580215_วิถีอาริยธรรม บ้านราชฯ
พลวัตรของอธิปไตย ๓ ของไทย

สมณะฟ้าไทว่า...
เมื่อวานนี้ พ่อครูเทศน์เรื่องความรัก ๑๐ มิติ ที่สีมาอโศก วันนี้พ่อครูจะได้มานำเสนอประเด็น ว่าเมืองไทยควรไปสู่ทิศทางไหน ที่จะได้เป็นประเทศที่มีอธิปไตยของตนเอง ได้อย่างแท้จริง

พ่อครูว่า..
วันนี้อาตมาตั้งใจมาอธิบาย เรื่องอธิปไตยหรืออำนาจ
คำว่าอำนาจ หมายถึง แรง พลัง ทั้งของสสารและวิญญาณ มีพลังมีแรงทั้งนั้น ในสสารต่างๆ ทางวิทยาศาสตร์ศึกษามาก เพราะศึกษาง่าย จับต้องได้ มีตัวตนดินน้ำไฟลมประกอบด้วย ก็เลยมีความรู้เรื่องนี้พอสมควร ส่วนพลังทางนามธรรม ที่เป็นพลังระดับพีชะนิยาม ก็เป็นพลังงาน แล้วเป็นพลังงานที่ปรับตัวขึ้นมาเป็นชีวะ ส่วนพลังงานที่ไม่มีชีวะ ก็คือพลังงานอุตุ มากมาย ก็เอามาใช้ได้ แต่ไม่อยู่ในสภาพชีวะ

ระดับชีวะนั้น มีความยึดตัวตน เช่นพีชะ ก็มีความยึดตัวตน ปรุงแต่งให้มีความเป็นตัวเองได้ อย่างเช่นลูกยาง หรือสตาร์แอปเปิ้ล มันก็รู้ว่าจะเอาธาตุอะไรมาใส่ตนเอง มีสัญญากำหนดรู้ กำหนดแม่นด้วย ไม่ค่อยแปรปรวน ก็จะมี DNA หรือ Chromosome ของมัน ตระกูลมัน มันไม่มีความรู้สึก แต่ระดับจิตนิยามนี่ มีเวทนา ก็จะฉลาดได้ง่าย และโง่ได้ง่ายด้วย แต่ระดับพีชะนี่ ไม่ค่อยเปลี่ยนแปลงได้มาก เหมือนจิตนิยาม พืชมีความเป็นตัวของตัวเอง แต่ยังไม่เรียกอัตตา มันอยู่ที่ไหน ก็อยู่ตรงนั้น เคลื่อนไปที่ไหนไม่ค่อยเก่ง เหมือนระดับจิตวิญญาณ ระดับจิตจะเคลื่อนได้เก่ง ระดับสัตว์เล็กๆน้อยๆ ก็เคลื่อนได้ช้า จิตระดับสูงขึ้นมา ก็เคลื่อนที่ได้เร็ว แล้วจิตนิยาม จะรู้เรื่องกรรม เรื่องธรรมะ ส่วนพีชะไม่ได้มีกรรมครอง

ระดับจิตวิญญาณจะต่างจากพีชะ ตรงที่พีชะไม่มีเวทนา ไม่มีสุขทุกข์ ชอบหรือชัง ก็ยังไม่ถึงขั้น

จิตนิยามระดับสูงจะรู้เรื่องกรรม แต่สัตว์เดรัจฉานไม่รู้จักกรรม เขาก็รู้ว่านี่ชอบนี่ไม่ชอบ ผลักดูดเท่านี้ ก็รู้ได้เท่านี้ จนมาเป็นมนุษย์ พอเป็นมนุษย์นี่ วิจิตรพิสดาร หลากหลายกว่าสัตว์มากมาย แล้วมีสองนัย
เป็นมนุษย์ แต่ไม่เชื่อกรรมวิบาก ที่เป็นพลังงานติดยึด รักผูกพันได้แรง พยาบาทได้แรงเช่นกัน มีดูดกับผลัก รักก็ดูดชังก็ผลัก สัตว์เดรัจฉานก็มีพยาบาทบ้างแล้ว รักก็มีแล้ว แต่มาเป็นคนจะแรง มันพยาบาทรักข้ามชาติ พลังงานเหล่านี้ ติดยึดไปข้ามชาติ สัตว์เดรัจฉานมันทำแล้วเป็นกรรม แต่มันไม่รู้กรรม เป็นอเวไนยสัตว์ แม้เป็นคนแล้ว ก็ยังไม่เชื่อกรรมวิบาก แม้จะฉลาดโลกีย์มาก แต่ไม่เชื่อกรรมวิบาก นี่คือฉลาดโลกียะ แต่ไม่ฉลาดโลกุตระ

ระดับคนฉลาดมากในโลกีย์ โลภในลาภยศสรรเสริญ สะสมเป็นพลังงานยึดติด สั่งสมไว้ ฉลาดแต่โง่ ไม่รู้จักรายละเอียดพวกนี้ คนพวกนี้เป็นภัยต่อโลกมาก

สายไม่รู้จักเรียนรู้จิตวิญญาณเลย คืออารยะ ทำลายได้มาก เขาไม่รู้ว่าทำเลวร้ายแล้วซ้อน  จะกลับมาทำร้ายตนเอง เขาไม่รู้เรื่องหรอก พวกอารยะประเทศ สายโลกาธิปไตย เขาไม่รู้โลก แต่โลภในโลก จึงเป็นโลกาธิปไตยเต็มๆ รู้เรื่องจิตอย่างผิดเผิน ไม่มีจิตวิเคราะห์ psychoanalysis เป็นแต่ตรรกะ แต่หยั่งเข้าถึงเนื้อแท้ของจิต ไม่เข้าถึง genesis analysis เขาสามารถได้แต่ความหมายข้างนอก คือ moral คุณธรรม คือวัฒนธรรม moral doing แต่ไม่ลึกถึงจิตในจิต ที่เรียกแยก spirit หรือ soul แต่ถ้าในระดับ mental คือจิตที่เขาสามารถยึด แต่เขาไม่มี analysis วิเคราะห์ไม่ออก นักวิทยาศาสตร์ทางจิตจะไม่เข้าถึง พระพุทธเจ้าศึกษาจิตเจตสิก รูปนิพพาน รู้ถึง genesis ถึงระดับถึงที่เกิด

เรื่อง จิต วิญญาณ มโน เป็นตัว ต้น กลาง ปลาย

วิญญาณคือตัวต้น เรียกรวมเลย แล้วต้องเป็นปัจจุบัน มีตากระทบรูป หูกระทบเสียง มีดินน้ำไฟลม มีปสาทรูป โคจรรูป แล้วเรียนรู้สภาวะนั้น อ่านออกเรียนรู้ได้ เป็นนามธรรมแท้ๆ เมื่อปสาทรูปทำงาน โคจรรูปทำงาน มีประสาททำงาน มีวิญญาณเกิด เราก็เรียนรู้สิ่งที่ตามเข้ามาอยู่ในใจ สัมผัสแรกเรียกว่าวิญญาณ เรียนเข้าไปในจิต ก็แตกจิตเป็นหลายอย่าง เจตสิกอีก ๕๒ เป็นต้น ก่อนจะเป็นจิตในจิต ก็เกิดวิญญาณ แล้วมีเวทนา มีผลัก-ดูดตามสัญชาติญาณ ก็เผลอว่าเป็นสุข แต่ทุกข์นั้นจริง มันมีเหตุให้ศึกษาได้ลึกเข้าไปในจิต ก็แตกเป็นจิต ๘๙ , จิต ๑๒๑ ดวงอีก ก็มีแต่จิตเจตสิกที่วุ่นวายในนี้

ถ้าได้เรียนรู้จิตเจตสิก ที่ท่านได้รวบรวมเป็นจิต ๘๙ , จิต ๑๒๑ ดวง เป็นดวงหรือไม่เป็นดวง เป็นลักษณะ แล้วแยกเป็นเจตสิก คืออาการของจิตอีกทีหนึ่ง เมื่อเรียนรู้เข้าไป งวดเข้าไปเรียนรู้ ฆ่าจิตที่เป็นอกุศล ลึกเข้าไปในจิต จนเหลือท้ายสุด เป็นมโน เป็นตัวลึกสุด ญาณปัญญา เราจะเรียนรู้ได้

การทำใจในใจของพุทธ คือต้องล้างเหตุที่เห็นแก่ตัวได้ คือ selfishness doing ความเห็นแก่ตัวเป็นนามธรรม ท่านก็เรียนรู้เห็นของจริง ทำกับลักษณะที่เห็นแก่ตัวนี้ออกไป เราจะรู้ว่าความเห็นแก่ตัว ที่เราจะล้างออกก่อนได้คืออะไร แล้วค่อยล้างตัวหยาบก่อน ตัวต้นก่อน เมื่อล้างได้ เราก็จะล้างตัวที่เหลืออีก ล้างจนเหลือตัวพิษน้อยๆ จนเหลือแต่พิษน้อยมาก เป็นพิษเฉพาะตนเอง ท่านก็ล้างอีก เพราะท่านรู้ว่ามันเป็นพิษภัยอีก ท่านก็ต้องรู้ว่า มันเป็นพิษภัยต่อตนเอง ท่านไม่โง่ที่จะเลี้ยงไว้ แม้จะเป็นความเห็นแก่ตัว ที่เป็นพิษภัยต่อตนเอง ก็ล้างหมด ก็เป็นอรหันต์

มาอ่านคอลัมน์ในไทยโพสต์ วันนี้มาอ่านให้ฟัง

คอลัมน์: ฅนปนข่าว: ขึ้นศาลฎีกาฯ อีกคน http://www.ryt9.com /s/tpd/2092313

นอกจาก "น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" อดีตนายกรัฐมนตรี ที่อัยการสูงสุด (อสส.) สั่งฟ้องต่อศาลฎีกา แผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองแล้ว เครือญาติ ตระกูลชินวัตร และเป็นอดีตนายกฯ เหมือนกันอย่าง "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" กำลังจะตกอยู่ในชะตากรรมเดียวกัน หลังจากคณะกรรมการ ป้องกันและปราบปราม การทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) สั่งฟ้องพร้อมกับ "พล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ" อดีตรองนายกฯ พล.ต.อ.พัชรวาท วงษ์สุวรรณ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) และ พล.ต.อ.สุชาติ เหมือนแก้ว อดีตผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ต่อศาลฎีกาฯ กรณีสลายการชุมนุม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย หน้ารัฐสภา เมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 จนเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิต 2 ราย และบาดเจ็บอีกกว่า 400 ราย

อาตมาขอวิจัยหน่อยว่า... พล.อ.ชวลิตนั้น ที่จริงเคยเป็นนายกฯแล้ว ไม่สมควรจะไปเป็นรองนายกฯอีก แต่เพราะติดในลาภยศสรรเสริญ จึงกลับมาเป็น แต่ถ้าจะบอกว่า เพื่อทำงาน ก็ไม่จำเป็นต้องมีตำแหน่ง ก็เป็นที่ปรึกษาก็ได้ นี่อาตมาหยิบมาขยายความเพิ่ม แล้วก็แพ้ภัยตน โดนฟ้องติดร่างแหไปอีก...

ล่าสุด "ธนฤกษ์ นิติเศรณี" ประธานแผนกคดีอาญา ของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เจ้าของสำนวน และผู้พิพากษา องค์คณะ รวม 9 คน มีคำสั่งประทับรับฟ้อง และมีคำสั่ง นัดพิจารณาครั้งแรก เพื่อสอบคำให้การจำเลยทั้งสี่ ในวันที่ 11 พ.ค.นี้ เวลา 09.30 น.แล้ว

คดีสลายการชุมนุมกลุ่มพันธมิตรฯ หน้ารัฐสภา เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 7 ต.ค.2551 ซึ่งเป็นวันที่ "สมชาย" ต้องนำคณะรัฐมนตรี แถลงนโยบายต่อรัฐสภา ก่อนบริหารประเทศ แต่มีเพียง ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล ที่เข้ารับฟังเท่านั้น เพราะพรรคประชาธิปัตย์ มีมาตรการคว่ำบาตรไม่ร่วมประชุม ปรากฏว่ากลุ่มพันธมิตรฯ ได้เข้าปิดล้อมรัฐสภาไว้ จนไม่สามารถเดินทางออกมาได้ ยกเว้นเจ้าหน้าที่และสื่อมวลชน ทำให้นายสมชายพร้อมบุตรสาว ต้องนั่งเฮลิคอปเตอร์ตำรวจ หนีออกมา และสั่งการให้เจ้าหน้าที่ตำรวจ ใช้แก๊สน้ำตายิงใส่ผู้ชุมนุม จนมีผู้เสียชีวิตและบาดเจ็บ เป็นจำนวนมาก

ต่อมา ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ เข้ายื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช. เพื่อให้ไต่สวนกรณีดังกล่าว และในเดือน ก.ย. ปี 2552 ป.ป.ช.มีมติ ชี้มูลความผิดอาญา แก่นายสมชาย และ พล.อ.ชวลิต ฐานละเว้นปฏิบัติหน้าที่ และชี้มูลความผิดอาญาและวินัย กับพล.ต.อ.พัชรวาท และพล.ต.อ.สุชาติ ก่อนจะส่งให้ อสส.สั่งฟ้อง แต่อสส.เห็นว่า มีข้อไม่สมบูรณ์ จึงตั้งคณะทำงานร่วม ระหว่าง ป.ป.ช. กับ อสส. ขึ้นมาพิจารณา กระทั่งกลางปี 2557 อสส. มีความเห็นไม่สั่งฟ้อง ทำให้ ป.ป.ช.ต้องดำเนินการฟ้องเอง เมื่อต้นปี 2558

สำหรับ "สมชาย" เป็นอดีตนายกฯ คนที่ 26 ของประเทศไทย แต่ไม่เคยมีโอกาสได้เข้าทำงาน ในตึกไทยคู่ฟ้าเลยสักครั้ง เพราะถูกกลุ่มพันธมิตรฯ ปิดล็อกทำเนียบฯ เอาไว้ โดยเป็นสามีของ "เจ๊แดง" เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ ซึ่งมีศักดิ์เป็นน้องเขยของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ.

คอลัมน์ ถูกทุกข้อ ของ อัตถ์ อัตนัย …. มีคุณสิริวรรณ เขียนมาว่า... มหาอำนาจอันดับหนึ่งของโลก นอกจากแค่อำนาจในประเทศนะ แต่นี่ในโลกเลย อยู่ข้างหลัง อสูรหน้าด้าน และขี้ข้า ในฐานะของการเป็นหนึ่ง ในมวลมหาประชาชน ที่ไม่ได้หนีหายไปไหน ทุกคนจ้องให้กำลังใจ ในการดำเนินการของรัฐบาล เพราะเป็นความหวังของประเทศ อย่างไรก็ดี การเปลี่ยนแปลงใดๆ ย่อมมีคนเสียประโยชน์ และคนที่เสียประโยชน์ คือคนที่อยู่ในกลุ่มอสูรหน้าด้าน ซึ่งได้เปิดเผยชัดเจน ซึ่งก็คือต้นตำรับความหน้าด้าน ความละเมิดสิทธิมนุษยชน ฯลฯ งานนี้เราได้เห็นสื่อมวลชนใหญ่ นักวิชาการใหญ่ เปิดหน้าออกมาชัดเจนว่า พวกเขารับใช้ทุนสามานย์ อาจเป็นถึงสายลับ นับว่าเป็นความน่าละอาย ของแวดวงวิชาการสื่อมวลชน ที่รับอามิสป่วนประเทศ ถึงชักศึกเข้าบ้าน

ดิฉันคิดว่า ดีที่พญาอินทรีย์ ส่งเจ้าหน้าที่การทูตมาดุ วีน ประเทศไทย เป็นหลักฐานว่า อสูรหน้าด้านและขี้ข้า นำประเทศไทยไปเร่ขาย พอเกิดเหตุการณ์ไม่ได้ดังหวัง พญาอินทรีย์จึงต้องแสดงอำนาจ ในเวลา ๒๐๔ วัน ของมวลมหาประชาชน พลังอำนาจของพวกเรา ทำไมบรรลุผลยาก เพราะว่ามีเหตุต่างๆ ดึงกันอยู่ ก็เพราะพวกเราไม่ได้ต่อสู้กับอสูรหน้าด้าน และขี้ข้าเท่านั้น แต่พวกเราเผชิญหน้ากับอสูรหน้าด้าน ระดับหนึ่งของโลก หลังไอแม้ว ดังนั้น สื่อขี้ข้าจึงให้ร้ายมวลมหาประชาชน มาโดยตลอด การที่เขาโกหก จนเชื่อในสิ่งที่เขาโกหก ทำให้เขาประเมินผิดพลาด พลังของมวลมหาประชาชนมีมหาศาล ทำให้เรารอดพ้น อุ้งมือซาตานประเทศอื่น จึงชื่นชมประเทศไทย ที่กำลังก้าวออกจากอุ้งมือพญาอินทรีย์ ได้อย่างสง่างาม ทำเอาสายลับและนักวิชาการใหญ่ ที่เขาจ้างไว้ สื่อมวลชนใหญ่จึงรายงานผิด งานนี้คงโดน??? เพราะหน้าตาเครียด ไม่กร่างเหมือนตอนอสูรครองเมือง เกมหมากล้อมของมหาอำนาจโลก คือต้องการเป็นเจ้ามือใหญ่ เขาเปิดศึกหลายด้านทั่วโลก

สำหรับประเทศไทย จากการแสดงออกอย่างไร้สามัญสำนึก ของนักการเมือง ทูตของมหาอำนาจบอกว่า ไทยต้องดำเนินการสร้างสรรประชาธิปไตย ให้ได้เหมือนบรรพบุรุษ ให้เป็นแผ่นดินทอง สำหรับพญาอินทรีย์ ที่ตอนนี้ปีกหัก ถังแตก แถมยังตาเป็นต้อหิน (ใกล้บอด) อีก คงดำเนินงานแบบมีสูตร แถมยังรู้ว่า สูตรนี้ใช้มา ๗๐ ปีแล้ว ตัวแปรในสมการเปลี่ยนพลวัตรของโลก เปลี่ยนไปขนาด ๓๖๐ องศา พญาอินทรีย์ปฏิบัติในท่าทีเดิม แต่ทำไมทุกประเทศเกลียดและกลัว แถมยังไปถือหางจีนอีก สงสัยโดนเซลล์แมนโกหกอีก ขอบอกว่ากราฟชีวิตของอสูร คงเป็นระฆังคว่ำ ลายเซ็นเตี้ยมีแหลม สองครั้งแล้ว  ตวัดราบเตี้ย ทายได้ว่า เขากำลังเข้าสู่โหมดเตี้ยต่ำ ติดดินแล้ว ด้วยอัตราเร่ง หมดเวลาของเขาแล้ว อีกไม่นานก็คงล้มละลาย ถ้าท่านพญาอินทรีย์กลับท่าที คบกันอย่างมิตร เอาไว้คอยช่วยเหลือกัน คนไทยใจดี ยังไงก็ช่วยเหลือกันได้ เพราะยังไง คนไทยก็ยังชอบดูหนังฮอลลีวู้ด

คุณอัตถ์ ตอบว่า อเมริกาก็ยังเป็นมาเฟียเสมอ ล่าสุดจะเอากองกำลังอาวุธ ไปสู่ตะวันออกกลาง ผมว่าอเมริกา จะเป็นผู้จุดสงครามโลก ครั้งที่ ๓ เป็นสงครามครูเสธ

มาอ่านอีกคอลัมน์  ท่านขุนน้อย ณ ลีลาแห่งบุปผากระบี่ หัวข้อ  ประชาธิปไตย ในยุคใกล้สงครามโลก
http://www.thaipost.net /news/130215/102955
เริ่มต้นขึ้นแล้ว...  การพบปะ เจรจามาราธอนของผู้นำ 4 ฝ่าย ที่เรียกกันว่า Normandy Four อันประกอบไปด้วย  คุณพี่ วลาดิมีร์ ปูติน ผู้นำรัสเซีย คุณน้า ฟรังซัวส์ โอลลองด์ ผู้นำฝรั่งเศส คุณป้า อังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมนี และคุณน้อง เปโตร โปโรเชนโก ผู้นำยูเครน ณ เมืองมินสก์ ประเทศเบลารุส ช่วงวันพุธที่ผ่านมานี้
            ------------------------
    ผลของการเจรจาครั้งนี้ จะมีข้อสรุป ข้อยุติ ออกมาในแบบไหนประการใด จะออกไปในแนวสงคราม หรือสันติภาพ มาถึงบัดนี้ คงได้แต่นั่งล้างหู เอียงหู รอฟังกันไปเรื่อยๆ แต่โดยสีสันบรรยากาศ ทั้งก่อนหน้าการเจรจา หรือระหว่างการเจรจา คงปฏิเสธไม่ได้ว่า... ดูๆ จะหนักไปทาง มัน...เอา...เราแน่ หรือ ถ้าจะมีโอกาส ไหลไปในทางสันติภาพขึ้นมามั่ง ก็อาจเป็นสันติภาพในแบบ การพักรบชั่วคราว เพื่อเตรียมพร้อมรับมือกับสงคราม ที่มีขนาดใหญ่ยิ่งขึ้นไปกว่านั้น...
             --------------------
    เรียกว่า...ตั้งแต่ก่อนหน้าตั้งโต๊ะเจรจากัน แค่ไม่กี่ชั่วโมง ฝ่ายรัฐบาลยูเครนผู้นิยมตะวันตก กับฝ่ายกบฏยูเครนผู้นิยมรัสเซีย ต่างควักอาวุธ ออกมายิงกันสนั่นหวั่นไหว ตายไปรวดเดียวกว่าครึ่งร้อย ดังที่หน้าต่างประเทศ ไทยโพสต์ ได้เอามารายงานไว้ เมื่อวันวาน จนทำให้คุณน้อง โปโรเชนโก ออกอาการควันหูออก ถึงกับคิดจะประกาศกฎอัยการศึก เลียนแบบคุณลุงบิ๊กตู่ ของหมู่เฮา แถมยังประกาศว่า จะหอบเศษชิ้นส่วน จรวด BM-30 ที่ฝ่ายกบฏยิงใส่ใจกลางเมือง Kramatorsk ในแคว้น Donetsk ไปกองให้เห็นๆ กันในโต๊ะประชุม เพื่อใช้เป็นหลักฐานยืนยันว่า อาวุธเช่นนี้ ฝ่ายกบฏ ย่อมไม่มีปัญญาที่จะหามาใช้ได้ โดยเด็ดขาด ถ้าหากรัฐบาลรัสเซีย ไม่ให้การสนับสนุน
           -------------------
    หรือพูดง่ายๆ ว่า... เพื่อให้เกิดความชอบธรรม ในการรองรับการติดอาวุธร้ายแรง ของสหรัฐให้กับกองทัพยูเครน ตามแนวทางของรัฐบาลโอมาบ้า และบรรดานักการเมืองอเมริกัน ไม่ว่าจะเป็นพรรครีพับลิกัน หรือดีโมแครต ที่ต่างก็กำลังออกอาการบ้า ไปด้วยกันทั้งนั้น และนั่นน่าจะทำให้  ความพยายามที่จะหาทางออก ด้วยการเจรจา ไม่ใช่ด้วยการเพิ่มอาวุธ  เพื่อเอาไว้สู้กับอาวุธ หรือการหาข้อยุติ ด้วยกรรมวิธีทางทหาร ที่คุณน้า ฟรังซัวส์ โอลลองด์ และคุณป้า อังเกลา แมร์เคิล เคยนำเสนอเอาไว้ก่อนหน้านี้ อาจต้องออกไปทางแห้วกระป๋อง หรือไม่ก็ต้องหาสากกะเบือ มาอมเอาไว้คนละด้ามสองด้าม...
            --------------------------
    คือคงต้องยอมรับว่า... บรรยากาศความเคลื่อนไหวทางทหาร ก่อนหน้าที่บรรดา นอร์มังดีโฟร์ ทั้งหลาย จะร่วมนั่งโต๊ะเจรจา ระหว่างกันและกันนั้น เป็นอะไรที่มาแรงแซงโค้งเอามากๆ นอกเหนือไปจาก การเคลื่อนเรือรบ ต้านขีปนาวุธ และปราบเรือดำน้ำ USS Cole ของกองทัพสหรัฐ เข้าไปในภูมิภาคทะเลดำ เมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ล่าสุด... กองทัพสหรัฐ ยังส่งเครื่องบินขับไล่ ต่อต้านรถถัง และยานเกราะ A-10 Thunderbolt 2 จำนวน 12 ลำ พร้อมนักบินอีก 300 นาย เข้าประจำการ ยังน่านฟ้ายุโรปตะวันออก แบบกระเหี้ยนกระหือรือเอามากๆ หรือแบบเป็นไปตามหลักคิด ที่อดีตทูตอเมริกา ประจำรัสเซีย นาย ไมเคิล แม็กฟอล ได้ออกมาแสดงความเชื่อส่วนตัว เอาไว้นั่นแหละว่า... “ความเคลื่อนไหวทางทหารในยูเครน ของฝ่ายกบฏ ที่มีรัสเซียสนับสนุนนั้น มีแต่จะต้องถูกยกระดับยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ว่าอเมริกา จะส่งหรือไม่ส่งอาวุธร้ายแรง ให้กับรัฐบาลยูเครนก็ตาม...”
            ---------------
    ในเมื่อบรรดานักการเมืองในสหรัฐ หรือผู้นำสหรัฐ อยากจะเชื่อ หรือพยายามเกลี้ยกล่อมตัวเองให้เชื่อ ไปตามหลักคิดเช่นนี้ โดยไม่ได้คิดจะพลิกประวัติศาสตร์ ความเป็นมาทางวัฒนธรรม เชื้อชาติ ภาษา ไปจนถึงอาณาเขตดินแดน ที่มีความเกี่ยวพันกันอย่างลึกซึ้ง ระหว่างยูเครนและรัสเซีย มาใช้เป็นองค์ประกอบเอาเลย แม้แต่น้อย โอกาสที่จะหาข้อสรุป ข้อยุติ เพื่อให้เกิดสันติภาพที่ยั่งยืนถาวร ในยูเครนนั้น ย่อมยากซ์ซ์ซ์ ที่จะเป็นไปได้ง่ายๆ ความเคลื่อนไหวทางการทหารของสหรัฐ เพื่อสนับสนุนรัฐบาลยูเครน ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่าไหร่ ย่อมทำให้ความเคลื่อนไหว ทางการทหารของรัสเซีย เพื่อปกป้องคุ้มครอง ฝ่ายกบฏยูเครน ยิ่งต้องเพิ่มขึ้นไปเท่านั้น เรือดำน้ำชั้น First Varshavyanka-class ของรัสเซีย จึงถูกส่งเข้าไปในภูมิภาคทะเลดำ มาตั้งแต่ปลายปีที่แล้ว และล่าสุด... การฝึกรบด้วยกระสุนจริง ของกองทัพเรือรัสเซีย ในทะเลดำ ก็ได้เริ่มต้นขึ้น ตั้งแต่วันอังคารที่ผ่านมา ณ ภูมิภาค Crimea mountainous ส่งผลให้ทุกสิ่งทุกอย่าง ยิ่งน่าหวาดเสียว น่าไข่หดตดหาย หนักขึ้นไปใหญ่...
          ------------------------
    เอาเป็นว่า... สุดท้ายมันจะออกไปทาง ยิง-ไม่ยิง บุก-ไม่บุก ไม่บุก-ก็อย่าบุก ฯลฯ หรือไม่ ประการใด ก็แล้วแต่ โอกาสที่สันติภาพในแบบยั่งยืนและถาวร จะปรากฏขึ้นมาในภูมิภาคนี้ มันคงไม่ถึงกับง่ายซักเท่าไหร่นัก หรือพูดง่ายๆ ว่า... ตราบใด ที่คุณพ่ออเมริกา ท่านยังไม่เลิกคิด ที่จะดำรงตนเป็นประมุขโลก ต้องการควบคุมโลกทั้งโลก ให้ตกอยู่ภายใต้สภาพโลก ที่มีมหาอำนาจเพียงขั้วเดียว บรรดาชาวบ้านชาวช่อง หรือประเทศต่างๆ ทั้งหลาย ที่ต้องการให้โลกทั้งโลก สามารถอยู่ร่วมกันโดยสันติ ภายใต้สภาพโลกที่มีหลายขั้วอำนาจ ย่อมไม่มีโอกาส ที่จะอยู่กันแบบเบิร์ดๆ สบายๆ ได้โดยเด็ดขาด บรรดาสันติภาพในโลกใบนี้ ย่อมต้องเป็นไปในแบบที่ ท่านพุทธทาสภิกขุ เคยให้คำนิยามเอาไว้ นั่นแหละว่า สันติภาพ ขณะเตรียมการรบใหญ่ หรือสันติภาพในแบบที่ ยิ่งยาวนานออกไปเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะมีการรบใหญ่ ติดตามมาในภายหลัง หนักขึ้นเท่านั้น...
           ---------------------

    การเตรียมตัวรับมือกับสันติภาพ ในลักษณะเช่นนี้ จึงหนีไม่พ้นที่จะต้องหันมายึด แนวทางแห่งธรรมเอาไว้ให้มากๆ เข้าไว้ ยิ่งประเทศเล็กๆ อย่างประเทศไทยแลนด์ แดนสยาม ของหมู่เฮาทั้งหลาย การก้าวเดินไป ตามแนวทางแห่งทศพิธราชธรรม ที่ถูกแสดงให้เห็นเป็นแบบอย่าง โดยองค์พระมหากษัตริย์นั้น ยิ่งถือเป็นความจำเป็น ที่มิอาจปฏิเสธและหลีกเลี่ยงได้ คำว่าประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุขนั้น จึงมีความหมายลึกซึ้ง ยิ่งไปกว่าคำพูดคำจา ที่ถูกนำมาต่อท้ายเอาไว้เป็นสร้อย แต่เพียงเท่านั้น แต่ยังหมายรวมไปถึง ประชาธิปไตยที่เป็นธรรม ที่มีคุณธรรม ศีลธรรม เป็นตัวกำกับเอาไว้อีกด้วย... อาตมาขอแถมว่า ต้องมีปรมัตถธรรมด้วย จึงพอ

           -------------------
    ปิดท้ายด้วยวาทะวันนี้จาก Burke (อีกครั้ง)... “What is liberty without wisdom and without virtue? It is the greatest of all possible evils.- เสรีภาพที่ปราศจากปัญญา และคุณธรรม จะต่างอะไรไปจาก ความชั่วที่ร้ายกาจที่สุด...”.

พ่อครูว่า...เราก็จะได้รู้ทั้งแวดวงเมืองไทย และต่างชาติ เราก็ได้รู้ทั้งโลกและธรรม นี่เป็นเรื่องโลกธรรม ทั้งโลกทั้งอัตตา ก็เลยยิ่งเละ คนที่โง่ทั้งโลกและอัตตา เป็นเช่นนี้ ต้องมาดูบทความสุดท้ายนี้... คือโง่ทั้งโลกาธิปไตย และอัตตาธิปไตย...

เปลว สีเงิน "ธรรมกายกับมหาเถรสมาคม" http://www.thaipost.net /news/130215/102969

๑๒ กุมภาพันธ์ ๒๕๕๘.......
    ".....ตอนนี้วัดพระธรรมกาย กำลังจะคืนเงินที่ได้รับบริจาค จากสหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน กว่า ๗๐๐ ล้านบาท หลังจำนนต่อหลักฐาน เนื่องจาก ปปง. ตรวจสอบเส้นทางการเงิน และพบว่ามีการออกเช็ค ให้บริษัท ยูเนี่ยนอินเตอร์ประกันภัย จำกัด จำนวน ๔ ฉบับ รวมเป็นเงินเกือบ ๔๐๐ ล้านบาท สั่งจ่ายวัดพระธรรมกาย จำนวน ๑๕ ฉบับ รวมเป็นเงิน ๗๑๔ ล้านบาท และ......"
    อืมมมมม...!
    ผมอ่านข่าวที่ พ.ต.อ.สีหนาท ประยูรรัตน์ เลขาฯ ปปง. แถลงผลตรวจสอบทรัพย์สิน "นายศุภชัย ศรีศุภอักษร" อดีตประธาน สหกรณ์เครดิตยูเนี่ยน คลองจั่น ที่ยักยอกเงินสหกรณ์ไปกว่า ๑๒,๔๐๒ ล้าน ด้วยความปลื้ม
    ปลื้ม "ธัมมชโย" ด้วย เมื่อถูกจับได้คาคอ เลยต้องขย้อนคายออก บอก ปปง.... จะคืน ๗๐๐ กว่าล้าน นั้นให้นะจ๊ะ!
    คำว่า "คืน" แสดงถึง จงใจเอาของเขาไปแล้ว เมื่อถูกจับได้ ก็คืนของกลาง ลักษณะนี้ ทางกฎหมายบ้านเมือง กับกฎหมายสงฆ์คือพระวินัย "เหมือนกัน"
    ความผิดเกิดขึ้นแล้ว ถึงคืน "ทางกฎหมาย" ก็ติดคุก
    ทาง "พระวินัย" อาบัติขั้นปาราชิกแล้ว!
    เกิดจากท้องพ่อ-ท้องแม่ ไม่เคยเห็น "บุญเจ้าเล่ห์" อย่างนายศุภชัย นี่คือการยักยอกโดยสุจริตหรือไฉน ยักยอกได้มาแล้ว แบ่งปันถวายซาตานซุกศาสนา ทีละร่วมพันล้าน?
    ต่อให้อมควายทั้งฝูงมาพูด ก็ไม่เชื่อว่า....
    นี่ไม่ใช่การ "รู้เห็นเป็นใจ" โกงได้มาเท่าไหร่ ก็ใช้คำว่า "บุญ" ฟอกเงินโจร เป็นเงินพระ-เงินวัด?
    เมื่ออ่านข่าวขบวนการซาตานนี้แล้ว ก็อดนึกย้อนไป เมื่อปี พ.ศ.๒๕๔๙ ไม่ได้...!
     ในสมัยทักษิณ "ศิษย์เอกธรรมกาย" เป็นนายกฯ ตอนนั้น ด้วยคดียักยอกเงินวัด และทรัพย์สินวัด เกือบพันล้าน
    ขาข้างหนึ่งของธัมมชโย เข้าไปอยู่ในตะรางแล้ว เหลือสืบพยานแค่ ๒ ปาก ศาลก็จะตัดสิน อีกทั้ง "สมเด็จพระญาณสังวร" มีพระลิขิต เป็นฉบับที่ ๓ ชี้โทษทางวินัย ธัมมชโย ไว้ชัดแจ้งแล้วว่า......
    “ไม่คิดให้มีโทษ เพราะคิดในแง่ยกประโยชน์ให้ ว่าในขั้นต้น อาจมิใช่มีเจตนา ถือเอาสมบัติของวัดเป็นของตนจริงๆ แต่เมื่อถึงอย่างไร ก็ไม่ยอมมอบคืนสมบัติทั้งหมด ที่เกิดขึ้นในขณะเป็นพระให้แก่วัด ก็แสดงชัดแจ้งว่า ต้องอาบัติปาราชิก ต้องพ้นจากความเป็นสมณะ โดยอัตโนมัติ ต้องถูกจัดการอย่างเด็ดขาด เช่นเดียวกับผู้ไม่ใช่พระ ปลอมเป็นพระ ด้วยการนำผ้ากาสาวพัสตร์ไปครอง ทำความเศร้าหมอง เสื่อมเสียให้เกิดแก่สงฆ์ ในพระพุทธศาสนา”
    นั่นคือ ทางพระวินัย อันเป็นกฎหมายสงฆ์ ธัมมชโย ต้องโทษ "ปาราชิก" สิ้นสภาพความเป็นพระแล้ว ด้วยเอาทรัพย์ผู้อื่นเกิน ๕ มาสก เท่ากับ ๑ บาทขึ้นไป
    ดังนั้น ไม่ว่าศาลจะตัดสินแบบไหนหรือไม่ตัดสิน ในความเป็นพระสงฆ์ของ "ธัมมชโย" ถือว่าสิ้นสภาพแล้ว!
    ขณะนี้ ธัมมชโย ด้วยสถานภาพจริงทางพระพุทธศาสนา มีสถานะเป็นฆราวาส เป็น "นายไชยบูลย์ สิทธิผล"ไม่ใช่ "ธัมมชโย ภิกษุ" ดังปลอมแปลงเป็น
    สถานะขณะนี้คือซาตาน ซ่อนตัวในคราบเสื้อคลุมเหลือง -หัวโล้น กัดเซาะ-ชอนไช "รากแก้ว-รากแก่น" พระพุทธศาสนา ด้วยบิดเบือนพระธรรมคำสั่งสอน พระพุทธองค์
    และทั้งรูปแบบ เช่นดัดแปลงผ้ากาสาวพัสตร์ เป็นเสื้อแขนกระบอกย้อมเหลือง สงสัยนุ่งชั้นในด้วยซ้ำ มีวัตรปฏิบัติ วิปริตผิดสงฆ์ เบื้องหน้า-และเบื้องหลัง "ซ่อนเล่ห์" ลึกลับ ยากหยั่งถึง!
    เอานรก-สวรรค์หลอกขาย แลกเงินชาวบ้าน พฤติกรรมเชื่อมขบวนการ คาบเกี่ยวกฎหมาย เป็นวิธีการของซาตาน กัดกร่อน หวังเปลี่ยนแก่นธรรมแห่งพุทธะ ไปเป็นลัทธินิกายใหม่เฉพาะตน
    คล้ายเมื่อครั้งพระบรมศาสดาเจ้า ปรินิพพานแล้ว ซาตานนอกศาสนา ก็แปลกปลอม เข้ามาอาสัยคราบพระในพุทธศาสนาหากินบ้าง บิดเบือนคำสอนพระพุทธองค์ ไปเป็นของตนบ้าง
    กระทั่งโค่นทำลาย ยึดศาสนวัตถุ "วัด-ที่ดิน" แล้วแปลงให้เพี้ยน –พิเรนทร์เป็นลัทธิ -นิกาย ของตนได้ในที่สุด!
    แต่ ถึง ณ วันนี้.....!
    ที่นายไชยบูลย์ ยังอาศัยผ้าเหลืองคลุมร่าง ว่าเป็นพระสงฆ์ เป็นธัมมชโย "ลวงโลก" อยู่ได้
    นั่นเพราะด้วย "อภินิหารทักษิณ" เพราะสมัยนั้น ความเป็นนายกฯ ของทักษิณ มีอำนาจปานสยบฟ้า -สยบดิน ดังที่ทราบกันอยู่
    ก็ขนาดทำให้อัยการ ในยุค "นายพชร ยุติธรรมดำรง" ซึ่งเป็นโจทก์ ต้องขอถอนฟ้องคดีธัมมชโย ต่อศาลได้นั่นแหละ
     สืบพยานไปแล้ว ๗ ปี เหลืออีก ๒ ปาก ก็จะตัดสินวันนี้-วันพรุ่ง ถึงวันที่ ๒๑ สิงหา ๔๙ จู่ๆ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีอาญา ๕ ก็ยื่นคำร้อง ขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองต่อศาล
     "......ปรากฏว่า จำเลยที่ ๑ กับพวก ได้มอบทรัพย์สินทั้งหมด ซึ่งมีทั้งที่ดิน และเงินจำนวน ๙๕๙,๓๐๐,๐๐๐ บาท คืนให้แก่วัดพระธรรมกาย การกระทำดังกล่าว ของจำเลยที่ ๑ กับพวก จึงเป็นการปฏิบัติตามพระลิขิตของ สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ครบถ้วน ทุกประการแล้ว
    ........ฯลฯ.......
    อัยการสูงสุด (นายพชร ยุติธรรมดำรง) จึงมีคำสั่งให้ถอนคดีนี้ ดังนั้น โจทก์จึงขอถอนฟ้องจำเลยทั้งสองในคดีนี้ ทุกข้อกล่าวหา ขอศาลโปรดอนุญาต.....ฯลฯ"

    จำเลยที่ ๑ คือ พระราชภาวนาวิสุทธิ์ หรือพระไชยบูลย์ ธัมมชโย หรือนายไชยบูลย์ สิทธิผล เจ้าอาวาสวัดพระธรรมกาย และนายถาวร พรหมถาวร ลูกศิษย์คนสนิท จำเลยที่ ๒
    ครับ....รอยเกวียน ย่อมทับรอยโค ฉันใด รอยตีนซาตาน ย่อมทับรอยตีนโจร ฉันนั้น ๒ คดียักยอก มันบอกถึง รอยซ้ำรอย
    เอาบุญ-เอาสวรรค์ มาหลอกขาย... โยมจ๊ะ..โยมจ๋า หนึ่งเอ็ม-สองเอ็ม ตามภาษาของเขา เป็นการสะสมทุน ขยายแผนสู่เป้าหมาย ทั้งในและนอกประเทศ
    ฝ่ายซาตานเหลี่ยม มุ่งตีราชอาณาจักร หวังล้มสถาบัน เปลี่ยนระบอบ เป็นแดงทั้งแผ่นดิน
    ฝ่ายซาตานเหลือง มุ่งตีพุทธจักร หวังล้มเถรวาทไทย ครอบงำ-ยึดวัด เปลี่ยนเป็นลัทธิ แดงธรรมกาย ทั้งแผ่นดิน!
    ประเด็นที่สังคมตื่นรู้ ควรทำความเข้าใจให้ตรงจุด ในการบริหารทุกวันนี้ ประเทศไทย ไม่ได้มี ครม.เดียว หากแต่มี ๒ ครม. คือ
    ครม.รัฐบาลพลเอกประยุทธ์ ทำหน้าที่บริหารประเทศ
    และ ครม.มหาเถรสมาคม ทำหน้าที่บริหารคณะสงฆ์
    จะจัดระเบียบวัดธรรมกาย และซาตานที่ซ่อนอยู่ในร่างธัมมชโย ครม.พลเอกประยุทธ์ จัดการไม่ได้เต็มที่ และโดยตรง
    ต้อง "ครม.มหาเถรสมาคม" ที่สมเด็จพระมหารัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำภาษีเจริญ ในฐานะประธานกรรมการ มหาเถรสมาคม เท่านั้น จะจัดระเบียบวัดธรรมกายได้
    และสั่งการให้ธัมมชโย มีสภาพเป็นไปตามพระลิขิต สมเด็จพระสังฆราช "สมเด็จพระญาณสังวร"
    คือ "จับธัมมชโยสึก" นั่นแหละ เปลื้องผ้าเหลืองออกไป ไม่ให้ซ่อนคราบ นายไชยบูลย์ อยู่ในคราบพระ ซุกวัดทำสังฆกรรม ให้วิบัติอยู่อย่างนี้
    ก็มาถึงคำถาม ที่ทุกคนอยากถาม ........!
    "แล้วทำไม มหาเถรสมาคม ปล่อยธัมมชโย-ธรรมกาย ให้เป็นอยู่ในสภาพ ทุกวันนี้ได้?"
    ผมจะไม่เฉลย อยากให้สภาพทุเรศ เป็นตัวสะท้อนความ "เก้อยาก" เพียงอยากบอกว่า.... รูปแบบที่ทางโลก ทำนุบำรุงคนในศาสนาวันนี้ ทำนุบำรุงให้ "หนา"
    จึงหนักบ่า-หนักใจ กับทุกฝ่ายในสังคมชาติ!
    และในความเป็นมหาเถรสมาคม ผู้บริหารสงฆ์ทั้งประเทศ ในยุค "ทุนวัตถุ" วันนี้ สังคมชาวบ้าน "รู้เท่าที่เห็น" นั่นน่ะ...ดีแล้ว
    อย่าไปรู้ "ในสิ่งที่เป็น" เลย เชื่อผมเถอะ!
    ประเด็นธรรมกายนี้ ถ้ามหาเถรสมาคม เห็นแก่พระพุทธศาสนา "มากกว่า"เห็นแก่ธรรมกาย ผู้จะแปลง "มหานิกาย-ธรรมยุต" รวมไปเป็น "แดงธรรมกาย" ทั้งแผ่นดิน
    ขอพระเดชพระคุณเจ้า จงทำหน้าที่ "ครม.สงฆ์" ให้เป็นไปตามพระธรรม-วินัย กำจัดด้วงหนอน ที่ชอนไชรากแก้ว-รากแก่น พระพุทธศาสนา ให้สมที่พุทธศาสนิกชนศรัทธา-ปสาทะ ด้วยเถิด
    ผมไม่อยากได้ยินใครพูดว่า "มหาเถรสมาคมเป็นใจ" หรือกระทั่งว่า "ธรรมกาย-ธัมมชโย เด็กสร้างของมหาเถรสมาคม"
    พอๆ กับที่ผมไม่อยากได้ยินคำนี้ จากปากทักษิณ แต่ก็เคยได้ยินกะหู.....
    "ผมจะทำให้ธรรมกาย เหมือนเมกกะ"!?.

พ่อครูว่า บทความนี้ รวมทั้ง อัตตาธิปไตย และโลกาธิปไตย ที่คุณเปลว สีเงิน เอามาขยายความ ชัดเจน

คนที่เขานับถือกันว่า เป็นอาริยะก็เลยผนวก เอาความเจริญทางโลก เจริญทางกามคุณ โลกธรรม อัตตา เข้าไปด้วย ส่วนสายอริยะ ก็ทิ้งโลก ทิ้งกามคุณ พยายามลืม แต่ไม่ได้มีจิตวิเคราะห์อย่างลึกซึ้ง ได้ผิวเผิน แล้วเขาศึกษาจิตแบบดิ่งลึก แต่ไม่เข้าใจอัตตา อัตตาธิปไตยที่จะต้องศึกษา อย่างรู้เบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลาย ที่ให้ล้างตั้งแต่ตัวต้น ที่เป็น conscious แล้ว subconscious จะขึ้นมาให้ศึกษา แล้วก็ unconscious ก็จะลอยขึ้นมาให้ศึกษา

ของพระพุทธเจ้าเป็น consciousness killing ฆ่าตัวเหตุในจิตสำนึก แล้วฆ่าจนถึง genesis ถึง DNA ตัวเหตุร้าย ไม่ใช่ฆ่าหมดนะ แจกออกมา แล้วฆ่ารากฐานที่ไม่ดีนี้ ก็เท่ากับ ฆ่า selfishness หรือความเห็นแก่ตัว

ความเห็นแก่ตัวคือจิต คือ gene ศึกษาแล้วเป็น genesis killing นี่คือของพระพุทธเจ้า

ส่วนสายอริยบุคคล แต่เดิมมันก็ดี ใช้ศัพท์นี้เท่านั้น แต่ตอนนี้เพี้ยนไป เป็นกลองอานกะแล้ว จึงต้องใช้อาริยะ ที่มีหลักฐานใช้ได้ แต่เดิมใช้อริยะ แต่ว่าตอนนี้ไม่มีเนื้อแท้แล้ว ต้องมาใช้ศรีอาริยเมตตรัย ที่เป็นเนื้อแท้ ความเจริญในอนาคต พระศรีอาริย์คือผู้เจริญ ผู้มีเนื้อแท้ศาสนาของพุทธ อยู่ตลอดกาลนาน ก็คือ พระศรีอาริย์ ตราบเท่ากาลนาน พระโพธิสัตว์แท้ของพุทธ เป็นพระศรีอาริย์หมด โพธิสัตว์โสดาบัน ก็เป็นพระศรีอาริย์องค์น้อย ... สูงขึ้นไปเป็นลำดับ จนเป็นพระศรีอาริย์องค์เต็มองค์จริง ที่จะมาตรัสรู้เป็น พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อไป

โลกทุกวันนี้ เขาใช้อำนาจโลกและอัตตา เมื่ออวิชชาก็ทำโง่ๆ ไม่ได้เกลียดโกรธธรรมกายนะ แต่มาสายธรรมะด้วยกัน ทางโลกเขาไม่ได้อาศัยธรรมะมาโลภนะ เขาอวิชชา ไม่ได้ศึกษาธรรมะ เขาก็ทำไป แต่นี่มาประกาศว่า ตนศึกษาธรรมะ แล้วเอาอวิชชาตนเองมาละเลง ฉิบหายวายป่วง ทำให้ศาสนาเสียหาย มันเลวร้ายหนักเกินไป ทำให้ศาสนาเสียประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ ทำลักษณะโลกๆนะ เขาทำแล้วได้เปรียบ แต่ถ้าทำอย่างธรรมะจะเสียเปรียบ พวกอริยะปฏิบัติทางจิตนี้เสียเปรียบนะ น่านับถือกว่า ไม่กวนโลก แต่นี่อารยะก็เลว แล้วอริยะก็ทำเลวอีก เอาของเขามาใช้ผิดๆ ทำเล่ห์กล psychology ทางจิตวิทยาเลว ไปครอบงำคน ก็เลยได้ทั้งโลกาธิปไตย ได้อัตตาธิปไตยด้วย ผนวกกัน แสดงอำนาจฤทธิ์แรง เขาได้เปรียบโลกๆนะ แต่เขาได้เปรียบมาก อาตมาว่าสงสัยเทวทัตมาเกิด แล้วมาเพิ่มความเลว ให้กับตนเพิ่มขึ้น รู้ทั้งรู้ว่าจิตตนเองเลว แล้วก็ทำผิดอีก ก็คือคนปาราชิก คนสมี คบกันไม่ได้เลย แล้วโกหกตนเองว่าถูกอีก รู้ว่าตนผิดตนชั่ว แล้วก็ทำมาหลอกว่าตนดีอีก มันเลวจน ไม่รู้จะว่าอย่างไรแล้ว

พวกอารยะนี่ รู้จักตนเองยาก อย่างที่อ่านบทความมาว่า โลกกำลังสร้างมหาอำนาจ สร้างความเป็นใหญ่ เป็นพี่เบิ้มของโลก คนฉลาดแกมโกง จะเอาโลกกับอัตตามาผนวกกัน สมัยโบราณมีแต่ทางจิต ก็หลอกกันไปได้ไม่มาก หรือแบบโลก ก็แสดงอำนาจกันไปข้ามโลกก็ไม่ได้ แต่ปัจจุบันนี้ เขาล่ากันข้ามโลกเลย ถ้าคุณได้เป็นนายกฯ ปธน. หรือพระเจ้าแผ่นดิน คุณก็ได้เสพอารมณ์เป็นพรหม ว่าตนนี้ใหญ่ เป็นนามธรรมแค่นั้น แต่ได้สร้างวิบาก ไปทำร้ายคนอื่น บังคับข่มขี่คนอื่น ได้วิบากมากเลย เพียงแค่ได้เสพอารมณ์ ที่ว่าตนใหญ่แค่นี้ แต่ได้วิบากบาปมหาศาลเลย อย่าทำเลย เพราะไม่เชื่อกรรมวิบาก จึงเป็นเวรานุเวรกันไปไม่จบสิ้น เพราะไม่รู้จักผลวิบาก จึงไปใช้ทั้งอำนาจโลก และอำนาจสรรเสริญ อำนาจหลอกว่าเป็นสุข แต่สุขเท็จ เอาทั้งอัตตาและจิตมาผนวกกัน พวกอารยะไม่รู้จักจิตลึกมาก แต่พวกโลกทางจิต ใช้คราบนักปฏิบัติธรรมลวงโลก แล้วเอาโลกธรรมมาผนวกอีกได้มหาศาล เขาเป็นนักหลอก อย่างธรรมกายนี่ อาตมาก็คานกันอยู่ อย่างออกโศลกว่า “วัฒนธรรมบุญนิยมนั้น ต้องไม่ใช้บุญ เป็นวิมานหลอกคน” เป็นวิมาน คือสิ่งที่สร้างภพชาติ หลอกคนที่ไม่รู้มาเยอะแยะ

บุญไม่ใช่วิมาน ไม่ใช่กุศล แต่บุญคืออาวุธ สำหรับปหานกิเลส แต่เขาทำผิดหมดเลย เอาจิตและโลกมาผนวกกัน ก็เลยมีพลังสูงหนักหน้าใหญ่เลย แล้วส่งลิ่วล้อออกตีข้างนอก ตนเองก็ตีอยู่ข้างใน เป็นเครือแหโยงใยกันอยู่นี่ สังคมไทยกำลังอยู่ในหัวเลี้ยวหัวต่อ ดีมากเลย ต้องตัดไฟแต่ต้นลม อย่าอ่อนแอ อย่าไปหลงแต่เรื่องเยื่อใยอะไร แต่ว่ามันต้องทำตามกาละ ที่ฝากไว้คือคำว่า พลวัตร คือการเปลี่ยนแปลง ๓๖๐ องศา ของยุคสมัย

คำว่าพลวัตรของยุคสมัย พลวัตรคือค่านิยม ของแต่ละยุคต่างกัน คนละกาละ คนละบริบท กาละนี้ค่านิยมมันมีเหตุปัจจัยเยอะ มีทั้งวัตถุ ยุคพระพุทธเจ้าไม่มีไอแพด ที่ไม่ต้องไปสร้างจิต เป็นวัตถุที่ใช้กันได้ทั่ว ยุคโน้นไม่มี แล้วจิตที่หลงติดลาภยศ ยิ่งใหญ่จัดจ้านยุคโน้น ไม่เท่ายุคนี้ แล้ววัตถุที่เขาสร้างมาหลอก ก็ไม่เท่ายุคนี้ด้วย แม้แต่ไม่มี มันก็สร้างเป็นตัวเป็นตน หลอกกันหนาแน่น เลอะเทอะเปรอะเปื้อน ค่านิยมมันคนละอย่าง เราต้องเอาปัจจุบันเป็นตัวตั้ง ต้องรู้กาย รู้พลังงานสสารที่รวมกันอยู่ สัตบุรุษจะทำงาน ต้องรู้องค์ประกอบ กาละนี้ ผีร้ายมันร้ายยิ่งกว่าพญาจักรี เช่นพระยาจักรี ต้องประหารชีวิต ฉันใด ยุคนี้ต้องใช้อย่างนั้น ยุคนี้เลยไปกว่าพระยาจักรีอีก หนาหนักกว่าพระยาจักรีอีก ไม่ได้โกรธเกลียดนะ แต่ว่าถ้าปล่อยให้เขาทำบาปต่อไป จะมากมายเลย เพราะสัมประสิทธิ์ตัวต้น มันสูงเลย แล้วมีอะไรมาบวกอีกนิดหน่อย ก็จะทำให้เกิดผลได้สูงมาก ตอนนี้ศัตรูใช้พลังยกกำลังนะ ไม่ใช่แค่พลังคูณ ค่าสัมประสิทธิ์จะมีมหาศาล ปล่อยไม่ได้ ต้องรู้กาละ และสัปปุริสธรรม ๗ อย่าคิดว่าจะเอาเชื้อร้ายนี้ ไว้เป็นวัคซีนนะ ไวรัสตัวนี้เลวร้ายมากเลย ต้องกำจัดให้หมดเลยนะ

สรุปว่า อาริยบุคคล จึงเข้าใจทั้งโลกและอัตตา ไม่ให้อำนาจทางโลกและอัตตา มาครอบงำ นี่คือธรรมาธิปไตย

ส่วนโลกาธิปไตย ใช้ลาภยศ สรรเสริญ โลกียสุข และโลกธรรม
ส่วนอริยะ เขาก็แยกออกไป สร้างภพอัตตาใหญ่ มีอิทธิปาฏิหาริย์ อาเทสนาปาฏิหาริย์ แต่ไม่มีอนุสาสนีย์ปาฏิหาริย์

แต่อวิชชาสมัยนี้ เอาทั้งอัตตาธิปไตย และโลกาธิปไตย มาผนวกกัน ก็เลยเลวร้ายมาก ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักมาก ธรรมนั้นวินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต แล้วอย่างที่เขาทำ มันทำใหญ่โตมากเลย แต่ในหลวง ให้เราทำอย่าง "แบบคนจน" มักน้อย ช่วยเหลือกัน อย่างนี้เราควรทำ

ขอบคุณบทความ ในไทยโพสต์ ที่ได้ใช้เป็นตัวอย่าง....