|
||
ภายหลังจากรับเข็มตราพระธรรม พ่อครูก็ได้นำปฏิญาณตน.... อิติปิ โส ภควา เราได้กล่าวมอบตน เป็นพุทธมามกะ อยู่ในศาสนานี้ ตราบไปจนปรินิพพาน พิธีใดก็ตาม ที่ได้ให้มนุษย์ทำร่วมกัน ผู้ออกแบบ ก็ออกแบบตามภูมิ มีจุดมุ่งหมาย ซึ่งโดยพยัญชนะ ก็นำพาไปได้ในพยัญชนะ ผู้ที่มีทั้งพยัญชนะ และสภาวธรรมที่แท้จริง ก็จะนำพาไปสู่ สภาวะที่แท้จริง นอกจากผู้นำ ก็มีผู้ร่วมที่จะช่วยกัน พาไปสู่จุดหมาย ในแต่ละพิธีกรรม ที่ออกแบบมา สำหรับของเรา พ่อครูก็เป็นนักออกแบบพิธีกรรม สำหรับชาวเรา ที่จะทำ ต่อเนื่องไป ด้วยจิตที่มุ่งมั่นจริงใจ จงใจตามภูมิ ตามที่มีความรู้ พวกเราก็เป็นประชากร ที่พ่อครูก็มั่นใจว่า เป็นผู้แสวงหา เป็นผู้ที่พยายามพัฒนาตน ให้ไปสู่ที่ดี ที่ที่ควรเป็น สำหรับมนุษย์ ซึ่งมนุษย์เรามีหลายระดับ ระดับที่เกิดมาเป็นคน พ้นจากความเป็นสัตว์ เดรัจฉานเล็กน้อย ก็อยู่ในระดับอีเดียด ไม่ประสีประสา เป็นพวกที่ปัญญาอ่อน ก็ได้ร่างของคน ได้องคาพยพมนุษย์ แต่จิตวิญญาณ ยังไม่ประสีประสา เรียกว่า ปัญญาอ่อน หรืออีเดียด สูงขึ้นไปเป็นโมหล่อน ก็พัฒนามาบ้าง จนกระทั่งพัฒนา ได้อาศัยสมองมนุษย์ คนที่มีบารมี จะได้สมองดีระดับหนึ่ง ก็จะได้มาสมตัวที่สร้างมา แล้วก็มาพัฒนา ในขณะมีชีวิตจิตวิญญาณ ก็พัฒนาสมอง ให้เจริญขึ้นได้ โดยเฉพาะสสารของเรา เป็นสสารระดับชีวะ ที่มีทั้งชีวะ เดรัจฉานและคน ของสัตว์ก็มีจิตนิยาม ของคนก็มี จิตนิยาม แต่พืชคือพีชะนิยาม ส่วนสัตว์เดรัจฉาน ชั้นต่ำเซลล์เดียว หรือกี่เซลล์ จึงจะมีจิตวิญญาณ ที่พัฒนาเป็นจิตนิยามได้ พวกสัตว์เดรัจฉานชั้นต่ำ ก็พัฒนาเจริญมา เป็นสัตว์ที่ใช้สมอง เจริญขึ้นมา เป็นลิงบางประเภท หรือสัตว์ที่เข้ามา เชื่อมโยงกับมนุษย์ ก็มีสมอง พัฒนามาเรื่อยๆ ร่วมกันพัฒนาความเจริญ ในความเป็นเดรัจฉาน เกือบทั้งหมด ส่วนมาก จะเกิดมา ใช้หนี้วิบาก มีสัตว์ที่พระโพธิสัตว์ อาศัยไปเกิดบ้าง ส่วนสัตว์ที่ใช้วิบาก แล้วก็เกิดเป็นคน ก็เกเรก็มี ถ้าเป็นสัตว์เดรัจฉานแล้ว ก็คือนรกแท้ๆ เป็นจิตนิยาม ก็มีวิบากของตน ไปรับวิบาก ก็มีความทุกข์ต่างกัน สัตว์แต่ละชนิด ก็ต้องต่อสู้ต่างกันไป ในความเป็นอยู่ ก็เป็นรูปธรรมง่ายๆ เช่น สัตว์เดรัจฉานที่ไม่มีขา แต่มันก็ต้องเดิน อย่างสิงโตทะเล แมวน้ำ เป็นต้น ตัวมันใหญ่หนัก มันมีแค่นั้น กระเสือกกระสนไป ทรมาน ก็ใช้วิบากไป เราจะดูได้ว่า สัตว์สี่ขา มันก็มีอวัยวะช่วยตนได้ ไม่ทุลักทุเลนัก แต่ดูพวกสัตว์บางอย่างตัวใหญ่ แต่ก็กระเสือกกระสน เป็นสภาพพื้นๆ จากร่างกายกิริยา มันก็ต้องใช้วิบาก การเกิดในเดรัจฉานภูมิ นรกภูมิเป็นเดรัจฉาน นั้นไม่ใช่เกิดชาติเดียว เป็นร้อย เป็นพันชาติ ส่วนมากเป็นร้อยชาติ ห้าร้อยชาติ เป็นประมาณหนึ่งเยอะ ทรมานทรกรรม พูดอจินไตยไม่ใช่เดา ไม่ได้เอาจากตำราไหน เป็นภูมิธรรมของตน ที่รู้แจ้งมา พ่อครูไม่เอานรก มาหลอกคน ไม่เอาสวรรค์มาล่อคน เหมือนกับบางคน วาดสวรรค์ ต่างๆนานา เป็นสวรรค์ลวงเขา ให้คนหลงลม บางสิ่งก็มีส่วนดี แต่ก็มีอะไรแฝง ยิ่งกว่านั้น หลอกล้วงตับกินไส้ เอาลาภยศ สรรเสริญ คนไม่รู้ ก็ถูกหลอก คนรู้ทั้งรู้ว่าหลอก ก็จะได้ลาภยศ สรรเสริญ ทั้งรู้ก็ทำอยู่ก็มา รู้ว่าบาปก็ยังทำ เป็นสัมปชานะมุสาวาส นั้นบาปมาก ซับซ้อนมาก พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า เรารู้ว่าเรื่องโกหก ไม่จริง รู้ทั้งรู้ ก็ยังทำ พระพุทธเจ้าท่านว่า ไม่มีชั่วใดที่ทำไม่ได้ หากคุณสังวร รู้ตัวเอง แล้วก็ไม่ทำ ก็จะดีขึ้น หากหน้าด้านทำ ก็บาปใครบาปมัน คนเราพัฒนา จากสัตว์เดรัจฉาน มาเป็นสัตว์ ที่มีคนเลี้ยงดู สัตว์ก็เหลิง เป็นวิบากบาป ซ้ำซ้อน อธิบายยากมาก คนที่พัฒนามาสู่ ความเป็นคนได้ จนกระทั่ง เกินโมหล่อน ก็เรียกว่า ครบอาการ ๓๒ คือมีสติเต็ม เรียกว่า "สติมันโต" ก็เริ่มศึกษาดี-ชั่ว ก็คือปุถุชน จากนั้นก็พัฒนา ทำดีให้มาก ลดชั่วลง จากนั้น ก็พัฒนามาเป็น อาริยะชน ในกัลยาณชนก็มีเยอะ มีการสร้างตนได้ดี ถึงขั้นเป็นศาสดา ส่วนชั้นของ อาริยบุคคล ซึ่งเกินกว่า กัลยาณชน ตัดรอบหลุดพ้น มีภาวะคุณธรรมวิเศษ ที่ให้เข้าเขต เข้าข่าย เข้ากระแสโสดาบัน คือโสตาปันนะ เข้ากระแสโสดาบัน ต้องรู้ด้วย ปัญญาอันยิ่ง รู้คือรู้ จิต -เจตสิก รูป -นิพพาน ซึ่งในอภิธรรม มีเจตสิกมากมาย ท่านก็แจกมาแค่ ๘๒ แต่ที่จริง มีมากกว่านั้น แต่แจกแจงแค่นี้ ก็พอจะศึกษา ให้เป็นอรหันต์ได้ การเป็นอาริยะ ต้องแยกจิตเจตสิกออก มีนามรูปปริเฉทญาณ คือแยกรูป-นามได้ อย่างดินน้ำไฟลม ใครก็รู้ว่าคือรูป แต่ถ้ามีการกระทบ ทวารทั้ง ๖ แล้วมีวิญญาณ มีการกำหนดรู้ คือใช้สัญญาในสองหน้าที่ คือ จำกับกำหนดรู้ แล้วเกิดเป็นปัญญา เป็นญาณ รู้ได้ว่านี่คือ อุปาทายรูป (รูปคือสิ่งที่ถูกรู้) คือรู้กายในกาย เราก็จะอยู่กับรูปเสียงกลิ่นรส ไปจนถึงรูปในใจ ที่ปั้นขึ้นมาในใจ เป็นมโนมยอัตตา รูปก็ปั้นได้ง่าย ส่วนเสียงกลิ่นรส ก็ปั้นยากกว่า แต่สิ่งที่ถูกรู้ เรียกว่ารูปทั้งนั้น ไม่ว่าจะสัมผัส ทางทวารไหน เรียกครบๆว่าวิญญาณ จากวิญญาณ ก็จะมีเจตสิกต่างๆมารู้ แยกได้ว่า เวทนา สัญญา สังขาร ที่ใหญ่ๆ นอกนั้นก็มีอีกมากมาย ที่เป็นเจตสิก เท่าที่พระพุทธเจ้าบัญญัติ หรือโบราณาจารย์ บัญญัติอีก ตอนหลังๆ ก็มีอาจารยวาท บัญญัติเพิ่มเติมอีก จนกลายเป็น กลองอานกะ เพี้ยนไปก็มีมาก ผู้รู้ก็อ่าน แล้วเลือกเฟ้นเอา ต้องมีภูมิจริง จึงเลือกเฟ้นได้ด้วยปัญญา ผู้จะรู้แจ้ง เห็นจริง มี นามรูปปริเฉทญาณ มีปัจจัยปริคหญาณ จะเข้าใจแยกแยะว่า อันไหนเคหสิตะ อันไหนเนกขัมมะ แยกได้แล้วจริง ก็จะทำให้ตนมี เนกขัมมะ คือให้จิตออกจากโลกีย์ อันมี กาม พยาบาท หรือราคะ โทสะ โมหะ จะมีญาณปัญญาแยก รู้เจโตปริยญาณ ๑๖ อย่างรู้แจ้งเห็นจริง มีคนที่นึกว่าตนมีญาณ ดูผิดก็ผิด แต่คนที่รู้ถูกต้อง ถูกสภาวะ รู้กุศลจิต อกุศลจิต แล้วรู้ว่า จะกำจัดสิ่งไหน เมื่อทำการฆ่าเหตุก็คือเนกขัมมะ จะด้วยใช้การกดข่ม ใช้เรี่ยวแรง อย่างไรก็ตาม แต่วิกขัมภน หรือกดข่มก็เพลาได้ มีส่วนทำให้มันลด แต่ก็ช้า ยากนาน ดังนั้น พระพุทธเจ้า จึงต้องใช้ วิปัสสนาเป็นหลัก แต่วิกขัมภนะ ก็ต้องใช้ด้วย สายที่ถนัดสมถะ ก็เอาสมถะนำ สายปัญญา ก็เอาปัญญานำ สายโจโตต้องพยายาม ให้มีปัญญา จะพูดว่า เจโตหรือปัญญา อันไหนเหนือกว่า ตายตัวก็ไม่ได้ แต่วิธีที่เจริญ คือใช้ปัญญานำ ถ้าเอาเจโตนำ จะช้านาน เพราะไม่มี ความรู้ความฉลาด ในการทำ โดยสัจธรรมความจริง ต้องพยายามฝึกฝน ให้มีเจโตและปัญญา แต่ปัญญาจะไปดูถูก เจโตไม่ได้ ถ้ามีปัญญามากเกิน ก็จะฟุ้งมากเกิน ต้องอาศัยเจโต มีแต่ปัญญาจะไม่มีพลัง ไม่ลุย อย่างเจโตก็ลุยทำเลย ก็ต้องบอกว่า ขอขอบคุณสายเจโตมาก สายปัญญา จะทำให้พ่อครูหนัก ส่วนสายเจโต จะทำให้พ่อครูเบา ในกาละนี้ ต้องขอบคุณเจโต มากกว่าปัญญา ทั้งสองสายก็ช่วยกัน แต่ประมาณไม่ดี บางคนก็ฟุ้งเฟ้อมาก แต่สายไหนถ้าดื้อมาก ก็อยู่ไม่ได้ทั้งนั้น พ่อครูไม่ได้ไล่ แต่กระเด็นไปเอง มีคนช่วยถีบ พ่อครูไม่ไล่หรอก ก็ให้ศึกษาไป ยิ่งทำงานกับมนุษย์นั้น สนุกแต่เหนื่อย ถ้าเป็นโพธิสัตว์ สรุปแล้ว โจโตหรือปัญญา ต้องเรียนรู้ความจริง ของจิตเจตสิก จะเป็นอาริยะ ต้องอ่านจิต เจตสิกของตน แล้วแยกได้ มีปัจจัยปริคคหญาณ แล้วจะมีสัมมสนญาณ เป็นญาณที่รู้วงวัฏฏะ จิตเกิดมีกิเลส ร่วมสังขาร แล้วจับได้ทันไหม กิเลสที่มาร่วมสังขาร อยู่ในฐานะ เราจะไปกำจัดไหม? เราอยู่ในฐานโสดาบัน แต่กิเลสนี้ เรายังไม่ได้สมาทาน ก็ผ่านไปก่อน อนุโลมไปก่อน เราทำสักกายะของเรา เมื่อรู้กิเลสกำจัดได้ ก็พ้นสังโยชน์ ๓ อย่าไปหลงก่อนเลยว่า สัพเพ ธัมมา อนัตตา ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ก็ไม่รู้ตัวตน ไม่ทำให้ตัวตนหมดได้ คนอย่างนี้ น่าสงสาร เราต้องกำจัดสักกายะก่อน คือตัวตน ที่เรามีญาณ กำหนดรู้ได้ อ่านออก เมื่อจับตัวมันได้ คือพ้นสักกายะทิฏฐิ จนรู้ชัด พ้นวิจิกิจฉาสังโยชน์ ไม่สงสัยว่า นี่แหละ คือกิเลส แล้วก็พยายามกำจัด ไม่มั่ว ทำอย่างพ้น ศีลพตปรามาส ต้องตรวจสอบ ให้แน่นอน ใช้ศีลพรตวิธีการ คือมรรคองค์ ๘ โพชฌงค์ ๗ คือ วิชชาจรณะสัมปันโณ เมื่อปฏิบัติ แล้วทำให้กิเลสลด เราจะพ้นมิจฉาทิฏฐิได้ ต้องเห็นอนิจจังของกิเลส ที่มีทั้งทิศทางโตขึ้น เป็นทิศทาง ของปุถุชน ทำให้กิเลสตนเอง อ้วนประจำเลย โง่มาเท่าไหร่แล้ว บำเรอตนเท่าไหร่แล้ว คนที่ได้ลาภ ก็ได้รู้ว่า สักแต่ว่าได้ลาภ ไม่ฟูใจ กิเลสก็ไม่เกิด แต่ว่าเรายัง ดีใจฟูใจ กิเลสก็อ้วน กิเลสไม่เที่ยงแต่อ้วนขึ้น นี่คือ ความไม่เที่ยงในโลกีย์ แม้ว่าไม่สมราคะ ก็ไปให้สมโทสะ คือทำให้สมใจ อยากด่าก็ด่าให้สมใจ กิเลสก็อ้วน หรือไปแก้แค้น ได้สมใจ ก็กิเลสโต ก็บาป ยังไม่พอ โง่หนักแก้แค้น แล้วสบายใจ แล้วก็ฉลองอีก เพิ่มมวลอีก คือแตะทีไม่พอ ต้องเหยียบซ้ำอีก อวิชชาก็พาเกิดเวรภัย เรามาเรียนรู้บาปบุญ เรียนรู้จิตเจตสิก ว่ามันไม่เที่ยง โดย เนกขัมมะ ในมิจฉาทิฏฐิสูตร ท่านว่า เห็นโดยความไม่เที่ยง เห็นทางทวาร ๖ ทาง ตาหูจมูก ลิ้นกายใจ สัมผัสแตะต้อง แล้วก็เกิดเวทนา สุขหรือทุกข์ เป็นความไม่เที่ยง ของสุขหรือทุกข์ ก็พ้นมิจฉาทิฏฐิ ยิ่งเห็นความไม่เที่ยงของกิเลส คุณก็รู้ลึกซึ้ง ยิ่งขึ้นกว่า เห็นแค่สุขทุกข์ไม่เที่ยง เห็นความเป็นปุถุชน ของตนเอง เราเห็นกิเลสเรา โตอ้วนขึ้น เห็นความจริง ตามความเป็นจริง ในนามธรรม คุณพ้นมิจฉาทิฏฐิ แต่ก็ยังไม่ได้เป็น อาริยะ คือปุถุชนนั้นเอง ก็เล่นหัวอยู่กับกิเลส แต่สักกายะคุณ ยังไม่ลด ถ้าลดสักกายะได้ แม้นิดนึงน้อยหนึ่ง ก็ตามเห็นความจางคลาย ในอนุปัสสี ๔ ไปสู่ความละหน่ายคลายได้ ประเด็นที่ทำให้ จิตลดกิเลสได้ คือประเด็นที่ทำให้ เป็นอาริยะ คือโสตาปันนะ จิตเข้ากระแส ไม่ใช่ว่าแค่รู้อยู่ แต่ไม่เอาจริง จนกิเลสลดได้ แล้วตั้งใจ ทำให้ลดๆๆไป ท่านตั้งเกณฑ์โสดาบันไว้ ๔ ถ้าแบ่งเป็นเปอร์เซนต์ มีสี่ส่วน คือส่วนละ ๒๕ เปอร์เซนต์ แม้ไม่มีรูปร่าง แต่ก็ประมาณได้ ถ้าคุณทำได้ ๑ใน ๔ เมื่อทำได้เพิ่ม ก็เป็น ๒ใน ๔ ก็ได้ครึ่งหนึ่ง ยังร่อแร่ ต้องให้เลย ๗๕ ไปจึงดี แล้วมันจะแช่จะช้า อย่าประมาท ใครก็ไม่ชอบการช้า หรือ ปปัญจารามตา คือยินดีในความเนิ่นช้า ไปหลงในการที่จะช้า ที่จะพัฒนาตน เป็นอาริยะ ได้นิดได้หน่อย ก็หลง ต้องอุตสาหะเพิ่ม เราก็จะผ่านพ้นไปได้ จะเป็นโสดาบัน ต้องมีญาณ ๗ รู้จักกิเลส รู้วีติกกมกิเลส จนล่วงพ้น วีติกกมกิเลส ไปสู่ปริยุฏฐานกิเลส โสดาบันจะอยู่ในฐาน ปริยุฏฐานกิเลส รู้ว่าเราล่วงพ้น วีติกกมกิเลส แม้ไม่ถึงดับสนิท ล่วงพ้นมา ๗๕ หรือ ๕๐ เปอร์เซนต์ ท่านไม่ได้พาซื่อ ตัดส่วน ให้ขาดหมด แต่ว่าจะทำ เหลื่อมกันอยู่ตลอด (พ่อครูทำมือ เข้าๆออกๆ เป็นหลายระนาบ) มีทั้งความสูงขึ้น ต่ำลง ถอยเข้า ออกไป มีหลายมิติ เป็นสภาพ หมุนรอบเชิงซ้อน มีเป็นสิบมิติเลย ในการปฏิบัติธรรม ถ้าเราไม่รู้แจ้งเห็นจริง ว่าเราทำได้ผลไหม ก็จะช้านาน ถ้าเรารู้ปริยัติมาชัด เราก็ทำให้ถูกตรง ก็จะทำได้ชัดเจน แม่นคมชัด พ่อครูก็พยายาม จำแนก บัญญัติ เปิดเผย แสดงปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทะ ทำความเรียบร้อย ให้บังเกิดขึ้น ในสังคมที่เราอยู่ร่วมกัน ทำงาน ทำอาชีพ สังคมทุนนิยม เขาก็กอดคอกัน ทำอาชีพ เรียกว่านายทุน ในทุนนิยม ก็ร่วมกันกอบโกย ผู้รู้ว่าไม่ดีก็เลิก ไม่มอบตน ในทางผิด ก็จะรู้ตัวเองว่าพอแล้วหรือไม่ ผู้มีปัญญา แล้วก็มีการตัดสินใจ ก็อยู่ที่ตนทั้งนั้น แยกโลกุตระ กับโลกียะให้ชัด เมื่อชัดแล้วก็ลุย เอาเลยทำเลย โลกโลกียะมีมากมาย เขาแบ่งชั้นวรรณะไว้มากมาย แต่ในโลกุตระ ท่านแบ่งไว้ ๔ ชั้นเท่านั้น เมื่อเข้าใจชัด ก็ไม่ยาก ต้องใช้ปัญญาฟัง จะไม่เอาแบบโลกีย์ แบบโลกีย์นั้น ซอยแบ่งได้เยอะมาก เป็นโลกียศาสตร์ ไม่มีวันจบ พระพุทธเจ้ายังยอมจำนน เป็นอจินไตย เรียนไม่จบ แต่โลกุตระนั้นยาก แต่เรียนแล้วรู้จบ แต่โลกียศาสตร์เรียนรู้ง่าย แต่เรียนไม่จบ มีแต่ปรุงแต่ง วิชาการหนักหนา ปรุงแต่งกันไม่จบ โลกุตระมีจบได้ จึงไม่ต้องบัญญัติเพิ่ม พระพุทธเจ้าจึงว่า อย่าไปบัญญัติ สิ่งที่ท่านบัญญัติแล้ว พวกโลกีย์ปรุงแต่งกันเละ ไม่จบ อย่าไปเรียนเลย ในสิ่งที่ไม่รู้จบ แต่ก็ไม่ได้ดูถูก เราก็ใช้บ้าง แต่ไม่ต้อง ไปแข่งขันกับเขา เราอาศัย สิ่งที่เขาคิด มาใช้บ้าง พวกเราจบ ดร. แค่ใบเดียวก็พอแล้ว ก็มาทำงาน อย่าไปกดขี่ข่มเหง ไปเรียนปริญญา มาหลายใบ จบดร. แล้วก็มีโพสต์ดร.อีก พ่อครูก็มีศึกษาโลกียศาสตร์ ที่มีกัลยาณธรรมอยู่ด้วย ก็เอามาใช้ อาศัยบ้าง เมื่อเราจะใช้ทำงาน ร่วมกับโลก เราก็ทำบ้าง พ่อครูจึงส่งเสริม ให้พวกเรา ไปเรียนเพิ่มเติมกัน เพื่อทำงานร่วมกับโลกเขา ซึ่งยากจริงๆ ต้องรู้อย่างคุณจำลอง มักพูดว่า ว่าเราจะต้องทำ ในสิ่งที่ทำได้ยาก เราต้องทน ในสิ่งที่ทนได้ยาก เราต้องเอาชนะ ในสิ่งที่เอาชนะได้ยาก เราต้องเสียสละ ในสิ่งที่เสียสละได้ยาก ต้องทำอย่างนั้นจริงๆ พ่อครูว่า ต้องขอแก้ว่า เราขึ้นศตวรรษที่ ๕ เราต้องพูดว่า ทศวรรษที่ ๕ จึงจะถูกต้อง เรามาแค่ ๕๐ ปี เรามาได้ ๔๐ ปีกว่าเท่านั้นเอง มาทศวรรษที่ ๕ มาได้ ๓ ปีแล้ว จาก ๕ มาเป็น ๖ ก็เป็นสองเส้าแล้ว มันเลยครึ่งของสองเส้า เราก็ต้องพัฒนากัน รวมตัวกัน ถ้าไม่ร่วมกันทำงานก็จะช้า และลำบาก ถ้ามาร่วมกันมากขึ้น ความลำบาก ก็ลดลง จะเร็วขึ้น และการได้สภาพที่ดี ก็จะมากขึ้น การเป็นประโยชน์ ต่อสังคมโลก จะดีขึ้น เป็นปฏิภาคส่วนเจริญ พ่อครูไม่ทำอย่างบังคับ ให้ใช้ปัญญากัน เรากำลังสร้างบ้าน แปลงเมือง เป็นสังคม อาริยะ แม้แต่คำว่า "แผ่นดินพุทธ" ตั้งแต่สร้างปฐมอโศก ที่สร้างอ่างลงหิน จำได้ว่า มีความคิดจะสร้าง แผ่นดินพุทธที่นั่น แต่ก็ไม่ลงตัว ไปร่อนไปร่อนมา ที่อื่นๆอีก จนกระทั่ง เกิดราชธานีอโศก จนมีป้าย "แผ่นดินพุทธ" ที่หลังคา เฮือนศูนย์ มันก็เป็นลาง ที่พวกคุณ อย่าเอาไปใช้ คุณจะต้องใช้ของคุณ ต้องมีบารมี อย่าไปอุตริ อย่างพ่อครู ไม่ใช้บารมี แม้แต่ว่า นี่คือ อัครสาวกเบื้องซ้ายเบื้องขวา นั้นยังไม่ใช่ บารมีของพ่อครู อย่าไปทึกทัก ว่าอันนี้ใช่เรา ต้องทำให้ชัดเจน เต็มที่เลย ต้องทำให้จริง จนล้น มันจะไหล ไปหาเอง ชาตินี้ก็เป็นเช่นนี้แหละ น้ำจะท่วมก็ท่วมไป ไม่ว่ากัน เราเป็นคน พ่อครูพาทำ จนไม่กลัวน้ำท่วม อย่างดีก็หนีน้ำ ไปที่สูง ก็อยู่กันได้ พ่อครูไม่มีญาณ รู้ล่วงหน้า ไม่พยากรณ์ ไม่คิดด้วย อะไรก็ตาม ตั้งแต่ดิน บ้านเมือง จะพัฒนาไปได้ เจริญหรือเสื่อม ก็อยู่ที่คน มาเป็นบ้านเมือง จะเจริญหรือเสื่อม ก็อยู่ที่คน คนนี่แหละตัวดี ทำให้ดีได้ หรือร้ายได้ ก็คนทั้งนั้น เราก็มาช่วยกัน ถ้ายิ่งเรามารวมกันให้พร้อม ก็จะมีพลังสูง ก็พูดมามากแล้ว จะพัฒนาก้าวหน้าอย่าง จะบอกว่า ทันเวลาไหม บอกได้เลยว่า ไม่ทันหรอก เพราะโลกีย์ มันไว เร็วกว่ามาก มันต้องไปสู่กลียุคแน่ๆ บอกได้เลย แต่เราจะต้อง มาเป็นผู้ที่ช่วยคน ที่จะต้องตาย ในกลียุค ขึ้นมาบ้าง ได้เท่าไหร่ก็เอา สุดเรี่ยวแรงที่มี การช่วยคน เราก็ช่วยตน เหมือนกัน จะช่วยคน เราต้องมีบารมีเจริญด้วย การเจริญอุพยถะ คือเจริญสองส่วนได้เท่าที่เราทำได้ จะเจริญตนและท่าน ไปทั้งคู่ เราสร้างประโยชน์เขา ประโยชน์เราก็ได้ด้วย พระพุทธเจ้าท่านว่า อย่าพร่าประโยชน์ตน เพราะประโยชน์ผู้อื่น แม้มาก เราจะรู้จักสัดส่วน สัปปุริสธรรม สามารถวินิจฉัย รู้ประมาณ แต่ละคนจะมีความฉลาด แล้วจะมาร่วมกัน เป็นเฟืองจักร หรือธรรมจักร มาทศวรรษที่ ๕ แล้ว เราก็ต้องรู้ตัวว่า วันเวลาผ่านไป อายุก็มากขึ้น ทุกวินาที ก็มีขีดของมัน ที่จะเสื่อมลง แต่พวกเรา จะมาพัฒนา ขยายอายุขัย ทั้งจิตวิญญาณ นามธรรม และอายุกายไปด้วย ทั้งสองอย่าง เราไม่ได้ขยายอย่างเดียว พ่อครูจะต้อง อาศัยพวกเรา ขยายอายุทางกาย ถ้าจะให้พ่อครู เอาทางกายด้วย จะไม่มีใครทำ ทางนามธรรม พวกเราก็ต้อง มาช่วยกันทำ มาประสานกัน จนอายุขัยพ่อครู คนจะอายุยาวยืนได้ นามธรรมเป็นเครื่องช่วยมาก ช่วยร่างกายด้วย นามธรรมเป็นใหญ่ ยกตัวอย่าง โยมปราณี ที่เชียงใหม่ อาศัยนามธรรม อย่างอื่นก็ใช้ตามประสา จนโรคมะเร็ง หายไปเลย โดยไม่ต้องกินยา กินเพียงน้ำปัสสาวะ อ.อะไร ที่สำคัญที่สุด คือ อาชีพ โยมปราณี อายุยืนได้ เพราะเลือกอาชีพ ที่เหมาะสม คือ ไม่มอบตนในทางผิด พ่อครูว่า ออกกำลังกาย ก็ไม่เต็มนะ โยมปราณี เอาพิษออก หรือเอนกาย อาหาร ก็ไม่เต็มที่หรอก ส่วนอารมณ์ หรืออิทธิบาท ก็เป็นตัวเสริม แต่จะชี้ว่า อาชีพเป็นตัวสำคัญ ไม่ต้องบอก ว่าอาชีพไหนดีที่สุด ตอนนี้ ถ้าเราสามารถทำ คอมเพล็กซ์ ในโลกเขาทำ คอมเพล็กซ์ ที่มอมเมามนุษย์ มาทำลายโลก ทำลายคน โดยไม่รู้ตัว หลงว่าเป็น ความเจริญ ของโลกเสียอีก มันก็รวมสารพัด ที่จะทำเงิน แต่เราก็จะรวม สิ่งเป็นประโยชน์ เราจะเอาวัด ไปไว้ในคอมเพล็กซ์นั้นยาก คนฉลาดก่อนเรามี จะยกวัดไปไว้ที่ เซเว่น เขาทำนะ เอาพระไปเทศน์ ไปบรรยาย เราก็จะทำ ตามประสาเรา คอมเพล็กซ์เรา ก็จะเป็นเหมือนวัด แต่ไม่ใช่วัดหรอก ก็ช่วยกันออกแบบมา ถ้าเราจะเกิดคอมเพล็กซ์ หรือศูนย์รวมอันนี้ จะมีการค้าแน่ จะมีการบันเทิงบ้าง แต่จะมีเนื้อหา สาระมากกว่า เป็นสถานที่พักได้ แต่ไม่ใช่ที่พักแท้ ที่พักคือราชธานี และที่นั่นคือ office แล้วมันจะมีรูปของสังคม ที่จะมีพฤติภาพได้ว่า มันเป็นสังคม ของคนกลุ่มหนึ่ง ที่มีพฤติกรรม อยู่กันแบบนี้ มีวิถีชีวิตแบบนี้ คนถึงจะเห็นได้ เข้าใจได้ เราก็รู้ว่าคนฉลาด แต่เขายังไม่เห็น สะดุดตาสะดุดใจ มันก็จะชัดได้ ต้องมีรูปร่าง มีองคาพยพ ที่สมบูรณ์ จะไม่ครบถ้าไม่มีพวกคุณ ถ้ามาร่วมกันพันคน เกิดแน่ ไม่ต้องเอาอะไรมา มีแต่ตัวกับหัวใจมา ทรัพย์สมบัติ แจกให้หมดก็ได้ แล้วมาช่วยกันทำ ...........จบ
|
||
|