![]() |
![]() |
580210 พุทธชีวศิลป์(๒๗) อาริยะ คืออะไร ตอน ๑ |
พ่อครูว่า... ชาวพุทธที่มุ่งมั่นเข้าหานิพพาน ไม่น่าจะเป็นเช่นที่เขาเป็นอยู่กันทุกวันนี้ หลงทางกันอย่างหนักหนาสาหัส จนบัดนี้ อาตมาเอาคำว่า กาย และคำว่า บุญ มาเปิดเผย แค่สองคำนี้เขาก็ไกลนิพพาน ปฏิบัติผิดๆ กายคตาสติ ก็ไปศึกษาแค่ร่างเนื้อ ก้าวหนอ ย่างหนอ ก็ไม่เกิดวิปัสสนา มีแต่ได้เจโตสมถะ ไม่ไปไหนเสียที อีกพวกหลงหลับตาสมาธิ ว่าจิตเป็นฌาน แล้วยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนา มันจะไปเห็นอะไร เพราะหลับตา ไม่มีวิโมกข์ ๘ ข้อแรกเลยก็ไม่มี รูปีรูปานิ ปัสสติ
วันนี้อาตมาได้พยายามร่าง ความเป็นอาริยะของพุทธ
อาริยะของพุทธ
๏ อาริยะคืออะไร?
อาริยะ คือ ความดีความเจริญของคนอีกแบบหนึ่ง ที่เรียกว่า "อาริยะ"ในคน ผู้เกิดคุณสมบัติ ที่ถึงขั้นอุตตริมนุสสธรรม ที่เป็นความดีงามขั้นพิเศษกว่าปุถุชน ปุถุชนอาจเสแสร้งได้ แต่ไม่นาน เพราะไม่มีลักษณะ นิจจัง ธุวัง สัสสตัง ไม่จริงเป็นไปไม่ได้ วกวนกลับ
ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่โกรกชัน เหมือนหุบเหว แล้วมีลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย คำนี้ลึกซึ้งนะ
อุตริมนุสธรรม นั้นประเด็นหลักคือไม่เห็นแก่ตัว เพราะปฏิบัติให้ความเห็นแก่ตัว ลดน้อยลงไปตามลำดับ เป็นเรื่องลึกซึ้งที่ไม่ง่าย ว่าเราเห็นแก่ตัว อาตมาเชื่อว่าพวกเราพอรู้ แม้ไม่ง่าย ตรวจดูดีๆ ว่าวันๆหนึ่ง ความเห็นแก่ตัวเราขึ้นไม่รู้กี่ที ผู้ที่สามารถปฏิบัติลดความเห็นแก่ตัว จนหมดความเห็นแก่ตัวเลย ก็คืออรหันต์ แล้วฆราวาสนี่แหละจะเป็นอรหันต์ได้ มีจำนวนมากกว่านักบวช แล้วดูได้ยากด้วย ใครจะว่าท่าน เหยียดหยามท่าน ท่านก็ไม่สะดุ้งสะเทือน อย่างพวกเรา แม้ไม่ถึงอรหันต์ เขาก็ข้ามหัวไปมา อย่างอาตมานี่
แม้คนในสังคมปัจจุบัน ก็บรรลุพุทธธรรมได้ ไม่จำเป็นต้องมาเข้าวัดด้วย แต่ไม่ใช่ให้หนีออกข้างนอกหมด เพราะมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี จะสมบูรณ์แบบกว่านะ
ยิ่งเป็นนักบวชนี่ มีอภิสิทธิ์หลายอย่าง พระพุทธเจ้าว่าบริสุทธิ์ดุจสังข์ขัด ต้องมาโภคักขันธัง ปหายะ ญาติปริวัฎฎัง ปหายะ ถ้าใจยินดีเลย มาถึงก็เข้าหลัก ตามแสงอรุณ ๗ เลย ลงมือเลย มีศีลธรรมนูญของนักบวช แต่ทุกวันนี้ ศาสนาพุทธไม่เหลือศีลกันแล้ว มีแต่พระวินัย พูดศีล ๕ ยังไม่รู้เรื่องเลย เชื่อไหมว่าพระเยอะแยะ จะรู้สึกตัวว่าโกหกไหม ท่านจะโกหกไหม วันๆหนึ่ง มันไม่ง่ายนะ จะรู้ว่าว่าโกหก หรือฆ่าสัตว์ ก็ไม่รู้สึกกันแล้ว สัตว์เล็กสัตว์น้อย หรือข้าวของ ก็ไม่รู้ว่าของใครของใครเลย ราคะนี่ ก็เสพรสทางตา หู จมูก ลิ้น กาย คิดดูสิว่าไม่น้อยเลย ถ้าไม่แบ่งเรียนเป็นขั้นตอน ก็ไม่ลาดลุ่มเหมือนฝั่งทะเล ไม่เป็นลำดับขั้น ที่เราจะตัดกรอบเอา เพิ่มไตรสิกขาเอา
ในศีล ข้อ ๕ อบายมุข ท่านก็ยังไม่ค่อยรู้กันเลย ในภิกษุ ท่านอยู่ในบัลลังก์ลาภยศสรรเสริญ ท่านไม่รู้ว่ามันเป็นอบายมุขเลย ท่านแบกอุจจาสยน มหาสยนา หลงใหญ่โต หลงวิภูสนัฏฐานา เท่าไหร่ จ่ายเงินซื้อด้วย
อาริยะนี่มีในฆราวาสเยอะ อย่างโสดาบันนี่ก็มีเยอะเลยพวกเรา หากไม่ชัดเจนก็ปฏิบัติไป ให้ตรวจสอบจิตของเราให้ดี โสดาบันเป็นคนเช่นไร ก็ให้ค่อยตรวจสอบ แต่ไม่เป็นไร หากเราเป็นแล้ว ได้แล้ว อยู่กับหมู่ ก็เป็นหลักประกันอย่างดี ถ้าไม่ถูกคนมอมเมาจูงลงต่ำ
ฆราวาสชาวอโศกกับนักบวชชาวอโศก โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี ในฆราวาสจะมีมากกว่าในนักบวช เพราะฆราวาสเป็นคนส่วนมาก อรหันต์ก็จะมากกว่า โดยการศึกษาให้สัมมาทิฏฐิ จัดการสังขาร พัฒนาปรับปรุงจิต ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็เรียกอภิสังขาร เรียนรู้รูป ๒๘
รูป ๒๘ คือความเป็นกายที่ชัด เพราะรวมทั้งภายนอกและภายใน ภายในนั้นมีแต่ มนายตนะกับธรรมายตนะ มีตัวตั้งไว้เป็น static พลังงานบวก คือธรรมายตนะ ส่วน kinetic พลังงานลบ ก็เป็น มนายตนะ สองสิ่งนี้ก็อยู่ด้วยกันอยู่แล้ว ถ้าทำงานสังขารร่วมกัน ก็เป็นวิญญาณขึ้นมา ผู้ใดชัดเจนเรื่องรูปที่เป็นของหยาบ แล้วจิตเจตสิกก็ค่อยรู้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งรู้ตัวดับเป็นนิพพาน รู้ได้ด้วยปัญญา ความชาญฉลาด คือวิชชา ๘ ชนิดที่มีสัมมาทิฏฐิ ๑๐ นะ เป็นเรื่อง จิต(๑๒๑) เจตสิก(๘๙) รูป(๒๘) นิพพาน ถ้ารู้ได้อย่างนี้นะ เป็นอรหันต์ได้ ขอให้ได้จริงก็แล้วกัน จึงสามารถลดความโลภโกรธหลงได้แท้ เปลี่ยนจากปุถุชนมาเป็นอาริยชน อย่างเป็นปาฏิหาริย์ ฟังๆดู เหมือนไม่น่าทึ่ง แต่คนทำได้จริง ก็น่าทึ่งมาก
ถ้าใครไม่มีบารมีเก่า คุณจะเห็นว่ามันจะลดได้ หรือมันมีอารมณ์อย่างนี้ แตะเหตุปัจจัยเมื่อไหร่ มันก็ขึ้นทันที บางทีกดข่มจนหัวจะแตก มันก็จะลดได้อย่างไร แต่คนมีบารมีก็ไม่รุนแรง มีของเก่า คนมีบารมีก็อย่าประมาทนะ ปฏิบัติให้เป็นอรหันต์ให้ได้เลย
อาริยบุคคลของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่คนแปลกไปจากสังคม อาริยบุคคล คือคนที่ทำงานให้สังคม มากกว่าเอาเปรียบสังคม ยิ่งเป็นอรหันต์ยิ่งชัดเจน มีอาการน่าเลื่อมใสจริง ถึงขั้นรับใช้สังคมอยู่ อย่างไม่น่าเชื่อ ลองมองไปที่สังคมข้างนอก มันพอมีไหม? บางคนทำงานสู้รับใช้สังคม เสี่ยงเป็นเสี่ยงตายก็มีอยู่ แต่เขาไม่ค่อยชัดเท่านั้นเอง หากเขาชัดเจน เขาจะมีพลังทำงานมาก อย่างที่เราชัดว่า อันนี้เพชรพลอยนะ แต่คนไม่รู้จักเพชรพลอย แม้ได้มาก็ไม่รู้จักรักษา เขาไม่รู้ค่า แต่ถ้ารู้ว่านี่เพชร ใช้ให้ถูกค่าของเพชรเลยนะ ก็ทำไปดีๆ พอถึงรอบ เปลี่ยนสถานะ เหตุปัจจัยครบนี่ critical point ก็คงเกิด แต่ถ้าไม่เกิดไว ก็สั่งสมสภาพไปเรื่อยๆ ไม่เกิดภาวะตื่นตูมขึ้นมา แต่ถ้าสภาวะกดดันเช่นนี้ อย่างที่อโศกเป็น พอถึงจุด ก็ต้องระวังเลย คนจะแห่มาบ้าเลย
เมืองไทยมีความบ้านะ แม้แต่เรื่องเต้นกินรำกินนี่ เขาก็บ้ากันแล้ว แต่ก่อนนี้เป็นเรื่องน่ารังเกียจนะ แต่เดี๋ยวนี้ส่งเสริมกันนะ เมื่อก่อนทาลิปสติกนี่ เขาว่าเป็นหญิงหากิน แต่ว่าเดี๋ยวนี้ ใครไม่ทาก็เรียกว่าไม่มีชั้นเลย นี่เป็นเรื่องกลับหัวเลย
อาริยบุคคลแท้นั้น ถึงขั้นไม่สะสมสิ่งที่เขามอมเมา ครอบงำความคิดกันมา ท่านก็ไม่สะสม ท่านเป็นอาริยะที่มีภูมิพอ มีโลกวิทู รู้ทันโลก โสดาบันก็รู้เท่าทันโลก ระดับโสดาบัน สกิทาฯ ก็สูงขึ้นอีก รู้ทันเพิ่มขึ้นอีก แต่เดี๋ยวนี้เขาไม่เข้าใจกันแล้ว แม้เรื่องอบาย สมัยพระพุทธเจ้านั้นยังไม่มีมาก เป็นยุคสมบูรณายาสิทธิราช นักการเมืองคือ ผู้ช่วยพระเจ้าอยู่หัว ไม่มีเงินเดือน แล้วแต่ท่านให้ ก็มองไม่ออกหรอกว่า จะเป็นอบายอย่างไร แต่ทุกวันนี้มาเป็นของประชาชนทั่วไป บริหารจริงทำงานจริง ก็ราษฎรเลยจัดโครงการ เบิกเงินเอง ทำเอง จัดสรรเองเลย ไม่ผ่านในหลวง ก็เลยมีพฤติกรรมโกงกินในนั้น เป็นความเสื่อมต่ำที่ยิ่งกว่าอบายมุข การละเล่นพวกนี้ อย่างนักการเมือง ไปเป็นได้ ไม่เท่าไหร่ ไล่ไม่ทันหรอก คนไหนเด่นทางการเมือง แล้วเดี๋ยวนี้อบายมุขระดับหมื่นล้าน แสนล้านนะ เขาไม่รู้ว่าเป็นความเสื่อมต่ำที่เลวร้ายมาก เขาไม่เข้าใจกันว่า นี่คืออบายมุข เพราะในยุคพระพุทธเจ้า เลวไม่ถึงขนาดนี้
อาริยบุคคล แตกต่างกับอารยบุคคล กับอริยบุคคล ที่คนพากันยกย่องเชิดชูกัน สังคมเขาไม่ยกย่องอาริยบุคคลหรอก เขาไม่ค่อยรู้เรื่องกัน แต่เขาจะยกอารยบุคคล กับอริยบุคคลกัน อาตมาไม่ได้น้อยใจเสียใจ หรือกลัวเลย อาตมาตั้งใจที่จะสาธยาย ให้พวกเราได้รับผลไปเรื่อยๆ ไม่ห่วงเลย ได้เท่าไหร่ ก็ขอให้เป็นของจริงเลย มันจะจบเลย โสดาบันก็เที่ยงแล้ว นิยตะแล้ว ยิ่งสกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็ยิ่งจริงไปเรื่อยๆ ยังไงๆ ก็ไม่เสียแรงแน่ ส่วนจะไปไกลแค่ไหน พวกคุณก็จะทำอย่างอาตมาทำต่อไป
อาริยบุคคลก็เหมือนคนปกติธรรมดา แต่ต่างจากอารยบุคคลกับอริยบุคคล เพราะความรู้จักรู้แจ้งรู้จริงในอาริยธรรมไม่มีแล้ว จนทุกวันนี้ อารยธรรมและอริยธรรม เขาก็ถือเป็นคุณงามความดีไปแล้ว แต่อาริยธรรม เขาก็ยังไม่ได้ให้ผุดให้เกิด ปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า หรืออาริยธรรมพระพุทธเจ้า ก็ได้ถูกลืมเลือนไปแล้ว เขาเข้าใจได้แค่อารยธรรม หรืออริยธรรม
เขาเข้าใจว่า ความเจริญของอารยบุคคล คือคนเก่ง สามารถเอาเปรียบสังคมที่ไม่ผิดศีลธรรม จริยธรรมสามัญ ของสามัญ ไม่ผิดกฎหมายด้วย ก็ได้เป็นการใช้ความรู้ความสามารถ ทำให้คนนับถือบูชาความร่ำรวย แล้วสร้างความดีฉาบพอกไว้ผิวเผิน เป็นบุญหนักศักดิ์ใหญ่ในสังคม เพราะมีความสามารถ คิดให้ตนได้เปรียบอย่างที่คนในสังคมจำนน บกพร่องโดยสุจริต หรือแม้จะไม่สุจริต แต่ด้วยความเก่ง ฉลาดมากมาย เชี่ยวชาญจนใช้เล่ใช้เชิงชั้น จนถึงสามารถครอบงำด้วยอำนาจ ในการบำเรอกิเลส ด้วยการบริจาค หรือใช้กามคุณ โลกธรรม ครอบงำให้คนตกใต้อำนาจ ถ้าจะยกตัวอย่างให้ชัด ก็คือธรรมกาย ที่ทำอยู่นี่ครบเครื่องเลย เขาเอาทั้งอารยธรรมและอริยธรรม มาใช้เป็นการตลาดทั้งสองอย่างเลย คนรู้ไม่ทัน เสร็จเขาหมด
อาริยบุคคลเป็นคนปกติ ไม่ได้มีอะไรวิเศษเหมือนอารยะหรืออริยะ แต่ทุกวันนี้ คนก็ไปเข้าใจเชื่อแล้วว่า อารยะหรืออริยะ นี่เป็นสิ่งน่ายกย่องชูเชิด จนทุกวันนี้ ความดีแยกเป็นสองสาย นั้นแล้ว ความเป็นปรมัตถธรรมของพระพุทธเจ้า จึงลืมเลือนไปจากวงการศาสนาแล้ว แม้คนนั้นจะได้รับยกย่อง เป็นปราชญ์ทางศาสนาพุทธ ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ
เมื่อความเป็นทาสของ กามสุขกับอัตตทัตถสุขมีมาก เขาก็จะใช้สิ่งเหล่านี้ มาเป็นอำนาจครอบงำคน ใช้อำนาจลาภยศสรรเสริญ ทุกรูปแบบที่เกิดกัน ทั้งรูปงาม เสียงเพราะ กามคุณต่างๆ สนุกเพลิดเพลิน เร้าอารมณ์สารพัดจัดจ้าน บรรเจิดเลิศเลอไปด้วยกามคุณ ๕ หนาเปรอะ และบำเรออัตตา ๓ อย่างมืดมัว โมหัน แล้วสร้างภาพซ้อน ให้คนฉลาดที่รู้ไม่เท่าทัน เป็นภาพหลอก ซับซ้อน ให้คนฉลาดรู้ไม่ทันตกเป็นเหยื่อ แข่งกันในสังคม ไม่ว่านักธุรกิจ ข้าราชการ นักการเมือง หรือนักบวช ทุกวันนี้สร้างอารยธรรม สร้างอารยบุคคล ด้วยนัยะนี้กันทั้งนั้น
ถามว่านักบวชในประเทศไทย ที่ใช้อารยธรรม ความเจริญทางวัตถุมามอมเมาครอบงำ มีมากกว่าอริยะที่เก่งทางจิตนิยม อะไรมีมากกว่ากัน ก็อารยะพวกวัตถุนิยมก็มีมากกว่า ทำเช่นนี้มากเลย ธรรมกายเขาใช้อารยธรรม มากกว่าอริยธรรม คือเขาเข้าใจการตลาด
อารยบุคคล คือคนที่สะสมให้ตน ด้วยวัตถุวิสัยและโลกวิสัย objective และทั้งด้วยจิตวิสัยและอัตวิสัย subjective ด้วยการสะสมความเก่งทางวัตถุและจิต ความเก่งทางจิตนี้ เรียกว่า Psychology อารยบุคคล จึงมีความเจริญทางที่ไม่มีทางจนลงๆ เขาใช้ทั้งวัตถุนิยม ( subjective ) และจิตนิยม (Psychology) เขาไม่ยอมสละทรัพย์สินของตน ไม่เสียสละ มีแต่จะเพิ่มขึ้นๆ เพราะตนเก่ง ที่สำคัญคือตนยังยึดติด จึงไม่กล้าจน จะไม่กล้ามีชีวิตมักน้อยสันโดษ อย่างเป็นจริงได้เป็นอันขาด พระบ้านเป็นเช่นนี้เสียส่วนใหญ่เลย ทฤษฎีเศรษฐกิจพอเพียง ที่ในหลวงพระราชทานให้แก่ข้าราชบริภาร แต่เขาได้บัลลังก์เสียแล้ว จะให้มาบังเกิดผลแก่สังคมไทย จึงเป็นไปไม่ได้ด้วยประการฉะนี้
จริงๆปฏิภาณปัญญา เขาก็พอรู้ เรื่องเศรษฐกิจพอเพียง หรือแบบคนจนเขาพอรู้ แต่เขาก็มาจนไม่ได้ จะพอไม่ได้เลย เขาว่าจะมาจนทำไม? ขนาดพวกเราเข้าใจซาบซึ้ง ยังจนไม่หมดเสียทีเลย กลัวนั่นกลัวนี่ กลัวประมาท ก็ไม่รู้ประมาทอะไร ถ้าหมดเนื้อหมดตัวตอนนี้ มันจะประมาทนะ ผู้ที่กลัวเช่นนี้ ไม่ไว้ใจสังคมที่เราอยู่ หรือไม่ไว้ใจตนเองนะ .... ก็ไม่ไว้ใจตนเอง ส่วนใหญ่นะ กลัวตนเองอยู่ไม่ได้ แล้วไม่มีเงินเลย แต่ก็เชื่อว่าพวกเรา พอเข้าใจว่าสังคมอโศก พึ่งพากันได้แล้วนะ อาจมีบางคน ไม่เต็มก็รู้อยู่มีบ้าง แต่ที่เข้าใจเต็มแล้ว ก็เป็นสาธารณโภคี ที่พึ่งเกิดแก่เจ็บตาย กันได้นะ
ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
-พวกเรานี่เข้าใจแล้วเรื่องเบื้องต้นหยาบๆ พวกเราไม่เอาแล้ว วัตถุธรรม ลาภยศ สรรเสริญหยาบๆ แต่ก็มีข้างในเรานี่ยังไม่ขาดทีเดียว เป็นแต่เพียงว่ามาอยู่ที่นี่ ยังไงเขาก็ไม่ให้เงินเดือน ไม่มียศให้ ยศของเราคือ ให้รับใช้ตามยศนั้นๆ ไม่ได้มีอำนาจบาตรใหญ่ ถ้ามาที่นี่ ก็ตั้งใจมาจนแน่ เขตนี้แหละที่อาตมาว่า พวกเราเข้าข่ายเป็นอนาคามี คนชาวอโศก สาธารณโภคีคืออนาคามีกลายๆ เพราะไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ มันเหมือนของสงฆ์ สมัยพระพุทธเจ้า มาบวชแล้ว ตัดญาติตัดทรัพย์สิน เป็นสาธารณโภคีในสงฆ์ หากอยู่ไม่ไหวก็สึกออกไป แต่มาบวชแล้วตัดขาดญาติ แต่ไม่ใช่ว่าตัดทิ้ง ไม่ดูดำดูดี ไม่เอาใจใส่ ไม่ได้นะ มันมีอะไรลึกซึ้งอีกเยอะ สรุปคำตอบคือ พวกเรามาอยู่ที่นี่แล้ว โดยรูปสามัญข้างนอก เหมือนอนาคาริกชน แต่ใจไม่ขาดบ้าง ก็กดข่ม พยายามเอา ถ้าอนาคามีจริง มันไม่ได้อยากจริงๆ มันเหลือแต่ข้างในเป็นรูปราคะอรูปราคะ คือเหนือกามภพจริงๆ ตรวจให้จริง ที่มันตรวจได้ เพราะเราก็อยู่เกี่ยวข้อง ไม่ได้ทิ้งไปจนเราเข้าป่า สะกดจิต ไม่เกี่ยวเลยก็ไม่ใช่ ของเราก็ยังมีการงาน มีเงินทอง มียศศักดิ์ เหมือนข้างนอกด้วย ที่นี่บางที ให้สิทธิ์มากกว่าข้างนอกด้วย ให้ศึกษาดีๆ นี่คือฐานหนึ่งที่ต้องอ่านจิต จะได้รู้ว่าหลายคนเป็นอนาคามีแล้ว นี่จะได้รู้ตัว
-มาอยู่ที่นี่ทำอาชีพเก็บผัก แล้วเห็นความเป็นนานาสังวาส ในเรื่องการเก็บผัก มักถูกคนปลูกผักว่าเราตัดเอาแต่สวยๆ
ตอบ... ก็ศึกษาความจริงว่าอันไหนดีกว่า ก็พูดกันให้รู้เรื่อง อย่างที่คุณทำ แม้พูดด้วยเหตุผลหลักฐาน ว่าของคุณดีกว่า แต่คนปลูกไม่ให้ เราก็ต้องจำนน ถ้าพูดแล้วเขาไม่รู้เรื่อง ก็ต้องแล้วแต่เขา หรือว่าเขารู้เรื่องแต่ไม่ยอม เราก็ต้องจำนน
-ตอนอยู่โลกๆ ดิฉันก็มีสุขที่ได้สนองอารมณ์ตน แต่มาฟังธรรมพ่อท่าน ให้ละสุขละทุกข์ แต่ก็ละไม่ได้ มันทำใจเสพมากกว่าทำใจลด ถามว่า เราอยู่ทางโลกได้สุข แต่ว่าตอนมาทางธรรม ทำอย่างไร เราจะได้มีสุขจากการลดละได้
ตอบ... คุณหาโจทย์ที่ทำได้ อ่านใจว่าเรามีอาการ ใจที่หลงเสพสุข แต่เราก็ไม่ให้มันเสพ มันไม่ใช่ของจริง การเสพสุขเป็นแค่รสสัมผัส ในขณะได้ข้าวของมา ก็ได้รสสุขสูงในตอนแรก พอเก่าไปก็ลดลงๆ ยิ่งนานไปก็ชินชาไปเลย ก็เป็นเรื่องจริงที่ว่า มันไม่เที่ยง แล้วมันเป็นเหตุแห่งทุกข์ ที่เราต้อง ยึดเอาเป็นเราเป็นของเรา มายึดเป็นภาระ ในอนาคามีก็เหลือแต่กิเลสในจิต ที่น้อยเป็นเศษเหลือในใจ ท่านไม่เรียกว่าทุกข์ แต่เป็นกิลมถะ เป็นการลำบาก อนาคามีขึ้นไปไม่มีสุขหรอก มีแต่ความลำบาก แม้ที่สุดอรหันต์ก็เหลือแต่ทรถะ มันเป็นภาระสำหรับอรหันต์ ภาราหเวปัญจขันธา เป็นทุกข์เลี่ยงไม่ได้ ต้องอ่านความจริง จากกรอบที่เรากำหนด ให้รู้ว่าหมดทุกข์ หมดกิลมถะ จนถึงทรถะ คุณจะได้รู้สภาวะเช่นนี้ อรหันต์เท่านั้น จึงมีสิทธิ์พูดว่า ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป ได้มีแต่ทรถะ
-ปฏิบัติธรรมต้องละสุขเท็จ หมดสุขเท็จ ก็เหลือแต่ทุกข์ทรถะ แล้วแม้อรหันต์ สุดท้ายก็เหลือแต่ทรถะ ทุกข์ที่เลี่ยงไม่ได้
-ส.พอแล้ว...มีสงสัย...เรื่องอายตนะคืออย่างไร ในสภาวจิต แล้วดินน้ำลมไฟดับไม่ให้เหลือ แต่อายตนะที่ยังอยู่ ในภายใน เป็นอย่างไร สภาวจิตที่ยังอยู่ เป็นสภาวะแบบไหน?
ตอบ....สำคัญที่อายตนะ ถ้าเข้าใจอายตนะแล้ว คำว่าอายตนะ ผัสสะ กาย สามอย่างนี้ ไม่ใช่ตัวมันเองจะตั้งอยู่ มันเกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าไม่มีเหตุปัจจัย มันตั้งอยู่ไม่ได้ มันจะเกิดได้ต้องมีตั้งแต่สิ่งสองสิ่ง ถ้ารูปกับรูปกระทบกัน ก็ไม่เกิดอะไรที่เป็นเยื่อใย เป็นไปตามเหตุปัจจัยธรรมชาติ แต่ดินน้ำไฟลม มันจะดับไม่เหลือนั้น ไม่มีใครไปดับมันหรอก มันเปลี่ยนสภาพไปเท่านั้น แต่ที่หมาย ที่ถามว่า ดินน้ำไฟลมดับไม่เหลือ ในพระไตรฯ ท่านไม่ได้บอกว่า ดับไม่เหลือ แต่ท่านบอกว่า ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน ดินน้ำไฟลม ที่ว่าดับไม่เหลือนั้น เธออย่ากล่าวเช่นนั้น ดินน้ำไฟลมไม่มีดับ มีแต่คุณจะดับไป ถ้าคุณปรินิพพานไปแล้ว ธาตุแยกทุกอย่างไม่เหลือ ต้องถามว่า ดินน้ำ ไฟลม ตั้งอยู่ไม่ได้ในที่ไหน
ถ้าไปติดยึดดินน้ำไฟลมเป็นเรา ก็ตั้งอยู่ได้ แต่ถ้าไม่ยึดถือดินน้ำไฟลม ก็ไม่ตั้งอยู่ได้ในจิตเรา ตั้งอยู่ที่ไหน ก็อยู่ที่จิตเรา
อายตนะ เมื่อจะเกิด ตากระทบรูปมันก็จะเกิดอายตนะ มีสะพาน อายตนะคือสะพานเชื่อมต่อ ระหว่างสิ่งสองสิ่ง พอสิ่งสองสิ่งนี้ขาดจากกัน อายตนะก็หายไป กายก็หายไป ผัสสะก็หายไป อายตนะไม่ตั้งอยู่ที่ไหน มันเกิดจากเหตุปัจจัย เช่นเดียวกับวิญญาณ เกิดจากเหตุปัจจัย ไม่มีเหตุปัจจัยวิญญาณไม่เกิด ไม่ตั้งอยู่ด้วย อายตนะจะเกิดเมื่อมีนามด้วย ถ้ารูปกับรูปกระทบกัน ไม่เกิดอะไร แต่ว่ามีธาตุรู้ไปรับสัมผัส ก็เกิดอายตนะ เกิดวิญญาณ
อายตนะนั้น ต้องมีผัสสะจึงเกิด มีทวารนอก กระทบแล้วก็เกิดอายตนะ จึงเป็นสิ่งภายนอก ส่วนอายตนะภายใน ก็ต่อเนื่องจากภายนอก แล้วถือว่าไปรู้ข้างในอีกที เมื่อเราไม่เกี่ยวกับข้างในเลย ใช้สัญญา เป็นรูปสัญญาภายใน ในภายในเราเอง มันเกิดที่จิตปรุงแต่งกัน ระลึกขึ้นมาก็เกิดอายตนะ จนที่สุดล้างกิเลส อนาคามีล้างได้หมดเกลี้ยง เหลือปลายเศษสุดท้าย คือ มนายตนะ กับ ธรรมายตนะ กิเลสในระดับ อุทธัจจะกับอวิชชา อวิชชาก็คือความไม่รู้ เป็นนามธรรม ส่วนอุทธัจจะเป็นรูปธรรม สองตัวสุดท้ายแล้ว เมื่อเกิดอายตนะสองสุดท้าย เกิดการเรียนรู้ ระดับเนวสัญญานาสัญญายตนะ มันไม่มีแล้ว กิเลส ระดับหยาบทุกอย่าง เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา คือสัญญากำหนดรู้ตัวสุดท้าย ทุกอย่างก็คือความรู้สึก อรูปฌาน
๑.อากาศ (อากาสาฯ)
๒.ความว่าง (วิญญานัญจา)
๓. (อากิญจัญญาฯ) ความสะอาดของวิญญาณ มันจะมีอะไรนิดนึงน้อยหนึ่ง เศษนิดเศษหน่อยก็ไม่ให้มี แล้วความสะอาดของอุเบกขานั้น ต้องมีผัสสะ แล้วก็ยัง ปริสุทธา ปริโยทาตา มุทุกัมมัญญา ประภัสสรา
๔. ต้องตรวจรู้ให้หมด ไม่มีที่ไม่รู้ไม่ได้ ต้องรู้ทั้งหมด
อากิญจัญคือรูป เนวสัญญาฯคือนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เราก็รู้มัน ไม่ให้มีเศษเหลือเลย แล้วตรวจแล้วตรวจเล่า เป็นเวทนา ๑๐๘ ในอดีต ปัจจุบัน อนาคต ที่กิเลสสูญอย่าง นิจจัง ธุวัง สัสสตัง...
-