บันทึกสรุปเนื้อหา การแสดงธรรม โดย พ่อครูสมณะโพธิรักษ์
560401_รายการขอบุญโฮมบ้านราชฯและศีรษะฯ ที่บ้านราชฯ


อโศกเรานี่ ปักหลักแล้วล่ะ แต่ก็ต้องลงหลักปักแน่นให้ได้ เพราะสังคม มีแรงผลัก แรงเหวี่ยง แรงถีบแรงมาก เราจะต้องเป็นหลัก ให้แก่ชาวโลก โดยเฉพาะในประเทศไทย ที่ตอนนี้ อาการหนักมากเลย ซึ่งจะไม่ขยายความว่า อาการของสังคมโลก มันหนักอย่างไร สรุปได้ว่า มันเลวหนัก มันร้ายหนัก มันชั่วหนัก นี่คือความหนักที่แท้จริง จึงจำเป็นที่จะต้อง มีหลักให้แก่สังคม ให้แก่ประเทศ

พวกเราก็คงไม่สงสัยหรอกว่า ทำไมต้องเป็นเรา เราจะทำใหญ่ทำโตอย่างไร ก็ไม่เสียหลายหรอก ถ้าหากเรา จะทำเพื่อสังคม เป็นหลักค้ำจุนสังคม จะช่วยได้เท่าไหร่ เราก็ทำเต็มที่ด้วยสุจริต เต็มเรี่ยวแรงของเรา เราไม่ได้ทำ ด้วยอามิส หรือโลกธรรม ที่ไปล่อให้เราทำ แต่เราทำด้วยปัญญา ด้วยความสมัครใจ อย่างเห็นดีเห็นงาม ว่าควรทำ เราทำเท่าที่เราทำได้ ด้วยความซื่อสุจริตใจ

ใครเห็นดีเห็นงามก็มาทำ ชีวิตที่เวียนเกิดเวียนตาย ไม่ว่าชาติไหน ก็เห็นว่า ทำอย่างนี้ดี แต่ละชาติถ้าอวิชชาอยู่ ก็หลงงมงายกับโลกกีย์ จะมากจะน้อย ก็อยู่ที่บารมีแต่ละคน จะสั่งสมบุญบารมีได้ ใครสั่งสมมาไม่ได้ ก็เป็นภัยเป็นพิษต่อสังคม ไม่เห็นว่า จะเป็นเรื่องประหลาด

ในชีวิตแต่ละคน มีอัตภาพมีอัตตาแล้ว อัตภาพของเรา จะได้สะสมจิตนิยาม ได้คุณลักษณะดี หรือชั่ว บาปหรือบุญ ก็อยู่ที่แต่ละคน จะสั่งสมให้จริง เมื่อเราได้มาแล้ว เราก็ต้องพยายาม พัฒนาจิตภาพ หรือจิตสันดาน หรือจิตสังขาร ก็คือัตภาพของเรา ให้เป็นจิตสันดานที่ดี พระพุทธเจ้า เป็นตัวอย่าง สูงสุดแล้ว พ่อครูรับคุณสมบัติ มาจากพระพุทธเจ้า ก็เอามาเปิดเผย อย่างจริงใจ พวกเราก็พากเพียร เอาให้ได้ก็แล้วกัน ไม่ได้แกล้งเสแสร้ง พยายามอนุโลมปฏิโลมกันอยู่ ก็ยืดหยุ่นบ้าง แข็งบ้าง ใครสมัครใจก็เอา ไม่ได้บังคับ

ตามวิสัยทัศน์ของพ่อครู โลกมันเลวร้ายแรงทั่วทั้งโลก ไม่มีภาวะที่จะพึ่งกันได้ มันต้องพึ่งตน ถ้ามั่นใจว่า เราพึ่งตนได้ ก็มารวมกัน เป็นหมู่ เมื่อเกิดกลุ่มตน ก็จะเกิดสัมคม เป็นพฤติกรรม กาย วาจา ใจ ที่จะมีผล กระทบต่อตน ที่แสดงออกทั้ง Action - reaction ที่เกิดจริง เป็นจริงขึ้นมา เพราะเราอยู่ในสังคม เราไม่ได้มีแนวคิด อย่างพระป่าที่หนีโลก อย่างโลกันตะ ไม่เหมือนเดรัจฉาน ที่อยู่เดี่ยวๆ ไม่เกี่ยวกับใคร ทั้งเอกภพ มันสัมพันธ์กัน และอะไรที่สัมพันธ์กันดี ก็คือมนุษย์ และสัมพันธ์อย่างไร ก็ต้องรู้ว่า คนนี่แหละเลวที่สุด และดีที่สุด ก็อยู่ในคนนี่แหละ เราก็ต้อง มารวบรวม กลุ่มคนที่ดี ให้มีพลังงาน ไปมีปฏิกิริยาเปลี่ยนสังคม ที่เลวร้ายลง ที่เราห้ามไม่ได้ คนเลวจริง เราแก้ไม่ได้ ผู้แสดงหาสิ่งที่ดี จะมารวมกัน ทั้งรูปและนาม สิ่งดีกับไม่ดี จะมีฤทธิ์ฆ่ากันได้ เราเกิดมาแล้ว

พระพุทธเจ้าท่านพัฒนาคน ให้เป็นคนที่ นอกจากไม่เป็นพิษภัย ต่อสังคม ยังรู้ความจริงว่า จิตวิญญาณ มันมีตัวกำหนด ที่จะล้างอัตตา หรือกิเลส อวิชชานุสัย ให้หมดเกลี้ยงแล้ว ก็จะมีแต่ภาวะพลังงานสะอาด จะเห็นว่า พลังงานตัวตนนี่ มันก็ไม่ใช่ตัวตน เราสามารถปล่อยวาง ไม่ตั้งอะไรในจิต (อัปณิหิตตัง) เราสามารถตายไป อย่างไม่ตั้งอะไรกับจิต จิตก็สูญสลาย หายไปเลย ผู้ที่ทำได้ถึงขั้นนี้ เรียกว่าอรหันต์เป็นต้นไป สามารถสูญได้เลย แต่เมื่อเรา จะยังไม่สูญ ทำ ปณิหิตตัง จิตตัง ที่จะมีอัตภาพ ในเอกภพ ยังไม่สูญสิ้น ก็ทำได้ ถ้าจะเกิดมา ก็เกิดมาทำประโยชน์ ให้แก่โลกเขา ทำให้แก่มวลชน เป็นอันมาก มารับใช้สังคม มาช่วยเหลือเกื้อกูล มนุษยชาติ เกิดมาสร้างสรรประโยชน์ อย่างเดียว ไม่มีพิษมีภัย แล้ว โลกก็ได้ประโยชน์จากเรา

พ่อครูทำงานไป พวกเราก็ไหลมาเอง ไม่เหมือนโลก ที่ต้องโฆษณา แต่ทำอย่างเปิดเผย ความจริง   สัจธรรม น้ำย่อมไหลไปหาน้ำ น้ำมัน ย่อมไหลไปหาน้ำมัน ได้มาแค่นี้ ก็ต้องประนีประนอมกันให้ดี พยายาม รักษาสภาพ ตัวเราเองนี่แหละ อย่าให้กระเด็นไป เพราะแต่ละคน ก็รักษาตัวเองอยู่แล้ว แต่ละคนต้องพยายาม อยู่กับหมู่ให้ได้ หมู่ก็มีพฤติกรรม เป็นประโยชน์ต่อสังคม เราก็อยู่ในสังคม ก็ล้างกิเลสไป ตามที่พ่อครูอธิบาย รายละเอียด วิธีการละล้างกิเลส

พ่อครูมั่นใจว่า ได้ทำความจริงให้ปรากฎได้แล้ว มีชาวอโศกมาได้ แต่ละคน ก็ให้ใช้ปัญญาตัดสินด้วยตน จะมาเอาอย่างนี้ ก็มาเอา ตั้งใจศึกษาประพฤติ ให้เจริญขึ้นๆ แล้วจะได้เป็นอัตภาพ ที่พัฒนาอยู่ตลอดเวลา  พระพุทธเจ้า ท่านได้สูตร ที่ไม่มีเปลี่ยนแปลง พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้สูตรนี้ เหมือนกัน ไม่มีใครแก้ได้ สัจจะมีหนึ่งเดียว ให้ศึกษาให้ตรง ตามสัมมาทิฏฐิ แล้วทำให้ตรงให้จริง

พ่อครูได้อธิบายลักษณะการเกิด ตั้งแต่เลย ๑-๔  เลข ๔ ก็เป็นตัวให้เกิด สามเส้าใหม่ แต่ ตัว ๗ นี่เป็นตัวปฏิกิริยา สำคัญมาก มีฤทธิ์แรง พ่อครูเป็นปางที่ ๗ จะต้องรู้ฤทธิ์ ที่จะมาเปลี่ยนแปลง ถ้าไม่มีพลังงาน ๗ พอไปถึง ๑๐ แล้วจะขึ้นรอบใหม่ ก็จะนับ ตัว ๐ ก็จะจบ ถ้าจะต่อ ก็นับตัว ๑๑ เป็นตัวเริ่มต้นใหม่ ดังนั้นตัว ๗ จึงเป็นตัวสำคัญ

มาพูดถึงเรื่องพฤติกรรม กรรมกิริยาที่เราต้องทำงาน มีกรรมกิริยาต่างๆ ในมรรคองค์  ๘ เรามีอาชีพ ทำงานให้ขาดทุนให้สังคม พยายามทำให้เป็นจริง เราขาดทุนได้ เพราะเรามีแรงงานฟรี เราคิดตีราคา ค่าแรงงานแล้ว เรากินใช้ น้อยกว่าค่าแรงงานเรา ค่าแรงงานเรา ที่เราไม่เอานี่ ทำให้เราขายของ ขาดทุนแก่สังคมได้ คือเรามีการลดต้นทุนได้มาก จากแรงงานฟรี ของพวกเรา แต่ละคน มีส่วนเกิน มาให้แก่สังคมไม่น้อย

ที่ว่าไม่น้อยคือ คนเรามีภาวะอจินไตย ที่ลึกซึ้งซับซ้อน ถ้าจิตเราทุจริตขี้โลภ จะราคาถูก แต่ว่าจิตที่สุจริต ก็แพงกว่าจิตทุจริต แต่ว่าจิตสุจริตแล้ว ยังเสียสละอีก ก็ยิ่งแพงกว่า ราคาทุจริตหลายเท่า ในสังคมเกือบทั้งหมด ก็มีจิตทุจริตมาก เพราะมีกิเลสมาก จิตสุจริต จึงหายากมาก ต้องราคาแพง ตามกฏอุปสงค์อุปทาน ของสังคม ดังนั้น จิตสุจริต จะยิ่งมีค่ามาก และยิ่งเสียสละอีก ก็ยิ่งมีค่ามหาศาล ดังนั้นแรงงานเรา จึงมีราคาแพง แรงงานของเรา ราคาแพง เพราะแรงงานเรา เป็นสิ่งเกิน สุจริตเพราะ เสียสละได้ และยิ่งเป็นสิ่งหายากในสังคม ยิ่งจะราคาแพงขึ้นไปอีก

พ่อครูถึงมั่นใจ ตั้งหน้าตั้งตาทำให้สังคม พยายามทำสัมมาอาชีพ สัมมากัมมันตะ ให้เกิดประโยชน์ต่อสังคม เมืองอุบลฯนี่แหละ ทำจากบ้านราชฯ นี่แหละ บ้านใกล้เรือนเคียง เราก็ทำให้ อย่างมีพรหมวิหาร มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา ไม่ยึดว่า เป็นบุญคุณของเรา ทำแล้วก็ให้ไป ใครจะกตัญญู ก็อยู่ที่เขา ก็เห็นตัวอย่าง อย่างบ้านคำกลาง ไม่อยากให้เราช่วย ก็ไม่เป็นไร บ้านกุดระงุม ให้ช่วยเราก็ช่วย อีกหน่อย จะมีบ้านอื่น เราก็ช่วย เราจะตั้งหน้าตั้งตา ทำอย่างนี้ ถามเด็กๆ ว่าใครเข้าใจยกมือซิ.. เด็กมียกมือ ไม่มากนัก พ่อครูว่า มันก็ไม่ง่ายนัก ที่จะเข้าใจ ก็ให้เด็กๆติดตามให้ดี มันเป็นเรื่องโลกุตระ

ตั้งใจทำจนกว่าจะตาย ใครจะมาช่วยทำก็มาเลย ในชีวิตพ่อครูสรุปแล้ว สรุปบ่อยๆว่า เกิดมาก็ใช้ชีวิตแรงงาน ให้มีคุณค่า เราลดละแล้วก็ใช้ชีวิต ให้มีคุณค่า ชีวิตเรากินใช้ ไม่เท่าไหร่หรอก พระพุทธเจ้าตรัสรู้ แล้วเอามาเปิดเผย พ่อครูก็พาพวกเราทำ อย่างเป็นวิทยาศาสตร์ ก็ได้จริง แต่ไม่ง่าย แต่ก็ได้ สังคมยังไม่เลวร้าย ขนาดจิตบอด ไม่เอาเลย แต่ก็ยังมีคน มาเอาอยู่ จะยากอย่างไร ก็ช่วยกันทำ

ตอนนี้จะทำงานที่ยากขึ้น แต่มีประโยชน์เพิ่มขึ้น ต้องใช้ความอุตสาหะ มากกว่าเดิม แต่เราต้องยืนอยู่ในหลัก ๑.ไม่เป็นหนี้  ๒.พึ่งตนรอด ๓.ทำให้มากให้เกิน ๔.ช่วยเหลือสังคม

พูดถึงเนื้องานขณะนี้ เราเอางานปลุกเสกฯ กับงานปีใหม่ ตลาดอาริยะ ที่จะโยงสังคมเรา สู่จังหวัด แต่ก่อน เราอยู่แค่หมู่บ้านเรา ตอนนี้เราจะสยาย แสดงฤทธิ์ ออกไปสู่จังหวัด เราได้โยนหินถามทาง ผู้ที่มีหน้าที่ดูแล ไม่ว่าจะเป็น กรมเจ้าท่า ไปถึงผู้ว่าฯ ก็ดูดี ไม่มีขัดขวาง เขาก็เข้าใจได้ แม้บางอย่างขัดข้อง ก็มีอาริยะขัดขืน ก็ทำได้ เรามุ่งทำความดี คนมีปัญญา ที่เห็นเราทำประโยชน์ แสดงถึงองค์ประกอบที่ดี มันก็ง่ายสะดวก ไม่มีศัตรู

มีบ้างที่เราจะไปขุดดินขุดทราย ผู้ว่าฯอนุมัติ กรมเจ้าท่าจะดำเนินการ ผู้ใหญ่บ้านยอม แต่ว่าประชาชน เขาไม่ยอม เขาจะรักษาประโยชน์ของเขา จะรักษาแม่มูนให้ตื้น เป็นหาดวัดใต้ อย่างนั้นแหละ เขามองไม่ออกว่า ถ้าน้ำลึก ปลาตัวโตก็จะมา เขาก็ไม่ให้ขุด เขาว่าให้เราไปตามร่องน้ำ เขาก็เห็นด้วย ว่าจะให้มีตลาดน้ำ เวลามีตลาดอาริยะ เขาก็มาซื้อของเรา แต่ถ้าเรือเรา ติดสันดอน เขาก็จะมาช่วย พ่อครูเลยว่า ควรให้เอาเรือเรา ไปทดสอบก่อนงาน

จะเห็นว่า เรามีการคลี่คลาย มีการปรุงแต่งที่อภิสังขาร ที่จะทำกับสังคม กามาวจร เราก็ต้องรักษาประโยชน์ อย่าให้เกิดอกุศล เราก็ทำเท่าที่เราทำได้ เป็นเรื่องจริงที่เกิด มีรูปร่างเป็นตัวตน พ่อครูก็หยิบสิ่งที่เป็นอรูป มาเป็นรูปให้พวกเราฟัง

เราพยายามจะให้เรือเราไปได้ ๖ ลำ เป็นเรือใหญ่ ตอนนี้ก็ปลุกปล้ำกันอยู่ ลำที่ ๔ ยังไม่เสร็จเลยคนเรามีน้อย แต่ก็มีใจจะทำ ใครเห็นดี ก็มาช่วยทำ เราเรียกว่า ช่วยกันปรุงแต่ง ปะติดปะต่อกัน ช่วยกันท้วงติง ไม่ให้เกิน แต่ไม่ขาด

เมื่อเราเองกำลังทำอะไร ปัจจุบันเรากำลังทำ กัมมันตะอะไร เราก็รู้แล้ว มาร่วมมือ ช่วยกันทำ ไม่ว่าการสร้างการก่อ ทั้งช่วยกันลงมือ ช่วยกันคิด แม้เล็กน้อย ก็ให้มาประกอบเสริมหนุนกัน เป็นความสามารถ ในการใช้ประโยชน์ จากเหตุปัจจัยต่างๆ

พ่อครูเชื่อมั่น จึงพาพวกเรามาทำอย่างนี้ ซึ่งงานมันก็ใกล้เข้ามาแล้ว ในงานปลุกเสกฯ เทวดาท่านก็มาอัดธรรมะ ไว้มากมาย ไม่รู้จะบรรยาย หมดหรือไม่ ซึ่งก็มีงาน ที่จะต้องทำอีกมากเช่นกัน

การทำอะไรก็ตาม ไม่ว่าจะทำกัมมันตะ ไปถึงอาชีวะ เราก็อาศัยทั้งนั้น เราทำอย่าง ไม่ทรมานตน กินน้อยใช้น้อย คนที่ไม่มักน้อย ก็เปลืองผลาญ ไปอย่างไม่รู้ ใครรู้แล้ว ก็มาทำให้พอดี มามักน้อยใจพอ เมื่อเราสามารถเข้าใจ กรรม กาย วาจา ใจ ไปถึง กัมมันตะ ที่ไม่ใช่หมายแค่ กายเท่านั้น แต่ท่านผนวกว่า กัมมันตะคือ กาย วาจา ใจ เป็นกัมมันตะ เสร็จแล้วกัมมันตะ รวมเป็นอาชีวะ ที่เลี้ยงชีพตน และโลก เราอาศัยกินใช้เท่านี้ ที่เหลือก็ช่วยโลก ถ้าทำแล้ว ส่วนตนใช้น้อย มีเหลือให้คนอื่นมาก ก็คือกุศลวิบาก โดยสัจจะ ใครแย่งไม่ได้ ไม่มีขาดหกตกหล่น เราเชื่อเราเห็นว่า กรรมเป็นของตน เราเป็นทายาทกรรมของตน ทุกคนอาศัยกรรมของตน ที่พาเราเป็นไป เราเกิดเราหมุนเวียนในวัฏฏะ

ทุกอย่างอยู่ที่กรรม กรรมคือพระเจ้า ศาสนาพุทธตรัสรู้เรื่องกรรม ซึ่งเกิดแต่จิต เป็นตัวต้นมาก่อนเลย  มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ที่จะพาประเสริฐได้ คนที่โกงเขาได้ นั่นไม่เรียกว่าความสำเร็จ แต่เป็นเรื่อง วิบากบาปกินหัว แต่คนที่ทำสิ่งดี ทำกุศลได้สำเร็จ จะไม่มีใคร มาแย่งเอาคืนนะ มีแต่จะเป็นประโยชน์ ไปเรื่อยๆ ความดีจบสำเร็จ ได้ด้วยตนเอง และเราทำความดี แล้วไม่ยึดด้วย คนอื่นเขาจะมาทำอะไร มันไม่มีความพยาบาท ความแก้แค้นอะไรก็จบ ต้องเห็นสัจจะความจริงว่า ความชั่ว ไม่มีวันจบ แต่ความดีจบได้ด้วยตนเอง คนอื่นเขาจะกตัญญู ไม่เป็นไร ถ้าเราปรินิพพาน สูญไปแล้ว เขาจะกตัญญู เหมือนเรานี่ กตัญญูต่อพระพุทธเจ้า ทำดีซื่อสัตย์ต่อพระพุทธเจ้า จะเสียหายอะไร พระพุทธเจ้า ท่านไม่มีแล้วไม่มารับแล้วนี่  แต่ถ้าบาปต่อกัน ก็แก้แค้นกันไปมา ไม่จบ

ความชั่วเหมือนหมาไล่เนื้อ มันไม่หยุดไล่คุณหรอก แต่บุญนั้น มันจบได้ เพราะตัวเรา เป็นเจ้าของ เหมือนเราเป็นเจ้าหนี้ บอกยกหนี้ให้ ลูกหนี้ก็ต้องยอม แต่ว่าคนเป็นลูกหนี้ ไม่มีสิทธิ์จะยกหนี้ออกไป เพราะเจ้าหนี้ ไม่ยอมแน่ แต่พอเจ้าหนี้บอกว่า ให้ยกหนี้ ให้ลูกหนี้ไป ลูกหนี้ส่วนใหญ่จะยอม แต่พวกเราจะไม่ยอม อย่างคุณโย่ง เขาทำบุญ ๑๐ ล้าน ให้เรามาสร้าง ปฐมอโศก เราก็ขอผ่อนคืน เขาบอกว่าไม่เอา ไม่เอาก็ต้องเอา เพราะเราขอ ผ่อนคืนไป จนหมดได้ อย่างนี้เป็นต้น มีหลายเจ้า ที่เป็นอย่างนี้ ที่เราบอกคืน แต่เขาไม่เอา เราก็ไม่มีปัญหา สังคมอย่างนี้อยู่ได้เจ้าหนี้ไม่เอา ลูกหนี้อยู่ได้ แต่ในสังคมอยู่ยาก เพราะเจ้าหนี้ไม่ยอม เราก็อยู่อย่างสัจจะ ที่ควรจะเป็น แบบไม่ควรเป็น เราก็ไม่เอา

เรื่องราวของมนุษย์ที่แจกแจง หลายอย่างเราก็ทำได้ หลายอย่าง เราก็ทำไม่ได้ คนเราทำได้ด้วยความเพียร พระพุทธเจ้าแต่ละองค์ จะเกิดมาห่างกันมาก ท่านทำบารมี ทำความดีมาก จนองค์ที่ต่อมา จะไล่ไม่ทัน เพราะไกลกัน เหลือเกิน เราสามารถทำดี จนความชั่วไล่ไม่ทัน ดีชั่วไม่เที่ยง แต่ทำไม ดีจึงชนะ เพราะห่างไกล จนไล่ไม่ทัน ดีปรินิพพานไปแล้ว หายไปไม่มีตัวตน ก็ชนะในหลักไม่เที่ยง ขนาดพ่อครูมาชาตินี้ จะมีคนมาไล่ให้ทัน จะมาเอาอย่าง ก็ไม่ง่าย แค่พ่อครูนะ อย่าไปเทียบกับพระพุทธเจ้า ซึ่งพ่อครู แค่ระดับ ๗ ที่ยังไม่สูงเท่าไหร่ ยังมีบารมีไม่มาก ซึ่งขนาดนี้ก็ยังยาก ยิ่งยุคนี้หายาก พูดสู่ฟังเล็กๆน้อยๆ

ให้ตรวจสอบ ที่พ่อครูพาทำให้ดี ว่ามีอะไรไม่สัมมาทิฏฐิ จะมีสำนักไหน ที่จะตรงกว่า ก็ให้ใช้ปัญญา ตรวจสอบให้ดี ตรวจแล้ว ก็ให้ทุ่มเททำ พระพุทธเจ้า จึงให้ตรวจวิจิกิจฉา เมื่อหมดวิจิกิจฉาแล้ว ก็ให้ทำอย่างจริง ให้พ้นศีลพตปรามาส คือให้หมดวิจิกิจฉาก่อน แล้วจึงลุยทำ

ในอนุสัย ต้องทำความเห็นให้แจ้งจริง จนพ้นสงสัย ในวิจิกิจฉานุสัย (ในอนุสัย ๗ ข้อ ๔) คนพ้นสงสัย จะไม่ทุกข์ด้วย คนสงสัยจะรำคาญ ไม่มีพลังด้วย จะทุกข์ ถ้าพ้นสงสัย จะมีพลังในการทำ อย่าเสียเวลา อย่าเอาอายุไปทิ้ง ถ้าตรวจแล้ว เห็นว่าไม่จริง ก็ให้เลือกอย่างอื่น ถ้าไม่เลือก สำนักไหน ก็ให้ไปทำเอง เป็นช้างมาตังคะ อย่างอโศก ที่ออกไปก็งอกแงก อยู่กับอโศกก็มี ที่ออกไปแล้ว ไปทำเองก็มี

ในการงานที่เราทำ ก็มาทำสิ่งที่มีคุณค่าประโยชน์ อะไรไม่เป็นประโยชน์ เราก็ลดละไป ชีวิตเราอาศัยกรรม กัมมปฏิสรโณ พึ่งกรรม พึ่งอย่างอื่นไม่ได้ ไม่มีที่พึ่งอื่น ยิ่งกว่ากรรม พระพุทธเจ้าว่า ไม่มีที่พึ่งอื่นยิ่งกว่า พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พระพุทธก็คือกรรม คือตัวอย่างแห่งกรรม อย่างพระพุทธเจ้า แล้วมาถ่ายทอดสู่สาวก ท่านก็สืบทอดมา เท่าที่ได้ แล้วมันก็ไม่เที่ยง สิ่งที่ "มี" นี่ไม่มีสิ่งเที่ยง มีสิ่งเที่ยงอย่างเดียว คือ "ไม่มี" คือพระนิพพาน อย่างอื่นไม่มีเที่ยง ไม่มี ที่เป็นวัตถุยิ่งไม่เที่ยง อย่างอื่น นอกจากนิพพานนั้น ไม่จบ ไม่เที่ยง วัตถุไม่เที่ยงแน่ แม้วิทยาศาสตร์ ค้นพบนิวเคลียส ว่าเล็กที่สุด ซึ่งก็จะค้นพบ ที่เล็กลงไปอีก ก็ไม่จบ

แต่นามธรรม ก็มีนิวเคลียสของนามธรรม นิวเคลียสของนามธรรม คืออรหัตผล เป็นธาตุสุดท้าย ธาตุจิตวิญญาณสุดท้าย ที่เจ้าตัว ต้องตีราคา ของตัวเอง เป็นกตญาณ ว่าเราวิมุติได้เท่านี้ แข็งแรงได้เท่านี้   มีอัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา พอแล้ว มีความตั้งมั่น ปรุงแต่งเท่านี้ มีพลังงาน บวกลบ แค่ไหน อนุโลมปฏิโลม กับสังคมได้เท่านี้ แต่ละคนมีฤทธิ์แรง มีความสามารถ ทำสังคมเท่าไหรก็ได้ ตามแต่ละคน โดยมีแกนหลัก กับตัววิ่ง เป็นพลังงานสองอย่าง ที่เป็นตัวปฏิกิริยา อยู่ในโลก เป็นคนดับได้ ทั้งลบและบวก ก็คือได้อรหันต์ คือปรินิพพาน คนไม่รู้ ก็จะดับด้วย ลบหรือบวก

สายฤาษีจะดับด้วยบวก สายปัญญาจะดับด้วยพลังงานลบ ซึ่งจะไม่สูญ เพราะยังไม่หมดบวก หมดลบ คนที่รู้จักbทั้งบวกและลบ แล้วไม่ปรินิพพาน ด้วยบวกหรือลบ คือปนิหิตตัง ตั้งจิตอยู่ต่อไป เกิดมาก็จะรู้จัก บวกและลบ รู้จักใช้ทั้งบวกและลบ พวกที่มีแต่บวก ก็ตายกับบวก พวกที่มีแต่ลบ ไม่รู้จักบวกเลย ก็ตายกับลบ พวกตายกับลบ คือได้นรกที่ชัด พวกตายกับบวก นี่เหมือนไม่มีนรก นิ่งกบดานไม่รู้เรื่อง แต่ไม่ได้หมายความว่า นรกไม่มี เมื่อคุณสามารถ สะกดพลังงาน ให้นิ่งได้อยู่นาน เท่าที่คุณทำได้ พอเลิกจาก แรงกดข่มได้ ต้องมาใช้หนี้วิบาก อีกยาวนาน ไม่ใช่ว่าจะได้เกิดทันที เพราะแค่สะกดไว้ ยังไม่ได้ใช้หนี้บาป ที่สะกดจิตไว้ ข่มไว้ได้ แล้วหมาไล่เนื้อ ก็ยังไล่อยู่ พอหมดฤทธิ์ ของการสะกด หมาไล่เนื้อไล่ทัน คุณก็ต้อง ใช้หนี้บาปหนี้นรกต่อ พระพุทธเจ้า จึงตรัสเป็นคำตายว่า "คนหรือเทวดาก็ตาม ตายไปแล้ว จะได้เกิดมาเป็นคนอีก น้อยกว่าน้อย ส่วนมาก ตกนรกเป็นส่วนใหญ่"  ผู้จะเกิดมาได้สวรรค์ ต้องเป็นอาริยะเท่านั้น โสดาบัน ยังไม่ค่อยได้เลย ตายไปแล้ว ก็ต้องใช้หนี้นาน แต่ไม่รู้เท่านั้นแหละ ตามบารมี อาริยะสูงขึ้น หากมีจิตตั้งมั่น แรงพอ จะเกิดหรือไม่เกิดได้ อย่างอนาคามี จะมีการตั้งจิตที่แรงพอ

เรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จะรู้พลังงาน ระดับจิตวิญญาณ ที่ละเอียด แล้วจะไปรู้วัตถุ ได้ง่ายกว่า เพราะมันหยาบกว่า แต่ที่จริง ต้องเรียนรู้ทั้งคู่ พ่อครูว่าปางนี้ พ่อครูมาเน้นที่ จิตวิญญาณ แต่ก็จะรู้วิทยาศาสตร์วัตถุได้ง่าย

ผู้ที่มาแล้วจากศีรษะอโศก ตอนแรกบอกว่า จะไปขอบุญโฮม ที่ศีรษะอโศก ซึ่งถ้าไป จะทำให้ช้าลงไปอีก ในการมารวมตัว ช่วยกันทำงาน ยังมีรายละเอียด ที่เราจะต้องช่วยกัน แบ่งงานกันทำ คนเห็นความสำคัญ ก็มากัน ไม่ได้บังคับกัน มาก่อนเวลาก็ดีแล้ว ไม่ว่าจะเป็น งานดูแลสถานที่ แต่ก่อน เรามาเตรียมงานก่อน ใช้เวลานานเกือบเดือน แต่ตอนนี้ เราชำนาญ จะใช้เวลาไม่นาน ก็อย่าชะล่าใจ

ยังนึกไม่ออกว่า คนที่มางานนี้ พอเขาลงไปที่ หาดแนมตะเว็น พอเขาไปแล้ว จะให้เขาเก็บฟรี หรือเปล่า ถ้าจะให้ซื้อ แล้วจะมีเจ้าหน้าที่อย่างไร ตอนนี้ มีทางเข้าออกถึง ๓ ทาง เขาจะเก็บอะไร แล้วก็ต้องมาเข้าออก ๓ ทางนี้ แต่เขาจะลงเรือไป ก็ได้อีก แต่ใครจะเก็บไป กินไป ไม่ว่าให้เขา อย่ากินจนอ้วกแตก เสียค่ายาอีก แต่อย่าหอบไป เราตั้งราคาขาย กิโลกรัมละ ๑ บาท (มีผู้เสนอว่า บางอย่างที่เป็นลูก จะเก็บเองไม่ได้ เพราะมีทั้ง อ่อนแก่ เราควรเก็บ ไปตั้งขายให้เขา) ตกลงว่า บางอย่าง เราก็ไม่ให้เขาเก็บเอง ให้มาซื้อ ที่เราเก็บไว้ให้

วันนี้ขอบุญโฮม ๙๐ นาที รวมสองหมู่บ้าน ก็จบ.

 

 

 



  ชื่อหนังสือ