580213_พุทธชีวศิลป์(๒๘)
อาริยะคืออะไร ตอน ๓

พ่อครูว่า... วันนี้ศุกร์ ๑๓ ก.พ. ๒๕๕๘  แรม ๑๐ ค่ำ เดือน ๓ ปีมะเมีย ... วันนี้คงจะว่ากันต่อ เรื่องสังคมมนุษยชาติ จะเรียกว่า สรรค่าสร้างคนก็ใช่ จะเรียกว่า พุทธชีวศิลป์ก็ใช่ ไปด้วยกัน ที่พูดนี่ก็เป็น การสรรค่า ต่างๆ จากคำสอน ทฤษฎี ความหมายความรู้ ที่พระพุทธเจ้าประกาศบอก ชี้ยืนยัน ก็คือหลักธรรมะของพระพุทธเจ้า ที่จะเอามาใช้ประโยชน์ในชีวิต ซึ่งจะมีประโยชน์ และมีศิลปะด้วย

ที่ผ่านมามีผู้ส่ง sms มา บางคนหยาบคาย จนไม่อาจอ่านออกอากาศ ที่ผ่านมา มีคนส่งมาให้อาตมาอ่านออกอากาศ แล้วคงคิดว่า อาตมาจะโกรธ เจ็บใจที่เขาว่ามา หรือเขาอาจได้สะใจ ที่ได้แสดงออกมา ตามรสชาติฐานะที่เขาทำได้ ส่วนถ้าเจตนาจะให้อาตมาโกรธ ก็เสียแรงเปล่า อาตมาไม่ใช่คนหน้าด้าน เพราะอาตมาเข้าใจแล้วว่า กรรมเป็นของใครก็ของคนนั้น เขาจะโกรธ เราก็รู้ว่า เขาโกรธเขาหยาบ ด่ามาหยาบคาย ก็ชัดเจนว่า ตัวคุณก็เป็นเช่นนี้ แล้วก็หาสาระไม่ได้ด้วย ที่เขาว่ามา เราก็ไม่ได้เป็น อย่างเขาว่าด้วย ก็ไม่สะดุ้งสะเทือน แต่คุณจะมันดี สะสมอาการนั้น ก็แล้วแต่คุณ อาตมาก็อยากบอกแค่ว่า อย่าทำเลย มันขาดทุน

แต่ก็มีคนที่ส่งเป็นประเด็นคำถามมา
0849240xxx เรียนถามท่านสมณะโพธิรักษ์ อภิธรรมปรมัตถธรรม มีความหมาย หรือคำนิยามว่าอย่างไร? ช่วยยกตัวอย่างให้เข้าใจด้วย. สาธุ จากวิฑูรย์

ตอบ... ทั้งอภิธรรมและปรมัตถ์ คือธรรมะ เป็นธรรมะที่เป็นความรู้ และเป็นความจริง สูงถึงขั้นจิตเจตสิกรูปนิพพาน นี่คือนิยามที่ท่านย่อไว้ ว่ามีคุณลักษณะเช่นนั้น ผู้ใดปฏิบัติแล้วมีญาณ อ่านจิตเจตสิกรูป แยกรูป ๒๘ ได้ จิต ๘๙ ดวง ที่ท่านเรียบเรียงไว้ เจตสิก ๕๒ เป็นต้น อ่านอาการจิตได้ ตรงชื่อที่ท่านเรียก

ของเรา เราอ่านจิตของเรา ตอนนี้เป็นนาม ตอนนี้เป็นรูป มีลักษณะอย่างไร เราจะเป็นผู้มีญาณปัญญา หยั่งรู้ภาวะรูปนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้โดยนาม จนอ่านเวทนาที่ถูกรู้ เวทนาก็กลายเป็นรูป นามก็คือสัญญา เป็นปัญญา นี่คือปรมัตถ์ ผู้ใดเรียนรู้ อ่านจิตตนเองออก นี่คือผู้มีญาณ อ่านปรมัตถธรรม แล้วก็ปฏิบัติแยกกิเลส กุศล อกุศลจิตออก แยกกิเลสออก มีการปฏิบัติ แล้วทำให้กิเลสลดจางคลายได้ นี่คือปรมัตถธรรม ถ้าลดกิเลสได้ ก็เข้าข่ายโลกุตรธรรม เช่น โลกุตรธรรม ๓๗ เป็นต้น ตั้งแต่กายในกาย เวทนาในเวทนา ก็สัมผัสรู้ของจริงเลย นี่คือ ผู้มีอภิธรรมและปรมัตถธรรม

0824039xxx พ่อครูเคยสอนว่า ผู้ที่เป็นอาริยะบุคคล รู้ที่จะจัดการกับจิต รู้ว่าจะตัดขาดกิเลส ตัณหา อุปาทานอย่างไร? แต่ก็ยังห้ามไม่ขาด ยังตัดไม่หมดง่ายๆ เพราะใจไม่แข็งแรงพอ! 1 เนื่องนั้น มาแต่บารมี! อีก1นั้น มาแต่กรรม! กรรมคือการกระทำ คิดพูดทำเรื่อยๆ มากมาย จนเป็นความเคยชิน! แล้วพอกพูนเป็นนิสัย! จากนิสัยมากพอกพูน จนเป็นสันดาน! จนถึงขั้นออกฤทธิ์ออกเดช เป็นวิสัย! ถ้าพอกพูนสิ่งดี คือกุศลกรรม เรียกว่าบารมี! ถ้าเป็นสิ่งเลว คืออกุศลกรรม เรียกว่าสันดาน! ผู้ที่จะเป็นอาริยบุคคลได้ ต้องใช้วิริยะ ใช้ความเพียร ล้างอกุศลกรรมไปเรื่อยๆ จนถึงขั้นสมุจเฉทปหาน! วิริยะที่ล้างอกุศล ถึงขั้นปรมัตถ์ได้ เรียกว่า วิริยสัมโพชฌงค์! ตรงนี้เป็นเรื่องเดียวกับ ที่พ่อครูกำลังพูดเรื่อง อาริยะบุคคล ในขณะนี้ใช่ไหม?

ตอบ...ใช่ทั้งนั้น เป็นแต่เพียงว่า ภาษาอาจจะเป็นบัญญัติ ที่ไม่ค่อยตรง เช่นที่พูดว่าพอกพูนสิ่งดี คือกุศลกรรม เรียกว่าบารมี ถ้าเป็นอกุศล ก็เรียกว่าสันดาน ก็ถูก นี่ก็คือ ที่กำลังพูดกัน เรื่องอาริยบุคคล ที่สามารถอ่านจิต เจตสิก แล้วเข้าถึงรูป จนถึงนิพพานได้ ไล่ตั้งแต่นิพพานเป็นระดับ จนถึงอรหันต์ และถึงพระโพธิสัตว์ จนถึงพระพุทธเจ้า ที่เป็นถึง อรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า แต่เป็นภาวะหมุนรอบเชิงซ้อน ที่หมุนขึ้นไป

อาตมากำลังพูดถึง อารยบุคคล อริยบุคคล และอาริยบุคคล  สามอย่างนี้

อารยะคือคนส่วนมากของโลก เป็นสามัญปุถุชน และถ้าไม่สามารถเข้าใจคุณธรรม และไม่ใฝ่ธรรม ก็เป็นอารยบุคคล ที่เขาบอกว่า เจริญด้วยลาภ ยศ สรรเสริญ สุขด้วยกามคุณ ๕ หรือสุขด้วยอัตตาก็ดี (อัตตา ๓  มีโอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา) อารยบุคคล คือคนที่รวยไม่มีวันจบ ใหญ่ไม่มีวันเสร็จ อร่อยไม่มีวันรู้แล้ว สะสมไม่มีขอบเขต ไปตลอดนิรันดร อาริยบุคคล คือคนร่ำรวย คนมียศชั้นสูงส่งในโลก อารยะคือผู้เจริญก้าวหน้า คนมีสรรเสริญ แม้ที่สุดพากันหลงสรรเสริญ ที่เป็นความเก่ง ในอบายมุขแท้ๆเลย ซึ่งมันสูญเสีย ทำร้ายทำลายสังคม หนักจัดจ้าน แรงร้ายกาจ แล้วเขาก็ไม่เข้าใจกัน นอกจากไม่เข้าใจ ก็ยังมีการโฆษณากลบเกลื่อน ครอบงำความคิดให้คนยกย่องกันทั้งโลก ยกตัวอย่าง อบายมุขคือโลภจัดขี้โกง จนทุจริตไม่ให้คนจับได้ มันยอดมหาอบายมุข แล้วเขาทำสำเร็จด้วย จนคนนี้ตายไปแล้ว คนก็ยังจับไม่ได้ ว่าเขาทุจริตโกง เขาซุกซ่อน ใช้ความฉลาดเล่ห์เหลี่ยม ไม่ให้คนรู้ทัน แล้วคนนั้นก็ได้รับการยอมรับ ขึ้นแท่นเลย มีตำแหน่งด้วย ก็มีอยู่จริง ที่พูดนี้พูดให้ฟัง แล้วก็ไม่ใช่ว่า เป็นทุกคน แต่อย่างนี้ก็มีนะ ให้ศึกษากัน แล้วไปหลงว่าเจริญ อารยะ ซึ่งเข้าใจผิดเช่นนี้ สังคมก็พัง คนก็เอาอย่างศึกษา จนเป็นคนใกล้ชิด รู้เล่ห์เหลี่ยมตาม ดีไม่ดีเก่งกว่า คนมาก่อนอีก แล้วบ้านเมืองจะไปไหวหรือ เขาเก่งเลวร้าย ซุกซ่อนเช่นนี้

ยกตัวอย่างเช่น พฤติกรรมนักการเมือง ที่สามารถโกงกันอย่างชาญฉลาดชั่ว เป็นอบายมุข แล้วเขาหลงดีใจอีกว่า เขาทำสำเร็จ แอ่นอกเดินทั่วบ้านเมือง แล้วคนยอมรับว่า ทำสำเร็จด้วย พฤติกรรม การเล่นกีฬาเกินขอบเขต ที่มีแต่บำเรออารมณ์ ไม่เข้าใจว่าจิตเช่นนี้ เจริญกิเลสให้อ้วนใหญ่แข็ง ด้านขึ้น ก็หลงส่งเสริมกัน ยกย่องเต็มโลกเลย สมัยพระพุทธเจ้า เขารู้ทันอบาย ไม่ให้มายิ่งใหญ่จัดจ้านเหมือนยุคนี้ แต่ทุกวันนี้โง่ อวิชชา ไม่เข้าใจเลย แล้วช่วยกันระดมส่งเสริม ปรุงแต่งกันไปทั่วโลกด้วย บำเรออารมณ์ สร้างอุปาทาน ให้ติดยึดรสสนุกเพลิดเพลิน สะใจรุนแรง อ่านได้เลย ทุกวันนี้เป็นเรื่องจิตติดยึด เป็นรสราคะ อัสสาทะ สะใจอร่อยเฉยๆ ยิ่งกว่าลมๆแล้งๆไร้สาระ มีแต่เติมกิเลสให้หนาใหญ่ขึ้น เปลืองแรงงาน ทุนรอน สูญเสีย จะว่าให้ชีวิตเจริญเป็นสุข มันก็สุขเท็จ อวิชชาจนไม่รู้ว่า จะเท็จอย่างไร เป็นทุกวันนี้ทั่วโลกเลย ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็ได้แต่พูดความจริง พูดมาเขาก็โกรธ เกลียดชังอีก

รสเสพนี่ชั่วคราว เดี๋ยวเดียวก็ผ่าน แต่มันสะสมในอนุสัย นี่จริงกว่านะ ไม่ได้ผ่านไปเฉยๆ เป็นทุกข์ที่ผนึกแน่น แต่ว่าสุข มันแวบเดียวก็ไปแล้ว

ธรรมะของพระพุทธเจ้า สามารถทำถึง … conscious doing เป็นการปฏิบัติกับภาวะจิต จริงๆเลย ปฏิบัติกับความคิด ความรู้สึกรวมกัน จับเป็นสภาวะได้เลย มีเหตุผล มีตรรกะ มี conscious analysis ด้วย นี่คือลักษณะ อาริยบุคคล

ส่วนอริยบุคคล คือคนที่มีจิตวิเคราะห์ได้ แม้แต่อารยะบุคคล เขาก็มี psychoanalysis แต่เขาไม่ได้วิเคราะห์ อย่างสัมผัสถึงจิต มีแต่ตรรกะเท่านั้น คนที่พูดถึง ซิกมันด์ ฟรอยด์ เขาเก่ง psychoanalysis นะแต่เป็นเรื่อง อารยะ ยังไม่สามารถที่จะเป็น ผู้สามารถ consciousness doing อย่างอาริยบุคคล เขาทำใจในใจได้ แต่ทำใจในใจอย่างไม่สามารถ ที่จะจับจิต แยกวิเคราะห์ analy จนถึง genesis ถึงต้นกำเนิดในจิตเลย ระดับอริยะทำจิตถึง mental doing แต่อารยะบุคคล ยังทำกับจิตไม่ได้ แต่ตรรกะประมาณเอาได้ ของพุทธนี่ อาริยบุคคล จะถึงขั้น selfishness killing เป็นการจับสภาวะความเห็นแก่ตัวได้ แล้วฆ่าตัวเห็นแก่ตัวได้ด้วย

อารยะนี่ ทางโลกเขาถือว่าเก่งนะ เบ่งใหญ่ได้ บางทีทั่วโลกด้วย แม้จับได้ ก็ไม่กล้าทำอะไรเขา เพราะเขามีวิธีเชิงชั้น อำนาจซ้อน ไม่ให้เอาผิดเขาได้อีก พวกอารยประเทศ อารยบุคคล อารยธรรม พูดถึงอารยประเทศนี่ เจริญทางดีก็ได้ แม้จะเน้นวัตถุวิสัย แต่ก็ให้เจริญอย่างดี สุจริตได้ แต่อาริยบุคคล เจริญได้ทั้งวัตถุวิสัย และจิตวิสัยได้ด้วย แต่อารยบุคคล เน้นวัตถุวิสัย ใช้โลกาธิปไตย ส่วนอริยะใช้อัตตาธิปไตย ใช้อำนาจซับซ้อน ส่วนอาริยบุคคล ไม่เบ่งอำนาจ แต่มีอำนาจโดยธรรม authority หรือ sovereignty ไม่ใช่ Force

พวกที่โกงกินจัดจ้าน มาบำเรออารมณ์ตน ให้จัดจ้านมากขึ้นเรื่อยๆ มีทั้งแบบมาซูคิสต์ และแบบซาดิสม์ เขาไม่รู้ตัวเองว่า เขาหลงสร้างอารมณ์ built อารมณ์ให้ตนได้เสพ ทำยิ่งขึ้นโดยไม่รู้ว่า ทำลายตนเอง ทำลายเศรษฐกิจของชีวิต ของสังคมไปด้วย ทำร้ายชีวิต เป็นพิษเป็นโทษถึงตายได้ เขาก็ไม่ฉุกใจไหวทันได้ นี่คือวิชชาที่ครอบงำทั่วโลก  ไม่รู้ว่ามันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ แค่อารมณ์ผ่านมาผ่านไป ไม่ได้มีความจริงที่ไหนเลย มีแต่อารมณ์เสพ พระพุทธเจ้าตรัสรู้ มาประกาศอันนี้กว่า ๒๖๐๐ ปีมาแล้ว พวกนี้ ยังหนักหน้าไปเรื่อยๆ ไม่ได้ใส่ความนะ แต่ขยายความจริงที่มีเอามาพูดเปิด เพื่อให้ฉุกใจศึกษา จะได้คลายความยึดติด

คนที่ด่าพวกเรามาหยาบๆ คนเราหากหยาบคาย ก็จะติดในอนุสัย แต่คนที่ล้างแล้วนั้น จะเอาออกมาแสดง ยังยากเลย แต่พวกที่สั่งสมความหยาบคายนี้ เข้าไปในใจ ก็ติดยึด แล้วจะได้รับผลร้าย จากอกุศลกรรมนี้ สังคมพวกเรา ไม่ได้มีความหยาบขนาดนี้ ไม่ว่าจะกายวจีที่ออกมา ในสังคมพวกเรามันไม่มี ปีแล้วปีเล่า ๔๐ กว่าปี ก็เป็นเช่นนี้ ใครที่ติดอยู่ในอนุสัย แต่ที่นี่ไม่ได้พาทำ ก็จะจางคลายได้ มันเป็นเรื่อง สรรค่าสร้างคน ให้มนุษย์เจริญได้จริง

ถ้าเขาไม่รู้ ก็จะยิ่งติดใจ เพิ่มความหนาในอารมณ์เท็จ ที่เป็นของไม่จริง เป็นสุขหลอก สุขเท็จ ทำไปก็เปล่าดาย ไม่ได้สมบัติผู้ดี ได้แต่สมบัติผู้ชั่ว แล้วไม่ได้เป็นสมบัติในรส แต่เป็นกรรมวิบาก สั่งสมลงในอนุสัย ความเป็นรส เสพ แล้วก็หายไป มันไม่มีเลย เพราะมันเกิดจาก เหตุปัจจัยประชุมกัน แล้วเป็นรส แวบเดียว แล้วคุณก็จำไว้ ว่าจะต้องได้ตามนี้ ติดไปในใจ เป็นอุปาทาน ฟังแล้วก็ดูใจตน ว่ายังมีเหลือเท่าไหร่ แล้วก็ล้างจนไม่เหลือ ก็จบ แต่ที่มีไปแล้ว ก็เป็นวิบาก ล้างไม่ได้ ตั้งแต่วินาทีที่เราเป็นอรหันต์ ก็หมดการทำอกุศล ได้แต่ทำกุศล เป็นสิ่งกั้นวิบากเลว ที่เหมือนหมาไล่เนื้อ แต่มันก็มาไม่ได้ เพราะไม่ได้เติมเชื้อหมาไล่เนื้อ ก็เติมแต่เชื้อกุศลที่ดี ถ้าจะต่อเป็นโพธิสัตว์ ก็ต่อได้ แต่ถ้าปรินิพพาน วิบากทั้งหมดก็ยกเลิก

ของพุทธไม่มีล้างบาป แต่มีวิธีทำ ฟังแล้วจะเข้าใจว่า ทำไมพระพุทธเจ้าถึงว่า บาปแม้น้อยอย่าทำ เพราะทำแล้ว จะเป็นอดีตที่ล้างไม่ได้ ของเก่าเราจำได้ก็รู้ ก็มีจริง ไม่ได้หายไปไหน แม้ที่จำไม่ได้ ก็มีอยู่ไม่หาย แต่ว่าจะออกผลเมื่อไหร่ แต่ถ้ามีวิธีการกัน มันก็ไม่มาหาง่ายๆ แล้วจะเอาอะไรมากั้น หากไม่รู้วิธี ก็ทำไม่ได้ ซื้อหาไม่ได้ ไม่มี ต้องทำเอาเอง

คนที่เข้าใจจะรู้ว่า การเสพรสอารมณ์สุขเท็จนั้น มีแต่ตอนปัจจุบัน เสพเสร็จแล้วก็หาย หากหมดเหตุปัจจัย แต่ที่เหลือคือความจำ เป็นสัญญา ฝังไว้เป็นอนุสัย เป็นเหตุให้ทุกข์ต่อไปอีก ไม่หายไป เป็นสัญญาได้ อยู่จริงๆด้วย ในความเสพอารมณ์กับ ในการสั่งสมอุปาทาน “เสพอารมณ์สุข เป็นเท็จ แต่สั่งสมอุปาทาน เป็นจริงล้างยาก” บางคนจำไม่ได้ แต่มันก็ฝังในอนุสัย หากคนนั้น จะผนึกในอนุสัยต่อไป มันก็อยู่ต่อไป

 

ผู้ที่ล้างความเสพได้ จะรู้ว่าเป็นเท็จ ยกตัวอย่าง คุณได้ล้างอบายมุข ตัวใดที่ได้ล้างแล้ว คุณจะเห็นได้ว่า มันเป็นสิ่งไร้สาระกับชีวิต ยกตัวอย่าง ทาลิปสติกนี่ เป็นสิ่งไร้สาระในชีวิต แล้วคนข้างนอก ที่เขาไม่ทาลิปสติก ออกจากบ้านไม่ได้ เขาจะเห็นอย่างนี้ไหม? …. คนที่เขาบอกว่า ถ้าเขาไม่เฟิร์ม นี่เขาไม่มั่นใจ คนไหน มีคนบอกว่า เขา sexyจนเฟิร์มนี่ เขาจะหน้าบานนะ มันอยากอวด เป็นสิ่งน่าอายนะ แต่เขาว่าดี เป็นเช่นนั้น

สังคมที่ไม่เป็นสาระ ก็เสียเวลา มอมเมา แล้วสร้างอาชญากรรมด้วย ไร้สาระแต่เขาไม่เข้าใจ แล้วส่งเสริมกัน มีนักออกแบบ creative อารมณ์หรือความคิดเช่นนี้ (ขออภัยนะ) ดูกระเทยที่จัดจ้าน ตั้งเป็นคณะด้วย ทำเข้าไปได้ มันซ้อนตรงที่ว่า กูก็ไม่ใช่ผู้หญิงจริงนะ แต่มันจะดัด อย่างจริตผู้หญิง ออกมา มันก็เลยกล้า หยาบคายมาก ที่พูดนี่ไม่ได้โกรธแค้นนะ แต่อยากให้ได้ความรู้วิชาการ ก็ขออภัยจริงๆ

เรื่องไร้สาระพวกนี้ เป็นภัยเป็นโทษ เป็นสิ่งไร้สาระในชีวิต สังคมเป็นสิ่งที่ไม่ต้องไปลงทุนรอน แรงงาน แรงกาย แรงสมองเลย สังคมจะอยู่ได้อย่างดีด้วย หากไม่ไปเสียเวลากับมัน มันก็มีแล้วมีอีก ไม่น้อยอยู่แล้ว จริงๆแล้ว เขายึดติดไป สุดท้ายเขาก็จะเบื่อ หาอะไรมาเปลี่ยน พอมันรุนแรงจัด จนถึงขีด เขาก็หยุด แล้วเอาอันใหม่ มาทำอีก ก็เป็นสุขโลกีย์ ที่ไม่เสถียร มันไม่คงที่ มันต้องเบื่อ

สังเกต เราเอง สิ่งที่เราเลิกได้แล้ว ระงับขาดแล้ว จิตสงบแล้วอันนี้มันทนทานกว่า จะลดลง แต่ก่อน วันๆหนึ่ง เสพกันได้บ้าง ไม่ได้บ้าง ตามอุปาทาน นานๆไปจะเบื่อ แต่อารมณ์สงบจากกิเลสนี่ มันจะเสถียร สิ่งที่ไม่ใช่ความสงบ หลอกตนเอง ปรุงแต่งไปนี่ มันไม่คงที่

แต่ก่อนแฟชั่นผู้หญิง ส้นรองเท้าก็มีแหลม ไปแล้วก็หดเข้า เป็นหนา สั้นแล้วก็ไปยาว หมุนเวียนไป สีมันก็หมุนเวียน ไปตามนิยมกันแต่ละยุคกาล ไม่มีหยุด ไม่มีคงที่ด้วย เหนื่อยแทนเขานะนี่ ถ้าสงบแล้ว ก็ไม่ต้องไปเสียเวลา แรงงานทุนรอน ไปกับสิ่งไร้สาระ แล้วเราจะได้กลับมา ทำประโยชน์ให้แก่สังคม นี่คือ ความรวย อาริยทรัพย์ แค่ไม่ไปสูญเสียเวลา ทุนรอนแรงงาน ไปกับสิ่งเหล่านี้ ก็ได้อาริยทรัพย์แล้ว

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
_ปรมัตถ์ คือ ความจริงถึง จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่เข้าใจว่า รูปทำไมใกล้นิพพาน รูปตัวนี้หมายถึง รูป ๒๘ หรือมีนัยอย่างไร?

ตอบ.. .รูปนี้คือ รูป ๒๘ มันต่างจาก รูปขันธ์ ที่หมายถึงรูปจริงๆ ไม่ใช่นาม (ใน ขันธ์ ๕ มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ) ส่วนรูปในปรมัตถ์นี้ หมายถึง รูปที่เป็นนามธรรม คำว่ากายนี้ เกิดเมื่อเหตุปัจจัยครบ แต่รูปนี่ค้างอยู่ได้ ท่านเลยแจกรูป เป็นรูป ๒๘ มีตั้งแต่รูปรูป คือดิน น้ำ ไฟ ลม อากาศ ที่เป็นวัตถุธาตุ แล้วจะเกิดรูป ในปรมัตถ์ชั้นสูง เมื่อมีปสาทรูป มาสัมผัสโคจรรูป (ดำเนินไป เกิดบทบาทลีลา) แต่ถ้านิ่งๆ แตะกันไม่เกิดบทบาท แต่เมื่อมีการดำเนิน มีบทบาท อาการที่ประชุมกัน คือองค์ประชุมกัน เป็นกาย เป็นภาวรูป ที่ให้เราเห็นสัมผัสได้ คือรูปที่จะต้องถูกรู้ แล้วศึกษาภาวรูป ๒ (อิตถีภาวะ กับปุริสภาวะ) ต่อไป ไปสู่รูปอื่นๆอีก ในรูป ๒๘

_ดาวแพงขวัญ... พอไปอยู่กับชาวโลกเขา ตอนนี้เขาฮิตกับ เศรษฐกิจพอเพียง ที่นี่ทำจนเบื่อแล้ว พูดถึงจิตอาริยชน พื้นฐานเศรษฐกิจพอเพียง จะนำพาไปสู่ ยุคศรีอาริยเมตตรัย.. ได้อย่างไร?

ตอบ... เศรษฐกิจพอเพียง เป็นภาษาที่ในหลวง คัดเฟ้นมาให้ เพื่อปฏิบัติจริง คำว่าพอ นี่คือ เท่านี้ เพียง แค่นี้ นี่แหละแค่พอเพียง คำว่าเพียง มาขยายคำว่าพอ คำว่า พอ คำนี้เป็นภาษาหลัก ที่มาจากคำว่า สันตุฏฐี หรือสันโดษ คือใจมันพอ ทำอย่างไรที่เราจะรู้ว่า จิตเราโลดแล่นอยากได้ อยากมีอยากเป็น เมื่อไหร่จะพอเสียที ตีขอบเขตแค่ไหนถึงพอ ถ้าสามารถกำหนดให้กับตนว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ แค่ไหนเราจะพอ มันซ้อนที่ว่า ถ้าเราสามารถสร้างสรรได้ จะเกิดลาภธัมมิกา เป็นลาภโดยธรรม แต่ก่อน เราจะต้องเร่งให้ได้ วันละสองหมื่น สามหมื่น สี่หมื่น แต่ใจเราไม่พอ แต่ว่าตอนนี้ เราสร้างได้หลายหมื่น มากขึ้นอีก แต่เราก็พอแค่สองหมื่น เอาไว้แค่นี้ แต่ถ้าเรายิ่งลดได้อีก น้อยกว่าสองหมื่นก็พอ หมื่นเดียวก็พอ คุณก็พอเพียง แต่คุณเองลดลงมานี่ การที่จะให้เขาไปอีก มันก็ไม่ใช่ความเสื่อมนะ แต่คุณจะได้กลับมาอีก เป็นความซับซ้อนกลับมา อย่างเกินคาดเลย มีความซับซ้อนเสริมหนุน ให้เจริญมาหาเราอีก มากกว่านี้ ยิ่งให้ไปยิ่งได้มา ฐานของความพอ แล้วเกิดพอได้จริงๆ เริ่มต้นพอได้เท่าไหร่ ก็แล้วแต่ การพอในลาภ การพอในยศ ถ้าจิตคุณพอ การอวยยศ เพิ่มยศ คือการให้งานเพิ่มขึ้น การได้ยศเพิ่มขึ้น คือการได้งานเพิ่มขึ้นนะ ถ้าคุณพอ คุณก็ให้คนอื่นไป เขาแย่งกัน แต่ถ้าจะเพิ่มยศ แล้วคุณทำไหวไหม? ถ้าทำไหว หรือยิ่งเก่ง เป็นนักบริหาร มีงานมาเท่านี้ จะได้แจกงานให้คนนั้นคนนี้ ที่เราพอรู้ความสามารถ อย่างซื่อสัตย์ ใจคุณไม่เอา คุณจะแจกงาน ดีไม่ดี คุณจะแจกเงินให้ด้วย แล้วเชื่อไหม ยิ่งคุณให้เขาไป คุณจะยิ่งได้มากอีก ซับซ้อน เท่าทวี

_ความเคลื่อนไหวของบ้านราชฯ เปลี่ยนแปลงสูง แล้วทางจิตวิญญาณ จะมีการเปลี่ยนแปลงอย่างไร ในหมู่กลุ่มนี้

ตอบ...ถ้าเรามีความเข้าใจแล้ว มีสัจจานุโลมมิกญาณ โดยเราไม่ตกบ่อนะ จะปฏิบัติธรรมสนุกมาก เป็นการจัดสรร สัปปุริสธรรม ๗

รสมันไม่เที่ยง ไม่ถาวร ไปๆมาๆ ถ้ารสที่เขาปรุงมานี่ คนอื่นปรุง อาจอร่อยกว่านี้อีกนะ ราคาสูงกว่านี้ ก็จะอร่อยกว่านี้อีกนะ ปรุงมากกว่านี้อีกนะ แล้วคุณจะถูกมันจูงจมูก ไปอีกนานเท่าไหร่ แล้วรสที่คุณติดนี่ เอามาให้ดูหน่อยสิว่ามีที่ไหน มันหายไปหมดแล้ว วับๆ แล้วคุณก็ไปเติมให้มันอีก พระพุทธเจ้าว่า ความไม่เที่ยงนี้ เป็นทุกข์ หากเห็นด้วยปัญญาอันแท้จริง คุณไปติดยึดมันเองนะ คนอื่นเขาก็ติดกัน คนละอย่างกับคุณนะ ก็มีทั้งบ้าเหมือนกัน หรือต่างกันไปคล้ายกันบ้าง แต่มันไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นภาระ แล้วเราไปติดมัน

_ส.หินจริงว่า เทียบขยะชิ้นเล็กๆฝอยๆนี่ กับอาสวะกิเลส จะเป็นอย่างไร?

ตอบ...อาสวะคืออะไร? อาสวะแปลว่า เครื่องหมักดอง อาสวะ ท่านเทียบเอาความหมายมาเรียก คือสิ่งที่มั่นสั่งสม ในก้นบึ้งของจิต เป็นกองของกิเลส มันสั่งสมก้นบึ้งจิต แล้วคนไม่รู้ หยั่งไม่ถึงมัน สัมผัสตัวมันไม่ได้ เหมือนไม่มีอยู่ใต้ก้นบึ้งจิต เหมือนยีสต์ เล็กละเอียด เหมือนมันไม่มี จับไม่ได้ แต่มันมีบทบาท แตกตัว สร้างความไม่ดีไม่งามอยู่ ทำปฏิกิริยาอยู่ ถึงเรียกว่า เหมือนพลังงานศักย์ พลังงานแฝง เป็นสิ่งไม่ดีงาม ที่มีอยู่ เป็นอาสวะ ถ้าใครไม่ล้างมันก็แตกตัวอยู่ มันไม่ตาย หรือไวรัส แบคทีเรียตัวเล็ก ที่จริงมันใหญ่ แต่ละเอียด จับไม่ง่าย ส่วนพยัญชนะ สว แปลว่าตัวเรา ก็คือ มันยังมีตัวเรา ได้โอกาสก็เกิด อา คือเกิดได้ มีก็ได้ ไม่มีก็ได้ กลับไปกลับมา เป็นตัวไม่เที่ยง มีบทบาท คืออาสวะ โดยพยัญชนะ แต่ความเป็นจริง สภาวะเนื้อแท้ ก็ขยายให้ฟังแล้ว อาสวะต่างๆนี่ ที่เกิดอยู่ ทำงานอยู่ จะทำอย่างไรให้หมด ชีวิตินทรีย์ ให้อาสวะตาย มันพาทำงานเมื่อไหร่ ก็ก่อวิบาก มันพาทำงานตลอดเวลา เมื่อมันยังมี จึงต้องล้างตั้งแต่หยาบ กลาง จนถึงอาสวะที่เป็นก้นบึ้ง เราทำเบื้องต้น ท่ามกลาง ตัวก้นบึ้งก็ลอยขึ้นมา วิธีการที่จะดำดิ่ง ไปหาตัวลึกละเอียดนั้น ไม่มีทางทำได้ แต่ท่านให้ล้างกิเลสหยาบมาก่อน กิเลสเป็นตัวเดียวกันนั่นแหละ พอหมดตัวต้น (วีติกกมกิเลส) ตัวกลาง (ปริยุฏฐานกิเลส) ก็จะขึ้นมา เป็นตัวต้น ตัวปลาย (อนุสัย) ก็จะขึ้นมา เป็นตัวกลาง คุณก็ปราบตัวกลาง ที่เหลือให้หมด ตัวอาสวะก็ขึ้นมา เป็นตัวต้น แล้วก็ล้างอาสวะ สำหรับผู้บรรลุสูงสุด ปราบตัวนี้ได้ ก็อาสวะสิ้นเกลี้ยง

กามภพ รูปภพ อาสวะ ในระดับ ต้น กลาง ปลาย คุณต้องมีองค์ประชุม ทุกอย่าง ยืนยันว่า คุณเองปฏิบัติเหนือมีโลกุตรจิต ก็ไม่ได้หมายความว่า คุณไม่ได้มี องค์ประกอบเช่นนั้น แต่มีองค์ประกอบทุกอย่าง เหมือนมนุษย์ปกติ แต่จิตคุณอยู่เหนือมันได้หมดแล้ว ก็เหลือแต่วิบากที่ตามมาเล่นงานได้ แค่ถ้าเราทำกุศลดันไว้ อกุศลก็ยิ่งไกลออกไปทุกที แต่เมื่อคุณล้างอาสวะสิ้น ตั้งแต่วันใด กิเลสก็ไม่มีอีกในคุณ ไม่เกิดอีกไม่มีอีก นี่คือกิเลสสิ้นหมด ไม่เกิดอีก อาสวะก็ไม่มีอีก

_ยกตัวอย่างไปดม ไปจูบ ไปหอม นายฟรอยด์นี่ เขาวิจัย เรารักเราสัมผัส เสพแตะต้อง เราดมเราหอมลูก ทั้งที่บางทีมันเหม็นจะตาย หรือผู้หญิงผู้ชายมันดูดขี้ฟันกันนี่ มันยังหอมเลย ทั้งที่มันเหม็นจะตาย เรื่องเพศนี่ ง่ายกว่าเรื่องอาหารนะ แต่ถ้าไม่พิจารณาตามขั้นตอน ก็จะสลับกันได้เหมือนกัน แต่ถ้าทำตามลำดับ เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายนี่ เรื่องเพศอาจยากกว่า

_สม.กล้าฯ เห็นความขี้เกียจ  ในการอ่านหนังสือที่คนเขาให้มา ไม่ค่อยอยากอ่านหนังสือทางโลกๆเลย แถมไม่อยากไปไหนอีก เป็นตัวเฉื่อย หลายอย่างไม่อยากไปทำเลย แต่ก็สู้ได้ไม่ยาก พอไปเจอความจริงแล้ว ก็ไม่ยากเลย  ความจริงมันไม่ยาก เท่าความจำนะ

ตอบ...จริง พอถึงอนาคามี ความจริงมันจะไม่ยากเลย แต่ความจำนี่ มันจะยาก มันจะเฉื่อย สาระทางโลก มันน้อยกว่าทางธรรมจริง มันก็ดี ที่หันมาหาทางธรรม มากกว่าทางโลก แต่ถ้าถึงจุดสูงสุด หมดที่จะต้องชำระแล้ว มันก็จะเห็นเลยว่า ชีวิตมีอยู่ ก็ควรมีคุณค่าประโยชน์เพื่อโลก เพื่อสังคม เพราะเราไม่เข้าใจว่า ผู้ที่ยอด ที่จะบรรลุสูงสุด คือผู้ให้ พระอรหันต์ จบที่ท่าน ให้กำลังใจให้วัตถุ