FMTV โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ
560317_โอวาทพ่อครูในการประชุม ชุมชนราชธานีอโศก ที่ใต้เฮือนศูนย์

บริเวณที่อยู่รอบๆเฮือนศูนย์ที่ได้รับการปรับทัศนียภาพ พ่อครูได้ตั้งชื่อแต่ละมุมไว้ ดังนี้คือ

๑. เฮือนผาแหงน (คืออาคารห้องส้วม รูปร่างหินก้อนเดียว อยู่ด้านหลังเฮือนศูนย์)
๒. แมนน้ำริน (คือน้ำตกน้อยๆ ยังไม่ถึงกับเป็นน้ำตก อยู่หน้าเฮือนหญั๋งกิน)
๓. หินสนาม (พื้นสนามที่ปูด้วยหินหน้าเฮือนศูนย์)
๔. งามยีน (งามกางเกงยีนส์)  คือสองหรือสามแยก หน้าห้องน้ำ กางเกงยีนส์ ถ้าเป็นภาษาไทย คืองาม ถ้าเป็นภาษาอีสาน งาม คือแยก

และดำริจะทำน้ำตกอีกแห่งหนึ่ง ที่ด้านหน้าเฮือนศูนย์ บริเวณกองหิน ที่ติดกับเวทีธรรมชาติ

ที่แม่มูน แพทานตะวันถ้าบานสวย จะให้ขับเรือ ลากไปโชว์ที่หน้าท่าเรือ กรมเจ้าท่า แล้วลากกลับมา ลากไปเฉยๆ ไม่ตีฆ้องร้องเปล่า แล้วลากกลับมาเฉย

ส.เดินดิน ว่าผักริมมูล เป็นหน้าตาของโรงปุ๋ย แต่ทุกวันนี้ เห็นมันพุ่งตัวอย่างรวดเร็ว เหลือแต่ขั้นตอนการฉีดพ่นจุลินทรีย์ ทางริมมูลนั้น มีกว่าพันร้าน เพราะมีผักขึ้นมา พันร้านแล้วนั่นเอง

พ่อครูว่า ดูความเป็นอยู่ชีวิตพวกเรา ทางเศรษฐกิจ สังคม การเมือง เราก็เป็นอยู่ อย่างสงบสุข ราบรื่นง่ายงาม สนุก ไม่เหมือนข้างนอก ที่มอมเมา ตีรันฟันแทงกัน แต่พวกเราอยู่อย่างอบอุ่น แม้เรื่องที่เรากำลังเตรียมงาน ตลาดอาริยะ จะเห็นพฤติภาพ ของสังคม ที่เป็นบุญนิยม ไม่ได้ทำเพื่อลาภยศสรรเสริญ ทั้งโลกหาสังคมอย่างนี้ไม่ได้ เพราะเขามีแต่ จะหาเรื่องได้ผลตอบแทน มีเงื่อนไขอะไรมากมาย

ยิ่งนับวันยิ่งเห็นว่า ชาวอโศกมันซึมลึก มันเข้าใจซึมลึกไปเรื่อยๆ เกิดจากพวกเรามี สังวรปทาน ปหานปธาน ภาวนาปธาน อนุรักขณาปธาน เราทำงานไป ปฏิบัติธรรมไป ตามมรรคองค์ ๘

เวลาสังวร อย่าเอาแต่วิกขัมภนะ อย่าเอาแต่กดข่ม ทิ้งเฉยๆ ต้องพยายามอ่านให้ลึก อ่านให้เห็น ที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า ให้เห็นไตรลักษณ์ มันอนิจจังอย่างไร มันทุกขังอย่างไร โดยเฉพาะเรื่องเวทนา ที่มีชอบใจ ไม่ชอบใจ มันไม่เที่ยง เรายึดเมื่อไหรก็ทุกข์ เราจะเห็นอนิจจัง ทุกขังที่แท้จริง อย่างนี้ จึงเป็นวิปัสสนาที่แท้จริง ต้องเห็นด้วยปัญญา ว่ามันไม่เที่ยง ทั้งที่มันเป็นนามธรรม เห็นด้วยวิปัสสนา มันไม่มีรูปร่างสีสันเส้นแสง แต่มันเห็นได้ เห็นว่าเรายึดถืออะไร ยึดถืออาการโลภ แล้วก็เห็นว่า มันไม่เที่ยง เกิดขึ้น ตั้งอยู่ แล้วก็ดับไป เราปฏิบัติแบบลืมตา  แบบมรรคองค์ ๘ เราจะเห็นอนุปัสสี ๔ จริงๆเลย เห็นด้วยตนเองของตนเอง ไม่ต้องให้ใครมาบอก ไม่ต้องอาศัยใคร อาศัยตนเอง ไม่ต้องเชื่อใคร เชื่อความจริง ที่เราเห็นเอง แต่ไม่ต้องเคร่งเครียด มันหลุดมันหล่น ไม่ทัน ก็ตั้งใจใหม่ เราจะเห็นความจริง ในความยึด อุปาทาน ตัณหาต่างๆ

ในการปฏิบัติทั้ง สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ เป็นอาชีพอย่างบุญนิยม พ้นลาภแลกลาภ เราทำได้เนมิตตกตา คือทำตามลำดับ โดยกรอบของศีลตนเอง เนมิตตกตา คือปฏิบัติเสี่ยงโชค ทำบกพร่องบ้าง

เรามีนิปเปสิกตา ลาเภนลาภัง นิชิคิงสนตา เราก็ทำได้ ผ่านโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ได้ เราทำได้ตามลำดับขั้น

เป็นเสนาสนสัปปายะ (ที่อยู่อาศัยอันเหมาะ) อาหารสัปปายะ (เครื่องกินเครื่องใช้ อันพอเหมาะ) บุคคลสัปปายะ (มีสัตบุรุษ)  ธรรมะสัปปายะ (มีเทศน์เช้า สาย บ่าย เย็น)

เทียบเคียงกับสังคมภายนอก อย่างไม่คิดข่มเขา ดูถูกเขา ของเขาต่างคนต่างอยู่ ต่างคนต่างแย่ง แต่ของเรา พยายามเอื้อเฟื้อเจือจาน มีสาราณียธรรม นานๆ จะมีคดีบ้าง เราอยู่กันมาหลายสิบปี เราก็อยู่อย่าง อวิวาทะ มีสามัคคียะ มีเอกีภาวะ เราแสดง เอกีภาวะ จนคนข้างนอกเขายอม เราอยู่เป็นปึกแผ่น เขายกให้อโศก มีน้อยแต่แน่น ไม่แตกแยก ทำอะไรพร้อมพรั่ง พร้อมเพรียง

สังคมสาธารณโภคี มีหลายชุมชน เป็นเครือแห สานกันทั่วประเทศ ทั้งกลุ่มเล็ก กลุ่มน้อย ในงานตลาดอาริยะนี้ก็มา ไม่ได้คิดว่า จะมาได้อะไร แต่มาช่วยกันเสียสละ

สิ่งเหล่านี้เกิดเอง โดยไม่ได้วางแผน ทุกอย่างเกิดโดยสัจจธรรม มันก็เกิดไป ในอนาคต นักวิชาการนักวิจัย เขาจะเริ่มรู้ แล้วมาวิจัยในอนาคต ตอนแรก เขาไม่เข้าใจอโศก เขาจะมองว่า พวกนี้บ้าๆบอๆ มันไม่เหมือนโลกเขา แต่มาบัดนี้ เขาจะค่อยๆเห็น แต่พวกเราซึมลึกไปแล้ว แต่ก่อนเขาไม่แลเรา เราเคยเชิญเขา มาดูตลาดอาริยะ เขาไม่สน แต่บัดนี้ เขามาทำข่าวเราเองแล้ว

เรื่องนี้เป็นเรื่องวิชาการ ไม่ใช่เรื่องทำเล่น เราเอาชีวิตเรามาพิสูจน์ ศาสนาจะไปอีก ๒๐๐๐ ปี พ่อครูต้องสร้างรากฐานให้ดี เพราะศาสนามันเพี้ยนไปแล้ว มันเป็นอื่นไปแล้ว พ่อครูต้องมาแสดงธรรม ข่มขี่ปรับปวาทะ เปลี่ยนชาวพุทธ กระแสหลัก ที่เต็มไปด้วย การแย่งลาภยศ สรรเสริญ สงฆ์เขาก็อยู่อย่างศักดินา เป็นอาชีพ แม้คนที่ได้มา ศึกษาศาสนา ก็ได้เอาไปใช้เป็นยศ ไปล่าโลกธรรม แต่ไม่ได้คุณธรรม ติดตัวไป พุทธเขาข้างนอก สอนแบบไหน สังคมก็เป็นอย่างนั้น ส่วนพุทธอโศกสอนอย่างไร อโศกก็เป็นเช่นนั้น เช่นอโศกสอนให้จน แต่ของเขาไม่มี เราสอน ให้มีวรรณะ ๙ แต่เขาไม่มี นี่คือสัจจะที่ต่างกัน

ข้างนอกเขาว่า เราหลงตัวเอง ก็ไม่เป็นไร เราตรวจสอบตัวเอง ตามหลักพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูเอามาสอน ให้จับความจริงเอา จะเห็นได้ว่า คนทำงานแล้วก็จะได้เงินเดือน ได้ยศศักดิ์ แต่คนทำงานอย่างเรา ทำงานโดยไม่ได้ยศศักดิ์ เงินเดือนอะไร มีแต่ล้างกิเลสไป อย่าไปอยากได้ อยากมี อยากเป็นอย่างเขา จนจิตใจหมดความโลภ ให้ใจไม่อยากได้จริงๆ คนสองแบบนี้ เหนื่อยเท่ากัน แต่คนได้ผลต่างกัน

พวกเรามา ไม่ได้ตั้งใจมาเอาโลกธรรม เราก็ได้อย่างนี้ เรามั่นใจในทิศทางโลกุตระ (อลมริยา) เราก็ล้างไป จนกว่าจะอรหันต์ แต่ของเขามีแต่ นาลมิรยา) ทางที่ไปสู่ การล่าโลกธรรม

เด็กอาจยังไม่คิด แต่ผู้ใหญ่จะรู้ ว่าทิศทางเป็นเช่นไร เด็กบางคนก็รู้แล้ว ก็อยากอยู่ที่นี่ต่อ เราอาศัยแค่นี้ก็พอแล้ว ปัจจัยของชีวิต เราอาศัยแค่นี้พอแล้ว และก็ดูพฤติกรรมรวม คือสหธรรม หมู่กลุ่มที่มาอยู่เป็นหมู่บ้าน แล้วก็มีสหธรรม เป็นเครือแหอีก อย่างงานตลาดอาริยะนี้ เราก็มารวมกัน มันจะแสดง ความเป็นปึกแผ่น เป็นเนื้อหาบุญนิยม ออกมาชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

เราไม่ได้ไปบังคับกันนะ ก็พูดเปรยปรายตกลงกัน เห็นดีก็มาช่วยกันทำ เป็นเรื่องที่สังคม จะต้องมาทำวิจัย เป็นหลักวิชาการ ว่าเกิดอย่างนี้ได้อย่างไร? ตอนนี้พวกเรา ยังอ่อนเรื่องวิจัย เราก็ทำไปเรื่อยๆ แต่นักวิชาการ เขาจะมีการจัด หมวดหมู่ มีหลักเกณฑ์

เรื่องสุขภาพ พ่อครูก็จะร่วมวิจัย เพราะพ่อครูเป็นกรณีศึกษา ที่หาไม่ได้แล้ว คือ จิตใจที่สมบูรณ์ และยินดีให้ความร่วมมือวิจัยกัน เป็นโครงการ "ขยายอายุขัย" คือจะเพิ่มได้อย่างไร ๘ อ.จะทำอย่างไร? ควรทำเป็นกิจลักษณะ แต่พวกเรา ก็ยังมีขัดแย้งกันอยู่ ก็ให้พูดกัน ประณีประนอมกันไป ก็ไม่ได้ทำอะไร ที่เป็นผลเสีย เป็นพิษ ทุกวันนี้ พ่อครูก็ไอน้อยลง นอกนั้นไม่มีอะไร ยังแข็งแรง พ่อครูอายุใกล้ ๘๐ ปีแล้ว ก็ว่าที่จริง เหมือนอายุ ๔๐ -๕๐ ปีมากกว่า

คนอายุ ๗๐ เมื่อก่อนตอนเด็ก ก็ว่าแก่แล้ว พอมาถึงเรา อายุใกล้ ๘๐ แล้ว ทำไมเรา ไม่แก่อย่างนั้นเลย ทั้งเนื้อหนัง ท่าทีลีลาอะไรก็แล้วแต่ ก็เลยทำวิจัยอันนี้ขึ้นมา ก็คงจะได้ดร.อภิสิน ทำเป็นผัง ส่วนหนึ่งฟ้าทำเป็นวิชาการ เพื่อเป็นหลักฐานว่า นี่เป็นผลทางธรรมะพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ว่าเป็นผลทางเทคโนโลยีทางโลกนะ

พวกเรามาถึงวันนี้แล้ว ทั้งชีวิตทั้งพฤติกรรมสังคม มันมีการพัฒนา มีการเปลี่ยนแปลงชีวิต จนจบเลย  แม้แต่ตายแล้วเกิดมาใหม่ ก็จะเป็นแบบนี้ มันเป็นอารยธรรมแล้ว ไม่ใช่แค่ชาติเดียว อยากได้ต้องปฏิบัติจริง ทำจริง ใครไม่อยากได้ ก็ไม่ว่าอะไร

เราไม่ได้ทำเพื่อหาบริวาร ไม่ได้ทำเพื่อตั้งลัทธิ เราไปล้มล้างลัทธิใคร มีคุณ 8705 ก็พยายาม ค้านแย้งล้มล้าง แต่เราไม่ล้มล้างเขา เราอธิบายธรรมะ ใครจะมาเอา ก็ไม่บังคับ แต่ลึกๆแล้ว ถ้าคุณเข้าใจได้ ก็น่าจะดี แต่ว่าพ่อครูเจตนา เพื่อมวลมนุษยชาติ เป็นเรื่องดี ที่ได้ประเด็น มาขยายให้พวกเราเข้าใจ คนดูเหมือนดูมวย ก็สนุก

ตอนนี้พ่อครูก็มีนายฟุ้งกับนายฝัน มาเข้าสิง ว่าจะทำ Monolith Sanctuary ว่าที่ดิน ที่เรากำลังจะซื้อนั้น เข้าท่า อยู่ใกล้แม่น้ำมูน มีสัดส่วนที่ดี ตอนแรก ว่าจะทำที่ สันติอโศก แต่ว่าเขามีกฏเกณฑ์ ว่าสร้างไม่เกินกี่ชั้น แต่ของเรา จะทำหลายชั้น และชั้นบนสุด จะมีเมรุด้วย ครบเป็นคอมเพลกซ์ ชาวบุญนิยม ครบเกิดแก่เจ็บตาย แต่ถ้ามาอยู่ที่ อุบลราชธานี จะได้เป็นสังคมเมือง ที่อยู่ในชนบท พวกเรามีลักษณะ สาราณียธรรม มากกว่าที่สันติอโศก มันไม่เหมือนกัน

พ่อครูเคยเล่าที่ศีรษะอโศก เป็นคอมเพลกซ์บุญนิยม ก็ออกอากาศไปแล้ว เรื่องวิหารหินฟ้า (ตอนที่ ๑) ก็คิดว่าจะสร้าง ๑๐ ชั้น แต่ตอนขอสร้าง เราจะขอ ๘ ชั้น ไม่นับชั้นใต้ดิน กับชั้นดาดฟ้า รวมเป็น ๑๐ ชั้น ซึ่งตั้งชื่อไว้หมดแล้ว แต่ละชั้น

๐.วินิจ (ทรมานหรือฝึกหัด อบรมให้เรียบร้อย) เป็นชั้นใต้ดิน ชั้นล่างสุด เป็นที่จอดรถ
๑.วินัย
๒.วิสัย
๓.วิมน คือ บริสุทธิ์
๔.วิมาน (ที่อยู่ของเทวดาและเมืองฟ้า)
๕.วิเศษ (ยอดเยี่ยมเลิศ)
๖.วิศาล (กว้างขวาง มีอำนาจมีชื่อเสียง)
๗.วิโมกข์
๘.วิมุติ
๙.วิหาร ชั้นที่ ๙ คือมีเฮือนสุดชีวิต คือเมรุเผาศพ มีสระอาบน้ำ มีสวน มีลานที่ทำงาน เพื่อเป็นที่ตั้งน้ำ สำหรับอุปโภค บริโภค

ภายนอกเหมือนกับผาแหงน ข้างในจะให้โล่งที่สุด มีเสาน้อยที่สุด แข็งแรงที่สุด เผื่อรับน้ำหนัก ที่จะต้องปั้น ต่อเติมอะไรต่ออะไรของเรา โครงสร้างเป็น สี่เหลี่ยมคางหมู ง่ายๆ แต่ให้รับน้ำหนักมากที่สุด ข้างในเราจัดเอง ผนังเบา ยกย้ายง่าย ทำการตกแต่งทีหลัง

จะมีชั้นหนึ่ง ทำเหมือนสนามหลวง จะจัดงาน จะอภิปรายก็เชิญเลย ชั้นนี้มีคน ขึ้นไปได้เลย ในที่สามไร่ ได้สองหมื่นคนได้เลย .....

จบ นายฟุ้งกับนายฝัน