580227 สัจจะตามกาลเวลา พิสูจน์สังคมพุทธบริษัทแท้

พ่อครูว่า...วันนี้วันศุกร์ ที่ ๒๗ ก.พ. ๒๕๕๘ ขึ้น ๑๐ ค่ำ เดือน ๔ ปีมะเมีย อีก ๕ วันก็มาฆบูชา ในงานมาฆบูชา ทุกปี ของเราก็จะอยู่ในงานพุทธาภิเษกฯ เราถือว่าวันมาฆฯ เป็นวันหลักของงาน ปีนี้ตรงกับวันพุธ และงานจะเริ่มวันที่ ๑ งานพุทธาภิเษก สุดยอดปาฏิหาริย์ ครั้งที่ ๓๙

ชาวอโศก ตั้งแต่อาตมาบวช อาตมาก็เทศน์ธรรมะ ของพระพุทธเจ้า อย่างเดียว พวกเราก็ฟังกัน ฟังแล้วก็เข้าใจ จนติดตามมา ออกมาอยู่ด้วยเลย อาตมาบวชใหม่ๆ อายุ ๓๖ ปี คนที่บอกว่า จะมาอยู่ด้วย ก็เป็นผู้หญิง อายุ ๒๐ กว่า มีการงานทำ อยู่ธนาคาร แล้วมาบอกว่า จะลาออกมา อยู่ปฏิบัติธรรม กับอาตมา ที่วัดอโศการาม อาตมาก็จำนน เขาก็ไปปลูกกุฏิอยู่เลย ในย่านของผู้หญิงอยู่ ก็เริ่มมีอาการที่มีคนสละ โลกธรรม กาม มาอยู่ด้วย เป็นลักษณะโลกุตระ ไม่เอาโลกีย์ ลักษณะทิ้งโลกีย์ มีสองลัทธิ คือแบบฤาษี กับแบบพุทธ ของฤาษีนี้ หนีไปจากโลกีย์เลย แต่พุทธนี้ไม่หนี แต่อยู่กับโลกธรรม ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข แล้วช่วยเขาด้วย จัดสรร ให้เขาอยู่อย่างดีด้วย มีลาภโดยธรรม (ลาภธรรมกิกา ) แล้วแจกจ่ายเจือจาน ไม่สะสม เป็นคนมักน้อยสันโดษ ตามกถาวัตถุ ๑๐ คือ อัปปิจฉะ สันตุฏฐิ ปวิเวกะ อสังสัคคะ วิริยารัมภะ ศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ คือไม่ว่าจะพูด จะทำอย่างไรก็อยู่ในหลัก ๑๐ ประการนี้

ลัทธิที่กำลังดังนี้ เขาดังเพราะถูกด่า เป็นพวกลัทธิมักมาก มักใหญ่ แต่ของพุทธนี้ จะมักน้อย ไม่เอามาก น้อยก็พอ เป็นความจริง ของคนจริง แต่ทุกวันนี้ เขาเข้าใจผิดว่า มักน้อย ต้องออกป่าเขาถ้ำ ซึ่งเขาก็มักน้อยจริง แต่กดข่ม แต่ของพระพุทธเจ้านี้ ไม่ได้กดข่ม ปฏิบัติตามศีล สมาธิ ปัญญา วิมุติ วิมุติญาณทัสนะ ความมักน้อยนี้ เป็นเครื่องชี้บ่งชัดเจน ว่าอยู่กับสังคม เป็นคนมีน้อย อาศัยน้อย อาศัยพออยู่พอกิน ตามหลักที่ในหลวง ท่านตรัส เศรษฐกิจพอเพียง แบบคนจน เป็นพระปัญญาธิคุณ ยืนยันโลกุตรธรรม เป็นคนเจริญ เป็นอาริยบุคคลแท้ เป็นเนื้อแท้ ปรมัตถสัจจะ อันเจริญวิเศษ ของศาสนาพุทธ ซึ่งยากที่คนจะเข้าใจ เป็น
๑.        คัมภีรา (ลึกซึ้ง)
๒.       ทุททัสสา (เห็นตามได้ยาก)
๓.       ทุรนุโพธา (บรรลุรู้ตามได้ยาก)
๔.       สันตา (สงบระงับอย่างสงบพิเศษ แม้จะวุ่นอยู่) .
๕.       ปณีตา (สุขุมประณีตไปตามลำดับ ไม่ข้ามขั้น)
๖.        อตักกาวจรา (คาดคะเนด้นเดามิได้)
๗.       นิปุณา (ละเอียดลึกถึงขั้นนิพพาน)
๘.       ปัณฑิตเวทนียา (รู้แจ้งได้เฉพาะผู้เป็นบัณฑิต บรรลุแท้จริงเท่านั้น) 

ความสันโดษนี่ คือใจพอ น้อยลงก็ให้พอ ไม่ใช่ว่า พอใจในสิ่งที่ตนมีอยู่ เพราะหากไปถามเศรษฐีใหญ่ มหาเศรษฐี เขาก็ว่า เขาพอใจ ในทรัพย์สินหมื่นล้าน แสนล้านของเขา เขาก็สบายพอใจ เขาสะสม ไม่สะพัดออก ซึ่งไม่ใช่เศรษฐกิจบุญนิยม แบบพระพุทธเจ้า หรือแบบในหลวง ที่ว่าให้เอาแบบคนจน เราไม่เอารวย แบบก้าวหน้าอย่างเขา ที่จะยิ่งถอยหลัง อย่างน่ากลัว คนเข้าใจยาก

ปวิเวกะ จิตสงบ ไม่ใช่สงบแบบฤาษี มักน้อยแล้วหนีทิ้ง ไม่เอาโลกีย์ เขาก็อยู่เงียบหยุดๆ แต่ของพระพุทธเจ้าลึกซึ้ง ที่กิเลสไม่มีบทบาท แต่มีกายสังขารรัง จิตสังขารัง คือกายและจิต ปรุงแต่งเป็นปกติ แต่ปรุงแต่งอย่าง อภิสังขาร มีกายวิเวก จิตวิเวก อุปธิวิเวก

ในงานนี้ตั้งชื่อ หัวข้อเทศน์ว่า พุทธทุกวันนี้ ไม่เข้าใจกาย จึงไม่มีนิพพาน จะเอามหานิทานสูตร มาใช้ประกอบ การบรรยาย

เพราะสงบจากกิเลส กายสังขาร จิตสังขารจึงมีประสิทธิภาพ แคล่วคล่อง เป็นกายปาคุญญตา พระพุทธเจ้าตรัสว่า กายนี้คือ จิต คือมโน คือวิญญาณ คนไม่มีสภาวะ จะเข้าใจยาก ว่ากายคือจิตอย่างไร สรุปว่าเรื่องปวิเวก นั้นของพุทธสงบรำงับ แม้อยู่กับโลกียะ ลาภ ยศ สรรเสริญ โลกียสุข ก็สงบจากกิเลส แล้วอยู่ช่วยทำงาน ให้บ้านเมือง ผู้เป็นอาริยบุคคล จะเป็นผู้บริหารที่ดี ไม่ไปล่าเอาโลกีย์ ไม่ไปเป็นกุฏุมพี แต่ว่าเป็นผู้ช่วยเหลือชาติ ได้อย่างแท้จริง

ตอนนี้กระแสหลัก ของศาสนาพุทธ ก็กำลังโดนบ้อม เพราะทำตนเอง จึงยาก ตอนนี้ปฏิรูป ทั้งการศาสนา และการเมือง ก็ดีแล้ว ทางคสช. ที่จะปฏิรูปทางศาสนา มีคุณไพบูลย์ นิติตะวัน พาทำงานก็อาตมาให้กำลังใจ ให้ทำเต็มที่เลย พวกนั้นก็มาว่า จะให้ปิดคณะนี้ ไม่ให้มายุ่งกับศาสนา นี่ไม่แน่จริงนะ ขี้กลัว นี่ จะให้ตรวจสอบไม่ได้ ถูกติไม่ได้ ทำไม? คุณแน่จริง ต้องให้ตรวจสอบได้ ตำหนิได้สิ สิ่งนี้มันกำลัง เป็นสิ่งเจริญ ตามยุคสมัย เป็นหัวเลี้ยวหัวต่อ ที่สำคัญ

อสังสัคคะ ท่านก็ไปแปลว่า ไม่คลุกคลีด้วยหมู่คณะ อาตมาก็ว่าไม่ใช่ เพราะแปลเช่นนี้ คือลัทธิเข้าป่า เพราะพุทธกระแสหลัก เกือบทั้งนั้น คือหนีเข้าป่า มันเพี้ยนไปแล้ว พระพุทธเจ้า มากู้กลับ จนตรัสไว้ใน อัมพัฏฐสูตร ว่า
๑.ผู้ยังไม่มีวิชชาและจรณะ แต่ไปแสวงหาอาจารย์ในป่า โดยเก็บผลไม้หล่น กินบำรุงชีพ อย่างมักน้อยมากๆ
๒.ไม่เก็บผลไม้กิน แต่ถือเสียม ตะกร้า หาขุดเหง้าไม้ หาผลไม้กิน ระหว่าง ออกแสวงหาอาจารย์ในป่า
๓. สร้างเรือนไฟไว้ใกล้หมู่บ้าน แล้วบำเรอไฟ รออาจารย์
๔. สร้างเรือนมีประตูสี่ด้าน ไว้ที่หนทางใหญ่ สี่แพร่ง แล้ว สำนักรอท่านผู้อยู่ มีวิชชาและจรณะอยู่ (อัมพัฏฐสูตร เล่ม ๙ ข้อ ๑๖๓)

ซึ่งผิดไปหมดเลย พระพุทธเจ้าไม่สอน ให้อยู่แต่เดี่ยวเดียว แต่ที่จริงคำว่า ไม่มีเพื่อนสอง คือจิตเป็น ปุริสภาวะ เป็นหนึ่งเดียว ไม่มีอิตถีภาวะ แล้วทำให้เป็น ปุริสสอุตตมะให้ได้ ท่านว่า อยู่อย่างไม่มีเพื่อนสอง คือ ปราศจาก ราคะ โทสะ โมหะต่างหาก

เพราะละตัณหา ปราศจากราคะ โดยส่วนเดียว ปราศจากโทสะโดยส่วนเดียว  ปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว  ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว
  เป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งปณิธาน ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งตัณหา อันมีข่ายแล่นไปเกาะเกี่ยว ในอารมณ์ต่างๆ ภิกษุผู้มีสติรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นแดนเกิดแห่งทุกข์ แล้วพึงเป็น ผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น เว้นรอบ (นี้เรียกว่า อยู่แต่ผู้เดียว)
พตปฎ. ล.๓๐ ข.๕๙๕

อสังสัคคะ นั้น ที่จริงคือไม่มีสวรรค์ คือหมดสวรรค์ ไม่เกี่ยวข้อง ไม่คลุกคลีกับสวรรค์ (จิต) แต่อยู่กับสังคม ที่มีนรก สวรรค์ในสังคมนี้ อยู่อย่างไม่ติดสวรรค์ และก็ช่วยเหลือสังคมด้วย

วิริยารัมภะ คือขยันล้างกิเลส ขยันตามมรรคองค์ ๘ สั่งสมเป็นสัมมาสมาธิ จนมีลักษณะ ที่กิเลสตายไปอย่าง นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ)

อาตมาพาพวกเราทำ แล้วก็จะมาเป็น คนมักน้อยสันโดษ มาเป็นคนจน ก็เริ่มต้นมีคนเห็น มีทิฏฐิ ต่อมาก็รู้ทิศทาง ว่าอ๋อ เป็นอย่างนี้ รู้ทิศทางมีสองนัย นัยมิจฉาทิฏฐิ ก็หนีเข้าป่า เป็นเทวนิยม เป็นโลกียธรรม แต่ของพุทธ ไม่หนีโลกีย์ แต่อยู่อย่างเหนือโลกีย์ ช่วยเหลือเขาด้วย

นี่ก็บนโต๊ะอาตมานี่ มีผลหมากรากไม้ ของคนจน นี่หัวหอม หัวบีทรูท นี่มะขามป้อมลูกโต เทียบกับมืออาตมานี่ แล้วฉ่ำเลยนะ แตงโม และอื่นๆอีก ปลูกที่บ้านราชฯ ใช้ปุ๋ยบ้านราชฯ ไร้สารพิษทั้งนั้น พืชทั้งหลายนี่ คนไทยต้องไปซื้อที่ตลาด แล้วไม่ไร้สารพิษด้วย แต่ของเราทำได้ ของเรานี่ไร้สารพิษเลยนะ เราไม่ใช้สารเคมีเลย เราใช้ปุ๋ยอินทรีย์ แตงโมไร้สารพิษ ของศิษย์เก่า ฝากกันมา มีงานเราก็ส่งกันมา เป็นธรรมเนียมของ ชาวอโศก แม้แต่ส่วนตัว ก็ยังส่งมาเลย เป็นวัฒนธรรมชาวอโศก ขอให้รักษาให้ดี ตลอดไป ให้ได้เลย

เริ่มต้น มีคนมาอยู่ปฏิบัติด้วย ต่อมาก็มีมากขึ้น มีทั้งผู้หญิงผู้ชาย จนกระทั่ง ปฏิบัติไป พศ. ๒๕๑๖ อาตมาก็เลย พากันออกมาที่ กำแพงแสน แดนอโศก ต.ทุ่งลูกนก มีไม่กี่คนหรอก  ก็เป็นนักปฏิบัติธรรม มีฆราวาสด้วย อาตมาให้เป็น ปะ คือผู้ปฏิบัติ เป็นนาค จนขึ้นมาเป็นนักบวช แล้วมีญาติโยมก็มา จนมีคนมาเข้าใจ แบบที่อาตมาพาทำ มีนักบวชเพิ่ม มีฆราวาเพิ่ม จนถึงปี ๒๕๑๘ อาตมาก็ประกาศ นานาสังวาส แยกจากมหาเถรสมาคม ตั้งแต่พศ.๒๕๑๘ ทางคณะกระแสหลัก ก็รับรู้ชัดแจ้ง จากนั้นอาตมา ก็จำเป็นต้องมีสถานที่ มีอาราม ก็เลยมาตั้งที่ สันติอโศก ศาลีอโศก และศีรษะอโศก ในปี ๒๕๑๘-๒๕๑๙ ก็กลายเป็น สังคมชุมชน มีทั้งนักบวช และฆราวาส ก็กลายเป็นพุทธบริษัท มีนักบวชชาย นักบวชหญิง ในเมืองไทยเรา ไม่มีภิกษุณี อาตมาเลยประยุกต์ ให้เป็นสิกขมาตุ ถือศีล ๑๐ ไม่ใช้เงินใช้ทองจริงๆ มีสิกขมาตุมาตั้ง ๔๐ กว่าปี มาถึงป่านนี้ ตอนแรก เราเรียกแม่เณรก่อน สิกขมาตุเราศีล ๑๐ ได้จริง แม้อสังหาริมทรัพย์ ก็ให้เซ็นออกด้วย สิกขมาตุเรามีชีวิต ปรปฏิพัทา เม ชีวิกา คือฝากชีวิตไว้กับฆราวาส เราปฏิบัติดีกับประชาชนไป ซึ่งทุกวันนี้ กระแสหลักเขาเรียกร้องว่า พระไม่มีเงินไม่มีทอง อยู่ไม่ได้ แต่ของเรา ก็ปฏิบัติยืนยัน อกาลิโก ตามพระพุทธเจ้า ขอให้มี ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่างจากอรหันต์ และโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็มีตามลำดับ แต่ทุกวันนี้ คนทั่วไปเขาว่า มีแต่อรหันต์อย่างเดียว ไม่มีลำดับขั้นตอน

แต่เราทำได้ จนมีสังคมหมู่กลุ่ม จนสันติอโศกเต็ม ไม่มีที่ทางพอ ก็เลยไปสร้าง ปฐมอโศก ให้เป็นบ้าน และวัด เป็นชุมชนแรก ที่จะให้เป็น บวร ก็เกิดพัฒนาการเป็นสังคม พุทธศาสนา มีอุบาสก อุบาสิกา นักบวชหญิง นักบวชชาย เป็นพุทธบริษัท

พุทธบริษัทต่างจากพุทธมามกะ และพุทธศาสนิกชน

พุทธศาสนิกชน คือคนถือเป็นพุทธ ตามทะเบียนบ้าน ตามๆกันไป แต่ว่าพุทธมามกะ คือผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติพุทธ แต่ไม่เข้าสัมมาทิฏฐิ แต่พุทธบริษัท คือปฏิบัติมีสัมมาทิฏฐิ จนมีมรรคผล ตั้งแต่โสดาปัตติมรรค เป็นต้นไป เราก็มาทำ จนเกิดเป็น ชุมชนปฐมอโศก เป็นชุมชนแรก ต่อมาก็เป็น สันติอโศก ศาลีอโศก ศีรษะอโศก ที่ปรับมาเป็น ชุมชนพุทธบริษัท ๔ ตามกันมา เป็นพุทธที่เข้ากระแสได้สาระสัจจะ ของพุทธแท้ๆ เป็นมนุษย์ตรงตามกถาวัตถุ ๑๐ ตามวรรณะ ๙ ตามหลักตัดสิน ธรรมวินัย ๙ จนถึง สาราณียธรรม ๖ ก็สามารถยืนยันได้ สาราณียธรรม ๖ ต้องถึงสาธารณโภคี เป็นสังคมสงฆ์ ซึ่งไม่ใช่แต่ ผู้โกนหัวบวช แต่ว่าคือ โสดาบัน สกิทาคามี อนาคามี อรหันต์ รู้ปฏิบัติ โลกุตระ ตั้งแต่กายในกาย ไปจนถึงอุเบกขา ซึ่งคนแบบนี้เกิดขึ้น จึงเกิดพฤติกรรม ของอาริยบุคคล มีวัตรปฏิบัติ วัฒนธรรม ทุกวันนี้ มีรูปร่างชัดเจน มี พหุชนหิตายะ (เพื่อหมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) พหุชนสุขายะ (เพื่อความสุขของ หมู่มวลมหาชน เป็นอันมาก) โลกานุกัมปายะ (รับใช้โลก ช่วยโลก)

ของพุทธมี โลกุตระ (เหนือโลก) โลกวิทู (รู้ทันโลก) โลกานุกัมปายะ (เกื้อกูลอนุเคราะห์โลก) เป็นเอหิปัสสโก สันทิฏฐิโก อกาลิโก โอปนยิโก เพราะมีปัจจัตตัง วิทิตัพโพ วิญญูหีติ

แต่ทุกวันนี้ สังคมพุทธกระแสหลัก เสื่อมจนคน จะไม่มีที่พึงแล้ว อาตมาก็มา ขอตั้งร้าน ของอาตมาใหม่ ว่ามันถูกกว่าไหม มันดีกว่าไหม แต่ที่พูดนี้ ไม่ได้พูดอย่างมี สาเฐยจิตนะ อยากให้ประเทศไทยได้โลกุตระธรรม จะได้เป็นอยู่สุขแท้จริง ที่พูดนี้ไม่ได้อยากได้ ลาภสักการะ สรรเสริญนะ อย่างที่เขาพูด และทำกันในสังคม อาตมาก็ไม่พูดพร่ำเพรื่อนะ ก็นานๆพูด เพื่อยืนยันสิ่งจริง

ตอนนี้ศาสนากระแสหลัก ก็อย่างที่รู้กันเห็นกันว่า ตอนนี้ พูดกลับไปกลับมา ไปอุ้มคนปาราชิก มันจะไปรอดหรือ ศาสนาน่ะ อาตมาก็ว่ามัน กระแสไปทั่วประเทศแล้ว รู้กันทั่วประเทศแล้ว การช่วยกัน ปกปิดความเสื่อม ก็ยิ่งพาเสื่อม พาเน่าสิ ก็ต้องมาช่วยกัน ชี้สิ่งที่ถูกที่ผิด เราไม่ได้พูดหาเสียงนะ เราทำงานมา จนถึงทุกวันนี้ ไม่ว่าจะสังคมไหน ของชาวอโศก ที่มีบวร ทั้ง ๙ แห่ง นอกนั้นก็เป็นชุมชน ที่ไม่ครบ บวร ก็มีอยู่หลายสิบชุมชน ก็เลย ๕๐ ชุมชน

ตอนนี้ที่แสดงออกกันมา ของพุทธกระแสหลัก ยิ่งชัดว่า เขาแสวงบุญ นอกขอบเขตพุทธแล้ว ที่อาตมา ลาออกมานี่ ก็ชัดเจนว่า ถูกแล้ว ไม่อย่างนั้น ก็ต้องอยู่ร่วมกับ สิ่งที่ผิดไป ยิ่งเขาเห็นว่า อาตมาผิด นั่นเป็นสิ่งที่ถูก แล้ว เขาเอาอำนาจบาตรใหญ่มา ให้เห็นว่าอาตมาผิด แกล้งอาตมาสารพัด อาตมาก็ไม่อยาก ให้ท่านทำบาป ก็เลยขอเป็น นานาสังวาส ตั้งแต่ พศ.๒๕๑๘ แต่ว่า พศ. ๒๕๓๒ ก็ดึงอาตมากลับไปอีก ทั้งที่เป็นนานาสังวาส แต่ก็ดึงอาตมา ไปอธิกรณ์ ปรับอาบัติอาตมา ทำปกาสนียกรรม ทั้งที่ทำไม่ได้ เป็นนาสาสังวาสกัน เราก็ต้องยอมอย่างเดียว เป็นผู้แพ้ ทั้งที่เขาทำผิด อาตมาก็เขียนหนังสือออกมา เพราะไม่มีโลกุตรธรรม อาริยธรรมก็เลยเพี้ยนไปเช่นนี้

การเป็นนานาสังวาสนี้ ทำอยู่ในธรรมวินัย ของพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าไม่เป็นพุทธ หรือคนละนิกาย แต่เป็นพุทธ นิกายเดียวกัน แต่ว่ากรรมต่างกัน ทิฏฐิต่างกัน อุเทสต่างกัน ศีลต่างกัน ก็เลยต้องแยกกันอยู่ อาตมามั่นใจว่า แนวทางนี้ ทำให้ประเทศไทย อยู่เย็นเป็นสุข อาตมาจริงใจตามภูมิ ที่ได้ทำไป

เมื่อเกิดสังคมแบบนี้ขึ้นมา เราก็เลยพยายามบอกกับคนไทย และมนุษยชาติ ให้ทราบว่า ที่พึ่งอันเกษม ที่ดีงามนั้น คือธรรมะ ที่เป็นอาริยธรรม พระพุทธเจ้าตรัสมานัก ว่าเป็นที่พึ่งอันดีงาม เกษม โดยเฉพาะ ผู้สนใจศึกษา มาติดตามดูพวกเรา ดูบ้าง อย่าไปยึดถือตามคำ ปกาสนียกรรม นี่ไม่ใช่ว่า อาตมาฉวยโอกาส ที่มหาเถรสมาคมเพลี่ยงพล้ำ ก็เลยซ้ำนะ แต่ว่าเป็นสิ่งที่ ประมาณแล้ว ที่พูดข่มนี่พูดจริงว่า มหาเถรสมาคม ทำผิดพลาด เมื่อทำผิดพลาด ก็ต้องบอกกับปชช.ว่า สิ่งที่ไม่ผิดพลาด ยังมีอยู่นะ เป็นกุศลเจตนา ไม่ใช่สาเฐยจิต ไม่มีจิตเกลียดชัง มหาเถรสมาคม อาตมาเห็นใจท่าน เพราะนานมาแล้ว มันหย่อนยานผิดพลาด มันไม่ตรงตาม พระพุทธเจ้าสอน มานานแล้ว เริ่มตั้งแต่บวช ก็วิบัติ ตรงที่ว่า วิบัติภาษา ที่ท่องไม่ตรง ตามเจตนาจริง ก็ซักไซ้กันเหลือแต่ นัตถิ ๕ อามะ ๘ ก็ท่องกันอย่าง ไม่รู้เรื่อง ไม่ว่าจะเป็นนาคที่ขอบวช โดยตนเอง ไม่เข้าใจภาษา ดีไม่ดีโกหกด้วย เช่นข้าราชการ มีเงินเดือน เขาก็จะถามก่อน ว่าเป็น ข้าราชการอยู่ไหม? ก็บอกว่าไม่เป็น นี่ก็โกหกแล้ว เหมือนบวชเล่น บวชหัว บวชขายหม้อข้าวหม้อแกง บวชทีละพัน ทีละหมื่น ทีละแสนละล้าน รูปนี่ เป็นการบวช ทำลายศาสนา ทั้งที่การบวช ต้องคัดเลือกกันจริงๆ ถ้าไม่ดีจริง ก็อย่าให้บวช ถ้ามีคนคัดค้าน เพียงคนเดียว ก็ไม่ให้บวช ต้องให้มาดูตัวก่อน ว่าเหมาะที่จะมาบวช เป็นภิกษุได้ไหม ต้องให้เอกฉัน คัดค้านคนเดียวก็ไม่ได้ ซึ่งเป็นเนื้อแท้ ที่เพี้ยนไปหมดแล้ว อาตมาก็บวช แต่ว่าอาตมารู้หมด ว่าที่บวชมีพิธีอย่างไร เข้าใจแล้วก็ศึกษา แล้วไปบวช นี่ต้องจำเป็นต้องพูด สิ่งที่ถูก และจำเป็น ต้องตำหนิสิ่งผิด หากให้ทำสิ่งผิดไป ก็เสื่อมลงๆ แน่ เพราะไม่รู้สิ่งผิด ทำซ้ำสิ่งผิด เราก็ต้องบอกว่าผิด ให้แก้กลับเสีย พูดไปใครจะชังก็ช่าง อาตมารักศาสนา รักสัจธรรม ยิ่งกว่าตนเอง

ที่พูดนี่เป็นการเชื้อเชิญ ให้มาพิสูจน์ มาศึกษามาดูได้ เหมือนโฆษณาสินค้าโลกๆนะ แต่ก็จริงใจนะ ว่าพวกเรา มีอยู่มีกิน พึ่งตนเองรอด อยู่อย่างช่วยเหลือกัน พึ่งเกิด แก่ เจ็บตายได้ เหมือนอย่างที่รัฐบาลต้องการ เราทำได้ เป็นกลุ่มหนึ่ง แต่ไม่ได้ทำด้วยเงิน ด้วยโลกียธรรม อามิสนะ เป็นลักษณะของอาริยะ ที่ให้มาลดละกาม ลดละอัตตา ที่เป็นความสุดโต่ง สองฟากฝั่ง

ในกามก็มีอัตตา ซ้อนอยู่ด้วย เรามาลดกาม ลดอัตตา ภายนอกก่อนหยาบๆ ตั้งแต่โอฬาริกอัตตา ที่ประกอบด้วย รูปภายนอก พหิทธารูปานิ เราก็ลดกิเลส จนอยู่เหนือ โลกพวกนี้ รูปโลก โลกอบาย โลกกาม เราลดกิเลสได้ อย่างอยู่เหนือกิเลสได้จริง เราปฏิรูปด้วยธรรมะพระพุทธเจ้า ให้เกิดผลจริง ผู้รู้ก็มาช่วยกันได้ ผู้รู้ยิ่งกว่าอาตมา ก็มาช่วยกัน ผู้ที่ไม่มีอัตตามานะมากไป ก็ทำความเข้าใจกันได้ มาช่วยกัน พัฒนาให้ดี ให้เป็นเบื้องต้น ท่ามกลางบั้นปลาย ให้ชัดเจน ทุกวันนี้ ปฏิบัติกัน ไม่เป็นลำดับขั้นตอน ไปทำสมาธิ ก็ไปนั่งหลับตา แต่ปฏิบัติศีล ก็ได้แค่กายกับวาจา แต่ว่าใน กิมัตถิยสูตรว่า ศีลมีอานิสงค์ที่จิตดังว่า
๑.        อวิปฏิสาร (ความไม่เดือดร้อนใจ) .
๒.       ปามุชชะ - ปราโมทย์ (มีความยินดี)
๓.       ปีติ (ความอิ่มเอมใจ) .
๔.       ปัสสัทธิ (สงบระงับจากกิเลส)
๕. สุข (แบบไม่บำเรอตน คือ วูปสมสุข)
๖. สมาธิ (จิตมั่นคง)
๗. ยถาภูตญาณทัสสนะ (ความรู้ยิ่งในความจริง) . .
๘. นิพพิทา (เบื่อหน่าย) .
๙. วิราคะ (คลายกิเลส)
๑๐.วิมุติญาณทัสสนะ (ปัญญารู้แจ้งเห็นจริงในนิพพาน)
(กิมัตถิยสูตร พตฎ. เล่ม ๒๔ ข้อ ๑ , ๒๐๘)

แล้วเขาสอน ศีล สมาธิ ปัญญา อย่างไม่เป็นสมังคีธรรม ไปสอนแยกส่วนกัน นี่คือ มิจฉาทิฏฐิ แท้ ไม่เกิดอานิสงส์ ตามกิมัตถยสูตร

ตอนนี้ อาตมาเห็นที่พึ่ง คนในสังคมว่าจะพัฒนา จะปฏิรูปกันตรงไหนดี อาตมาก็ว่า จะต้องพัฒนาที่คน ไม่ใช่ไปพัฒนาที่รัฐธรรมนูญ กฎหมายอย่างเดียว ซึ่งก็ต้องทำด้วย แต่ว่าเป็นเอก คือต้องพัฒนาที่คนก่อน พัฒนาคนก็คือ ต้องให้การศึกษา

การศึกษานั้น ต้องศึกษาให้เกิด ศีล สมาธิ ปัญญา นี่คือ สิกขา ๓ ของพุทธ จะศึกษาเรื่องเทคนิคความรู้โลก ก็ทำได้ แต่ว่าทุกวันนี้ การศึกษาเสื่อมหนัก ที่ไปหลงตำราโลกๆ ในหลวงของเรา ได้ตรัสเอาไว้ว่า ตำรานี่ให้ปิดเสียบ้าง ซึ่งผู้บริหาร ก็ไม่ค่อยฟังกัน เราทำแบบคนจนนี่แหละ จะเกิดเป็นสังคมสาธารณโภคี

อาตมาก็ตีหัวเข้าบ้านว่า ต้องเปลี่ยนการศึกษา ที่ปัจจุบันเป็นแบบ เอามาจาก ตำราต่างประเทศ ที่ทำตามกันมานั้น มาให้การศึกษาธรรมะ ของพระพุทธเจ้าเป็นหลัก การศึกษาเทคนิค เป็นรอง ทุกวันนี้ การศึกษา มหาวิทยาลัยสงฆ์ ก็ไม่ได้เรียนสัมมาทิฏฐิ เพราะหลักสูตร การศึกษาสงฆ์ ก็ไปเน้นทางโลกีย์มาก แม้แต่ทางศาสนาเอง ก็น้อย แล้วน้อยแล้ว ยังมิจฉาทิฏฐิอีกด้วย มันจะได้ผลอย่างไร ก็ขออภัย ที่พูดเหมือนข่มเบ่ง แต่ความจริงเป็นเช่นนั้น ก็เลี่ยงไม่ได้

ที่พูดนี้ด้วยหวังดี เตือนสติ หากใคร สัมมาทิฏฐิยิ่งกว่าอาตมา ก็มาคุยกัน มาศึกษากัน อย่างในกระแสสังคมที่เขาว่า เป็นปราชญ์ทางศาสนา ที่ว่าเป็นอริยะกันในสังคม อาตมาศึกษาตาม ก็ว่ายังไม่สัมมาทิฏฐินะ อย่างท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านก็ยืนยันด้วยภาษา ให้ตรงตามที่ พระพุทธเจ้าสอนได้มาก อาตมาก็ได้ใช้ ศึกษาอาศัย แต่นัยลึก อาตมาไม่ขอพูดถึงนะ แต่ผู้ที่ปฏิบัติใช้ได้ก็ยังมี แต่ไม่สมบูรณ์

ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
-พรุ่งนี้เราจะมีงานพุทธาภิเษกฯกัน ซึ่งเราไม่ทำ การพุทธาภิเษก อิฐหินดินปูนหรอก เราทำการให้การศึกษา ให้คนได้พัฒนา เป็นอาริยะ เป็นการพุทธาภิเษกฯ ให้คนเป็นอาริยะ ก็มาช่วยกัน

วันนี้พูดตำหนิไปมาก อาตมาไม่ได้มีจิต ที่อยากอวด อยากข่มขี่ดูถูก ให้เขาเสื่อมต่ำลงนะ คนที่ผิดแล้วเสื่อม แล้วก็ขอให้ศึกษาใหม่ แล้วแก้กลับๆ นี่คือ ความปรารถนาอาตมา เป็นเจตนาเหมือน แม่ดุลูกน่ะ แม่ปรารถนาดีต่อลูก จึงพูดตำหนิ พูดด้วยกุศลจิตจริงๆ ไม่ได้ต้องการ ถล่มให้เสื่อมต่ำลงอีก ไม่มีจิตใจเช่นนั้น พูดความจริง

- เมื่อคนไม่หมดกิเลส ตายไป จะเกิดในชาติต่อไปไหม?
ตอบ...เกิดแน่นอน จะไม่เกิดไม่ได้ด้วย คนที่ไม่หมดกิเลส อยากไม่เกิดอย่างไร ก็ไม่ได้ ต้องเกิดตามวิบาก มาเวียนว่ายตายเกิด อาจเกิดเป็นมนุษย์ หรือสัตว์นรก ต้องเป็นอรหันต์ ที่รู้และดับต้นเหตุ คือกิเลสได้จริง จึงปรินิพพานได้ เป็นอัปปนิหิตตนิพพาน ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิ ก็เป็นสุญตนิพพาน อรหันต์ทุกองค์ทำได้ อนิมิต ไม่ตั้งเครื่องหมายอะไรอีก อัปปนิหิตตะ ไม่ตั้งจิตต่อภพภูมิ แต่ถ้าตั้งจิตต่อเป็นโพธิสัตว์ มุ่งพุทธภูมิ ก็มาเกิดอีกได้

- ความยึดคืออะไร ทำไมต้องยึด ทำอย่างจะไม่ยึด
ตอบ...คำว่ายึดคำเดียวสำคัญ เรียกว่าอุปาทาน ซึ่งก็คือ อันเดียวกับตัณหา ตัณหาเป็นพลังงานจลน์ แต่อุปาทาน เป็นพลังงานศักย์ การฆ่าตัณหาก็เท่ากับ ฆ่าอุปาทาน ที่เรายึดก็เพราะอวิชชา

- ทำไมถึงต้องมีคนไม่ชอบเรา ทั้งที่เราก็ไม่ได้ทำอะไรให้เขา
ตอบ...ไม่ชอบเพราะ เขาก็ยึดของเขา เราก็ยึดของเรา คนเราไม่มีอะไร ที่ตรงกัน ถ้าชอบอะไรตรงกันก็แย่งกันตาย ที่ชอบไม่ตรงกัน ก็ดีแล้ว สรุปแล้ว การชอบไม่ชอบ ก็ต้องอธิบายกันยาว ก็ค่อยฟังไป

- ทำไมคนต้องมีความอาย
ตอบ...คนมีความอายนั้นดีแล้ว เพราะตอนนี้ คนหน้าด้านมีเยอะ คนมีความอายนี่ ภาษาพระเรียกว่า ลัชชา ถ้าผู้ไม่มีความอาย เรียกว่าอลัชชี ผู้ที่รู้ว่าสิ่งไม่ดี ก็น่าอายไม่ทำ นี่คือลัชชา แต่ไม่อาย ในสิ่งที่น่าอาย อันนี้เป็นอลัชชี แต่มีอีกอาย คือจะทำดีแต่อาย กลัว ก็คือ อสุรกาย

- หนูเป็นคนรักศักดิ์ศรีมาก เวลามีคนดูถูกก็ทุกข์ ทำอย่างไรไม่ทุกข์
ตอบ...ศักดิ์ศรีที่ดีก็มี คนศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า ก็มีสิ่งที่ดีในตัว เป็นศักดิ์ชั้น คนมีความดี แล้วมีคนมาตำหนิ ลบหลู่ความดี เป็นคนโง่ แต่คนที่มีศักดิ์ศรีที่ดีแล้ว แล้วคนไม่รู้ ก็มาลบหลู่สิ่งที่ดี คนลบหลู่ คนนั้นก็โง่ เราก็อย่าไปถือสาคนโง่ คนเมา คนถือสาคนโง่ โง่กว่าคนโง่ คนถือสาคนบ้า ก็บ้ากว่าคนเมา ถ้าเราถือศักดิ์ศรีเรา คนมาว่าเราก็พูดว่า ที่เราถือนี้ดีจริงไหม ถ้าเขาว่าไม่ถูกต้อง เราก็ไม่บอกเขาได้ว่าไม่ถูกต้อง มาดูถูกเราก็ผิดศักดิ์ศรีเรานะ อย่างที่อาตมาบอกไปนี่ ศักดิ์ศรีของอาตมา ไม่ได้เป็น อย่างท่านมาลบหลู่ ถ้าอยากจะลบหลู่ให้ถูก ก็ต้องรู้ความจริง หากลบหลู่ไม่ถูก ก็เป็นคนโง่
ศักดิ์ศรีของเรา หากเขามาดูไม่ถูกต้อง ก็ไม่ต้องไปถือสาเขา เขาโง่มาดูถูกสิ่งที่ดี เราบอกเขาได้ก็บอก ไม่อยากบอก ก็ไม่ต้องบอก

- ความรักของเด็ก ผู้ใหญ่ห้ามได้ไหม?
ตอบ...ห้ามได้ เพราะความรักของเด็กนั้น ไม่ประสีประสา ให้ลดละไว้ มันมีภัย มันมีอารมณ์อะไร ก็เพราะโง่ อย่าริรักเลย มันเป็นทุกข์ เหตุแห่งทุกข์

- ทำอย่างไรจะไม่กลัวความมืด และทำอย่างไรไม่ฟุ้งซ่าน
ตอบ...ความฟุ้งซานและความกลัว ก็เพราะไม่รู้ความจริง เราไม่รู้ว่าในความมืด จะมีอะไร เราก็กลัวไว้ก่อน ถ้าเรารู้สิ่งใด อย่างแท้จริง เราจะไม่กลัวเลย  คนรู้จักผี จะไม่กลัวผี การกลัวความมืด นั้นความจริง ไปกลัวตรงที่ นึกว่ามันมีผี ซ้อนอยู่ ที่จริงไม่มีหรอก ผีไม่มีในที่ไหนๆ ผีก็อยู่ส่วนผี ผีไม่มีออกมาเพ่นพ่าน เทวดาและผี มีอยู่ที่จิต ไม่มีรูปร่าง เห็นไม่ได้ ไม่มีดิน น้ำ ลม ไฟ ถ้าเราเห็นของเราเอง เป็นเพียง มโนมยอัตตา ส่วนจิตฟุ้งซ่าน อรหันต์ทุกองค์ จิตหยุดได้ ไม่ฟุ้งได้ ยิ่งท่านลืมตา ก็เห็นแสงสว่าง แล้วเฉย แต่ท่านไม่ได้ทำแบบ มโนมยอัตตา ที่ไม่เห็นอะไรเลย แต่ท่านก็เห็นรูป ตามจริงไม่ได้มีอารมณ์ ปรุงแต่งเลยได้ จะลืมตาหรือหลับตา ก็ทำได้

- ทำไมคนเราจึงมีกิเลส และทำไมเกิดง่ายจัง
ตอบ...ทำไม ก็เพราะโง่ ถ้าหมดอวิชชาแล้ว ไม่มีกิเลส เราไม่รู้ ถ้ารู้แล้ว ก็มีวิธีดับ ก็จะหมดไม่มีกิเลส

- ตอนเด็ก วิ่งตามแม่ไปหาหน่อไม้ วิ่งไม่ทันก็ กลับบ้านคืน แต่ขณะเดินกลับ  ในความคิดว่าระวังงู มันอยู่บนคาคบไม้ เมื่อมองไปก็มีงูจริง คือจะเห็นก่อน เป็นหลายครั้ง
ตอบ....หลักวิชาเป็นได้ ว่าเราอาจมีสัญชาตญาณ ของการเกี่ยวข้องกับงู ก็จะมีลาง แล้วก็ใช่ จะเป็นงูหรือเป็นอะไร อย่างอื่นก็เป็นได้ เป็นพลังงานทางจิต เป็นได้ แล้วมีอีกอย่างหนึ่ง รู้สึกว่ามีงู แต่ว่าที่จริงไม่มีงู แต่เกิดภาพหลอน ได้เหมือนกัน เป็นมโนมยอัตตาได้ อันนี้วิทยาศาสตร์ พิสูจน์ยาก แต่ทางธรรม นี่พิสูจน์ได้

ธรรมาธรรมะสงคราม ที่ ศาลีอโศก