580212_ความรัก๑๐ มิติ (๑๗)
จิตวิเคราะห์แบบพุทธ

พ่อครูว่า... วันนี้พฤหัสบดีที่ ๑๒ เดือนกุมภาพันธ์ ๒๕๕๘  แรม ๙ ค่ำเดือน ๓ ปีมะเมีย วันนี้เราจะมาพูดถึงเรื่อง ความรัก ๑๐ มิติ เรื่องนี้เกิดมาตั้งแต่ปี ๒๕๑๗ อาตมาก็หยิบนามธรรม มาให้เรียนกัน ธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องรู้รูป-นามชัด เราจะเข้าใจอาการของ “กาม” หรือเข้าใจความรัก ขั้นสูงกว่าไปอีก รู้อาการจิต ที่มีลักษณะต่างไป มันเปลี่ยนจากเดิม ที่เป็นความรักในวงแคบ เห็นแก่ตนเอง กับอะไรสิ่งหนึ่ง เราเรียกว่ากามหรือเมถุน (คนคู่) เราจะต้องอ่านอาการแคบๆ นี้ออก เช่น เราผูกพัน เห็นแก่สิ่งนั้นเท่านั้น อย่างอื่นไม่เห็นแก่เลย

อย่างคนที่เขารักหมา รักผูกพัน ไม่เห็นแก่คนอื่นเท่าหมานี้เลย ตัวที่เขารัก ผูกพันกันหนัก หมาข้าใครอย่าแตะ รักเช่นนั้นก็เป็นมิติที่ต่ำๆ หรือการติดในรส ความเป็นคนคู่กันในโลกนี้ มีกันอยู่สองคนเท่านั้น สองสิ่งสองอย่าง มีทั้งเป็นได้กับคนกับสัตว์ หรือวัตถุก็ได้ คือกับสองสิ่งเท่านั้น

คนบางคนอยู่ในภพกามนิยม ไม่ปกติสามัญมนุษย์โลกเขา เขามีสิ่งที่เขารัก หวงแหนยิ่งกว่าอะไร เราก็จัดคนนี้เป็นพวกคนบ้า ใครมาแตะสิ่งนี้ไม่ได้เลย คนสัมผัสแล้วก็ว่าคนนี้บ้า อย่างเด็กรักตุ๊กตา เขาหวงแหน ใครมาแตะไม่ได้เลย จะเกิดถาวรหรือชั่วคราว เราก็จะได้ศึกษา เมื่อโตขึ้นมีอย่างอื่นมา ก็คลายไปบ้าง แต่ก็ยังรักอะไรที่เป็นหนึ่งเด่น อยู่อย่างเดียว อันนี้ก็เป็นกามนิยม หรือเมถุนนิยมอยู่ ไปยึดมั่นถือมั่นกันไปคนละชนิดเท่านั้น การไปยึดผูกพันอันใดอันหนึ่งจัดจ้าน อันนี้แหละคือกามนิยม จนเราเผื่อแผ่ให้คนอื่นไม่ยึดมั่นถือมั่นเกินการ ก็คือเราคลายจากความเป็นเมถุน มีคุณสมบัติดีขึ้น อาการนามธรรมเหล่านี้ เราต้องเรียนรู้จริงๆ พระพุทธเจ้าสอนให้เราปล่อยวาง ล้างเลย ไม่ควรผูกยึด แต่ให้เราเกี่ยวข้องตามควร

สิ่งที่เราเกี่ยวข้องกับสิ่งภายนอก แม้แต่ดินน้ำไฟลม ที่เราอาศัยเป็นร่างกาย เราก็อย่าไปยึดเป็นเรา เป็นของเราเช่นกัน นามธรรมนั้นยังไม่พูดถึง เอาแค่รูปขันธ์ก่อน ถ้าเรายึดมั่นถือมั่น หวงแหนไม่เผื่อแผ่ใคร เป็นเอกจัดจ้าน นี่คือกามนิยม หรือเมถุนนิยม ไม่ว่าจะลักษณะไหน ในเด็กเขาผูกพันกับสิ่งที่สัมผัส ตุ๊กตาเขาก็กอดก็หอม ถ้าเขาไปหวงแหนขนม ก็เช่นเดียวกัน ได้กินแล้ว ได้เสพรสหมดแล้ว ก็ยังติดยึดอยากกินอีก นี่คืออาการติดยึด เห็นแก่ตัว ไม่ให้คนอื่นมาแย่งชิง แตะต้องเลย นี่คือ ความเห็นแก่ตัวเหนียวแน่น ถ้าเราคลายอาการเช่นนี้ไปได้เรื่อยๆ คือการคลายอาการกาม คลายเมถุน

ถ้ามิติที่ ๒ ขึ้นไป ก็เป็นสามอย่าง ที่ใกล้ชิด ที่มีเหตุปัจจัยที่เราเห็นว่า ต้องเผื่อแผ่เกื้อกูลกัน เรียกว่าพันธุนิยม หรือปิตุปุตตานิยม ก็จะเผื่อแผ่กว้างขึ้นสู่อีกคนหนึ่ง หากเผื่อแผ่ได้กว้าง ก็เหมือนการแชร์ เท่าๆกันเลย จากสิ่งหนึ่งเป็นสอง หรือเป็นสามเส้าได้ ถ้าเป็นลูก นั้น มีลักษณะแผ่ออกไปมากขึ้น ลดความคับแคบลง ลดเห็นแก่ตัว เผื่อไปสู่คนอื่นได้ จริงๆความเห็นแก่ตัวคนเดียวเลย อัตตาเต็มบ้อง คือพวกฤาษีชีไพร ถือว่าเป็นมิติที่ ๐ เลย

พุทธศาสนาสอนให้อ่านอาการเหล่านี้ จนกระทั่งคลายไป เผื่อแผ่ออกไป กว้างขึ้นเรื่อย แล้วจากเผื่อลูก ก็กว้างไปสู่ญาติ แล้วเพิ่มสู่สังคมนิยม มีมิตรสหายมากกว่าญาติ
๑.   กามนิยม (เมถุนนิยม)
๒.   พันธุนิยม (ปิตปุตตาฯ)
๓.   ญาตินิยม (โคตรนิยม)
๔.   สังคมนิยม (ชุมชนนิยม)
๕.   ชาตินิยม (รัฐนิยม)
๖.   สากลนิยม (จักรวาลฯ) เห็นแก่ทั่วสากลจักรวาลเลย ก็ลดความเห็นแก่ตัวได้มากเลย
๗.   เทวนิยม (ปรมาตมันฯ) เน้นไปที่ตัวจิตเลย ในศาสนาอื่น ไม่ได้ศึกษาอย่างละเอียดลออ ในการศึกษาจิตอย่างละเอียด เขามีการรู้จิต แต่เขาไม่มี psychoanalysis ไม่มีจิตวิเคราะห์ เขาอ่านอาการ ที่แบ่งเป็นจิต ๘๙ หรือ ๑๒๑ , เจตสิก ๕๒ เขาไม่ได้เรียนรู้ เพราะเขาไม่สามารถจับติด ไม่สามารถมีปัญญาญาณวิชชา ที่จะเข้าไปอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทส ที่เข้าไปอ่านอาการนามธรรม ที่เป็นเจตสิกต่างๆ พุทธเรียนจิตวิเคราะห์ จนถึงความว่างจากเหตุ เช่นความโลภ กับเหตุปัจจัยต่างๆ เช่นคู่ของเรา ตุ๊กตาที่เรารักหรือสิ่งต่างๆ จนจิตเราไม่ยึดติด ว่างวางคลาย สัมผัสสิ่งเหล่านี้ ก็ไม่ยึดเป็นเราเป็นของเราเลย นั่นคือจิตวิเคราะห์ ที่เราจะอ่านเอง ให้คนอื่นอ่านให้ก็ไม่ได้ แล้วจะไปรู้นอกจิต ก็ไม่ใช่ ต้องรู้อาการจิตตนเอง ว่าไปอุปาทาน ไปยึดไว้จนเป็นอุปาทาน หรือเป็นสมาทาน

อาทานคือความยึด ยึดอย่างมีปัญญา เรียกสมาทาน หากยึดอย่างอุปาทาน คือยึดอย่างอวิชชา พอเริ่มสมาทาน ก็อ่านจิตบ้าง อุปาทานไปจนบรรลุสูงสุด เรียบร้อยเลย ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเราได้ ก็เป็นผู้ที่เป็นสมณะ คือผู้สงบจากกิเลส

เมื่อสงบแล้วก็จะรู้ว่า เราต้องอาศัย เป็นการยึดอย่างสมาทาน ยึดอย่างสมณะ รู้ทันกิเลส มีโลกุตรธรรม เหนือกิเลสแล้ว จึงเป็นผู้สมาทานแท้ เป็นผู้มีสมะ คือความสงบ นี่คือนามธรรม จิตเจตสิกที่เราต้องเรียน ต้องวิเคราะห์วิจัย อาการหยาบกลางละเอียด ไปจนสมบูรณ์แบบ

มิติที่ ๗ ยังเป็นแค่เทวนิยม หรือปรมาตมันนิยม เพราะเขาสร้างจิตให้เป็นปรมาตมันได้ เป็นเทวะที่ยิ่งใหญ่ได้ (บรม+อัตตา = ปรมาตมัน) เขายึดได้ เขาทำให้เป็นจิตเกื้อกว้าง ใช้ลักษณะไม่เห็นแก่ตัว เขาพยายามกั้น หาทางไม่ให้ยึดติด ต้องช่วยเขาไม่เอามาให้เรา ฝึกโดยปฏิภาณ แต่เขาไม่ได้มีจิตวิเคราะห์ เขาไม่ได้เรียนเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายของรูปกับนาม สัมผัสกันแล้วเกิดวิญญาณ ตั้งแต่มิติที่ ๑ มาเลย เรียนรู้จนรู้ว่า อาการยึดเป็นอย่างไร คลายเป็นอย่างไร แล้ววางได้ ไม่ยึดได้ จิตเปิดไปเกื้อกูลคนอื่นได้ ไม่ใช่ว่าเพราะเราเข้าใจเท่านั้น ว่าเห็นแก่ตัวมันนิดน้อย เราควรเกื้อกว้างขึ้นๆ แต่ไม่รู้เหตุ แล้วไม่มีปัญญารู้ว่า จิตตัวยึดมั่นถือมั่น แล้วเสพรส (กาม) เสพมาเป็นเรา (อัตตา หรืออาตมัน) เขาไม่มีจิตวิเคราะห์ละเอียดเลย เช่นฤาษี เอาแต่หนีผัสสะ ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์เลย

ของพระพุทธเจ้า เรียนรู้รูปนาม ที่เรียกว่า กาย เป็นสัตว์หยาบ ตั้งแต่ติดแค่คนคู่ อันอื่นกูไม่เผื่อแผ่ใครนะ เราก็เรียนรู้ของเรา ที่ไปยึดอะไรจัดนักหนา ก็หัดจับอ่านอาการจิต เมื่อมีรูปนามสัมผัสกัน ก็เกิดความจริงให้เราสัมผัส มีปสาทรูป โคจรรูป ทำงานร่วมกัน ก็เป็นภาวรูป ไม่หมดเพื่อนสอง มีสภาพสอง เป็นอิตถีภาวะ ไม่เป็นเอกบุรุษ ไม่เป็นอุตตมปุริสสะ เป็นเอกบุรุษ หนึ่งเดียวไม่มีเพื่อนสอง อาการจิตเรายังมีเพื่อนสอง มีเศษเหลือของอิตถินทรีย์ ต้องอ่านให้สนิทเกลี้ยง ภาวรูป ๒ คือ อิตตถัตตะ และ ปุริสสัตตะ แล้วเลิกภาวะอิตถี แล้วเหลือแต่ปุริสัตตะ แต่ก็ไม่ยึดว่า ปุริสสัตตะเป็นเรา เป็นของเราอีก

ในปสาทรูป + โคจรรูป มีส่วนภายนอก สัมผัสกับทวาร ๖ เกิดกาย เมื่อมีปฏิกิริยา มีนามธรรมไปรับรู้ มีสัญญาเวทนาสังขารไปร่วมด้วย ก็เป็นวิญญาณ แต่ถ้าไม่มีนามไปร่วมด้วย ก็ไม่เกิดวิญญาณ แต่ถ้าเป็นองค์รวม ๓ เมื่อไหร่เกิด เราสัมผัสได้ ตรงนั้นคือ หทยรูป ภาวะนั้นจริง ที่มีทั้งนอกและใน เป็น อัชฌัชตัง อรูปสัญญี เราก็จับอ่านอาการที่ปรุงแต่ง เป็นสามเส้านี้ได้ มันเกิดตรงไหนอย่างไร ตรงนั้นแหละ

เช่นสัมผัสกับศัตรูคนนี้ มันยียวนถึงปวดใจ แปล๊บใจ มันแปล๊บตรงไหน คือ หทยรูป เกิดตรงนั้นแหละ อาการทุกข์ สุขก็ตาม ก็จับให้ได้ มันไม่มีที่อยู่ แต่อยู่ในคูหาสยัง ในกายยาววาหนาคืบกว้างศอก มีอาการ ๓๒ นี่แหละ

อาการ ๓๒ ไม่ใช่นามธรรม แต่อาการที่ ๓๓ คือดาวดึงส์ คือนามธรรม สภาวะที่มีนามธรรมไปร่วม ก็เป็นดาวดึงส์ แต่ถ้าเป็นอาการ ๓๒ ก็เป็น ทฺวตฺตึสากาโร แต่อาการ ๓๓ คืออาการนามธรรม เป็นเทวดาเสพรส แต่ถ้าไม่ได้เสพ ก็เป็นจาตุมหาราชิกา ที่จะต้องไปล่ามาเสพ พอได้เสพก็เป็นดาวดึงส์ มีอำนาจเป็นจาตุมหาราช นั่นคือเทวดาผี เป็นเทวบุตรมาร เป็นมารอยู่ในร่างเทวบุตร

ในคนนี่ ท่านแบ่งเป็นอาการ ๓๒ ที่ปรุงแต่งในร่างกาย แต่ในนามธรรมนั้น ยากที่จะเข้าใจได้ ศึกษาได้ ข้างนอก ผม ขน เล็บ ฟัน ผิวหนัง ไม่เรียกว่า กาย  อย่างขี้นี่ ส่วนใหญ่คนไม่ยึด ว่าเป็นเราเป็นของเรา แต่ถ้าเป็นอาหารอยู่ในร่างกายคน ก็ยึดเป็นเราเป็นของเราอีก

มิติที่ ๗ ไม่มีจิตวิเคราะห์ แต่เขาพยายามให้จิตไม่เห็นแก่ตัว แล้วพยายามทำพฤติกรรมไม่เห็นแก่ตัว เพื่อศาสนาเพื่อพระเจ้า เผื่อคนอื่นๆ เขาตายแทนได้เลย เพื่อสิ่งนั้นสิ่งนี้ เขาก็ปฏิบัติข้างนอก เป็นการให้แก่คนอื่น โดยตายแทนได้ แต่เขาก็ไม่มีจิตวิเคราะห์ได้ ไม่เข้าใจ ไม่เกิดวิชานี้ได้เลย แต่เขาก็เป็นประโยชน์ต่อมนุษยชาติ เราก็อย่าได้ดูถูกดูแคลนเขา

๘.   อาริยนิยม (อเทวนิยม)
๙.   นิพพานนิยม (อรหันตฯ)
๑๐. พุทธภูมินิยม  (หรือ..  โพธิสัตวภูมินิยม)

มาขออธิบายเทวดา ๖ ชั้น ก็คืออาการจิต พฤติกรรมจิต
เมื่อเราสามารถเข้าใจรูปนาม สามารถกำหนดรู้นามธาตุ ว่าอาการอย่างไรคืออาการเสพ อาการของจาตุมหาราช มันเป็นยักษ์ ถ้าเป็นสมัยนี้ เขาคงเขียนเทวดาจาตุฯ นี้เป็นยักษ์ถือปืน ถือระเบิดนะ คือเทวดาที่ข้าจะเอาทั้งหมด ล่ามาให้ได้ทั้ง ๔ ทิศ ตั้งแต่วัตถุรูป จนเสพสัมผัสเสียดสี มาเป็นเราเป็นของเรา จะเอาให้ได้ เป็นผู้ยึด แย่งเอาของคนอื่น ได้ชื่อว่าเทวบุตรมาร ถ้าได้มาเสพสมใจ ก็เสพสุข เรียกว่าอาการ ๓๓ เป็นดาวดึงส์ ก็คือนามธรรมเรานี่แหละ มันเกิดเป็นเทวดา ก็คือจาตุมหาราช ที่แย่งได้ ชนะ มีอำนาจ แล้วได้มาสมใจ เป็นตัวกู เสพรสราคะมาให้กู เขาก็เป็นดาวดึงส์ เป็นสมมุติเทพ เป็นเทพที่ได้สมใจในลาภยศสรรเสริญ กาม ได้มาบำเรอกาม หรือได้มาบำเรออารมณ์ อัตตาใจตน ว่าข้าต้องการได้ ต้องการเป็นเช่นนี้

ยามา คือเวลา ทุกคนก็อยากมีสุขอยู่นานๆ ให้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ นานๆ แต่มันก็สุขแค่ตอนสัมผัส พอจบสัมผัส ก็เหลือแต่ความจำ ไม่ใช่ความจริง เสร็จแล้ว คุณก็ได้แต่นึกถึง เอาความจำมา ถ้าแยกได้ จะรู้ว่าคนเรามันหลง ความจริงนี่แหละ ถ้าล้างกามภายนอกได้จนหมด ไม่มีติดยึดในกามคุณ หรือโลกธรรม ศักดิ์ศรี อัตตา เอาแต่ใจ อย่างไรก็แล้วแต่ สุขได้สมใจบำเรอตน เป็นจาตุมหาราชิกา ดาวดึงส์ เป็นยามา ได้เป็นระยะ

แล้วก็มาพักอยู่ที่ดุสิต เป็นท้าวสันดุสิตะ เป็นผู้อยู่สงบพักยก เป็นอุเบกขาเคหสิตะ ถ้าเขาไม่ได้ปฏิบัติแบบพุทธ แต่ถ้าเขาได้ศึกษาปฏิบัติแบบพุทธ มีไฟฌาน ลดกิเลสได้ ก็จะได้อย่างถาวร

นิมานรดี เป็นชั้นที่ ๕ เป็นผู้ที่นิมิตได้ สร้างได้ด้วยอำนาจ เกิดได้สำเร็จได้ มีประสิทธิภาพ มีความเด็ดขาด สร้างได้ เนรมิตได้ด้วยตนเอง ลงแรงเอง แต่มีประสิทธิภาพเก่ง เป็นจอมมหาราช เก่งจริงๆ แต่ว่า

ปรินิมิตวสวตี เป็นอำนาจสูง สูงจนกระทั่งเป็นอำนาจ ที่ทำให้ผู้อื่น ข่มผู้อื่น ให้ผู้อื่นทำให้แก่ตนได้ หรือเป็นผู้เนรมิตเอง เอามาให้เรา มีผู้อื่นเป็นลิ่วล้อ ทำให้อย่างประจบประแจง หลงเชิดชูยกย่อง ตายแทนได้เลย เป็นจอมอำนาจใหญ่เลย

นี่คือลักษณะจิตที่เป็นโลกียะ ที่เขาสร้าง คนไม่ได้ศึกษาพุทธ ทำแบบนี้ทั้งสิ้น ในโลกจะเป็นปรินิมิตสวสตีทั้งสิ้น จะเป็นจอมเทพโลกีย์เช่นนี้ทั้งสิ้น นี่คือ พวกไม่ได้เรียนรู้จิต จะเป็นแบบนี้ทั้งสิ้น แล้วรู้ทั้งนั้น ว่าไปบังคับคนอื่นไม่ดี แต่ว่ามีพฤติกรรมกลบเกลื่อน ทั้งที่ใจตนเองเป็นเช่นนี้ ทั้งเทวดา ๖ ชั้นนี้ ไม่ได้มีการหมดอัตตาเลย แม้ดุสิตก็เป็นการพักยก ถึงรอบต้องพัก หรือว่าเบื่อไปชั่วคราว ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์ ที่จะอ่านเนกขัมสิตะ กับเคหสิตะ ในเวทนา ๑๐๘ ที่เป็นมโนปวิจาร ที่เป็นฐานของจิต ที่ผู้ศึกษาปรมัตถธรรม ต้องศึกษาเป็นเวทนาในเวทนา ที่ต้องแยกให้ออก จึงจะทำเนกขัมจิตได้

แต่ทุกวันนี้เขาว่า เนกขัมมะ คือผู้ออกบวช แต่เนื้อแท้คือ ผู้ที่จะเอากิเลสออก หรือออกจากกิเลส อย่างไม่ได้หนีโลก แต่อยู่กับโลกอย่างเหนือโลก

ผู้ไม่ศึกษาจิต ไม่มีจิตวิเคราะห์ จึงไม่สามารถรู้รายละเอียดจิต แล้วที่ตนได้มานั้น ต้องการมาเสพให้ตน เป็นเทพโลกีย์ ทั้ง ๖ ชั้นนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นความสามารถของจิต ที่ไม่รู้ก็หลอกทั้งตนเองและผู้อื่น ไม่รู้ว่าตนเองมีสภาพซับซ้อน ให้ตนดูเป็นผู้ดี แต่แท้จริงตนเป็นเทวบุตรมาร โดยไม่รู้ว่ามารหรือซาตาน หรือไซตอน ส่วนทางฮินดู ทางตะวันออก เรียกผีเรียกมาร นี่คือเทวบุตรมาร ไม่รู้ว่าตนเป็นมาร แต่เข้าใจว่าตนเป็นเทพ แล้วยึดว่าเที่ยงด้วย ส่วนพวกอเทวนิยมรู้ดีว่า เทวะคืออะไร สร้างตนให้เป็นเทวะสูงสุด ไม่ติดยึดเทวะ เพื่ออาศัยเป็นประโยชน์คุณค่า สูงสุดได้ มีจิตวิเคราะห์อย่างละเอียดครบรอบ

- ทำไมคนขอทานถึงมีในโลกนี้
ตอบ... คนนั้นเขาขี้เกียจทำงาน เป็นตัวใหญ่เลย

_ทำไมคนนั้นเอาแต่รวยๆๆ
ตอบ...โง่ไง ภาษาบาลีว่า อวิชชา ไม่รู้ว่า ถ้าเรารวยก็คือเราเอาจากคนอื่น หรือว่าเราสร้างเองได้มาก แต่เราไม่ให้ใคร ขายได้เราก็หอบไว้กับตัวเยอะ ก็โง่ เป็นความเห็นแก่ตัว คนที่เห็นแก่ตัวมากไม่ดี แต่ก็รวย

_วันวาเลนไทน์คืออะไร?
ตอบ.. วาเลนไทน์เป็นวันของนักบุญ วาเลนไทน์ ที่เขามีความรักเพื่อผู้อื่น ช่วยเหลือเกื้อกว้างต่อผู้อื่น ช่วยสังคม แต่ทุกวันนี้ เขาเข้าใจความรักไม่ได้ นักบุญวาเลนไทน์ เขาปฏิบัติจนเขามีความรักมิติที่ ๗ คนก็ยกย่องนับถือ ว่าเขามีความรักประเสริฐ แต่ไม่ใช่ศาสนาพุทธ ไม่มีจิตวิเคราะห์ คนก็นิยมชมชอบ พอเขาตาย คนก็ให้วันที่ ๑๔ ก.พ. เป็นวันให้ระลึกถึง นักบุญวาเลนไทน์ แต่คนเราเข้าใจเพี้ยนไป กลายไปความรักทางมิติที่ ๑ ทางเพศ ให้ของกัน กลายเป็นเครื่องจีบกัน ผูกพันกัน จนกระทั่ง มีเครื่องหมาย ให้ดอกไม้ ดอกกุหลาย แล้วเป็นความรักทางเพศเลย เป็นความรักที่แคบ

_ความรักที่แท้จริงคืออะไร?
ตอบ.. ให้ศึกษาถึงความรักมิติที่ ๘ เป็นต้นไป แต่ถ้าไม่ได้ เอาแค่มิติที่ ๗ นี่ก็เยี่ยมยอดแล้ว

_ทำไมคนไม่ดี จึงมีมากกว่าคนดี
ตอบ.... เพราะคนดีที่เป็นตัวอย่างน้อยลง และคนที่สอนคน ให้เป็นคนดีสอนไม่เก่ง ที่สอนไม่เก่ง เพราะตนเองก็ไม่ดี ก็เลยสอนไม่เก่ง แต่ถ้าเป็นคนดี ก็จะสอนคน ให้เป็นคนดีได้

_ทำไมผู้ชายทุกวันนี้ จึงใส่ตุ้มหู
ตอบ... เพศชายนี่ธรรมชาติ มีความสวยงามมากกว่าเพศเมีย ผู้ชายจึงมีสปิริต ไม่ไปตกแต่งแข่งกับเพศหญิง ถ้าไปไว้ผมนี่ ผมผู้ชายจะดกมากกว่า ก็เลยไม่ไว้ผมยาว ไม่ข่มผู้หญิง ผู้ชายคนใดไว้ผมแข่งกับหญิง ก็ไม่มีสปิริต ฉันเดียวกันกับตุ้มหู ที่ผู้หญิงเขาก็ต้องตกแต่ง ตามประสา

_คุณสู่แดนธรรมถามเรื่อง สมการ สูตร E= MC2+ A ถ้า A กลายเป็น ether (ธาตุที่เป็น ตัวสลายลดคุณค่า) ก็จะลดค่าของ MC2 ลง ผลก็ยิ่งเสียหายใหญ่ เพราะจะกลายเป็น E= MC2- A เราจะไม่ได้ค่าของพลังงาน ที่ออกมาเต็มที่ เพราะถูกทำลาย และถูกบั่นทอน ลดคุณค่าในตัวของมันเอง กินเนื้อ-กินตัวของมันเอง (ค่าของ A จึงเป็นไปได้ ทั้งบวกและลบ)
เช่น คนมีพลังทำงาน ตามแรงที่ลงไป เป็น E ที่มี M คือ มีมวล
-มีกำลัง –มีแรงพลังงาน ที่ออกมาจากตัวเอง ที่มีพลังเร่ง C ของตัวเองเต็มเหยียด แล้วก็ได้ผลออกมา ตามที่ตีค่าไว้ แล้วเป็น E หรือตีค่าเป็นเงิน เมื่อได้มาแล้ว แทนที่จะได้เงินเต็มที่ เป็น E= MC2 ก็เอาไปสูบฝิ่น สูญเสียกับเรื่องไร้สาระ เอาไปเสพอารมณ์ เป็น “กิเลสตัณหา” อันเสพติด ทำลายทุกอย่าง นั่นคือ แทนที่จะใช้ E (พลังงาน) ให้เป็นประโยชน์แก่ชีวิตที่แท้จริง หรือให้เป็นประโยชน์แก่โลก กลับเอาไปสูญทำลาย ไม่เกิดประโยชน์
นี้คือ ค่าของ A ที่ลบ MC2 ชีวิตของคนในโลก จะเป็นอย่างนี้โดยจริง A จะกลายเป็นตัวบั่นทอน ทั้งๆที่ตัวเอง สามารถทำ E= MC2 ได้เต็มที่ แต่แล้วตัวเอง ก็ลดค่า MC2 ของตัวเอง ทิ้งไปเอง ! (ด้วยเรื่องที่โมหะ อวิชชา คือ A)

รบกวนพ่อครูอธิบาย

ตอบ... พ่อครูว่า ก็ตามที่ได้อ่านมา  M คือมวล คือรูป E คือพลังงาน คนที่จะเอาพลังงาน ที่มีอัตราเร่งสูงๆได้ คือคนที่รู้ทฤษฎีนี้ ก็จะเอามวลกับพลังงาน เอามาทำงานได้ ทั่วไป พลังงานที่หาได้ทั่วไป ได้ง่ายกว่ามวล ไอสไตน์คือใช้ C เป็นตัวเร่ง ที่ต่างจากตัวที่เป็นตัวฐาน สำหรับพ่อครูใช้ A ที่เป็น Abstract เป็นพลังงาน นามธรรมทางจิตวิญญาณ

รูปคือ M ส่วนนามคือ C ถ้าเรียนรู้รูปและนามได้ แล้วจะละเอียดลออยิ่งกว่าไอสไตน์ ยิ่งสูงกว่าทางวัตถุด้วย มันเลยทางพลังงานสสารไปแล้ว ผู้ใดที่สามารถเอา นามธรรมมาใช้ได้ จะใช้เป็นประโยชน์ได้มหาศาล ยิ่งกว่าวัตถุอีก

_พ่อครูอธิบายเรื่องขยะ... เรื่องขยะนี่ แม้แต่พฤติกรรมทางกาย วาจาใจของคน ก็เป็นขยะได้ แม้แต่วัตถุ ถ้าเราจัดให้ดี มีประโยชน์คุณค่า ก็จะทำให้นิสัยคน ดีขึ้นด้วย ถ้าสังคมเรา จัดระเบียบขยะอย่างดี สังคมจะไม่มีพิษภัย กับขยะหยาบนี้เลย ถ้าเราได้ฝึกที่วัตถุนี้ จิตวิญญาณเราจะได้ฝึกด้วย นิสัยใจคอ จนถึงพฤติกรรม ลึกถึงกิเลส ก็จะได้จัดการ เราจะได้เจริญไปพร้อมกันเลย ยิ่งเรียนรู้การปฏิบัติธรรมของพระพุทธเจ้าด้วยแล้ว ยิ่งมีทฤษฎีจิตวิเคราะห์ ยิ่งวิเศษเลย เราจะทำเป็นกระบวนการ เรียนรู้เป็นวิชาการด้วยเลย

 

_ในช่วงที่พ่อครูเป็นวัยรุ่น ทราบว่ามีผู้หญิงส่งภาพถ่าย ส่งมาให้พ่อครู แล้วพ่อครูเคยส่งให้ผู้หญิงไหม? แล้วสำหรับ นักเรียนสัมมาสิกขาทำได้ไหม? เหมาะสมไหม?
ตอบ... ก็มีส่งให้ด้วยเป็นเชิงจีบ แต่ว่าก็ไม่เก่ง เป็นเจ้าชู้ไก่แจ้ รูปแฟนก็ส่งให้กันและกัน ผมนี่ถึงอัดรูปเองเลย สมัยนี้มีอะไรส่งกันเยอะแยะ สำหรับผู้มีภูมิคุ้มกัน จะไม่เป็นภัย แต่ถ้าคนไม่มีภูมิคุ้มกัน ก็จะเป็นภัยอันตรายได้

_พลังงานทางเศรษฐศาสตร์ ผมเคยอ่าน เศรษฐศาสตร์ของชูเมกเกอร์ ที่เกี่ยวกับ demand and supply ที่จะทำให้คนได้ใช้ผลผลิตทั่วถึงกัน แต่ของพระพุทธเจ้า  อธิบายเรื่องนี้อย่างไร?
ตอบ... ก็หลักคล้ายกัน แต่ละเอียดกว่ากัน พลังงานที่เกิดของพระพุทธเจ้า ให้คำนวณละเอียด ถึงกิริยาอาการกรรม ที่เกิดจากจิตเป็นประธาน เป็นต้นทาง เมื่อเรียนรู้ จิตเจตสิก รูปนิพพาน แล้วจะเข้าใจพลังงานเศรษฐศาสตร์ ของพระพุทธเจ้านั้น เมื่อหมดพลังงานที่จะเอามาให้แก่ตัว ก็จะเป็นพลังงานสะพัด นี่คือสุดยอดแล้ว ไม่สร้างพลังงานอกุศล มีแต่พลังงานกุศล และรู้คุณรู้โทษ ไม่ใช้พลังงานไปทางอบาย ทุจริตอกุศล เอาพลังงานมาทำแต่กุศล ทำเพื่อผู้อื่น ยิ่งลดกิเลสเห็นแก่ตัว เสพติดน้อยลง ก็จะมีพลังงานสร้างสรรได้เยอะ สะพัดได้เยอะ เป็นเศรษฐศาสตร์ชั้นสูง รู้โลกวิทู ที่สะพัดให้เป็นประโยชน์ที่สุดได้อย่างไร จะเข้าใจกรรมกิริยา การงานของโลก จะไม่ส่งเสริมพลังงานทำลายทางโลก มีกามมีพยาบาทเป็นกำลัง แต่พุทธมีวิมุติเป็นกำลัง ทำงานสร้างสรรได้มาก แต่เป็นพลังงาน เป็นประโยชน์ต่อโลก อย่างแท้จริง...

จบ


ตรวจทาน 18ก.พ.2568