FMTV โทรทัศน์เพื่อมนุษยชาติ
560319_สงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง แก่นแท้แก่นธรรมแก่นกลองอานกะ

วันนี้พ่อครูอยู่ที่บ้านราชฯ วันนี้รายการก็ดำเนินไปตามปกติ

แต่วันนี้จะไม่สาธยาย เรื่องที่เป็นธรรมะ ที่ลึกซึ้งซับซ้อน ซึ่งสูตรของพระพุทธเจ้านั้น ถ้าใครมีสภาวะ รู้จิตเจตสิกได้ จะเข้าใจสภาวะ ลึกซึ้งซับซ้อน เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อนได้ จนกระทั่ง ไม่พูดถึงตัวตนเลย ในขั้นอภิธรรม ขั้นปรมัตถ์ ซึ่งก็ยากที่จะอธิบาย ในขั้นโลกุตรธรรม ก็เป็นเรื่องสูงเรื่องยาก

ในธรรมะระดับโลกียะทั่วไป เขาก็อธิบายทั่วไปแล้ว ในธรรมะขั้นโลกุตระ ถ้าไม่มีสภาวะ จะวน อธิบายได้ไม่ลึก อย่างเช่น เวทนา ๑๐๘ ที่ท่านแจกไปถึง ๑๐๘ ที่มีมโนปวิจาร ๑๘ ซึ่งมีทั้งอดีต ปัจจุบัน อนาคต ถ้าเรามีสภาวะจริง ที่ตกผลึก สะสมขึ้นมา เป็นสภาวะที่หยั่งลง ถ้าเป็นสิ่งที่ไม่มีอะไร คือความมีกิเลสลดลง จนกิเลสสูญ แต่จิตเราก็เจริญขึ้นอีก อย่างพระอรหันต์ ก็พัฒนาไปสู่ สัมมาสัมโพธิญาณ

อย่างเถรวาทนั้น จะไม่ได้พูดถึง สัมมาสัมโพธิญาณ ถ้าพูดก็พูดเป็นเรื่องไกล ยาก เป็นไปไม่ได้เลย ซึ่งจากอรหัตภูมิ ก็จะมีการพัฒนาไปเป็น อนุโพธิสัตว์... มหาโพธิสัตว์ ต่อไป

ที่ผ่านมา พ่อครูได้ตอบประเด็นคุณ 8705 ไปก็รู้สึกเกรงใจทาง พุทธศาสนิกชน เกรงใจทาง มหาเถรสมาคมมาก ก็จะพูดให้ชัดว่า... ถ้าอย่างไรที่พ่อครู ได้พูดไปแล้ว ในประเด็นที่คุณ 8705 ว่า 
0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีต ตีความธรรมะเพี้ยนแบบพธร. พุทธศาสนา ย่อมเจ๊งไปแล้ว!
0888705xxx ถ้าพระทั้งหลายในอดีต แปลธรรมะมั่วแบบพธร. ป่านนี้พุทธศาสนา ก็คงเจ๊งไปแล้ว!

พ่อครูตอบว่า..... คุณไม่มีภูมิรู้เอง ว่าพุทธศาสนา มันเจ๊งไปแล้วจริงๆ ก็พูดไปขอโทษไป พูดด้วยสัจจะ เพราะศาสนาพุทธในปัจจุบัน มีแนวเทวนิยม และเป็นเดรัจฉานวิชชา ในสังคมพระ ก็มีแต่โลกธรรม มีส่วนปฏิบัติ ที่จะเป็นความละล้างกิเลส เนกขัมมะ เหมือนสมัย พระพุทธเจ้านั้น เขามาปฏิบัติธรรม ก็มาทิ้งโลกียสุข เขาก็ออกป่า มาทรมานตนเอง อย่างกดข่ม ทรมานตน เป็นทุกรกิริยา พระพุทธเจ้าท่านมีบารมีสูง  แต่ก็ทำตามเขา เป็นอย่างนี้กันหมดเลย พ่อครูก็เห็นว่า เหมือนกับฤาษี อาฬารดาบส อุทกดาบส เขาถือว่า เป็นผู้ปฏิบัติที่จบแล้ว แต่ไม่เป็นประโยชน์ ต่อมวลมนุษยชาติ 

อย่างที่พ่อครูให้มาทำก็คือ การลดละออกมาจาก โลกอบายภูมิ คือโลกที่เสื่อมต่ำ ที่เข้าใจว่า เราไปรวย ลาภยศสรรเสริญ ใช้เล่ห์เหลี่ยมเอาชนะ เอาเปรียบ ในโลก ถ้ามองตื้นๆ แบบโลกียะ ที่เขาได้รวยๆนั้น ก็จะดูดี แต่ว่าทางโลกุตระนั้น เป็นสิ่งเลวร้าย ซึ่งเป็นธรรมเนียมของโลก ที่เป็นการกดขี่ เป็นอบาย เป็นความเสื่อมซับซ้อน เขาก็ไม่เข้าใจ ก็ยังไปนับถือกันอยู่

คนที่มาศึกษาธรรมะพระพุทธเจ้า จะต้องมาศึกษา ให้ลึกซึ้งซับซ้อนไม่รู้กี่ชั้น คนพยายามเข้าใจ แม้แต่ว่า "นิพพาน" ไม่ใช่ทั้งอัตตา และไม่ใช่ทั้งอนัตตา (นัตถิอุปมา คือไม่ต้องไปเปรียบกับอะไร) ซึ่งคิดเช่นนั้นก็ถูก ในคนที่เข้าถึงสภาวะ นิพพานแล้ว มันเป็นสิ่งที่ ไม่มีอะไรมาเปรียบ เป็นสภาวะที่ต้อง มีเองของตน

ผู้เป็นอรหันต์ อัตตาที่เป็นรูปธรรม หรือว่า "อรหัตตา" ท่านก็มีอัตตา อย่างอรหันต์ ท่านก็ยังมีชีวิตอยู่ มีร่างกาย แต่ท่านไม่ยึด ว่าเป็นเราเป็นของเรา ไม่ยึดจริงๆ อย่างถ้าเอาไม้ ฟาดหัว พระอรหันต์ ท่านก็ร้องว่าเจ็บ อย่างนี้เป็นการพิสูจน์ ที่ไม่ได้เรื่อง แต่ท่านหมด ในความยึดถือ ความกังวลแล้ว ท่านพ้นทุกข์แล้ว จะเห็นความเป็น นิพพานในตน เขาจะว่าโง่ว่าฉลาด ว่าซ้ายว่าขวา ก็เข้าใจดี แต่จิตเราก็อ่านจิต ว่าเราไม่ฟู ไม่แฟบจริงๆเลย มันเป็นเครื่องอาศัย ซึ่งกันและกัน เมื่อจิตคนที่พ้นอวิชชาแล้ว มีวิชชาเต็มๆ ก็จะรู้จักสังขาร รู้ปัจจัยที่ก่อการสังขาร และรู้ว่า สังขาร มีกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขารเป็นอย่างไร จะรู้ว่า สสังขาริกะ อสังขาริกะ ก็จะรู้สภาวะ จะมีพยัญชนะอย่างไร ก็เข้าใจในสภาวะ เปรียบเทียบได้

ศาสนาพุทธทุกวันนี้ที่ว่า เจ๊งหรือเสื่อมไปแล้วนั้น พ่อครูก็พูดไป อย่างจริงใจ ไม่ได้มีจิตไปข่มเบ่ง แต่อย่างใด เพราะเห็นว่า ศาสนาพุทธที่มีรากเค้า มานมนาน ในเมืองไทย พ่อครูก็ยังรู้สึกว่า เป็นบุญที่ได้อยู่ในแวดวงของพุทธ ถ้าไม่ได้อยู่ ในแวดวงพุทธ ก็อาจออกนอกลู่ นอกทางไปก็ได้ ก็อาจไม่ได้มาอยู่ มาทำอย่างนี้

ตั้งแต่เล็ก พ่อครูไม่ได้สนใจพุทธศาสนา คุณยายพาไปวัด ไปนั่งสวดมนต์ ท่องไป ไม่รู้กี่สูตร ฟังซ้ำไม่รู้กี่สูตร ก็ไม่รู้สึกว่า มันเป็นสิ่งที่จะมีประโยชน์ พอโตมา เรียนมัธยม ก็ไม่สนใจวัด แต่เข้าวัด เพราะพ่อแม่ล้มละลาย ต้องไปอยู่วัด แต่ก็ยิ่งไม่ชอบใจวัด สุดท้าย ก็ออกไปจากวัด โดยไม่ลาเลย เพราะไม่เคารพศรัทธา แต่มาถึงทุกวันนี้ ก็เห็นคุณค่าประโยชน์ แม้โครงสร้างศาสนา จะเป็นกลองอานกะ ที่ไม่มีเนื้อพุทธแล้ว พระพุทธเจ้า เปรียบเทียบว่า เหมือนกลองอานกะ

แม้แต่ว่าศีลที่เป็นธรรมนูญ (จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล) ที่พระพุทธเจ้าท่านประกาศว่า ศาสนาของท่าน เป็นอย่างนี้นะ ยกตัวอย่าง มหาศีล บอกไว้ว่า

(1) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่น อย่างสมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทายอวัยวะ ทายนิมิต ทายอุปบาต ทำนายฝัน ทำนายลักษณะ ทำนายหนูกัดผ้า ทำพิธีบูชาไฟ ทำพิธีเบิกแว่นเวียนเทียน ทำพิธีซัดแกลบบูชาไฟ ทำพิธีซัดรำบูชาไฟ ทำพิธีซัดข้าวสารบูชาไฟ ทำพิธีเติมเนยบูชาไฟ ทำพิธีเติมน้ำมันบูชาไฟ ทำพิธีเสกเป่าบูชาไฟ ทำพลีกรรม ด้วยโลหิต เป็นหมอดูอวัยวะ ดูลักษณะที่บ้าน ดูลักษณะที่นา เป็นหมอปลุกเสก เป็นหมอผี เป็นหมอลงเลขยันต์ คุ้มกันบ้านเรือน เป็นหมองู เป็นหมอยาพิษ เป็นหมอแมลงป่อง เป็นหมอรักษาแผลหนูกัด เป็นหมอทายเสียงนก เป็นหมอ ทายเสียงกา เป็นหมอทายอายุ เป็นหมอเสกกันลูกศร เป็นหมอทายเสียงสัตว์ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีล ของเธอประการหนึ่ง

(2) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว เลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือทายลักษณะแก้วมณี ทายลักษณะผ้า ทายลักษณะไม้พลอง ทายลักษณะศาตรา ทายลักษณะดาบ ทายลักษณะศร ทายลักษณะธนู ทายลักษณะอาวุธ ทายลักษณะสตรี ทายลักษณะบุรุษ ทายลักษณะกุมาร ทายลักษณะกุมารี ทายลักษณะทาส ทายลักษณะทาสี ทายลักษณะช้าง ทายลักษณะม้า ทายลักษณะกระบือ ทายลักษณะโคอุสภะ ทายลักษณะโค ทายลักษณะแพะ ทายลักษณะแกะ ทายลักษณะไก่ ทายลักษณะนกกระทา ทายลักษณะเหี้ย ทายลักษณะตุ่น ทายลักษณะเต่า ทายลักษณะมฤค แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

(3) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือดูฤกษ์ยาตราทัพว่า พระราชาจักยกออก พระราชา จักไม่ยกออก พระราชาภายในจักยกเข้าประชิด พระราชาภายนอกจักถอย พระราชาภายนอก จักยกเข้าประชิด พระราชาภายใน จักถอย พระราชาภายใน จักมีชัย พระราชาภายนอก จักปราชัย พระราชาภายนอก จักมีชัย พระราชาภายใน จักปราชัย พระราชาองค์นี้ จักมีชัย พระราชาองค์นี้ จักปราชัย เพราะเหตุนี้ๆ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

(4) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ พยากรณ์ว่า จักมีจันทรคราส จักมีสุริยคราส จักมีนักษัตรคราส ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์จักเดินถูกทาง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ จักเดินผิดทาง ดาวนักษัตรจักเดินถูกทาง ดาวนักษัตร จักเดินผิดทาง จักมีอุกกาบาต จักมีดาวหาง จัดมีแผ่นดินไหว จักมีฟ้าร้อง ดวงจันทร์ ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักขึ้น ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักตก ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรจักมัวหมอง ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตร จักกระจ่าง จันทรคราส จักมีผลเป็นอย่างนี้ สุริยคราส จักมีผลเป็นอย่างนี้ นักษัตรคราสจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เดินถูกทางจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ เดินผิดทาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตร เดินถูกทาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดาวนักษัตร เดินผิดทาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีอุกกาบาต จักมีผลเป็นอย่างนี้ มีดาวหาง จักมีผลเป็นอย่างนี้ แผ่นดินไหว จักมีผลเป็นอย่างนี้ ฟ้าร้องจักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรขึ้น จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรตก จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรมัวหมอง จักมีผลเป็นอย่างนี้ ดวงจันทร์ดวงอาทิตย์ และดาวนักษัตรกระจ่าง มักมีผลเป็นอย่างนี้ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

(5) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพ โดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือพยากรณ์ว่า จักมีฝนดี จักมีฝนแล้ง จักมีภิกษาหาได้ง่าย จักมีภิกษาหาได้ยาก จักมีความเกษม จักมีภัย จักเกิดโรค จักมีความสำราญ หาโรคมิได้ หรือนับคะแนนคำนวณ นับประมวลแต่งกาพย์ โลกายศาสตร์ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

(6) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ให้ฤกษ์อาวาหมงคล ให้ฤกษ์วิวาหมงคล ดูฤกษ์เรียงหมอน ดูฤกษ์หย่าร้าง ดูฤกษ์เก็บทรัพย์ ดูฤกษ์จ่ายทรัพย์ ดูโชคดี ดูเคราะห์ร้าย ให้ยาผดุงครรภ์ ร่ายมนต์ให้ลิ้นกระด้าง ร่ายมนต์ให้คางแข็ง ร่ายมนต์ให้มือสั่น ร่ายมนต์ไม่ให้หูได้ยินเสียง เป็นหมอทรงกระจก เป็นหมอทรงหญิงสาว เป็นหมอทรงเจ้า บวงสรวงพระอาทิตย์ บวงสรวงท้าวมหาพรหม ร่ายมนต์พ่นไฟ ทำพิธีเชิญขวัญ แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

(7) ภิกษุเว้นขาดจากการเลี้ยงชีพ โดยทางผิดด้วยติรัจฉานวิชา เช่นอย่างที่ สมณะพราหมณ์ ผู้เจริญบางจำพวก ฉันโภชนะที่เขาให้ ด้วยศรัทธาแล้ว ยังเลี้ยงชีพโดยทางผิด ด้วยติรัจฉานวิชา เห็นปานนี้ คือ ทำพิธีบนบาน ทำพิธีแก้บน ร่ายมนต์ขับผี สอนมนต์ป้องกันบ้านเรือน ทำกะเทย ให้กลับเป็นชาย ทำชาย ให้กลายเป็นกะเทย ทำพิธีปลูกเรือน ทำพิธีบวงสรวงพื้นที่ พ่นน้ำมนต์ รดน้ำมนต์ ทำพิธีบูชาไฟ ปรุงยาสำรอก ปรุงยาถ่าย ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องบน ปรุงยาถ่ายโทษเบื้องล่าง ปรุงยาแก้ปวดศีรษะ หุงน้ำมันหยอดหู ปรุงยาตา ปรุงยานัตถุ์ ปรุงยาทากัด ปรุงยาทาสมาน ป้ายยาตา ทำการผ่าตัด รักษาเด็ก ใส่ยา ชะแผล แม้ข้อนี้ ก็เป็นศีลของเธอ ประการหนึ่ง

นี่คือหลักฐาน ที่เอามาสาธยายกัน พ่อครูก็ต้องขออภัย ที่ต้องว่า วัดไหนๆในไทย ในต่างประเทศ ก็ทำกันเช่นนี้หมด แล้วของเราก็ยืนยันว่า เราปฏิบัติศีล ไม่ค้านแย้ง กับพระพุทธเจ้า และเราทำสมาธิ ก็ไม่เหมือนเขาทำกัน ของเราเป็นสัมมาสมาธิ อย่างในมหาจัตตารีสกสูตร มีพวกเราเรียบเรียบ เป็นหนังสือ "สมาธิพุทธ" เป็นสัมมาสมาธิ ของพระพุทธเจ้า ที่ไม่เหมือนศาสนาใดเลย สมัยโน้น พระพุทธเจ้า ก็ประณีประนอมกันมากเลย พ่อครูแต่ก่อน พูดอย่างถนอม แต่ตอนนี้ พ่อครูก็พูดกัน แรงกว่าก่อน ในเชิงปัญญา ก็ยิ่งเป็นปรมัตถ์ ที่ซับซ้อน

พวกปัญญาฟุ้งเฟ้อฟุ้งซ่านนั้น เป็นวิปัสสนูปกิเลส ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัส ในมหาสุญตสูตร นั้น การว่างหรือการไม่มีนั้น คือการว่างจากอบาย จากกามคุณ จากโลกธรรม จากอัตตา คำว่าปีติ ก็เป็นกิเลสซ้อน ความสงบ ความสุขก็ดี ที่เป็นอุปกิเลส เขาก็เข้าใจเพี้ยนไป คำว่า อธิโมกโข นั้นเป็นสภาวะที่ น้อมใจไปให้เจริญไป มีขั้นตอน ตามอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา ไปสู่ที่สุด คือสุภันเตวะ สิ่งที่สูงสุด ที่น่าพึงได้

ความเพียรก็เป็นวิปัสสนูปกิเลส ซึ่งวิปัสสนูปกิเลส มี ๑๐ อย่าง
๑.โอภาส (แสงสว่าง) ๒.ญาณ (ความหยั่งรู้)
๓.ปีติ (ความอิ่มใจ) ๔.ปัสสัทธิ (ความสงบเย็น)
๕.สุข (ความสุขสบายใจ) ๖.อธิโมกข์ (ความน้อมใจเชื่อ)
๗.ปัคคาหะ (ความเพียร) ๘.อุปัฏฐาน (สติแก่กล้า)
๙. อุเบกขา (ความมีจิตเฉยๆ) ๑๐.นิกันติ (ความพอใจ
, ติดใจ)

คนที่เข้าถึงความว่าง ความไม่ยึดติดแล้ว จะไม่มานั่งเถียงกันหรอก จะไม่ดันทุรัง เพราะท่านไม่ยึดติด ในความถูกผิด ท่านไม่มีความเอาชนะ คะคานแล้ว และท่านจะรู้ การอนุโลม มีการอยู่ร่วมกับสังคม อย่างรู้ประมาณ

ในวิปัสสนาญาณ ๑๖ ที่มี ญาณที่
๑๐. ปฏิสังขานุปัสสนาญาณ ญาณพิจารณาทบทวนถึง การปฏิบัติ ที่ปลดปล่อยได้  ก็ทำซ้ำอีก จนสำเร็จยิ่งขึ้น .

๑๑. สังขารุเปกขาญาณ ญาณอันเป็นไป โดยความเป็นกลาง วางเฉยต่อสังขาร ปรุงแต่งทั้งหลาย . . . จิตเราเป็นอสังขารแล้ว แต่ก็ต้องสสังขารไปกับเขา เหมือนแม่ครัว ต้องปรุงรส ให้คนอื่นกินได้ จะให้หมดเลยไม่ได้ จะเข้าใจการทำเพื่อผู้อื่น แต่จิตตน ไม่มีแล้ว เขาก็เห็นอาการ แล้วก็เชื่อตามอาการ นั้นไม่ได้ เพราะอมตะบุคคล ท่านพ้นแล้ว เลยแล้ว มันอาจเหมือน คนกลับกลอกตอแหล แต่ที่จริง ท่านทำเพื่อผู้อื่นทั้งหมด อนุโลมเพื่อเขา ทำเพื่อเขา ถ้าเพื่อตนเองไม่มีแล้ว อันนี้เป็นพุทธวิสัย ที่สูงส่ง คือมีความเป็นพุทธ สมบูรณ์ จะเดาไม่ได้ เพราะมีไม่รู้กี่ชั้น

พระพุทธเจ้าเกิดมา ก็คุยตัวใหญ่โต ไม่มีใครยิ่งใหญ่ เทียบเท่าพระพุทธเจ้า เวลาสอน ก็จั่วหัวด้วย พุทธคุณ ๙ ข่มมนุษย์เทวดามารพรหม หมดทั้งโลก ท่านบอกเองเลย ท่านไม่ได้มีกิเลส ยกตัวยกตน ท่านตรัสด้วยความจริง สูงสุดแล้ว

พ่อครูก็เข้าใจ ว่าที่ทำไปออกไป เพื่อประโยชน์ผู้อื่น

ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์เราประพฤติ มิใช่เพื่อหลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ
(น ชนกุหนตฺถํ)
มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็นบริวาร (น อิติ มํ ชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็นเจ้าลัทธิ  หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษอย่างนั้น ก็หามิได้  ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ

ผู้จะกล่าวเช่นนี้ ต้องตรวจสอบตัวเอง ตลอดเวลา แม้อรูปฌาน ก็ต้องตรวจ อยู่ตลอดเวลา แม้ขณะลืมตาอยู่ปัจจุบัน ก็อ่านรู้ว่าหมดอวิชชาสวะ แม้นิดแม้น้อย จะเหลือเท่าไหร่ ก็พ้นหมด เป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ คือสัญญาที่เคล้าเคลียอารมณ์ ผู้ที่รู้แจ้งนิโรธ ย่อมอาศัยอายตนะ เพื่อรู้การสิ้นอวิชชาสวะ (อายตนะ ๒ เป็นสิ่งอาศัย ซึ่งกันและกัน ใช้เป็นเครื่องอยู่อาศัย เป็นนิโรธลืมตา ที่มีความรู้ตื่นเต็ม)

ศาสนาพุทธทุกวันเจ๊งไปแล้ว อย่างที่พระพุทธเจ้าว่า
[๖๗๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรื่องเคยมีมาแล้ว ตะโพนชื่ออานกะ ของพวกกษัตริย์ ผู้มีพระนามว่า ทสารหะได้มีแล้ว เมื่อตะโพนแตก พวกทสารหะ ได้ตอกลิ่มอื่นลงไป สมัยต่อมา โครงเก่าของตะโพน ชื่ออานกะ ก็หายไป ยังเหลือแต่โครงลิ่ม แม้ฉันใด ดูกรภิกษุทั้งหลาย พวกภิกษุในอนาคตกาล เมื่อเขากล่าวพระสูตร ที่ตถาคตกล่าวแล้วอันลึก มีอรรถอันลึก เป็นโลกุตตระ ประกอบด้วย สุญญตธรรม อยู่ จักไม่ปรารถนาฟัง จักไม่เข้าไปตั้งจิตเพื่อรู้ และจักไม่สำคัญ ธรรมเหล่านั้น ว่าควรเล่าเรียน ควรศึกษา แต่ว่าเมื่อเขากล่าวพระสูตร อันนักปราชญ์ รจนาไว้ อันนักปราชญ์ร้อยกรองไว้ มีอักษรอันวิจิตร มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นของภายนอก เป็นสาวกภาษิต อยู่ จักปรารถนาฟังด้วยดี จักเงี่ยโสตลงสดับ จักเข้าไปตั้งไว้ซึ่งจิตเพื่อรู้ และจักสำคัญธรรมเหล่านั้น ว่าควรเรียน ควรศึกษา ฯ

พ่อครูว่า ไม่ได้มาเพื่อหาบริวาร ไม่ได้มาเพื่อให้คนมานับถือ ใครมีดวงตาเห็นธรรม ก็มาเอา ใครไม่มาเอา ก็ไม่ว่าอะไร เราก็ว่าเท่าที่ เรามีปัญญา เราทำอย่างมี พรหมวิหาร ๔

เมตตาเขาก็แปลว่า อยากให้เขาพ้นทุกข์ กรุณาก็เข้าใจว่า อยากให้เขามีสุข มุฑิตาก็แค่ยินดี ที่เขามีสุข และอุเบกขาก็แค่วางเฉย  ซึ่งก็แปลกันแค่นั้น

อย่างมัชฌิมาปฏิปทา ก็ไปแปลว่า ทางสายกลาง แต่ที่จริง มัชฌิมา ก็คือความเป็นกลาง แล้ว ปฏิปทา ก็คือทางปฏิบัติ แล้วเขาก็เข้าใจว่า ปฏิบัติไม่ให้เคร่งไม่ให้หย่อนเกินไป แต่ส่วนใหญ่ กิเลสก็จะบอกว่า ให้ทำแบบสบาย แบบขี้เกียจ ซึ่งไม่ใช่ เราต้องทำอย่าง ตั้งตนบนความลำบาก กุศลธรรม จะเจริญยิ่ง

พ่อครูก็ต้องมาพูด ประณีประนอม ไม่ได้ตีทิ้ง แม้ลาออกจาก มหาเถรสมาคม ที่จริงพ่อครู ก็เกิดมาจาก มหาเถรสมาคม ที่ออกมาก็ขอออกมา ตั้งแต่ ๑๔ ค่ำ เดือน ๘ ปี ๒๕๑๘ ขณะประชุมพระนวกะ ที่วัดหนองกระทุ่ม พ่อครูก็บรรยายว่า จะขอออกมา ตั้งร้านปาท่องโก๋ ร้านเล็ก ไม่ได้คิดอวดดี แต่ขอมาทำตามสูตรตัวเอง ที่คิดว่า จะมีประโยชน์ต่อประชาชน ก็ทำตามสุจริตใจ เมื่อทำมา ก็ยิ่งมั่นใจว่า สามารถพาคน ออกจากโลกียะได้จริง แต่จะให้พ่อครู มาทำศาสนาพุทธ ทั้งเมืองไทยเลย นั้นไม่ได้หรอก มันต้องมีการทำ เป็นขั้นตอน ค่อยๆทำให้สุก ไปตามลำดับ ยัดเข้าเตาเลย ก็จะดำไหม้ ไม่ได้ผล  


                ต่อไปเป็นการตอบประเด็นและปัญหา

ธรรมกาโม(ผู้ใคร่ในธรรม) ....สงสัยว่า เอกพีชีโสดาฯ ที่พ่อครูอธิบายว่า จะตัดสังโยชน์อีก สังโยชน์เดียว ก็จะบรรลุอรหันต์ ต่างจากอนาคามีอย่างไร?...

ตอบ...โดยปรมัตถ์ ในสภาพหมุนรอบเชิงซ้อน ในกายสักขี โสดาบัน เหมือนพระอานนท์ เป็นโสดาบัน ลากไปจนกระทั่ง พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ไม่นานเลยก็เป็นอรหันต์ มันจะไปลัดไม่ได้ เอาแค่รูปนอก ก็เป็นโสดาบัน แต่ในเนื้อธรรม ปรมัตถ์นั้นต่างไป

สกิทาคามี ก็แปลว่า เกิดหนเดียว อนาคามี ถ้าไม่ติดยึดในภูมิอนาคามี พอตายแล้ว ไม่ขอกลับมาเกิดมีร่างกาย ก็จะค่อยๆสลาย แต่จะช้ามาก ไปตามแล้วแต่ ฐานของอนาคามี นานนับไม่ถ้วนเลย แต่ถ้ามาเกิด อย่างมีร่างกาย มีชมพูทวีป จะเร็ว และชัดเจนที่สุด พระพุทธเจ้าจึงว่า ท่านปราถนาสัมโพธิญาณ ท่านไม่ปรารถนา เกิดใน สุทธาวาส ๕ อย่างอนาคามี ถึงเวลาท่านก็มาเกิด

คุณธรรมที่ซับซ้อนนี้ จะเปรียบเทียบไม่ได้ มันคนละบริบท คำว่าเอกพีชี ก็เป็นสภาวะ อย่างอนาคามี ก็เป็นเอกพีชีได้แน่ แต่คำว่าชาตินั้น มีทั้งภูมิของกาม อย่างสกิทาคามี จะมาล้างภพหยาบ เลิกไปแล้ว ในกามภพ ที่เหลืออีกเป็นภวภพ ก็เหลืออีกชาติหนึ่งได้ ภูมิธรรมอย่างโสดาบันเป็นได้ สกิทาคามีก็เป็นได้ ภูมิธรรมเหล่านี้ ซับซ้อน เปรียบเทียบกันยาก (นัตถิ อุปมา) ให้ปฏิบัติไป จะมีสภาวะรู้ได้ อธิบายไม่ยาก ถึงเวลาวาระ ก็ไม่ต้องเชื่อใคร จะรู้ด้วยตน

จะมีวิธีการใดที่ทำให้นร.ที่ตกภพ ในเรื่องความรัก ออกจากภพกามได้ ...

ตอบ... ต้องค่อยๆบอก ค่อยๆสอน คนเรามีฐานจิต ที่เป็นอัตตามีจริง ของเขา เด็กที่เขาตกภพ เราก็ค่อยๆบอก โดยใช้ศิลปะ อย่ายึดมั่น ว่าจะสอนได้ทุกคน พวกอเวไนยสัตว์ ก็สอนไม่ได้ ให้ใช้พรหมวิหาร เท่าที่เราทำได้ เป็นธรรมชาติ ของสิ่งแวดล้อม ทั้งตัวเขาเอง มีบารมีเท่าไหร่ด้วย แม้เขาจะมาอยู่กับเราได้ มาอยู่ ม.๑ ก็ไม่จบม.๖ ก็มีแล้ว ไม่ใช่ของง่าย ต้องค่อยเป็นไป อย่ายึดมั่น ก็เห็นแล้วว่า คนภายนอก เขาก็ตกภพมากมาย

ขอท่านอธิบายวิโมกข์ ๘ อีกซักรอบ...

ตอบ...ก็ให้ตามฟังอีก

สามข้อแรก คือ รูปฌาน ข้อ ๔-๗ คืออรูปฌาน
ในข้อ ๑-๓ ก็อธิบายถึงจิตกับปัญญา
สติ)  
วิโมกข์ ๘ ของพุทธ
๑. ผู้มีรูป(รูปฌาน) ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย (รูปี รูปานิ ปัสสติ) จิตจะต้องรู้จักรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้)
๒. ผู้ไม่มีความสำคัญในรูปภายใน (๑๐/๖๖)  ย่อมเห็นรูปทั้งหลาย ในภายนอก (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) .
(พ่อครูแปลว่า มีสัญญาใส่ใจในอรูป) คือรู้ทั้งรูปภายนอก ไปจนถึงรูปภายใน ต้องเห็นทุกเวลา แม้ขั้นอรูป ก็ต้องใส่ใจสัญญากำหนดรู้)
๓. ผู้ที่น้อมใจเห็นว่าเป็นของงาม (สุภันเตวะ อธิมุตโต โหติ, หรือ อธิโมกโข โหติ ) (พ่อครูแปลว่า เป็นโชคอันดีงาม ที่ผู้นั้นโน้มไปเจริญ สู่การบรรลุหลุดพ้นได้ยิ่งขึ้น)

สามข้อนี้ คือลักษณะของรูปฌาน อย่างลืมตา การหลับตาทำก็ได้ แต่มีข้อจำกัด จะรู้แต่ในอรูป หรือในสัญญาเท่านั้น เราต้องตรวจในอุเบกขา มันมีนิดหนึ่งน้อยหนึ่ง ก็ไม่มีให้ได้ ถ้าในอากาสานัญจายตนฌาน คือ บอกถึงอาการว่างๆ เหมือนอากาศ และอีกอันคือ วิญญานัญจายตนะฌาน จะบอกธาตุรู้ที่สะอาด และที่ไม่สะอาด มีธุลีหมอง ธุลีเริง มีสิ่งไม่สมบูรณ์ คือ อากิญจัญญายตนะ อย่างไร ก็ต้องตรวจให้ละเอียด แล้วคุณต้อง กำหนดหมาย ให้รู้ให้หมด ให้พ้น เนวสัญญานาสัญญา ให้สิ้นเกลี้ยง จนพ้นความไม่รู้ ไม่มีเศษที่ไม่รู้ จนสิ้นอาสวะอนุสัย หมดอวิชชานุสัย ก็สิ้นเกลี้ยงเลย

 

ปหาน ๕ มีอะไร ใช้ทำอะไร...

ตอบ... ให้ปหานกิเลส ปหาน ๕ มี

๑. วิกขัมภนปหาน (ละด้วยการข่มใจ-ใช้เจโตนำหน้า) เช่นทำอย่างมีมารยาท แต่ก็เป็นอุปการะได้
๒. ตทังคปหาน (ละได้เป็นครั้งคราว-ใช้ปัญญาอบรมจิต) คือทำอย่างวิปัสสนา ใช้ปัญญาเป็นปัจจัตลักษณ์
๓. สมุจเฉทปหาน (ละด้วยการตัดขาด สลัดออกได้เก่ง) .
๔. ปฏิปัสสัทธิปหาน (ละด้วยการสงบระงับ ทวนไปมา) . (ในอนุปัสสี ๔ คือ ปฏินิสสัคคานุปัสสี)
๕. นิสสรณปหาน (สลัดออกได้เองทันที เก่งจนเป็นปกติ) เหมือนเราเอายาหม่อง ทาขาลงน้ำ ปลิงมาแตะ ก็ร่วงผลอยเลย เกาะไม่ติด มันแพ้เลย มันเป็นไปเองเลย

 

พุทธคุณ ๙ โดยสังเขป....

ตอบ.... คุณของพระพุทธเจ้ามี ๙ ประการคือ

๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์
๒. สมฺมาสมฺพุทโธ ตรัสรู้เองโดยชอบ ธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องบำเพ็ญเอง ขนาดพระพุทธเจ้า เป็นโพธิสัตว์ ระดับ ๗ ไม่ใช่สูงมากมาย ต้องบำเพ็ญอีกมาก ขนาดนี้ ก็ยังเห็นว่าเป็นเอง ไกลจากคนอื่นมิใช่น้อย
๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน ถึงพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ
๔. สุคโต เสด็จไปดีแล้ว คือเป็นผู้ที่ไปดีท่าเดียว ท่านไม่มีอะไรบกพร่องอีกเลย
๕. โลกวิทู เป็นผู้รู้แจ้งโลก ในโลกกามภพ รูปภพ อรูปภพ ท่านก็รู้แจ้งหมด ทั้งโลกุตระ โลกียะ ก็จะรู้หมด อย่างโสดาฯ ก็ต้องรู้โลกอบาย โลกกามคุณ ที่คุณดับ คุณเหลือ ... ไม่ใช่ว่าเป็นแต่ของ พระพุทธเจ้า แต่พระพุทธเจ้านี้ สุดยอดแห่งโลกะวิทู
๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีฝึกคนที่ฝึกได้ ไม่มีใครยิ่งกว่า
๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดา และมนุษย์ทั้งหลาย ท่านเหนือกว่าทุกคน
๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น และเบิกบานแล้ว
๙. ภควา เป็นผู้จำแนกธรรม

ถ้าความหมายคำว่าบุญ แบบโลกีย์ เป็นสากลหรือไม่ ถ้าไม่ก็แล้วแต่ ศาสนาใดจะสมมุติ ถ้าเราสมมุติว่า เราทำอะไรตามใจ ก็เป็นบุญได้หรือไม่..

ตอบ.. ถ้าตามคุณสมมุติ ก็จะสมมุติได้ แต่สัจธรรมนั้น ก็จะตัดสินเองโดยสัจจะ พระเข้าคือตัวสัจจะ ที่ตัดสินความจริง อย่างไม่มีเบี้ยว

ท่านเทศน์ถึงสำนักอื่น ท่านเอาข้อมูลจากไหน ท่านมีมานะทิฏฐิหรือไม่?...

ตอบ.. พ่อครูก็ต้องถือในส่วนดีมีทิฏฐิความเห็น แต่จะยึดถือหรือไม่ ก็แล้วแต่เรา พ่อครูว่า ไม่ได้มีการยึดถือ และรู้ว่ามานะอย่างไรควรอาศัย และก็มีทิฏฐิออกไปเป็นภาษา แต่ความจริง ก็เป็นของตน และที่รู้ว่าจริงอย่างไร ก็ได้ฟังตามที่ขาปิดกันให้แซด และส่วนใหญ่ ก็ไม่ได้ระบุบุคคล ส่วนใหญ่ก็พูดกลางๆไป แต่พูดธรรมที่จริง มันก็ไปเจอ คนที่เขาละเมิด มันเลี่ยงไม่ออก จะว่าว่า ก็ใช่เลย แต่จริงๆ ก็ไม่ไปรู้เขาหรอก ว่าเป็นหรือไม่ แต่เขาก็ปิดกันให้แซด จะพูดดีก็กระทบคนดี พูดชั่วก็กระทบคนชั่ว พูดไม่ชั่วไม่ดี ก็กระทบ คนไม่ชั่วไม่ดีอีก การกระทบในโอวาทปาติโมกข์ คือการไปพูดทำร้ายเขา (อุปวาโท) ถ้าแปลว่า อย่าไปพูดกระทบนั้น เป็นไปไม่ได้ พูดอย่างไรก็กระทบ แต่ว่าร้ายก็ว่าได้ แต่เขาร้าย ก็ต้องกระทบเขา

มีสำนักไหนบ้างที่พอมีเนื้อหาพุทธ...

ตอบ... พ่อครูไม่ได้ไปทำสถิติ เท่าที่พอระลึกได้ก็มี สำนักท่านพุทธทาส ก็พอมีเนื้อหา อย่างพระป่า ก็ให้พระอาจารย์เทศน์ อาจารย์ชา เป็นต้น พ่อครูก็เคยระบุ อารยิบุคคลว่ามี หลวงปู่มั่น อ.เทศน์ อ.ชา ท่านพุทธทาส เจ้าคุณนอ เป็นต้น พ่อครูเคยหลงลมพระยันตะ ก็พลาดไป อย่างนี้เป็นต้น ในขบวนนี้ทั้งหมด ยกให้เจ้าคุณนอ ท่านมีเชิงเจโตจัด พ่อครูให้ในระดับ อนาคามีภูมิ นอกนั้น ก็ไม่ได้ไปพยากรณ์

คุณ 8705 แกทำให้เราได้ฟังธรรมะพ่อครู น้อยลงครับ. ผมรู้สึกว่า ฟังแกแล้วอัตตาขึ้น..

ตอบ... ไปมองอย่างนั้นได้ไง เขาทำให้พ่อครูได้ตรวจสอบ ค้นคว้ามากมายให้พวกเรา ได้ละเอียดลออ... ควรมองทุกคน ให้เป็นประโยชน์ ศัตรูเราก็คือ คนที่ทำให้เรา พัฒนาขึ้น มองในแง่ดีเถิด เอามาใช้ได้ ทำให้พวกเรา ได้ฟังธรรมละเอียด ลึกซึ้ง

เวลาจะสิ้นใจ จะทำอย่างไรไม่ทรมาน....

ตอบ.. คนที่ตายสงบคือจิตเขาสงบ โดยฝึกก็มี แต่คนที่สงบโดยไม่ฝึก ก็เป็นบารมีเขา มีสองอย่าง ที่เขาทรมาน คือ ๑.ร่างกายทรมาน ๒.ร่างกายไม่ทรมาน แต่จิตเขาดิ้นรน ห่วงหาอาลัย

พ่อครูเคยไปโปรด คนเป็นมะเร็ง เน่าเหม็นใกล้ตาย แต่ห่วงลูกคนโต ทรมาน ไม่มีทางหาย แต่ก็ไม่ยอมตาย เพราะห่วง พ่อครูได้รับนิมนต์ ให้ไปโปรด ซึ่งจะอาบัติ ดีไม่ดี ปาราชิกได้ ถ้าทำเขาตาย  พ่อครูก็ให้เขาเห็นความจริง ว่าเราห่วงอะไร ก็ไม่มีอะไรเป็นของเรา ซึ่งก็ไปหลายครั้งเลย แต่ก็สำเร็จ มันทรมานทั้งจิตทั้งกาย การทนพิษบาดแผลนั้น แต่ละคน ทนได้ไม่เท่ากัน บางคนตายง่าย แผลนิดเดียว แต่บางคน ก็ทนได้มากมายเลย ต้องฝึกให้มีเจโตสมถะ ซึ่งตอนนี้ พ่อครูก็ไม่ได้ฝึก เรื่องพลังจิตเจโต ก็ต้องฝึก ถ้าไม่ฝึกก็ไม่ได้ เวลาจะสิ้นใจ ก็ให้ปล่อยวาง อย่าไปห่วงหาอาลัย

ไม่อยากเกิดเป็นสิ่งมีชีวิต แล้วจะไปเกิดเป็นอะไร?...

ตอบ.. ต้องปฏิบัติธรรมพุทธนี่แหละ จะไม่เกิดได้จริง ต่างจากศาสนาอื่น

วัดทั่วไปสอนให้สวดมนต์ ทั้งที่ไม่เข้าใจ แต่ว่าคนที่ศึกษาคำสอน ให้เข้าใจ ไม่สวดมนต์ อย่างไหนจะดีกว่า ได้บุญมากกว่า...

ตอบ.. ถ้าสวดมนต์แล้วจำได้ แล้วก็เอาไปปฏิบัติ ก็จะดีกว่า ถ้าไม่สวดไม่จำเลย ก็จะไปปฏิบัติอย่างไรล่ะ

sms เมื่อวานนี้ ว่า เอามาอ่านอย่างนี้ ใครๆก็ทำได้ โอ้โห ยกยอกันเอง...

ตอบ.. เขาว่าพ่อครูอ่านเอา แต่ที่จริง พ่อครูก็อ่านของตัวเอง ที่ได้เรียบเรียงมา อ่านให้ฟัง เพื่อให้ครบ ไม่ตกหล่น มีหลักฐานอ้างอิง ไม่ใช่เอาของคนอื่นมาอ่าน หรืออ่านแต่พระไตรฯ เฉยๆ แต่นี่อ่านที่เราเรียบเรียงมา ก็เหมือนพูดของตน ก็ดีที่ติติงมา

การสำรวมภายใน ผมพอรู้จากที่ท่านอธิบาย แต่ขอคำแนะนำ การสำรวมภายนอก...

ตอบ... คือเอาใจภายใน ที่รู้ภายในและรู้ภายนอกด้วย ซึ่งต่อเนื่องกัน เช่น ตากระทบรูป (บนโต๊ะมีกล้วย ประนมมือ สาธุ) กล้วยมีลักษณะ เหมือนคนประนมมือ พอเห็น ใจเราก็ชอบ กิเลสขึ้น ขอซื้อ เขาไม่ขาย ก็คิดจะขโมย อ่านใจเรา ที่ต่อเนื่องจากภายนอก จากนอกไปใน นี่แหละคือกาโย (องค์ประชุม) กายมี รูปกายและนามกาย รูปกายคือ สิ่งที่ถูกรู้ นามกายคือ อารมณ์จิตภายใน ที่ต่อเนื่องจากภายนอก

ในวิโมกข์ ๘ ข้อ ๒ ที่ให้รู้รูปภายนอก และพิจารณาตามไป ในรูปภายใน จนถึงอรูป ก็กำหนดรู้ ให้ต่อเนื่องกัน เวลาจะตรัสรู้ต้อง "สัมผัสวิโมกข์ ๘ ด้วยกาย เห็นด้วยปัญญา อันชอบ ตามความเป็นจริง" จะรู้ได้ ต้องมีอาการของ วิโมกข์ ๘ สัมผัสทั้งนอกและใน ตลอดเวลา ไม่ขาดกัน ถ้าเราจะตัดข้างนอก โดยสัญญา กำหนดขึ้นมา แต่จริงๆ เวลาตรัสรู้ ต้องรู้ทั้งนอกและใน ทั้งกามภพ รูปภพ อรูปภพ

เอวัง .....