|
||
งานรดน้ำดำหัว ต้นเรื่อง คือในหน้าร้อนมันร้อน และน้ำหายาก น้ำจึงมีค่า ใครได้มีน้ำ มาอาบมาใช้ ก็ถือว่าเป็นบุญ เป็นกุศล มีคุณค่า ก็เกิดการแชร์ แต่ละคน ก็เอามาแบ่งกัน คนละจอก หรือมารดแก่ ผู้ที่เรานับถือบูชา ให้เกิดความเย็น ก็ทำเป็นรูปแบบที่ดี ก็เป็นจารีต ประเพณีรดน้ำดำหัว ให้แก่ผู้ที่เราจะไป กตัญญูกตเวที เป็นสิ่งดี เป็นจิตวิทยาสังคมที่ดี แต่ก็มีกิเลส มาร่วมปรุง เมื่อเรายกย่องพ่อแม่ คนที่เรานับถือ แล้วก็มีคน ที่เราต้องการ รดน้ำดำหัวเพิ่มขึ้น แตกกระจายมากขึ้น ก็สมมุติกันไป นี่คนที่เรายกย่อง นี่เพื่อนเรา ก็มากขึ้น ทำให้ราคาค่าของคน ที่ควรรดน้ำ ก็ลดลงๆ หนักเข้า ก็เล่นกันสิ ไปรดคนนั้นคนนี้ มันเฝือ แล้วก็รดไปเรื่อย กิเลสมันก็สนุก แกล้งกันเลย หนักเข้าก็หาวิธี ให้เขามารดน้ำเรา เราก็จะได้รับความนับถือ หนักเข้าก็สาดน้ำกันเล่นทั่วไป ก็สนุกสนานเละเทะ น้ำยิ่งไม่มี ยิ่งเอามารดกันเล่น ก็เสื่อมแล้ว แต่อวิชชา เอาแต่สนุกเป็นตัวนำ ประเพณีจารีตดีงาม ก็เลยเสีย จนทุกวันนี้ ไปถึงขั้น ลามกอนาจาร มันบานปลายไป และมีเชิงค้า มีเชิงหากิน ซึ่งมันเสื่อม แต่ไม่รู้กัน ไปมองว่า สังคมได้คลายเครียด มองตื้นๆ แต่มีสิ่งแฝงเสียหาย มากมายกว่า บ้านเมืองรกเลอะ มีพฤติกรรม ลามกอนาจาร มีการค้าขายที่แฝง หากินไม่สุจริต ยิ่งเจ้ากระทรวงไม่เข้าใจ ไปส่งเสริมอีก ก็ยิ่งเสีย สังคมไปไม่รอด ไม่แต่เพียงรดน้ำดำหัว งานลอยกระทงก็เหมือนกัน มันปรุงแต่ง จนบานปลาย เสียหาย ตั้งแต่ท้องน้ำ ไปถึงท้องฟ้า มันเสียหายมากเลย งานปลุกเสกฯ เราก็หนีไม่พ้น กฎไตรลักษณ์หรอก กิเลสหรือความไม่รู้ อวิชชา มันพาเสื่อม ซึ่งก็อยู่ที่พวกเรา จะยืนยันยืนหยัด ทำสิ่งดีขนาดไหน งานปลุกเสกฯ พุทธาภิเษกฯ พวกเราตั้งมา ๓๐ กว่าปี ยังไม่ถึง ๔๐ ปี เพราะพ่อครู รวมหมู่ชาวอโศก พศ.๒๕๑๖ ถือว่า ๔๐ ปีพอดี ปี ๒๕๑๘ ประกาศลาออกจาก มหาเถรสมาคม และในปี ๒๕๑๙ เป็นการกำเนิดพุทธสถาน เป็นหลักแหล่ง วัฒนธรรมเอก ของสังคม คือพุทธสถาน ถือว่าอโศก กำเนิดในพศ. ๒๕๑๙ มาถึงปีนี้ ก็คือว่า ๓๗ ปี ก็นับเอาพุทธาฯ ปลุกเสกฯ มาเป็นอายุแท้ของอโศกได้เลย ซึ่งมีความสำคัญนะ สำหรับ ตัวเลขพวกนี้ ถ้ารู้จักใช้ ก็ขอเตือนสติพวกเราชาวอโศก ที่มุ่งทิศทางมีธรรมะ เป็นหลักของชีวิต คนที่มาแล้ว ได้ประโยชน์ก็มี และมีผู้ที่มาแฝงอยู่แล้ว ก็มีจิตที่ใช้ความโลภ โกรธ -หลง มาเป็นความฉลาด อย่านึกว่าเขาโง่นะ แต่เขามีความรู้โลกีย์ เขาฉลาดแฝง ฉลาดทำร้าย แม้ในหมู่อาริยะ เขาก็มาแฝง เสพความสุขโลกีย์ ของตนเอง โดยใช้ความฉลาดนั้น กลบเกลื่อนแฝงบัง ไม่ให้คนอื่นรู้ ว่าตนเสพ โลกธรรมอยู่ บางคนถึงขั้น มีตุกติก โกงลาภ เขาก็ทำ เพราะคนชั่ว ก็ต้องทำชั่ว พวกเราก็ไม่ไปเข้มงวดเกินกาล เขาก็ฉลาด ที่จะหลบเลี่ยง ซึ่งกรรม มันเป็นอันทำ บาปเป็นอันทำ ใครจะปิดบัง แม้เล็กแม้น้อย ไม่มีทางปิดบังสัจธรรม เขาอาจหลอกได้ตลอดชีวิต แต่ไม่อาจหลอก กฎแห่งกรรม จะมีบาปสองชั้น คือมีทั้งกรรมทำชั่ว และกรรมกิริยาปิดบัง ก็เป็นบาปซ้ำ บาปซ้อน บาปมันชั่วอยู่ในตัว และมีที่ปิดบังอีก ซ้ำซ้อนเข้าไปอีก มีชั่วหลายชั้น พอมีคนจะมารู้ ก็ไปโกหกอีก กลบเกลื่อน ดีไม่ดี มีเอาไปซุกซ่อน ทำลายหลักฐานอีก คนที่เชื่อกรรมวิบาก มาตั้งใจเลิกบาปอกุศล มาบำเพ็ญบุญ ก็ต้องพากเพียร "อย่าให้กิเลสในชนะเรา" คำนี้เอาไปใช้ให้ได้ ถามว่า "ใครเคยให้กิเลส มันชนะนี่?" ถ้าคนไม่ยกมือ ถือว่าโกหก มันมีทั้งเคย และไม่เคยมาทุกคน ที่ให้กิเลสมันชนะ แม้ไม่ศึกษาธรรมะ ก็รู้ว่ากิเลส ที่เป็นตัวไม่ดี ทำแล้วเราก็โกหกต่อ อย่าไปเล่นกับมัน อย่าไปเป็นพวกมัน เป็นอันขาด มันพาคนเลว มานักต่อนักแล้ว ให้สำนึกสังวรให้ดี เอาให้มันตายเลย กิเลสจะตาย หรือเราจะตาย กิเลสมันสู้เรา ไม่ได้หรอก แต่คุณก็ยอม มันทุกที แล้วเมื่อไหร่จะชนะ กิเลสมันขึ้นมา ต้องใช้ว่า "กิเลสมันไม่ใหญ่ กว่าเราหรอก" มันจะมาใหญ่กว่าเรา ได้อย่างไร ทำไมเราต้อง แพ้กิเลสอยู่เรื่อย ทำให้จริง ทั้งสมถะและวิปัสสนา ใครทำอย่างใด ก็ได้อย่างนั้น แล้วจะเห็นผล พ่อครูว่า ชาตินี้เป็นโพธิสัตว์ ไม่เป็นหมัน เกิดมาไม่มีลูกเลย ก็ยังดีมีลูก มาเอาตามทำได้ ลดละ มีปัญญาเห็นจริง จนเกิดหมู่กลุ่ม เป็นชาวอโศกขนาดนี้ พ่อครูถือว่า ลูกที่โตๆก็มีแล้ว อย่าเป็นลูกคนโต ที่เป็นตัวอย่างที่ไม่ดี แก่น้องๆ ก็แล้วกัน ถ้าเราตั้งใจให้ดี สังวรทำให้ดี มันไม่เสียเราเลย มันไม่เสียหมู่ด้วย ได้ประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ตลอดไปเลย ใครมีดวงตา ก็มาเอา แม้จะยาก ทุกวันนี้อโศกเรา เดินทางมาได้พอสมควร เป็นบุญนิยมชนิดที่ เป็นสภาพทวนกระแส กับโลกีย์ ตั้งใจเข้ามาลดละ มาเป็นคน ไม่สะสมกอบโกย มาเป็นคนเอา คนให้ เสียสละ ขาดทุน ตั้งใจอย่างนั้นเลย ชีวิตเรา จริงๆแล้ว เราได้ขาดทุน หรือเราเอาเปรียบเขาอยู่ ไปตรวจตนเองดู ถ้าเรายังทำตน เป็นคนได้เปรียบอยู่ เป็นคนซวย ถ้าแต่ละวันๆ เราได้เสียเปรียบ ยิ่งเสียเปรียบได้มากขึ้น แล้วเราก็รู้ว่า สิ่งใดควรเสียเปรียบแก่สังคม เราก็รู้ ถ้าชัดเจนว่า เราเป็นคนเสียเปรียบในสิ่งดี ทั้งวัตถุ แรงงาน ความคิด เราก็เสียเปรียบเขา เสียเปรียบความคิด คือเราจ่ายแสดงความคิดมากๆ แล้วเขาเอา ไปใช้ประโยชน์ได้ อย่างพ่อครู จ่ายความคิด ๑๐๐ มีคนได้แค่ ๓๐ ก็เสียไป ๗๐ อย่างนี้ คือเราได้เสียเปรียบ เราได้เสียสละ อย่างไอสไตน์เขาคิดได้ แต่คนเอาไปทำเสียหาย ก็อยู่ที่การชั่งน้ำหนัก ว่าเป็นประโยชน์ หรือโทษ ใครมากกว่ากัน ทุกวันนี้ เกาหลีก็ท้าทาย ประกาศรบกับอเมริกา เกาหลี ประเทศเล็ก แต่เขาสร้างนิวเคลียร์ได้ มันมะรอมมะร่อ ว่าจะเกิดสงครามโลก ซึ่งจะมี สามฝ่าย อีกฝ่ายคือ พวกเป็นกลาง ไม่รบกับใคร คนจะเป็นกลางได้ คุณต้องพึ่ง ตนเองรอด ถ้าคุณยังต้องพึ่งคนอื่น คุณก็ต้อง เข้าข้างใดข้างหนึ่ง นี่คือทางรอด คือต้องพึ่งตนได้ หลักเกณฑ์คือ "๑.อย่าเป็นหนี้ ๒.พึ่งตนรอด ๓.ให้เหลือเกิน เผื่อขาดเหลือ ๔.มีแจกจ่าย เผื่อแผ่คนอื่นได้" ของเราคือเล็กพริกขี้หนู หนูช่วยราชสีห์ ถ้าได้อย่างนี้ ใครมาทำอะไรเรา ไม่ได้ เราไม่ต้องพึ่งใคร บางทีเขาต้อง พึ่งเราด้วย อย่างนี้เป็นกลางได้ อโศกทุกวันนี้ เป็นกลางได้ไหม? หลายอย่าง ที่เราต้องพึ่งภายนอก แต่สิ่งหลักๆคือ อาหาร เครื่องอุปโภคบริโภค พ่อครูว่าเครื่องใช้ เราก็ต้องพึ่งเขา อยู่มากเลย ทุกวันนี้ อย่าผยอง ว่าเรามีอาหาร ก็ยังไม่เต็มร้อยหรอก ที่จะพึ่งตนได้หมด เราต้องทำ ให้เหลือเฟือ ติดเป็นนิสัย เป็นวัฒนธรรมสังคม เราเป็นเจ้าแห่งกสิกรรมเลย ส่วนอุตสาหกรรม เราก็ทำบ้าง ในโลกนี้เมื่อไหร่ก็ตาม กสิกรรมต้องราคา ถูกกว่าอุสาหกรรม ทั้งที่จริง กสิกรรม จะเป็นที่หนึ่งเสมอ อุตสาหกรรม เป็นเรื่องรอง ไม่มีกสิกรรมตาย แต่กสิกรรม จะแพงไม่ได้ เพราะเป็นสิ่งจำเป็น อุตสาหกรรม ไม่มีก็ไม่ตาย มันมีเรื่องสำคัญอย่างหนึ่ง คือกิเลส ในสมัยพระพุทธเจ้า ก็มีพระหรือฆราวาส ที่มีกิเลส มาผสม ในสมัยนี้ อาจมากกว่า แต่จะมากอย่างไร ก็ต้องไม่มากกว่า สังคมข้างนอกเขา ต้องมีความบกพร่องทุจริต ไม่มากกว่าข้างนอกเขา เพราะไม่ใช่อรหันต์ทั้งหมด เรายกให้แต่อรหันต์ ที่เป็นคนดีที่สุด เราตัดรอบ ไม่เอาผิดกับอรหันต์ เพราะพระอรหันต์ บริสุทธิ์ใจ ไม่ทำร้ายจริง แต่ท่านก็ทำเท่าที่ ท่านจะมีปัญญา ประมวลประมาณ อาจผิดพลาดได้ โดยไม่มีเจตนาอกุศล แต่ท่านมีความรู้ เท่านี้จริงๆ ก็ผิดพลาดบ้าง เพราะทำงานกับสังคม ไม่เหมือนฤาษี ที่หนีเข้าป่า เขาพึ่งพาสังคม แต่ไม่ทำงาน ให้สังคม ก็แย่กว่าสัตว์ ผู้ที่ทำงานกับสังคม ในระบบพระพุทธเจ้า คุณต้องไม่หนีสังคม เมื่อทำงานกับสังคม จึงเกิดการปรุงแต่งสังขาร ตั้งแต่ผู้นำเลย ก็จะมีบกพร่องผิดพลาด ตามบารมีฐานะ พระพุทธเจ้า จึงเตือนว่า ลาภสักการะ สรรเสริญ แม้เล็กแม้น้อย ก็เป็นอันตราย อันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ขีณาสพ ซึ่งเป็นเรื่องเข้าใจยาก ปุถุชนคิด จะไม่เหมือนอนาคาฯ อรหันต์คิด ท่านจะรู้ประมาณ ไม่เอาไปเสียกับ อันตราย อันแสบเผ็ดหรอก ท่านไม่เอาอยู่แล้ว ท่านไม่เอากำไรหรอก ท่านไม่มีความตะกละหรอก ท่านจะคิด ไม่เหมือนปุถุชน จิตท่านจะจริง ตั้งแต่อนาคามี อรหันต์เลย ท่านจะคำณวน ให้ตนเสียสละ ให้มากขึ้น พวกมิลักขะชน ไม่ใช่คนไม่ฉลาด หรือพวกอยู่ป่าเขา แต่คือพวกฉลาด ที่ทำเลวร้าย เอาเปรียบสังคม อยู่ทุกวันนี้แหละ ที่มีทุนรอน มีอำนาจในสังคม นั่นต่างหาก ที่คือพวก มิลักขะชน ไม่ใช่ชนผู้เจริญ หรือ อาริยกะชน เรามีความฉลาดได้ แต่อย่าเอาไป ทำเลวร้าย ทำลายสังคม เราทำให้สังคมเจริญสิ แต่ละคนอย่าให้ตัวผีร้าย มาแสดงบทบาท ออกมาเป็นพฤติกรรมกาย วาจาที่เป็นทุจริต แต่ก็จะได้ตามฐานะของคน เช่นโสดาบัน ก็มีเรื่องเสียหายเลวร้ายอยู่ พระพุทธเจ้า ก็ไม่บังคับ ให้ทำเท่านี้ก่อน ไม่ทำเกินแรง ทำเท่านี้ เพื่อสะสมทุนแรง เพื่อทำต่อไป อย่างโสดาบัน หยุดบาปเท่านี้ แต่กิเลสที่คุณยังไม่ละ ก็ยังทำงานเพิ่มอยู่ เมื่อทำได้แล้ว ก็มาทำเพิ่มทีหลัง ทำสกิทาคามี อนาคามีต่อไป คุณก็เก็บรักษาวิบาก พระอนาคามี ก็ไม่แสดงออก บาปภายนอก มีแต่บาปในใจ ที่ต้องลดละต่อไป ท่านไม่มีเจตนา ในการทำบาป ภายนอกแล้ว ท่านไม่ทำอะไร เกินการณ์หรอก พวกเราขณะนี้ จะพัฒนาทั้งสังคมเราให้ดีได้ อยู่ที่พวกคุณแต่ละคน ต้องสังวรสำรวม ของแต่ละคนให้ดี เพราะแต่ละคน ถ้าสังขาร สังกัปปะ วาจา ก็จะมีกัมมันตะ อาชีวะดีขึ้นได้ มันก็จะเป็นกุศล คุณก็จะล้าง ที่มันยังมีอกุศล ในจิตต่อไป เมื่อกำจัด ที่ใจได้ ใจเป็นประธาน วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ก็จะดีขึ้นอีก จนกว่าจะเกลี้ยง สังโยชน์ทั้งหมดได้ อย่างอนาคามี ยังเหลือยึดทิฏฐิ ยึดมานะอยู่บ้าง ยึดความถือดีถือตน อยู่บ้าง ถ้าอนาคามี หมดวิจิกิจฉานุสัยอีก จะมีพลังในการทำงานมากขึ้น ทิฏฐานุสัย หมดอีก ก็เหลือแต่มานะ ภวราคะและ อวิชชานุสัย คนที่มีของใช้และใช้เป็น มันก็เจริญ ถ้าประโยชน์ตนลดลงๆ ก็มีแต่ทำประโยชน์ เพื่อผู้อื่นต่อไป ก็กำชับให้พวกเรา พัฒนาตนเอง เราจะประสานกับภายนอก มากขึ้น แต่ที่เห็นชัดคือ ปริมาณมวลของอโศก เพิ่มช้า และปริมาณงานเพิ่มขึ้น ที่สำคัญคือ กิเลสเรา ยังลดได้ไม่ทัน การลดกิเลสเรายังเจริญไม่ทัน เป็นจุดบกพร่อง สิ่งดีๆในสังคม ที่เป็นงานเพิ่ม คนเห็นดีเพิ่ม แต่ของเราลดกิเลสไม่ทัน ถ้าลดกิเลส จะมีพลัง ๔ (ปัญญา -วิริยะ -อนวัชชะ -สังฆหะ) จะมีปัญญาเป็นตัวเลือกเฟ้น การงานอันไม่มีโทษ ที่มีผลสังฆหะ มีประโยชน์ ต่อโลกมากขึ้น ก็จะมีพฤติภาพ ที่เป็นภาวะจริง คนตาดีก็จะรู้ คนตาบอดตากลับ เห็นดีเป็นชั่ว ก็มีมาก พ่อครูมั่นใจว่า คนมีปัญญา จะถอยก็ถอย ใครมีปัญญาจะสู้ก็สู้ ก็ไม่น่าจะมี คนที่จะถอยนะ
คำกล่าวนำปฏิญาณอุโบสถศีล [พากล่าวคำ นโมตัสสะ ภควโต ฯ ๓ จบ ก่อน] ณ บัดนี้ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งจิตปฏิญาณ ในงานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๓๗ นี้ ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป ข้าพเจ้าทั้งหลาย จะขอบำเพ็ญธรรม ประพฤติตนอยู่ในศีล ๘ อันได้แก่ ปาณาติปาตา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการฆ่าสัตว์ เว้นขาดความโหดร้ายรุนแรง เว้นขาดการเบียดเบียนใดๆ จะพยายามสร้างเมตตาธรรม อทินนาทานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เชิงเอาเปรียบ จะพยายามสร้างสัมมาอาชีพ ขยันสร้างสรร เสียสละ ละเลิกความโลภ ความเห็นแก่ตัว อพรหมจริยา เวรมณี จะขอตั้งใจประพฤติ เว้นขาดเรื่องเมถุนธรรม เว้นขาดเรื่องกามคุณ จะเป็นผู้ละเลิกราคะ จะเป็นผู้กำหนด รู้เท่าทันในกาม มุสาวาทา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการพูดปด เว้นขาดการพูดหยาบ สุราเมรยมัชชะ ปมาทัฏฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดการเสพติดมัวเมา วิกาลโภชนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากอาหารและเครื่องใช้ ที่ นัจจะคีตะ วาทิตะ วิสูกะทัสนา มาลาคันธะ วิเลปนะ ธารณะ มัณฑนะ วิภูสนฐานา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากท่าทางอันไม่สมควร คำพูดที่มีเสียงสำเนียง อันไม่สมควร เช่น ฟ้อนรำ ดนตรี เป็นต้น เว้นขาดจากดอกไม้ของหอม เครื่องตกแต่ง พอกทา เครื่องประดับ ประดิษฐ์ประดอย อุจจาสยนะ มหาสยนา เวรมณี จะตั้งใจประพฤติ เว้นขาดจากที่นั่งที่นอนใหญ่ เว้นขาดจาก การรับของใหญ่ เว้นขาดจาการสะสมของใหญ่ ที่สุดเว้นขาด การหลงติดความใหญ่ ศีลทั้งหลายเหล่านี้ หากข้าพเจ้าทั้งหลาย ไม่ตั้งใจประพฤติ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่เจริญ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ย่อมไม่ได้ผล ถ้าหากข้าพเจ้าทั้งหลาย ตั้งใจประพฤติ ก็ย่อมได้ตามธรรม สมควรแก่ธรรม ดังนั้น ข้าพเจ้าทั้งหลาย จักตั้งใจศึกษาฝึกฝน พากเพียรบำเพ็ญ ตามที่หมู่คณะ นำพาช่วยเหลือ เกื้อกูลกันและกัน ด้วยดี ให้สุดความสามารถ ข้าพเจ้าทั้งหลาย ขอตั้งปฏิญญาณไว้ ณ โอกาสนี้ ตามนี้.
หลักเกณฑ์ที่พระพุทธเจ้าพาทำนี้ ไม่มีเก่า ทันสมัยเสมอ ถ้าเราทำได้เราเจริญ ไม่มีใครไม่รู้ แต่เขาไม่ทำจริง เขาไม่เจริญ เพราะทำไม่จริง ศีล ๕ เป็นศีลพื้นฐาน ก็เห็นว่า พวกเรา ทำจริงไม่น้อย ถ้าผู้ใดที่มาแฝง แม้ศีล ๕ ก็ทำไม่จริง มาทำบาป ในดงบุญนั้น ราคาแพง เหมือนผ้าที่ขาวสะอาด แม้จุดเล็กที่มาเปื้อน ก็เห็นชัด ในดงบุญ หากมาทำบาป ก็จะเห็นชัดเจน คนเชื่อกรรมวิบากก็ทำเอา ใครไม่เชื่อก็แล้วแต่ ในอโศกเรามี ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ เราทำจริง จะเห็นจิตหลุดพ้น มีทั้งปัญญาและเจโต มันเฉยๆ จริงๆ ไม่ยินดียินร้ายกับโลกีย์ เราต้องอ่านให้เห็นว่า เราทำได้จริง เราต้องรู้ ของเราเอง ไม่มีใครตรวจให้ใครได้ จะเก่งเท่าใดก็ตรวจให้ใครไม่ได้ ยกไว้แต่ พระพุทธเจ้าเท่านั้น อย่างพ่อครูก็ไม่รู้มาก ไม่สามารถไปรู้ได้มาก แต่ถ้าพากเพียร ก็พอรู้ได้ แต่ไม่จริงเท่า เรารู้เราเองหรอก สังคมอโศกทุกวันนี้ ก็ก้าวหน้าขึ้น อยู่กับสังคมเขา เขาก็เห็นว่า มีส่วนดีบ้าง เราก็ทำ ร่วมกับเขา เท่าที่เขาเต็มใจให้เราทำ เขาไม่ให้เราทำ ก็ไม่ทำ ทุกวันนี้ เขาให้เราทำ แต่เราไม่มีแรงงาน ทรัพย์สินไปทำเขา อย่างวันนี้ เป็นงานของสังคมเขา อ.วีรพันธ์ ก็ชุมนุมอยู่ที่ชายแดน ขณะนี้ ทางด้านกลุ่ม คนไทยหัวใจรักชาติ เขาก็ทำอยู่เต็มที่ แต่อ.วีรพันธ์ ก็มาขอร้องให้พวกเรา ไปร่วมในวันนี้ ถ้าใครจะไปร่วมด้วย ก็เชิญ ในการเตรียมงานตลาดอาริยะ ก็ต้องอาศัยแรงงานพวกเรา บางอย่าง ก็ยังไม่ได้ทดลองเลย งานข้างหน้า ก็ยังมี ที่จะพอเป็นไป เป็นอัตราการก้าวหน้า ของสังคมเรา เรากำลัง สร้างบ้าน แปลงเมือง เราก็ทำตามที่เรามีความสามารถ เรามาจน แต่เราจะทำงานให้ใหญ่ขึ้นๆ เราต้องใช้ทั้ง ทุนรอน แรงงาน ต้องอาศัย จากคนอื่น หรือจากพวกเราที่พอมี เราไม่รับบริจาค จากภายนอก นอกจากงานข้างนอก ที่เรารับมาทำ แต่ถ้างานในจริงๆ เราจะไปรับบริจาค ภายนอกมาไม่ได้ เราก็ต้อง ช่วยตนเอง ไปก่อน เราก็ต้องอุตสาหะวิริยะ ก็เห็นว่าพอได้ พอรีดเลือด ของตนเอง ออกมาได้ ก็แล้วแต่ใคร จะมีน้ำใจ เพราะกองกลางเรา ไม่ได้สอนให้สะสม ยังมีเงินหนุนบ้าง ถ้าไม่มีทั้งเงินหนุนด้วย จะเป็นพลังอย่างดี ตั้งแต่ปฐมอโศก ไม่มีเงินหนุนเลย ก็กร่างใหญ่เลย ช่วยคนอื่น ได้ข่าวว่า ตอนนี้ชัดติดขัด สันติอโศก ก็จะเป็นแบบสันติอโศก ที่จะเยอะมาก ที่มีเรื่องหนึ่ง ที่สำคัญมาก คือ ความสุจริตจริงใจ อย่ามีเล็กมีน้อย ซึ่งสังคมที่ จะไม่มีผิดพลาดเลย ไม่มีหรอก แม้พระพุทธเจ้า อยู่ทั้งคน ก็ยังไม่ได้เลย ก็พูดสอนกัน ว่าอย่าทำทุจริจ แม้เล็กแม้น้อย พ่อครูบอกตรงๆว่ามี แม้ไม่มากก็ตาม มั่นใจว่าพูดไม่ผิด เพราะฉะนั้น ก็อย่าให้เกิด ถ้าไม่มีได้ก็จะงาม ทั้งมีพลังจริง และรูปลักษณ์ที่ดี ของสาธารณโภคี ที่สุจริตดีขึ้น ทุจริตลดละ ให้สำเหนียกและทำจริง เป็นข้อเจริญของเราภายใน ใครจะมี ก็บาปของคนนั้น แต่ก็ควรจะเลิก พากเพียร แล้วเราจะเห็นพลังบารมี พลังกุศล เป็นได้ มันเกิดอย่างประหลาดได้ แต่ของเรา ยังไม่เกิดพลังดี ที่เกิดได้อย่างพิศดาร พลังไม่ดี ก็หนีให้ไกลละกัน เร่งรัดพลังดีพวกเราให้ได้ แล้วสิ่งเหล่านี้จะช่วยเรา ช่วยโลกด้วย เพราะว่า พลังงานดี ก็เกิดดี ของเราดี ที่ไม่เห็นแก่ตัว สะพรัดให้ภายนอกเขา ก็ได้เลย ถ้าจริงแล้ว คนมีตาดี จะเห็น เราไม่ต้องการ ที่จะให้เขามาร่วม แต่เขารู้ว่าดี แล้วเขาไม่ต้าน ถ้าคนดี เขาจะส่งเสริมด้วย เขาไม่ส่งเสริมไม่ต้าน ก็ดีแล้ว ย้ำอีกที ก็เรื่องของแต่ละคน ต้องสังวรสำรวมของตน ชำระจิตสันดาน ให้หมดจด เรียกว่า ล้างบาป (ปุญญะ) ไปตามลำดับให้ได้ หมดเร็วเท่าไหร่ยิ่งดี ไม่กลัวว่า จะมีอรหันต์ ๕๐ คนพร้อมกัน งานปลุกเสกฯ จะใช้หนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ ให้พวกเราอ่าน แล้วเขียนประเด็นมาถาม จะตอบกันสดๆ เรียกว่า "ตอบกันด้วยวิญญาณพุทธ" ในการทำวัตรเช้า และคำตอบที่ใช้ จะพยายาม ให้ทะลุทะลวงไปโลกุตระ หรือมีอีกชื่อหนึ่งว่า รายการ "ท้าถาม" . ..จบ
|
||
|