![]() |
![]() |
สังคมอาริยะนั้น รู้กันไม่ได้ง่ายๆ 580210_พ่อครูเทศน์ก่อนฌาปนกิจ ยายปางพร ปางหินฟ้า บ้านราชฯ |
พ่อครูว่า...โยมปางพรก็ ๗๑ ปีแล้ว ทุกคนก็ต้องตายเหมือนกัน คนเราเกิดมาเป็นคนแล้วนั้น อาตมาก็ย้ำไม่รู้กี่ที ว่าชีวิตของคน พระพุทธเจ้าตรัสว่า คนได้ร่างกายรูปนาม ครบบริบูรณ์ ครบอาการ ๓๒ ก็ถือว่า เป็นผู้มีอาการทุกส่วนครบสมบูรณ์ มีสุรภาโว แถมมีสติมันโต มีองค์ประชุมของกรรมครบ มีสติสัมปชัญญะปัญญาครบ ผู้สามารถฝึกตนได้อย่างนี้ แล้วก็ปฏิบัติ โดยรู้ว่าเรามีร่าง เรามีดินน้ำไฟลม ประกอบในตัวเรา และประชุมกับสิ่งรอบตัวเราทั้งหมด ดินน้ำไฟลม อากาศและวิญญาณธาตุ พระพุทธเจ้าจัดไว้ ๖ ธาตุ แต่วิทยาศาสตร์จัดไว้แค่สสารกับพลังงาน เมื่อมาประชุมครบพร้อม ถึงเกิดวิญญาณ ผู้ที่ยังไม่มีดินน้ำไฟลม ไม่มีร่าง ไม่มีสุรภาโว สติมันโต โอกาสที่จะมีวิญญาณให้ศึกษาจึงไม่มี ตายแล้วก็ไปรับวิบาก ตายไปแล้วไม่มีสุรภาโว สติมันโต ไม่มีแดนให้ทำกุศล-อกุศล ไม่มีแดนให้ประพฤติพรหมจรรย์
ในโอกาสที่เรามีสุรภาโว สติมันโตพร้อม โอกาสที่เราไม่ตายนี่แหละ ที่เราจะสามารถปฏิบัติพรหมจรรย์ ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก พร้อมสัญญาและใจ ต้องพากเพียรเอาจึงได้ ไม่มีบารมีก็ไม่ได้ ต้องฝึกฝนจึงเกิดได้ อยู่ๆเป็นเองไม่ได้ ต้องเรียนรู้สัมมาทิฏฐิ แต่ไม่สัมมาปฏิบัติก็ไม่เกิดผล ต้องมีทั้งสัมมาทิฏฐิ และสัมมาปฏิบัติ
อาตมาก็กำชับกำชาแล้ว แต่คนเราก็พากเพียรเอาโลกีย์ เพราะโง่ อวิชชา มีกิเลสหนามากอยู่แล้ว ก็ยังใช้เวลา พลังงาน ความพยายามอุตสาหะเพื่อจะเสริมกิเลสอีก คนไม่รู้ก็น่าสงสาร แต่ผู้รู้แล้ว แต่ปล่อยเวลาให้ล่วงไปๆ ไม่ทำให้เกิดกาย วจี หรือจิตที่ดีขึ้น จนบรรลุอรหันต์ เพราะเรามีองค์ประกอบ เป็นมนุษย์ชมพูทวีปแล้ว มีสุรภาโว สติมันโต อิธ พรหมจริยวาโส
คำสอนพระพุทธเจ้า เป็นคำตรัสที่ยิ่งใหญ่ พระพุทธเจ้าว่า ถ้าพากเพียรปฏิบัติจริงๆ สัมมาทิฏฐิ , ๗ ปียกไว้จะได้เป็นอรหันต์ พากเพียรก็คือปฏิบัติทุกลมหายใจ ไม่ใช่ว่า ไปนั่งสมาธิดูลมหายใจนะ แต่ว่าให้มีสัมผัสทุกขณะ แล้วเราจับกิเลสได้ไว ลดละได้ไว ก็จะมีผลสูง แต่ถ้าทำได้ช้าๆ ปฏิบัติเร็วไม่ได้ ปฏิบัติเร็วก็รู้ไม่ทัน ก็จำนน แต่ถ้าปฏิบัติได้เร็วได้ อย่ารีรอ อย่าผัดผ่อนให้กิเลสกระซิบ กิเลสจะดึงเราไปเรื่อย เราแพ้กิเลสเสมอ เราก็เสียเวลาไปช้า เกิดการเนิ่นช้า ผู้ใดนิยมในความเนิ่นช้า ผู้นั้นไม่ได้บรรลุ
อาตมายังหวังในพวกเรา ที่ได้เรียนรู้ปฏิบัติมาขนาดนี้ ว่าจะได้ฝึกฝนจนเป็นอาริยะ สืบสานโลกุตรธรรม หากเราไม่มาสืบสาน ก็จะหมดได้ แต่ยังไม่หมดหรอก อาตมาก็ต้องมาทำ ได้ไม่มากก็น้อยล่ะ ทำได้เท่าที่ทำได้ ไม่มีการหลอกล่อ
สังคมเราเป็นอาริยะ คนไม่เข้าใจเรื่องอาริยะ เพราะเขาเข้าใจแค่อารยะกับอริยะ สังคมเราเป็นสังคมอาริยะ ที่เขาไม่เข้าใจหรอก คนข้างนอกเขาดูหมิ่นดูแคลน ว่าพวกเราก็อย่างนั้น ไม่มีอะไรหรอก เขาไม่เข้าใจจริงๆ ก็อย่าไปโทษเขา เขาได้รับการครอบงำความคิดว่า อารยะก็คือมหาอำนาจ มีอำนาจโลกธรรมมาก มาครอบงำให้คนอื่นตกเป็นทาส เป็นเบี้ยล่าง เขาก็เป็นไป ส่วนพวกอริยะ ก็หลงทิ้งวัตถุสมบัติไป แล้วไม่ได้ศึกษาวิเคราะห์จิต ได้แต่จิตเจโตสมถะ ไม่มีการศึกษาทางจิตเจตสิก ที่ละเอียดพอ
ผู้ใดทำตนเป็นหมาหัวเน่าอยู่ในกลุ่ม แม้พฤติกรรมตน จะไม่ต่ำกว่าเกณฑ์ เขาก็ไม่ไล่ออก แต่เขาไม่ยินดี ไม่อนุเคราะห์ แต่ไม่ถึงกับต้องปะเหลาะเลย ปะเหลาะเขาก็รู้ทันอีก ต้องทำอย่างจริงใจ ไม่เห็นแก่ตัว ไม่ขี้โลภ ไม่ตะกละตะกราม ไม่โกรธแสดงอาการสายโทสะ ก็จะเป็นที่รักของหมู่ จะบอกว่าเขาลำเอียง แต่ก็คือเหตุจากตนเองด้วย ตนเองเป็นเหตุที่ทำให้เขาไม่สนับสนุน เราก็ว่า เราทำเพื่อส่วนรวมแล้ว แต่ทำไมเขาไม่สนับสนุนเรา เพราะเหตุว่าตัวเราไม่สมบูรณ์ ที่เราสร้างกายไม่ได้สัดส่วน ไม่สมรูปนาม เขาก็ไม่ชอบใจ ไม่ยินดี ก็ขัด เป็นธรรมดาธรรมชาติของสัจจะ นอกจากวิบากกรรมแต่ปางก่อน ก็สุดวิสัยที่จะไปแก้ไขอะไร เป็นวิบากตามทัน ก็ช่วยไม่ได้ แต่เราสามารถยับยั้งวิบาก จากหนักเป็นเบา จากมีเป็นไม่มีได้ กรรมใหม่เป็นตัวแปร ที่จะแปรให้อกุศลวิบากปัจจุบัน ทำงานกับปัจจุบัน และเราทำให้อกุศลกรรมวิบากอดีต เบาลง ห่างลง ไกลไปก็ได้
สังคมอาริยะนั้น รู้กันไม่ได้ง่ายๆ สังคมข้างนอก เขาหลงอารยบุคคลและอริยบุคคล ที่ไปสะกดจิตดับดิ่ง ทิ้งวัตถุวิสัย ไม่เอาโลกธรรม แต่จมไปในจิต แม้อัตตาตน ก็ไม่รู้จัก อ่านจิตตนไม่ออก ดูไม่เป็น ก็ไม่สามารถเข้าใจจิต อัตตาจริง ก็เลยจมกับอัตตา เป็นอัตตาเต็มบ้อง มีแต่มืดดำ สุภกิณหะ
อารยบุคคล หรืออริยบุคคล ก็มีนัยเช่นนี้
ส่วนพวกเรา อาริยะบุคคลก็คือ คนที่ไม่ใช่คนเหาะเหิน เดินน้ำดำดิน แต่เป็นคนล้างกิเลส ไม่เอาเปรียบคนอื่นได้ เป็นอาริยบุคคคลตามลำดับ จะเป็นคนไม่อึดอัดเลย เป็นโสดาบัน สกิทาฯ ก็อาจอึดอัดบ้าง แต่เมื่อเข้าใจจริงแล้วถูกต้อง ตามบัญญัติสภาวะ จะรู้ว่าเราก็ต้องทุกข์ลำบาก ต้องเหน็ดเหนื่อยให้กิเลสหมด
จะเสนอให้สังคมรู้ ไม่ง่าย แต่จะเป็นคนที่เหมือนคนปกติ แต่มีปาสาธิกะ เห็นอาการเมตตากายกรรม วจีกรรม มโนกรรม จริงๆ ระลึกถึงงานการที่มีประโยชน์ มีเวลาก็ทำงาน รู้พักรู้เพียร เป็นนักเศรษฐศาสตร์สุดยอดนะ ยังบรรยายไม่หมดพอเลยนะนี่ สังคมเขาก็ต้องการคน แบบอาริยะนี่แหละ แต่เขายังไม่เข้าใจ เราก็บังคับไม่ได้ ต้องใช้เวลาพิสูจน์
นี่เป็นช่วงต้นที่อาตมาทำมา ให้เกิดขึ้น เขาก็ยังไม่รู้หรอก มันจะใช่หรือ แปลกๆนะ เราต้องยืนหยัดทำ จนให้คนตาบอดเห็นได้ เราก็ไม่รู้เมื่อไหร่ แต่เราก็ต้องทำสุดที่ ถ้าเราขมีขมัน เอาใจใส่ ประโยชน์ตนก็จะได้ ประโยชน์ท่านก็ได้ เป็นคุณแก่ศาสนามาก สำหรับศาสนาสมณโคดมนี้
แต่ละคน ก็พยายามศึกษาไป จะได้ว่าคนอาริยะ โสดาฯ สกิทาฯ เป็นคนเช่นนี้ ไม่ได้เป็นคนประหลาดอะไร ไม่ได้มหัศจรรย์ แปลกๆ ที่เขาเข้าใจกัน แต่ถ้าเข้าใจว่า คนอาริยะ เป็นเช่นนี้เอง มันน่าทึ่งกว่าไปเหาะเหิน เดินน้ำดำดิน เป็นคนธรรมดา แต่เป็นจิตไม่เห็นแก่ตัว เห็นแก่ผู้อื่นจริง ไม่ทำเพื่อได้อามิสตอบแทนเลย คนเหล่านี้ไม่ได้กลัวจนเลย เราจะไม่รวยกันหรอก เพราะเราปฏิบัติตามทฤษฎีพระพุทธเจ้า ท่านไม่ให้ไปรวย เพราะรวยก็คือ คนกักตุนสะสม หอบหวง เราก็มีแค่ทุนเอาไว้สะพัด มีคงคลังไม่มาก ให้สะพัดออกให้มาก ถ้าคงคลังเราดี มั่นคง ก็จะสะพัดได้มาก
ตรวจทาน 18ก.พ.2568