ นักบวชนี่ ไม่ต้องมีอาชีพเลี้ยงตน ให้ประชาชนเลี้ยงไว้ แล้วทำประโยชน์ให้ประชาชน ประชาชนเขาก็เลี้ยงไว้เอง อยู่ได้อยู่รอด นักการเมืองคือ นักบวชแท้ๆ ผู้ต้องมีจิตวิญญาณ ไม่เห็นแก่ตัวเลย ทำแต่ประโยชน์ แก่สังคม อย่างคานธี ทำไม คนนับถือทั่วโลก คานธี มีทรัพย์สินน้อยมาก มีผ้าเตี่ยว เป็นต้น แต่คน นับถือทั่วโลก ทำงานให้สุจริตจริง ไม่ข่มเบ่งกัน พยายามให้มี ความเสมอภาค ทั่วถึงกัน เสร็จแล้ว มันก็มีกิเลสของคน ของโลก ก็เลยกลบเกลื่อน ให้คนเข้าใจผิด หลงผิด แล้วนักการเมือง ที่รู้รัฐศาสตร์ ก็ไม่สอนประชาชน เพราะว่า ตนเอง ก็ยังโลภ ไม่เสียสละ ก็เลยไม่กล้า ที่จะสอนประชาชนให้รู้ เพราะจะเข้าเนื้อตนเอง ไม่จริงนี่เอง
ถ้าจะให้จริง อาตมาก็ว่าไม่ง่าย แต่ต้องทำ ไทยเป็นเมืองพุทธ ให้ระดมสร้าง พุทธศาสนา ให้เกิดมีเนื้อแท้ มีมรรคผล ให้คนลดกิเลส หมดกิเลส แต่เขาสอนกันผิดว่า ถ้าเป็นนักปฏิบัติธรรม ลดกิเลสแล้ว ต้องไม่ยุ่งเกี่ยว กับสังคม แท้จริงศาสนาพุทธ ไม่ใช่แบบนั้น พวกสายเทวนิยม นั้นไม่รู้ จิตวิญญาณแท้ ที่รู้โลก รู้สังคมด้วย ไม่ได้เป็นทาสโลกด้วย เป็นมนุษย์ อยู่เหนือโลกธรรม เป็นโลกุตระ เป็นได้ไหม พระพุทธเจ้าทำได้ แล้วพาทำได้ ให้เป็นคนที่เหนือโลก แล้วรู้ทันโลกด้วย มีความรู้เทคนิค สร้างสรรช่วยโลกได้ด้วย ไม่ใช่ศาสนาฤาษี หนีโลก เข้าป่าเขาถ้ำ
พระพุทธเจ้าตรัสรู้เสร็จ แต่ยุคนั้น มีแต่คนหนีโลก มีแต่ฤาษี แต่พระพุทธเจ้า ท่านตรัสรู้ ให้คนมี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุข ของหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก) ท่านตรัสตั้งแต่ ได้อรหันต์ ๖๐ รูปแรก และสามอย่างนี้แหละ คือเนื้อแท้ของ ประชาธิปไตยเลย แต่เพี้ยนไปหมด พอศาสนาพุทธ มาครึ่งของศาสนา แล้วก็เพี้ยนไปหมด มีแต่ศาสนาที่หนี เข้าป่าเขาถ้ำ อาตมาก็ไม่ยอม ให้ศาสนาพุทธหมดไป เราอยู่กับสังคม ก็ไม่ได้ไปหลง โลกธรรมกับเขา เราไม่ได้ อยากได้ อยากมีอยากเป็น อย่างเขาหรอก แล้วมั่นใจว่า ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ออกมาเป็น อนาคาริกชน มีโภคักขันธํ ปหายะ ญาติปริวัฏฏัง ปหายะ อย่างที่อาตมาให้มาบวช กับอาตมานี่ ถ้ามีทรัพย์สิน สมบัติอะไร ก็ต้องให้สละออก ให้หมด มาเลี้ยงตน ด้วยปลีแข้งบิณฑบาตกิน แม้แค่สิกขมาตุ ถือศีล ๑๐ ก็ทำได้แล้ว และไม่ใช่แค่ นักบวชนะ ฆราวาสก็ทำได้ แม้ยุคพระพุทธเจ้านี่ ฆราวาสก็เป็นอรหันต์ มากกว่านักบวชอีก นักบวชมีหน้าที่ สืบสานคำสอน ฆราวาสอรหันต์ ก็เป็นผู้บริหาร ทำงานรับใช้สังคม พระอรหันต์ของ พระพุทธเจ้า เป็นฆราวาสนะ เยอะ แม้อนาคามี ก็ไม่เป็นพิษภัย ต่อใครแล้ว
อาคันตุกะ.. ประชาธิปไตย ไม่ใช่มีแค่ การเลือกตั้ง ตอนนี้สังคม ถกเถียง เรื่องการเลือกตั้ง แต่ก็ไม่เห็นว่า ประชาชน จะได้อะไร ผมผ่านการบวชมา เมื่อเดือนที่แล้ว รู้สึกเหมือนที่พ่อท่านว่า นักบวชนี่อยู่ได้ เพราะประชาชนเลี้ยง นักการเมือง ก็ต้องเป็นอยู่ได้ อย่างที่ประชาชนเลี้ยงไว้ ตอนนี้ เขาปฏิรูปการเมือง ก็ยังไม่เห็นอะไร ไม่ได้ง่าย เหมือนพลิกฝ่ามือ อย่างที่ไปร่วมชุมนุม ผมเห็นว่า คนได้เอาความดี ออกมากัน คนเสียสละ เอาข้าวมาเลี้ยงกัน ชาวบ้าน ที่มาชุมนุม ตอนแรก ไร้ระเบียบ แต่ตอนหลัง เข้าแถว แบ่งปันกัน ซึ่งเป็นสิ่งที่ ไม่ได้มี ในกฎหมาย
พ่อครูว่า.. มันทันสมัยกว่าเขาคิด ไม่ได้ล้าสมัย
คุณภราดรว่า... เราไปชุมนุม จะรู้ว่าความเสียสละ การแบ่งปัน คืออะไร ที่เราเห็นทุกวันนี้ เขาปฏิรูปก็ดูว่า จะตอบโจทย์อะไร ก็คิดแบบพ่อท่าน ว่าเห็นใจ ผมไปที่ภาคใต้ ก็โดนรุกเร้า เรื่องราคายาง ผมก็ว่าให้ใจเย็นๆ ให้โอกาสเขาทำงานไปก่อน แต่ถ้าทำไม่สำเร็จจริง ก็คงต้องร่วมกัน ต่อสู้กันอีก
พ่อครูว่า.. ที่นี่เราอยู่อย่างคอมมูน คนอยู่ในนี้ ทำงาน เอาเข้ากองกลางหมด ทำงานแล้ว รายได้ เอาเข้า กองกลางหมด แล้วกินใช้ร่วมกัน ทุกชุมชนชาวอโศก เราเรียกว่า สาธารณโภคี ตามที่พระพุทธเจ้าว่าไว้ เป็นการกินใช้ ร่วมกัน เท่ากับ เสียภาษี ๑๐๐ % ใครจะใช้จ่าย ก็มีระเบียบเบิกใช้ เหนือชั้นกว่าประชาธิปไตย เหนือกว่า คอมมิวนิสต์ เป็นภราดรภาพ พึ่งเกิด แก่ เจ็บ ตาย กันได้ เป็นหลักฐาน ที่ชี้ชัดถึงสังคมมนุษย์ ที่เป็น หลักฐานว่า ธรรมะพระพุทธเจ้า เป็นไปได้ แม้จะไม่ใหญ่โต แต่ถ้าผู้บริหาร เข้าใจแล้วทำให้เกิด มีขึ้นมาได้มากขึ้น เราเรียกว่าเครือแห ที่เชื่อมโยงกัน หลายมิติ เป็นเรื่องจริง ที่ผู้อยู่สูงสุดก็เป็นได้ยาก เป็นพวกจนที่สุด จนกระจุก รวยกระจาย ผู้อยู่ล่างก็รวย มีส่วนแบ่ง ตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ทุกวันนี้ เขาทำแบบ รวยกระจุก จนกระจาย แต่เราทำแบบ จนกระจุก รวยกระจาย เราทำแบบในหลวง ที่ท่านตรัส ให้ทำแบบคนจน ที่เป็น คนจนพิเศษ ท่านตรัสแล้ว แต่นักบริหาร ไม่เข้าใจ ไม่กระดิกหู ก็สงสารประเทศชาติ