|
||
พ่อครูตั้งใจที่จะไปช่วยงานที่บ้านราชฯเมืองเรือ เพื่อปลุกแม่น้ำมูน ให้ฟื้นคืนชีพ จะสำเร็จหรือไม่ก็ไม่รู้ ใครจะไปช่วย คนละไม้ คนละมือ ก็เชิญ ชีวิตมันก็มีแต่เท่านี้แหละ คือมีกรรมการงาน คำว่ากรรมนี่ในภาษาไทยเรา เขาเข้าใจว่า กรรมคือไปเป็นเวรเป็นกรรม เป็นเรื่องร้าย เรื่องแรง คือมีกรรม ต้องรับทุกข์รับเวร เขาเข้าใจกรรมว่าอย่างนั้น ส่วนคำว่ากรรม คือคำรวม คือกิริยาของมนุษย์ทั้งหมด หายใจเข้าออกก็คือกรรม แม้คิดนิดคิดหน่อย ก็คือกรรม เริ่มกระดิกตัวก็คือกรรม เริ่มส่งเสียงภาษาออกมา ก็คือกรรมทั้งนั้น สรุปแล้ว คนที่เข้าใจว่า กรรมคือความลำบากลำบน คือคนทุกข์ เป็นคนจนแต้มจนทาง คือคนสิ้นทาง ไม่มีอะไรดีแลย มีแต่บ่นว่า มีกรรมมีเวร แสดงว่า เป็นคนที่ไม่มีทางออก ไม่มีทางแก้ไข นักแก้กรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุด คือพระพุทธเจ้า กรรมคือกิริยาของกายกรรม วจีกรรม มโนกรรม รวมเป็นการกระทำ แล้วขยายมาเป็นการยังชีพ คนที่ยังชีพตนได้คุ้ม หรือคนที่มีกรรม กาย วาจา ใจ สรุปเป็นแรงงานกุศล ให้สร้างสรรค์ เป็นคุณค่าประโยชน์ที่ดี บวกลบคูณหารกรรมแล้วเป็นกุศล ถ้าได้ผล ให้ตนทุกข์ร้อน มีวิบากหนักหนาสาหัส ทรมานทรกรรม ก็เกิดจากกรรมทั้งสิ้น แล้วรวมเป็นพลังงานรวม ว่าดีหรือชั่ว ให้ผลดีหรือไม่ดี แก่ชีวิตตัวเอง ออกผลทั้งปัจจุบัน กรรมเป็นพลังงานที่ยิ่งใหญ่ ของแต่ละบุคคล (กัมมัสสกะ) คือพระเจ้า ที่แท้จริง เป็นตัวพิพากษาที่จริงที่สุด ดังนั้น จึงต้องเรียนรู้ เรื่องกรรม ต้องมีความรู้ที่ลึกซึ้ง ถ้าทำอย่างไม่มีตัวตนจริง แล้วทำกรรม ให้เป็นที่พึ่ง แก่ตนและผู้อื่น ทุกวันนี้พ่อครูมีชีวิต วิ่งไล่เวลา เมื่อกี้นี้ทำสถิติในชีวิต ออกกำลังกาย โยคะเสร็จ บอกว่าเหลืออีก ๒๐ นาที ต้องโกนหัว ต้องอาบน้ำ อาบน้ำนี่ พ่อครูต้องสปาด้วย ฉี่ด้วย ภายใน ๒๐ นาทีต้องทำให้เสร็จ ทั้งโกนหัว ทั้งสปา ทั้งอาบน้ำ ทำสถิติได้ทัน มาทันเวลาเทศน์ เหลืออีก ๓ นาที ต้องมาขอบุญโฮม เพราะฉะนั้น มันไม่เกลี้ยงซักหน่อย ก็อย่าว่ากันนะ ลงมา ท่านหนักแน่นก็บอกว่า ได้แผลที่หัวมาหลายแผล ก็มันก็ต้องได้ เพราะโกนหัว ๕ นาทีเสร็จ เป็นสถิติที่กินเนสบุ๊ก น่าจะบันทึกไว้ ทุกวันนี้ พ่อครูไล่ล่าเวลา ดีใจเป็นคนที่ได้รู้ว่า เราจะทำกรรมการงานอะไร เรารู้ว่าการงานนี้ ไม่มีโทษ การงานนี้ มีประโยชน์ มีคุณค่า เราก็ขมีขมันทำเถอะ มันทำมากก็เหนื่อย พ่อครูถึงซาบซึ้ง ในคำของพระพุทธเจ้าที่ว่า "เราไม่พัก เราไม่เพียร เราข้ามโอฆะสงสารได้" ชีวิตก็มีแต่เพียร ถ้าไม่เพียรก็พัก พักก็พัก รู้เวลาควรพัก อันสมควรแล้ว สมควรแล้วก็เพียร เราก็ไม่ติดไม่ยึด แม้การนอน การหยุดการอยู่ การเล่นการหัว แม้แต่การอยู่เฉยๆ ไม่มีกรรมการงาน ที่ได้สร้างสรร ประโยชน์ ก็สูญเปล่าไร้ค้า เรารู้สึกว่าเราได้ใช้แรงงาน เวลา กระทำ กรรมการงาน แล้วได้พิจารณาไตร่ตรองว่า ได้ทำการงาน ที่ไม่มีโทษ มีประโยชน์ต่อ มนุษยชาติ ไม่ใช่ทำงานที่ตนได้ตนรวย ไม่ใช่เพื่อบำเรอ ไปเสพแก่ตัวเอง ชีวิตร่างกายมนุษย์ เชื่อที่สุดเลย ว่าชีวิตเรามีประโยชน์ ต่อมนุษยชาติ เขาเลี้ยงเราไว้แน่ (ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา) ชีวิตเนื่องด้วยผู้อื่น เขาเลี้ยงเราไว้แน่ เขารักษาเราไว้แน่ เจ็บป่วยได้ไข้ เป็นอะไร ที่มันควรจะยังไม่ให้ตาย เขาจะพยายามช่วย เราไม่ให้เราตาย จะด้วยกตัญญูกตเวที หรือด้วยอยากใช้เราก็ตาม หรือเพราะความรัก ความหลงก็ตาม ได้ทั้งนั้นและ หรือเพราะเรามีคุณค่าประโยชน์เอาไว้ใช้ หรือแม้เพราะ รู้ค่ารู้คุณ ที่แท้จริงก็เป็นได้ อย่างน้อย ถึงแม้จะช่วยอะไรไม่ได้ ก็ให้อยู่เป็นร่มโพธิ์ร่มไทร อันนี้เป็นคุณค่า ทางจิตใจของมนุษย์ สัตว์เดรัจฉาน ไม่เข้าใจหรอก จะมีค่าแห่งความชื่นใจ ไม่อยากให้ตายจาก มั่นใจในกรรมดี ที่เราทำให้แก่เขาจริงๆ เขาก็รู้ก็เห็น เราไม่ได้ปิดบัง ไม่ได้อวดอ้าง ไม่ทวงบุญคุณ ทำให้อย่างบริสุทธิ์เต็มที่ ผลจะมีกตัญญูกตเวทีเองได้ พึ่งได้เอง พ่อครูเชื่อการพึ่ง กตัญญูกตเวที เราทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดียังไม่มากพอ ผลกตัญญูกตเวที จึงไม่ตอบแทนมา เราทำดีปัจจุบัน แต่เราก็มีหนี้ปางเก่าอยู่ตั้งเยอะ ทำขนาดนี้ใครก็เห็น แต่บุญกตเวที ก็ยังไม่มาถึง เราก็ต้องระลึกให้ถึง อดีตกาล ที่เรามีบาป มาบวกลบคูณหาร พ่อครูจึงเชื่อในกรรม และไม่ต้องคิดว่า จะมีบาปเท่าใดในอดีต ให้ตีซะว่า มันมีเยอะ แต่ให้ตั้งหน้าตั้งตา ทำกุศลในปัจจุบันให้มาก แต่อย่าให้ทรมานตนเกิน จนอายุสั้น หรือทุกข์ลำบากเกิน แต่ก็แข็งแรง ไม่เหยาะแหยะ ไม่เป็นคุณหนูเกินไป สมบุกสมบัน แข็งแรง หนักเอาเบาสู้ ก็ไม่ต้องห่วง นี่คือความเข้าใจของพ่อครู จะอยู่ชาตินี้ หรือจะต่อไปอีกกี่ชาติ ก็มั่นใจ เป็นความเข้าใจ ที่เชื่อมั่น ว่าถูกจริง ใครเห็นขัดแย้ง ก็ไม่ว่ากัน แต่พ่อครู เห็นอย่างนี้ ว่าเกิดมาเป็นชีวิต ดิ้นอยู่ในมหาจักรวาลนี้ ก็มีตัวตน อัตภาพนี่แหละ พระอรหันต์ก็มีอัตภาพ แต่เป็นอรหัตตา เป็นอัตภาพที่ อรหะแล้ว ท่านไม่ลึกลับแล้ว ในสิ่งที่ควรเข้าใจทุกอย่าง ว่าอะไรดีอะไรชั่ว และควรทำอะไร ทำอย่างไร ท่านไม่มีความลึกลับแล้ว ท่านก็มีชีวิตอยู่ได้ ด้วยอัตภาพ ที่ท่านอาศัยมัน เท่านั้นเอง ไม่ได้อาศัยเพื่อเสพสุข ไม่ได้อาศัยเพื่อ ทำชั่วทำเวร หรือสั่งสมสิ่งไม่ควรทำ แต่ท่านอาศัย อัตภาพนี้ เพื่อทำประโยชน์ เพื่อมวลมนุษยชาติ ท่านมีสิทธิ์ทิ้งร่าง ทั้งอัตภาพ ทิ้งอรหัตตา หรือท่านจะตั้งจิต (ปนิหิตตัง) มุ่งพุทธภูมิต่อ อยู่ต่อก็ทำประโยชน์เพื่อผู้อื่น ประโยชน์ตนท่านไม่มีแล้ว ซึ่งประโยชน์ตน ที่เขาหลงกัน คือโลกธรรม ก็คือบำเรอกามกับอัตตา ให้ตัวเองเท่านั้น เมื่อหยุดบำเรอ หมดกามหมดอัตตาแล้ว ลาภยศ สรรเสริญนั้น เรื่องหยาบ เรื่องอารมณ์ที่บำเรอว่า รสสุขรสทุกข์นี่แหละ เรื่องละเอียด เป็นเรื่องที่จะต้องเรียนรู้ ให้สมบูรณ์ แล้วทำให้เกลี้ยง ให้สะอาดให้หมด ต้องเกิดจากพลังงานที่กระทำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า สั่งสมจน มันมั่นคง ถ้าเราจะอยู่ไปอีกล้านปี มันก็ไม่เปลี่ยนแปลง จริงๆแล้ว เปลี่ยนแปลงได้ ถ้าไม่มีความแข็งแรงมั่นคงแล้วสะสมทุน ไม่ถึงล้านปี ให้มันมากเกินกว่า คุณจะมีเวลาชีวิตอยู่ เช่น คุณจะมีทุน ที่จะมาใช้ชีวิตอยู่ในชาตินี้ ใช้ได้แค่ล้านปี แล้วคุณก็จะหมด แต่คุณเอง คุณจะอยู่ ให้เกินล้านปีคุณก็หมดทุนแล้ว แต่ถ้าคุณจะเกิดมาแค่ล้านปี ก็จะปรินิพพานแล้ว คุณสะสมไว้ คุณก็เกิดมา ใช้ชีวิตที่ดี ที่คุณสะสมไว้ เป็นนิพพาน เป็นสุญญตา เป็นนิโรธแล้ว (เป็นความคิดของพระอรหันต์ ที่ท่านมีแต่กุศล ที่ไม่มีตัวลบเลย) ถ้าท่านจะอยู่ไปอีกล้านปี ท่านก็มีแต่ทุนต่อ แม้ท่านใช้เวลาเลยนิพพาน ที่มีแค่ล้านปี แต่ท่านมีดี มีกุศล ถึงออกมาอาศัย ก็ไม่ทุกข์ร้อน แม้หมดทุนของ นิพพาน นิโรธแล้ว เราต้องสั่งสมทุนนิพพาน นิโรธให้มากๆ ให้เป็นทุน ไปนานเท่านาน โดยเฉพาะเป็นโพธิสัตว์นี่แหละ จะเกิดมาอีกกี่ชาติ ก็มีหลักประกัน หลักประกันที่ว่า เรามีทุนเพิ่มเรื่อยๆ เพราะเราทำ แต่ถ้าเราไม่ทำ โดยเฉพาะคนที่ทำแต่บาป หรือทำบาปบ้างบุญบ้าง ก็สั่งสมกันไปเป็นทุน ที่มีทั้งบาป บุญ และนิโรธ ถ้าได้นิโรธแล้ว จะมีแถมบุญ แต่บุญนี่ไม่ได้แถมบุญ มีทั้งบาปและบุญ สลับกันไป มันทำให้ไม่มีบาปไม่ได้ คนที่ไม่มีนิโรธจริง จะไม่ให้มีบาปไม่ได้ มันต้องบกพร่อง มีบาปบ้าง ต้องบวกลบคูณหารไป มันจึงไม่เที่ยง จะเที่ยงแท้ได้ ต้องมีนิโรธ มีวิมุติได้ จึงชื่อว่า อมตะบุคคล แม้จะอยู่ไป นิรันดร์ ก็มีวิมุติแล้ว จะไม่ปรินิพานก็ตาม ชีวิตนี้มีแต่ต้องศึกษา เอาสิ่งประเสริฐนี้ เป็นหลักประกันของชีวิต เราก็จะปลอดภัย เราเชื่อมั่นในกรรม ถ้าเราเป็นผู้พ้นกรรม ที่เป็นเรื่องเลวร้าย จะได้รับผลตอบแทน ที่เลวร้ายลดลงๆ แต่กรรมชั่ว ที่เคยทำมา สะสมมา ไม่ได้หมด หรือลดลงง่ายๆ ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ในอดีตชาติ เคยฆ่าน้องชาย ขนาดบำเพ็ญมา ไม่รู้กี่ล้านๆชาติ มาเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ก็ยังถูกเทวทัต กลิ้งหิน ถูกพระบาทห้อเลือดได้ มีเลือดคั่งได้ มันยังเหลือเศษวิบากเลย แม้ท่านมีกุศลมากมาย ยังมี เขาเอาช้างนาฬาคิรี ที่ดุร้ายไปมอมเหล้า จะให้มาทำร้ายพระพุทธเจ้า ยังมี อดีตชาติท่านเคยมีจิตยินดี ที่คนหาปลามาได้มาก ยังเป็นวิบาก ให้ท่านปวดหัวได้ ในสมัยเป็นพระพุทธเจ้า บุญนั้นอยู่กับเราแล้ว แต่บาปแม้น้อย ก็อย่าทำเลย แต่อย่าไประแวงมากเลย จนทำอะไรไม่ได้ หายใจแรงก็ไม่ได้ เดี๋ยวแบคทีเรียตาย ต้องทำตามฐานะ เช่นคนทำนา ก็ต้องมีวิธีระวัง ที่จะไม่ให้ฆ่าสัตว์ พระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่ให้พระไปขุดดิน ไม่ให้พรากพืชคาม นี่เป็นไปตามฐานะ เป็นอจินไตย เป็นกรรมวิบาก ที่ต้องทำตามฐานะ มีคนถามว่า ปลวกขึ้นบ้านให้ทำอย่างไร พ่อครูว่า จะให้พูดว่าฆ่าปลวก ก็ไม่ได้ พูดไม่ได้ ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไร ก็ให้ทำไปตามฐานะหน้าที่ เช่น ทหารมีชีวิตที่ ถึงเวลาฆ่าคน ก็ต้องทำ เพื่อคนส่วนใหญ่ในชาติ ช่วยประเทศ ก็มีทั้งบาปบุญ แม้เพชรฆาต ก็ต้องฆ่าคนชั่ว ก็มีทั้งบาปและบุญ เป็นรายละเอียดของ อจินไตย ถ้าละเลียดเกินไป ก็มีบาปที่เห็นแก่ตัว ทำอะไรก็ไม่ได้ บาปหมด เราก็เป็นคน เอาเปรียบคนอื่น ไม่สมฐานะที่ควรทำ ต้องมีการจัดสมดุล ที่พอเหมาะ (ปโหติ) มีสัมมาทิฏฐิที่พอเหมาะ ก็มีสัมมาสังกัปปะ ที่พอเหมาะ สัมมาวาจา ก็พอเหมาะได้ สัมมากัมมันตะ ก็พอเหมาะได้ สัมมาอาชีวะ ก็พอเหมาะได้ สัมมาวายามะ ก็พอเหมาะได้ สัมมาสติ ก็พอเหมาะได้ สัมมาสมาธิ ก็พอเหมาะได้ จึงทำให้เกิดสัมมาญาณ ที่พอเหมาะได้ และจึงทำให้เกิด สัมมาวิมุติ ก็พอเหมาะได้ เราสลัดอกุศลอยู่ตลอดเวลา จึงมีแต่กุศลอยู่ตลอด รวยกุศล ไม่ทำบาปแล้ว เพราะมีส่วนวิมุติ ที่เที่ยงแท้ เป็นอมตะบุคคล ไม่ได้เสียประโยชน์ แก่โลกเลย มีแต่ประโยชน์ต่อโลก พอถึงเวลาตาย ดับธาตุแล้ว ถ้าไม่มีจิต ตั้งอยู่ต่อ เป็นอปนิหิตตะนิพพาน ก็เป็นปรินิพพาน เป็นอนุปาทิเสสนิพพาน ไม่มีปรารถนาต่อภพภูมิ ถ้าจะอยู่ต่อ ก็ไม่เพื่อตัวเอง เด็กบ้านราชฯ ส่งไปแข่งขัน ๒๕ คน ได้เหรียญทองถึง ๑๕ คน นอกนั้น ได้เหรียญทองแดง ในระดับภาคอีสาน ไม่รู้มีกี่ร้อยโรงเรียน และไม่ได้ เตรียมตัวด้วย เขามาขอให้เราไปแข่งขัน เรามีของสดไป มีเท่าไหร่เท่านั้น แต่อย่าประมาทนะ พอพูดอย่างนี้ ก็เลยไม่เตรียมตัว เป็นสิ่งพิสูจน์ว่า เด็กเราไม่ได้ด้อยเลย แต่ถ้าไปแข่งขันปัญญากว้างๆ เฉโก เด็กเราแพ้ ที่หยิบมาพูด ไม่ได้หลงใหลได้ปลื้ม แต่ยืนยันว่า เราได้เรียนรู้ แบบฝึกฝน ทำจริง และต่อไป ก็จะต้องถูกคัดไปแข่ง ระดับประเทศอีก ซึ่งมีเชิงซ้อน มีอะไรในนั้นมาก ไม่เหมือนระดับภาค ที่จะไม่ค่อยมีอคติ แต่พอไป ระดับชาติ ก็จะมีอะไร อคติมากกว่านั้น มีความลำเอียง อยู่ในจิตวิญญาณ ตอนนี้สันติอโศกเราหลายอย่าง รู้สึกว่าไม่ค่อยเข้าที แต่ก่อนเราดูรุ่งเรือง มีนร. มาสมัครกัน นำหน้าที่อื่น แต่ปีที่ผ่านมา มีสมัครมา ๑๗ คน ที่อื่นเช่นบ้านราชฯ มาสมัคร ๓๐-๔๐ คน ถ้าคุณมี Goodwill (ความนิยม) ดีก็จะมีมาสมัครมาก แล้วก็จะได้มีการคัดตัว ประเด็นการพาณิชย์ พวกเราก็มีความคิดหลากหลาย มีคนท้วง การควบรวมบริษัท ว่าจะต้องเสียภาษีมากขึ้น และว่าเรามีคนน้อย พ่อครูว่า เรามีคนน้อย ถ้ามารวมกัน ก็จะช่วยกันได้มากขึ้น ก็คิดหลายเหตุปัจจัย ทั้งภายนอกและภายใน ก็ยังไม่ต้องตัดสินใจอะไร โดยค่าของภายนอก ต้องเสียภาษีมากขึ้น อย่างงานบัญชี เช่นให้สองบริษัท มาทำบัญชีที่เดียว มันก็หนักมากขึ้น แต่ถ้าแบ่งกันไปทำ แต่ละคน ก็ต้องแบ่งกันไปทำ มันก็มีทั้ง ผลได้ผลเสีย มีคนคิดทำแบบสหกรณ์ เราก็ทำมาหลายสหกรณ์แล้ว ล้มไปหลายสหกรณ์ ทางราชการ เขาเป็นสหกรณ์ก็จริง แต่เขามีทุจริต สหกรณ์เขาไม่ได้มีจริง แต่ของเรา ไม่มีทุจริต ถ้าอโศกเรา ทำสหกรณ์ไม่ได้ ก็ไม่มีใคร ทำสหกรณ์ได้ แต่จะติดที่พวกเรา จะต้องทำหลักฐานให้เขา ซึ่งถ้าทำหลักฐานให้เขา ว่าเราขาดทุน เขาก็จะไม่เชื่อ เราก็ต้องพิสูจน์ ให้เขามั่นใจต่อไป แล้วมันจะย้อนกลับ มาสู่พวกเราเอง จนเกิดความมั่นใจ การตรวจสอบ ก็จะน้อยลงไปเอง ชีวิตของเรา ไม่มีอะไรหรอก นอกจากล้างกิเลสให้จริง พ่อครูก็พยายาม บอกรายละเอียด ไม่ว่าหยาบหรือละเอียด ก็บอก เชื่อว่าพวกเรา พอเข้าใจแล้ว เหลือแต่ การทำให้เป็นผล ต้องมีอธิศีล อธิจิตของตนเอง ศีลก็คือหลักเกณฑ์ ที่จะทำให้เกิดการขัดเกลาตัวเอง ไม่ใช่ว่า จะเอาแต่ที่ พระพุทธเจ้าตั้งเท่านั้น ซึ่งมีรายละเอียด ของแต่ละคน ปฏิบัติอธิศีล แล้วก็จะมีอธิจิต สำเร็จผล เพราะเรามีอธิปัญญาเป็นตัวตั้ง มีอธิญาณดีขึ้น สัมมาญาณดีขึ้น เราก็ทำทุกอย่าง พอเหมาะได้ดีขึ้น ยิ่งผ่านสัมมาวิมุต แล้วเป็นพลัง ๒ ทั้งพลังญาณ และพลังวิมุติ สองพลังนี้เป็นตัวสมบูรณ์ ของพลังงานในโลก ไม่ว่าจะเป็นสสารหรือพลังงาน ทางนามธรรม ทางโลกเขาแตกสูงสุด ได้เพียงแค่ สสารกับพลังงานเท่านั้น มันต้องช่วยกัน ถ้ามันแยกเมื่อไหร่มันก็สูญ ไม่มีอะไรเกิด เช่นเดียวกับ ชีวิตมนุษย์ ถ้าสองพลังงานคือ พลังญาณ กับพลังวิมุติ แยกกัน ไม่ทำงานร่วมกัน ก็ปรินิพพาน ถ้ายังมีชีวิตอยู่ ก็เอาพลังญาณ พลังวิมุติมาทำงาน เพราะถ้ามีสัมมาญาณ สัมมาวิมุติ ทั้งคู่แล้ว ทุกอย่างพอเหมาะหมดเลย เมื่อรวมลง พอเหมาะแล้ว จากสัมมาทิฏฐิ มาสัมมาสังกัปปะ ไปสู่สัมมาสมาธิ สมาธิคือ พลังงานรวมตัว เป็นพลังทั้งหมด จึงรวมเป็นพลัง ๔ เป็นพลังปัญญา เป็นพลังวิริยะ พากเพียรเต็ม ทำงานอย่างสมบูรณ์ มาทำการงานที่ดี การงานไม่มีโทษ แล้วทำเพื่อเป็น พหุชนหิตายะ พหุชนสุขายะ โลกานุกัมปายะ ทำเพื่อมวลมนุษยชาติ ทำเพื่อผู้อื่น จะได้มากยิ่งขึ้น ก็เพราะว่า มันมีความจริงที่ว่า กระจายไปได้มาก และสิ่งที่กระจายไป ไม่มีรังสีแห่งภัย ทั้งเนื้อทั้งตัวทั้งแท่ง และราศีมีแต่ดีทั้งนั้น มีแต่กุศลทั้งสิ้น ไม่มีส่วนแห่งบาป ผสมไปด้วยเลย นี่คือ สุดยอดแห่งกรรม ของมนุษย์ ที่มนุษย์พึงมีชีวิตอยู่ ด้วยกรรมแล้ว และเป็นผู้ที่ จะปรินิพพานได้ด้วย ในลัทธิอื่นศาสนาอื่น เขาไม่เข้าใจละเอียดอย่างนี้ ก็กดข่ม ไม่ทำบาปได้นาน เหมือนกันนะ เกิดหลายชาติ แต่มันไม่เที่ยง อย่างที่สมมุติว่า มีต้นทุนนิพพาน ได้ล้านชาติ แต่เสร็จแล้ว คุณใช้นิพพานหมด คุณก็ต้องรับบุญรับบาป แต่ถ้าคุณมีนิพพาน เป็นทุนอยู่ คุณไม่ได้มีบาปเลย คุณรับแต่บุญ นี่คือนักธุรกิจหรือนักการค้า นี่แหละคือ นักทุนนิยมตัวที่หนึ่ง ที่สร้างธรรมนิยม หรือธรรมนิยาม สั่งสมสิ่งที่ตั้งไว้ หรือทรงไว้(ธรรมะ) ได้อย่างนานแสนนาน ไม่มีหมดทุนบุญ และนิพพานได้ด้วย อยากนิพพาน เมื่อไหร่ก็ได้ มีแต่บุญถ่ายเดียว สุดยอดไหม? พูดไกลพูดลึก พวกเราก็สามารถเข้าใจได้ ไม่ใช่ธรรมดาเลย ให้ตั้งใจทั้งฟังปริยัติ และพ่อครูก็กำลังพยายาม ด้านสุขภาพ ตอนนี้ พ่อครูกำลังเป็น subject ให้วิจัย ซึ่งในเรื่อง จิตวิญญาณ พ่อครูมีอยู่ อย่างเต็มเปี่ยม ใน ๘ อ. ไม่ต้องห่วงเรื่อง อิทธิบาท และอารมณ์ แต่ให้ศึกษาอีก ๖ อ. (อาหาร -อากาศ ออกกำลังกาย เอนกาย เอาพิษออก -อาชีพ) เอามาศึกษาให้เป็นทฤษฏี โดยไม่ต้องกังวล กับเรื่องจิตใจ ที่พ่อครูมี เป็นตัวคงที่ (Constant) แล้ว มีนักวิจัยหลายด้าน มาทำวิจัย มีทั้งแพทย์แผนปัจจุบัน และแผนทางเลือก มารวมตัวกัน มีดร.ทางโภชนาการ และด้านอื่นๆ เพื่อมารวมตัวกันทำวิจัย ทำให้เป็นวิชาการ เป็นทฤษฏีเรื่องกายภาพ ที่เราจะขยาย อายุขัยของมนุษย์ได้ ส่วนเรื่องจิตวิญญาณ ให้ศึกษาไปกับ สิ่งที่พ่อครูพูด พระพุทธเจ้าว่า ถ้าใช้อิทธิบาท สามารถมีอายุได้ถึงกัปป์ แต่พ่อครู ตั้งใจใช้อิทธิบาท อยู่ให้เกินกว่ากัปป์ ซึ่งอายุขัยของพ่อครูนั้น หมดไปแล้ว ตอนอายุ ๗๒ ปี ตั้งใจอยู่ให้เกินกัปป์ เพื่อจะทำงานอันนี้ และจะพิสูจน์ ความจริงอันนี้ด้วย ซึ่งในนามธรรมที่ดีแล้ว ถ้าได้เสริมเรื่องวัตถุธรรม เรื่องกายสังขาร ก็เป็นไปได้ ที่จะอายุยืนถึง ๑๕๑ ปี แล้วเราจะได้สูตรนี้มา
|
||
|