งานปลุกเสกพระแท้ๆของพุทธ ครั้งที่ ๓๗ โดยพ่อครูสมณะโพธิรักษ์
560407_เรื่อง "ตอบกันด้วยวิญญาณพุทธ" ตอน ๑


        วันนี้เป็นวันแรกที่พ่อครูจะได้ตอบปัญหาในรายการ "ตอบกันด้วย วิญญาณพุทธ" ให้อ่านจากหนังสือ "ธรรมที่เป็นพุทธ"
        ธรรมที่พ่อครูเอามาสอนตอนนี้ เข้มข้นขึ้นเรื่อยๆ เป็นการเพิ่มภูมิธรรม ถ้าใครเข้าใจ ก็จะตั้งใจฟัง จะได้เข้าเส้นชัยเป็น ๑ ใน ๙ นี่ไม่ได้เป็นการพูดเล่นนะ
        พ่อครูทำงานมา ๔๐ ปีก็เห็นผล และในรอบ ๑๐ ปีที่ผ่านมา มีผลงานที่ยืนยัน เป็นพฤติภาพ ก็ดูว่าธรรมะพระพุทธเจ้า ที่นำมาเปิดเผย ซึ่งคนในยุคน ี้รู้จักศาสนาพุทธ ผิดเพี้ยนไปมาก นี่ไม่ได้กล่าวจาบจ้วง หรือลงโทษ พ่อครูก็มีความจริง ในในชาตินี้ปางนี้ จะมาทำงานศาสนาพุทธ ใครจะเชื่อถือ ก็เป็นบารมีของตน ผู้รู้ได้ย่อมรู้ ผู้รู้ไม่ได้ย่อมไม่รู้ และอาจเข้าใจผิด ซึ่งพ่อครูก็ไม่ได้อยากให้เกิด เรียกความไม่รู้ว่า "อวิชชา" หรือ "โง่" ไม่ได้หมายถึง โง่หรือฉลาดอย่างโลกีย์ ที่ไปล่าลาภยศ สรรเสริญสุข อย่างโลกีย์ สู้เขาไม่ได้ เป็นเบี้ยล่างเขา ให้เขาโกง ขูดรีดเอา เราเป็นฐาน แห่งการได้เปรียบ อย่างนี้เรียกว่า ฉลาดที่ได้เปรียบ
        ผู้ไม่เอาเปรียบเขา ถือว่าทำบุญ ทำกุศล เสียสละ ผู้เสียสละโดยมีบารมี มีธรรมในตน แล้วก็เสียสละเป็นหลัก ก็จะมีทรัพย์ มีโลกธรรม ตามธรรม ตามวิบาก แล้วก็มีคุณธรรม ก็จะเสียสละ มาช่วยคนอื่น ก็เป็นสัจจะ แม้จะไม่รู้จัก โลกุตรธรรม แต่บารมี จะเป็นไปเอง
        ผู้มีบารมีทางโลกุตรธรรม จะมีดวงตา ก็จะเข้ามาสมทบ ช่วยชาวโลกุตระ ชาวอาริยธรรม ผู้มีบารมีมาก ก็มาเร็วมาเต็ม ผู้มีบารมีน้อย ก็มาตามลำดับ ผู้ไม่มีบารมี ก็ต้องสะสม ค่อยพัฒนา เป็นลำดับๆ
        เนื้อหาศาสนาพุทธเป็นเนื้อหา "อาริยกะ" เป็น "โลกุตระ" เป็นอาริยธรรม ที่แท้จริง เป็นสุดยอดของมนุษย์ ในทุกยุคสมัย แม้ยุคกลียุค ธรรมะของพุทธ จะไม่ปรากฏ แม้มนุษย์ ไม่มีความรู้แท้จริง ของศาสนาพุทธแล้ว ไม่มีเนื้อแท้แล้ว แต่จะมีชื่อของ ศาสนาพุทธอยู่ พระพุทธเจ้า ท่านได้ตรัสไว้ ตั้งแต่สร้างศาสนาพุทธ ท่านได้พยากรณ์ไว้ ซึ่งถือว่าเป็นคำจริง ที่ท่านตรัส ล่วงหน้าไว้แล้ว

        ภิกษุ ท.! เรื่องนี้เคยมีมาแล้ว :
        กลองศึกของกษัตริย์พวกทสารหะ เรียกว่า อานกะ มีอยู่.
        เมื่อกลองอานกะนี้ มีแผลแตก หรือลิ, พวกกษัตริย์ทสารหะ ได้หาเนื้อไม้อื่น ทำเป็นลิ่ม เสริมลงในรอยแตก ของกลองนั้น (ทุกคราวไป)

        ภิกษุ ท.! เมื่อเชื่อมปะเข้า หลายครั้งหลายคราว เช่นนั้นนานเข้า ก็ถึงสมัยหนึ่ง ซึ่งเนื้อไม้เดิม ของตัวกลองหมดสิ้นไป เหลืออยู่แต่เนื้อไม้ ที่ทำเสริมเข้าใหม่ เท่านั้น ;

        ภิกษุ ท.! ฉันใดก็ฉันนั้น : ในกาลยืดยาวฝ่ายอนาคต จักมีภิกษุทั้งหลาย, สุตตันตะ (ตัวสูตรส่วนที่ลึกซึ้ง) เหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมาย ซึ่ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะ เหล่านั้นมากล่าวอยู่. เธอจักไม่ฟังด้วยดี จักไม่เงี่ยหูฟัง จักไม่ตั้งจิต เพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักไม่สำคัญ ว่าเป็นสิ่งที่ตน ควรศึกษาเล่าเรียน.

        ส่วนสุตตันตะเหล่าใด มีนักกวีแต่งขึ้นใหม่ เป็นคำร้อยกรอง ประเภทกาพย์ กลอน มีอักษร สละสรวย มีพยัญชนะอันวิจิตร เป็นเรื่องนอกแนว เป็นคำกล่าวของสาวก, เมื่อมีผู้นำสูตร ที่นักกวีแต่งขึ้นใหม่ เหล่านั้นมากล่าวอยู่, เธอจักฟังด้วยดี จักเงี่ยหูฟัง จักตั้งจิต เพื่อจะรู้ทั่วถึง และจักสำคัญ ว่าเป็นสิ่งที่ตน ควรศึกษาเล่าเรียนไป.

        ภิกษุ ท.! ความอันตรธาน ของสุตตันตะเหล่านั้น ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่อง สุญญตา จักมีได้ ด้วยอาการอย่างนี้ แล.

        ภิกษุทั้งหลาย ! ส่วนสุตตันตะเหล่าใด ที่เป็นคำของตถาคต เป็นข้อความลึก มีความหมายซึ้ง เป็นชั้นโลกุตตระ ว่าเฉพาะด้วยเรื่องสุญญตา, เมื่อมีผู้นำสุตตันตะ เหล่านั้น มากล่าวอยู่; เธอย่อมฟังด้วยดี ย่อมเงี่ยหูฟัง ย่อมตั้งจิต เพื่อจะรู้ทั่วถึง และย่อมสำคัญว่า เป็นสิ่งที่ตน ควรศึกษาเล่าเรียน จึงพากันเล่าเรียนไต่ถาม ทวนถาม แก่กันและกัน อยู่ว่า “ข้อนี้เป็นอย่างไร? มีความหมายกี่นัย?” ดังนี้. ด้วยการทำดังนี้
เธอย่อมเปิดธรรม ที่ถูกปิดไว้ได้, ธรรมที่ยังไม่ปรากฏ เธอก็ทำให้ปรากฏได้, ความสงสัยในธรรม หลายประการ ที่น่าสงสัย เธอก็บรรเทาลงได้.

        ภิกษุทั้งหลาย ! ภิกษุบริษัทเหล่านี้ เราเรียกว่า บริษัทที่มีการลุล่วงไปได้ ด้วยการสอบถาม แก่กันและกันเอาเอง, หาใช่ด้วยการชี้แจงโดยกระจ่าง ของบุคคลภายนอก เหล่าอื่นไม่; จัดเป็นบริษัทที่เลิศแล

        เรื่องนี้พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ แต่สมัยพุทธกาล และจะมีพระโพธิสัตว์ องค์ต่อๆไป มาต่อศาสนา และพ่อครูก็เป็นโพธิสัตว์ ที่จะมาต่อศาสนา ตอนนี้ แม้ครึ่งพุทธกาล ศาสนาพุทธ ก็เสื่อมขนาดนี้ พูดด้วยความจริงใจ ก็บอกว่า พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ มาสืบทอด ศาสนาพุทธ คนก็ไม่ค่อยเชื่อหรอก เพราะปางนี้ พ่อครูต้องลำบาก บุกบั่น ตามองค์ประกอบ ในยุคใกล้กลียุค ก็ต้องมีเหตุปัจจัยอย่างนี้ ใครจะเชื่อ ก็แล้วแต่ภูมิ แต่บารมี ของแต่ละคน
        คนที่ไม่เชื่อเลย เขามีจิตวิญญาณ คนละอย่าง มีวิบากจริง เขาก็ทำหน้าที่ ตามวิบากของเขา ไปบังคับ หรือขอร้องเขาไม่ได้ เป็นสัจจะ ผู้ใดมีภูมิรู้ ก็เปลี่ยนแปลง คนที่จะมา เป็นปฏิปักษ์ ก็จะทำไปตามวิบาก ไม่สงสัย เป็นกรรมของตน เป็นสิ่งที่ ทำมาจริง ย่อมมีผลตอบแทน ไม่สงสัยใดๆ ที่จะต้องมีคนมาด่า คนมาแกล้ง หรือตอบโต้ รุนแรง ไม่สงสัย และไม่เคยโกรธเกลียด ผู้ที่มาทำร้าย ถือว่าได้รับวิบาก ตามจริง ตั้งใจสู้ ด้วยอดทน มีพรหมวิหาร อย่างแท้จริง ตั้งใจทำมาแต่ต้น จนปัจจุบัน ผู้รู้ย่อมรู้ ผู้ไม่รู้ย่อมไม่รู้
        ก็อุตสาหะตามจริง ก็รู้ว่าบารมีเรา ก็ทำได้ตามควร เป็นสัจธรรม ในมหาจักรวาล ก็ย่อมมีมนุษย์ ผู้แสวงหา เมื่อพบแล้ว ไม่รู้เหมือนกามนิต ก็เป็นจริงได้ อย่างพ่อครู ไม่มีบารมีอย่างพระพุทธเจ้า คนพบแล้ว ไม่เชื่อก็มี ดีไม่ดี มาบ้วนน้ำลายใส่อีก ก็ไม่มีปัญหา ตามบารมี เราโง่เท่าที่เราฉลาด เราฉลาดเท่าที่เราโง่ เป็นเรื่องจริง แม้จะดัดจริตฉลาด หรือแกล้งโง่ ก็ได้ตามจริง

        ตอนนี้พ่อครูทำงานมา ล่วงเข้า ศตวรรษที่ ๕ แล้ว ในตัวเลข มีความวนอยู่ ทุกชีวิตทุกโลก จะอยู่ในหลักเกณฑ์ของ ๑ ๒ ๓ แล้วก็ ๔ ๕ ๖ แล้วก็ ๗ ๘ ๙ แล้วก็วนรอบที่ ๐ หรือ ๑๐ เป็นลักษณะเกิดจาก ๑๒๓ มาเป็นสามเส้า และจาก ๑๐ ก็มาเป็นหน่วยที่ ๑ ซ้อนไปอีก เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อน ที่จะหมุนอยู่ ในวัฏฏะสงสาร นี่คือความรู้ ที่ไม่ธรรมดา
        ในปฏิจจสมุปบาท ย้อนทวนตั้งแต่ชาติ มา จนรู้อวิชชาของตน แล้วก็จะไล่ มารู้สังขาร.... ไปจนรู้ โศกปริเทว ทุกข์โทมนัสอุปายาส ก็จะรู้ว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ ไอสไตน์ รู้ทฤษฏีสัมพัทธภาพ Relative Theory ซึ่งมันก็มีความสัมพัทธ์ ต่อเนื่องกัน เป็นเรื่องของวัตถุ ไอสไตน์เอามา ประกาศแก่โลก โลกมีทั้ง สสารและพลังงาน ขาดกันไม่ได้ ซึ่งทฤษฏีสัมพัทธภาพ ของไอสไตน์ ก็เป็นอันหนึ่ง และหลักทฤษฏี ของพระพุทธเจ้า ก็เป็นหลักหนึ่ง ที่มีแต่พระพุทธเจ้า เท่านั้นก็รู้ ทฤษฏีไอสไตน์ คนก็เอาไปทำเป็นโทษ อย่างเกาหลีเหนือ ก็กำลังประกาศสงคราม ใช้พลังปรมาณู ในทางเป็นโทษ แล้วก็คิดว่า ตนยิ่งใหญ่

        ศาสนาพุทธ ก็ยังจะต้องมีปฏิปักษ์ มีอำนาจที่จะต้อง มาต่อต้าน ปะทะ มันเป็นเรื่อง สัจธรรม ตอนนี้ศาสนาพุทธ กระแสใหญ่ ที่มีทั้งพุทธทุกนิกาย เมื่อรวมตัวกัน เขาก็ต้องยึด ในหมู่กลุ่ม ฉะนั้น หมู่อโศกจะเป็นหมู่น้อย ของหมู่ใหญ่เป็นกลองอานกะ หลายใบ ก็ยิ่งเพี้ยน เราอโศกก็เล็ก จะรักษาตัวรอดก็ต้อง ธัมโม หเว รักขติ ธัมมะ จาริง คือธรรมย่อมรักษา ผู้ประพฤติธรรม และอีกอย่าง คือมีผู้รู้ มีคนดี มากตัญญูต่อศาสนา คือมาช่วยกอบกู้ มารักษาเนื้อหา ของเนื้อแท้นี้เอาไว้

        ความกตัญญ ูเป็นเนื้อแท้ของความสำนึก ของแต่ละคน เราจะเห็นแก่ตัว ไปปลีกตัว สบายนั้น คนมีบารมี จะพอสบายข้างนอก มันก็ไปได้ จนกว่าจะกลียุค แต่ถ้าคนมี กตัญญู กตเวทีจริง ก็จะรู้ว่า การบำเรอเสพสุขแก่ตน คือความชั่ว ผู้รู้ตัว ก็จะมาเสียสละ และจะรู้ว่า ควรเสียสละ ทำงานอยู่กับใคร หมู่ไหน เขาก็จะมีปัญญา แสวงหาหมู่ น้ำย่อมไหล ไปหาน้ำ น้ำมันย่อมไหลไปหาน้ำมัน พ่อครูไม่เรียกร้อง เพราะเรียกให้ตาย ก็เจ็บคอเสียเปล่า คนจะโง่ เรียกให้ตายก็ไม่มา แต่ถ้าคนฉลาด พูดนิดหน่อยก็รู้แล้ว รู้ว่ายุคนี้ร้อน ยิ่งควรเข้าหาสิ่งเย็น จะปล่อยไป ก็จะรู้หรือว่า สึนามิจะไม่เกิดพรุ่งนี้ แม้แต่สงครามโลก จะไม่เกิดพรุ่งนี้ อาจมีเค้า หรือไม่มีเค้าก็ได้

        พระพุทธเจ้าท่านสอน ความไม่ประมาท ทุกอย่างรวมลงที่ ความไม่ประมาท ในคนฉลาด คนโง่ก็ไปรวมที่ ความประมาท คนฉลาดก็จะรู้ว่า ควรรีบอย่างไร ต้องตรวจสอบ ให้เข้าใจ เวลาผ่านไป แต่ละวินาที การจะได้บุญกุศล หายากในยุค ใกล้กลียุค ยิ่งมีค่า ยิ่งควรได้เร็ว แต่ถ้ายังเห็นว่า ไม่เป็นไร ได้ช้าก็ไม่เป็นไร คนนั้นโง่ เพราะไม่สมยุค ใกล้กลียุคนี้ ยิ่งเดือดร้อน จะช้าอยู่ก็ไม่เข้าท่า

         ไม่ไปบีบบังคับใคร ไม่เร่งเร้า แต่บอกความจริงให้ฟัง อะไรควรไม่ควร ต้องรู้ตนเอง ก็บอกให้สัญญาณ นี่มันปาเข้าไป ศตวรรษที่ ๕ ที่พ่อครูทำงาน ก็อยากได้มากๆ มาช่วยกันหน่อย ราชธานีอโศก ถ้ามีประชากรถึง ๑๐๐๐ คน จะมีความชัดเจนเลย สังคมพุทธ ที่จะเกิดเป็น สังคมบุญนิยม เป็นรูปร่าง ของสภาพที่จริง มันมีเค้าเงื่อนคือ

        พ่อครูจะสร้าง คอมเพล็กซ์ คือองค์รวมของหมู่กลุ่ม ที่จะรวมเนื้อหา ที่มนุษย์ต้องการ ของโลกีย์เขามีคอมเพล็กซ์ ก็รวมสิ่งที่คนจะเสพ เอาไปรวมอยู่ในนั้น ให้คนซื้อหา ไปรับบริการโลกียสุข เขาก็ไปรวมกันในนั้น เขาก็รวมอบายมุขในนั้น เท่าที่กฏหมาย จะให้ละเมิดได้ คนมีกิเลส เขาก็เอากิเลส เป็นตัวตั้ง ทั้งมักใหญ่ หรูหรา มอมเมา เป็นทั้งโลก เอาอย่างกัน อย่างอวิชชา เป็นคอมเพล็กซ์ ที่เป็นเมืองนรก ที่เป็นเทวบุตรมาร อย่างลาสเวกัส เป็นต้น คนที่อวิชชา ก็ตกเป็นเหยื่อ หลงระเริง นรกอย่างนี้ เขาเรียกว่า "นรกปหาสะ" คือนรกที่รวม เอาความรื่นเริง บันเทิงในนั้น มีตั้งแต่ นักธุรกิจไปกอบโกย ใช้กิจการในนั้น ไปล่า จะตัวที่ถูกเชิดอยู่ในนั้น ก็เป็นการตักตวง เอาผลประโยชน์

        มาทางคอมเพล็กซ์บุญนิยม ว่าจะสร้างที่กทม. ก็รู้สึกว่า ไม่สะดวกหลายอย่าง ซึ่งมันก็น่าจะสร้าง เมืองสวรรค์ บนเมืองนรกนะ แต่บารมีพ่อครู คงไม่พอ มันก็จะมาออกที่ เมืองอุบลฯ กำลังมีรูปร่างมา

        คอมเพล็กซ์ของทางโลก เขาใช้ทุน หมื่นล้านแสนล้าน แต่ของบุญนิยมเราสิ ก็สร้างอย่าง ลำบากลำบน ขอบอกว่า งานของอโศก ต้องช่วยกันทำ ต้องอุตสาหะ ขอบอกว่า เราต้องทำต่อ เพราะมันเป็นตลาด คือสิ่งรวม ของสังคมแต่ละที่ บ้านนอกก็มี ตลาดของบ้านนอก อำเภอก็มี ตลาดของอำเภอ

        พ่อครูก็เห็นว่า ปีนี้ได้พูดแจ้งไป เรื่องของตลาดอาริยะ สื่อสารออกไปมาก แต่เนื้อลดลง พ่อครูก็เลยเห็นว่า เนื้อไม่พอ เมื่อวานก็เลย ให้กำไรอาริยะอีก ๑ ล้าน แล้วไปหา ผลผลิตมา ขอบอกตามอากาศ ไปยังกรรมการ ตลาดอาริยะ ไปสำรวจท่าเรือ ที่จะไปจอด ที่ท่าเรือกรมเจ้าท่า มีเรืออาหารบาทเดียวลำหนึ่ง อีกลำหนึ่งก็เป็นเรือสินค้า อีกลำหนึ่งก็เป็นเรือเวที ก็ยังไม่รู้ว่า จะแสดงอะไรทั้งวัน นอกจากว่า เป็นช่วงเวลาที่ จะมีการแสดง คือเรายังไม่ทำ อย่างสมบูรณ์ ถ้าทางจังหวัดเห็นด้วย ที่จะจัดทั้งสองฝั่ง ทุกวันนี้ เราก็ไม่มีประชากรพอ อย่างที่บ้านราชฯ ก็มาสร้างบ้านเพิ่มขึ้นๆ แต่คน ไม่ค่อยมา ก็ให้สำนึก ยังถูกโลกดึงไปอีก พ่อครูพูดวันนี้ เรียกร้องหนัก แต่ก็ไม่รู้ว่า จะมาเท่าไหร่ การง้อนี่ เสียศักดิ์ศรีนะ ง้อก็ง้อ ให้มาหน่อยนะ 

        คิดว่าตรงนี้ จะเป็นราชธานีอโศกจริง ต้องรีบมาช่วย สร้างบ้านแปลงเมือง จะกอบกู้กันมา ถ้ามารวมกัน คอมเพล็กซ์บุญนิยมคงเกิด สิ่งที่จะเหมือน ทางโลกเขา แต่ก็จะเป็นไป คนละทิศทาง จะมีการอภิสังขาร ที่จะมีสนาม แม่เหล็กโลกุตระ เพื่อประกาศโลกุตระ มีพฤติภาพโลกุตระ เพื่อให้ประชาชน มีดวงตาเห็นได้ ก็ต้องอาศัยพวกเรา

        คุณว่าพ่อครูมีกี่แขน แต่ในนิมิตโพธิสัตว์ มีพันมือนะ ก็ขอขอบคุณ ผู้มาเป็นมือ ให้พ่อครู เพิ่มมือให้พ่อครูเป็นพัน ไม่ว่าคนเล็กคนน้อย ก็มาเป็นมือให้พ่อครู อย่างรายการ เมื่อคืน ก็ซาบซึ้งขอบคุณ ตั้งแต่ท่านแก่นเกล้า แก่นหล้า ทั้งที่ไม่ออกชื่อ ทั้งฆราวาส จนถึงเด็ก อย่างนายตูนนี่ ไม่ผอม ลุยน่าดูกลางแดด ก็เห็นใจ ช่วยได้เท่าที่ทำได้ งานก็หลาอย่าง ก็ขอบคุณ ทุกคนในที่นี้ ที่ได้ช่วยกันมาร่วม เป็นมือพันมือ ให้พ่อครู

        พยายามเข้าใจให้ดี ว่าเรากำลังมาทำงาน อย่างแท้จริง คิดว่าคงมีคนเข้าใจ มาทำจริง อย่างเพลงสมรรถนะ ที่พ่อครูแต่ง เป็นเพลงสุดท้าย คือ "มาเถอะมารีบมา อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้า และจอบเสียม ..." ก็รีบมากันจริงๆ เป็นเพลงสุดท้ายที่แต่ง หมายถึงว่า เราต้องมีสมรรถนะ มีความรู้ความสามารถ ในการทำงาน ต้องพากเพียรในการทำงาน

        เกิดมาเป็นชีวิต พ่อครูก็พยายาม ถ่ายทอด ความเป็นชีวิต หนังสือ ธรรมที่เป็นพุทธ ก็ตั้งใจอธิบาย ความเป็นชีวิต ที่เกิดมาแต่ละชาติ ก็ตั้งไว้สี่บท บทแรก ขอบคุณชีวิต ก่อนเลย ต้องขอบคุณแต่ละชาติ แม้เราทำชั่วก็ต้องขอบคุณ แล้วจำไว้เลยว่า เราจะไม่ทำอีก แล้วบทที่สองก็คือ ชีวิตชาติชั่ว แล้วบทที่สามก็คือ ชาตินี้ของชีวิต คือเราต้องมา ศึกษาชีวิต และในบทที่สี่คือ สิ้นชาติก็สิ้นชั่ว หากคุณได้อรหันต์แล้ว คุณจะอยู่อีกกี่ชาติ ก็แล้วแต่ เมื่อเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว สร้างหนึ่งศาสนา ก็ปรินิพพาน หรือจะเอาอย่าง พระอวโลกิเตศวร ที่จะอยู่ช่วยคน ให้รอดทั้งหมดก่อน จึงจะปรินิพพาน ก็เชิญ สาธุท่านจริงๆ พ่อครูบูชาเคารพ สุดยอดเลย แต่พ่อครูใจไม่ถึงอย่างนั้น

        คนที่ซาบซึ้งในวิมุติรส ซึ่งวิมุติต่างจากนิโรธ นิโรธเป็นการหยุด คือ Potential energy คือพลังงานศักย์ แต่วิมุติคือ Kinetic energy คือพลังงานจลน์ อย่างสสาร เป็นพลังงานศักย์ มีพลังงานแฝงอยู่ พอแตกตัวเป็น นิวเคลียส ก็มีพลังงานมหาศาล อย่างพลังงานจิต อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ก็เป็นพลังงานแฝง คือพลังงานศักย์ แต่ต้องมีพลังงานจลน์ ควบคู่กันเสมอ เจโตกับปัญญา ต้องคู่กันเสมอ

         มีพวกเรามองว่า สายที่ขึ้นรายการ เมื่อคืนนี้ เป็นสายเจโตทั้งนั้น แต่พ่อครูว่า เป็นสายปัญญา ที่มีเจโต พ่อครูว่า สายที่มากับพ่อครูนั้น สายปัญญาทั้งนั้น ถ้าเจโต จะมาไม่ได้ ถ้าเจโตจริง ก็จะเป็นปึกมากแล้ว สายปัญญาจับไม่ค่อยติด สายปัญญานั้น รู้แล้วจะมาเอง ส่วนเจโตต้องมาสั่งสมให้มาก ต้องมาอึด อย่างนร. ที่มานั้น ต้องสร้างให้อึดๆ ที่นี่เข้ม แต่ก็ไม่เหมือนกับ สายเจโตเขาหนัก เขาหนักแบบทื่อๆ น่ากลัว แต่ของเราหนัก อย่างเข้มอีกแบบหนึ่ง

        พ่อครูพยายามใช้ทุกวิถีทาง ที่จะใช้ความฉลาด ไม่ได้ออมแรง ที่จะให้คน รู้ความจริง มาถึงวันนี้ ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ มาช่วยกัน คนละไม้ คนละมือ พ่อครูซาบซึ้ง ในคำพระพุทธเจ้าที่ว่า พรหมจรรย์นี้ ไม่ได้เพื่อใครมานับถือ ไม่ได้ทำเพื่อ หาบริวาร หรือ เพื่อลาภสักการะ หรือสร้างลัทธิ ไปล้มลัทธิอื่น ก็ไม่มี มีแต่จะส่งเสริม และบอกก่อนเลยว่า อโศกจะไม่ใหญ่ มีแต่คนเกรงเท่านั้น สำหรับคนมีปัญญา คนไม่มีปัญญา จะด่าทอ จาบจ้าง ทำตามประสาไม่รู้ เราจะไปว่าเขา ก็ไม่ได้ หรือแม้แต่ พ่อครูทำงาน ก็ไม่มุ่งสร้าง ความยิ่งใหญ่ ว่าตนเป็นผู้ยิ่งใหญ่ พ่อครูกลัวจริง ว่าพวกเรา จะมาสร้างความยิ่งใหญ่ ให้คนมานับถือ ไม่เห็นเท่เลย

        เหน็ดเหนื่อยๆไม่ว่า ด่ามาก็ไม่ว่า แต่พวกคุณนี่ ไม่มีสำนึกนี่ พ่อครูจะพูดว่า น้อยใจก็ไม่ได้ ทำไมไม่มีสำนึก ไม่มีกตัญญูกตเวที ทำไมช้าอยู่ กับสิ่งที่ ควรได้ ควรมี ควรเป็น พูดเพื่อสื่อให้พวกเราได้คิด ได้ไตร่ตรอง เอาไปทำ เท่าที่จะทำได้

        ขอย้ำบอกว่า ชีวิตแต่ละชีวิต เกิดมาสั่งสมกรรม คนโง่คนชั่ว ก็ไม่รู้ อวิชชา ก็ทำให้สั่งสมบาป เห็นมหานรก เป็นมหาสวรรค์ มันกลับหัว กลับหาง ก็ให้สัญญาณ เขาก็ไม่รู้ มีคนที่หลงวูบวาบ พอได้สัญญาณ ก็กลับตัวมี แต่คนที่หลง ตามเรื่อง ตามสันดานเขา ยังไงเขาก็เป็น แก้ไขเขาไม่ได้หรอก เป็นตามวัฏฏะสงสาร

         ผู้ที่มีบารมีแต่ละคน ต้องรู้ตน ตรวจตน แก้ไขตน สำนึกให้ดี ช้าแปลว่าเร็ว ใช่ไหม? แล้วคุณไปแปล ช้าว่าเร็ว แปลเร็วว่าช้า ไม่ได้ แต่อย่ารีบร้อน คำว่าเร็ว มีความหมายหนึ่ง รีบร้อนไม่ดี แต่เร็วดี เป็นอีกบริบทหนึ่ง มีความหมาย ต่างกันแล้ว คนไม่ค่อยเข้าใจ แล้วก็หลง พยัญชนะ หลงภาษา ต้องกำหนด บริบทให้ดี อย่าเข้าใจ ในบริบทเดิม ก็จะไม่เข้าใจ ต้องใช้ปฏิภาณหน่อย

        ขออวยพร ให้มี อายุ วรรณะ สุข โภคะ พละ ขอให้นี่ พ่อครูให้ได้แค่คำสอน ตามพระพุทธเจ้า ที่ท่านเป็นผู้ชี้ทาง เราพยายามพัฒนา ความมีอายุ พ่อครูพยายาม ขยายอายุขัย ต้องมาช่วยกัน อย่าเอาแต่ อัตตาตัวเอง ต้องมาช่วยกัน ในเรื่องอายุขัย คนยังไม่ตาย พระพุทธเจ้าว่า อิทธิบาท เป็นเครื่องแสดง จะเห็นฉันทะ วิริยะ จิตตะ วิมังสา เราจะเห็น รูปรอยของท่าน

        คนมีวรรณะคือคนมีศีล เป็นเครื่องวัด บอกความจริงชัดเจน ว่าท่านมีศีลเต็ม ขนาดไหน ผู้ใดได้ศีลเป็นปกติ ก็จะเห็นพฤติภาพ

        สุขคือฌาน คือการไม่มีนิวรณ์ ท่านจะนอนนั่งก็มีสุข จะเข้าใจว่า กามคืออย่างไร เขาจะแสดง ออกมาในราศี คนนี้กามพราวเชียว คนนี้พยาบาทพราวเชียว คนนี้ถีนมิทธะ บึบเชียว เคร่งเข้มบู้ทู่ คนนี้ราศีทางอุทธัจจะ บางทีเฟื่องเฟ้อเกินไป ระวัง เราจะเข้าใจฌาน อย่างตื่นๆ แต่ไม่มีราศีแห่งนิวรณ์ อย่าให้นิวรณ์ ออกมาเพ่นพ่าน

        โภคะ คนจะมีทรัพย์มาก มีเมตตา กรุณา มุฑิตา อุเบกขา เป็นเครื่องแสดง จะเห็นลักษณะ ไม่ใช่ว่ามีทองเท่าหัว มีเพชรเม็ดโต มีอำนาจมาก แต่ว่าเมตตา คืออยากเห็น คนพ้นทุกข์ แล้วลงมือทำ อย่างกรุณา อยากให้เขาพ้นทุกข์ ได้สุขที่แท้ และมีอุเบกขา คือปล่อย ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเรา อย่างแท้จริง

        พละหรือพลังมีวิมุติ เป็นเครื่องแสดง พลัง ๔ มีพลังปัญญา พลังวิริยะ ทำการงาน อันไม่มีโทษ แล้วก็สงเคราะห์เขา ไม่ใช่กอบโกย มาเป็นของตน ก็มาช่วยกัน

...................จบ

 
7 เมษายน 2556 ธรรมะรับอรุณ ที่ ราชธานีอโศก