|
||
เราก็พบกับงาน ที่ท้าทายให้เราได้พยายามเร่งรัด พัฒนาชีวิต อย่างมีปัญญารู้ว่า เรากำลัง ทำกุศลอย่างไร กุศลโลกีย์ หรือ กุศลโลกุตระ กุศลโลกีย์ คือเมื่อเราลงแรงกาย วาจาใจ แล้วเกิดผล เป็นประโยชน์ ไม่เป็นโทษ ทั้งตนและคนอื่น ยิ่งเป็นประโยชน์ ที่เราสะพรัด สละ แก่ผู้อื่น เป็นนาบุญ ที่งอกต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งเป็นกุศลโลกีย์ กุศลโลกุตระ คือยิ่งเราทำไป เรายิ่งได้ทำออก ๑.วัตถุยิ่งทำออก ๒.แรงงานยิ่งได้ออก ๓.สำคัญคือ ได้เอากิเลสออก คือได้เอากิเลสออก ได้เอาความหวงแหนออก ได้พิจารณาว่า สิ่งที่เอาออก เป็นคุณหรือโทษ ต่อผู้อื่น มีคุณค่าทั้งโลกีย์และโลกุตระ ทางโลกีย์คือ ได้อาศัย ทางใจ ได้ใจดี คือได้กัลยาณธรรม ยิ่งเจริญ ได้ทั้งเจโตและปัญญา คือตามเห็นรู้ ทั้งภายใน (อัชฌัชตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) อ่านใจได้ทัน มีวิตก วิจาร คือรู้ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ คือตัวที่แยกแจก จากธัมวิจัย ละเอียดลงไป มีญาณที่เราจะรู้ นามรูปได้ แยกแยะนามรูปได้ (ปัจจัยปริคคหญาณ) รู้แจ้งจิตใจเรา มีพัฒนา ก้าวหน้า เห็นรู้ ปรมัตถธรรม ผู้ใดเห็นตามได้ ก็ใกล้นิพพาน ผู้ใดเข้าใจแค่ภาษา หรือฟังแล้วตื้อ ก็ให้เข้าใจให้ดี เราวิจัยลงไปในทุกตักกะ (ดำริ) เมื่อเริ่มแล้วเราก็ตามทัน มีวิจัยทัน มีตัวรู้ มีปัญญา ที่เจริญรู้ได้ละเอียด ได้ชัดได้จริง มากขึ้น รู้พฤตินัยของ จิตเจตสิก รู้อาการ ลิงค นิมิต มากขึ้น รู้มโนมปวิจาร ๑๘ ในการกำหนดที่ใด ธัมวิจัยก็ทำงานที่นั่น เราก็ยิ่งตามเห็น อนุปัสสี ลึกไปถึงไตรลักษณ์ รู้ว่ามันทุกข์ วิจัยเหตุแห่งทุกข์ออก ณ บัดนั้น จะเป็น วิขัมภนก็ตาม ยิ่งมีปัญญาเห็นว่า มันไม่เที่ยง ยิ่งเรามีไฟฌาน เห็นหน้ามัน แล้วมันก็หายไป แวบจางลงเลย หรือสัมผัสแล้ว ไม่มีหน้าตาของกิเลส สัมผัสแล้ว มันปรุงแต่งด้วยนะ มันเปลี่ยนอยู่ตลอดเวลา เช่น เรามองต้นไม้ มันโตขึ้นตลอดเวลา แต่เราสังเกตไม่เห็น แต่ว่าหน่อไม้ มันโตเร็ว เราขีดดู ก็รู้ว่า มันโตสูงมากขึ้น หรือมันลดลง ยิ่งเห็นความไม่เที่ยง ที่มันลดลง อ่านอัสสาทะ รสชื่นใจในโลกีย์ คุณจะมีความเห็นจริง มีธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ โดยเอโก คือโดยตนเอง ที่เห็นสภาวะ เจตสิก รูป เห็นแล้วรู้จริงตามจริง ตามที่เขาเห็นกัน มีสี มีภาพ มีรูปอย่างนี้ เราเห็นอื่นก็เห็น แต่เราเห็น ความไม่ยึดถือ ไม่มีอัสสาทะของเรา เราลดความวาง ความยึดถือ เห็นวิราคะ (คือความจางคลาย) ที่อธิบายอยู่ในองค์ธรรม ของ สัมมาทิฏฐิ องค์ ๖ (ปัญญา ปัญญาพละ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ สัมมาทิฏฐิ องค์แห่งมรรค ) คือมันจะเจริญ มีปัญญา ถ้ามีกำลัง ของปัญญา ก็เป็นปัญญาพละ เจริญด้วยธัมวิจัย ตามองค์แห่งมรรค ทิฏฐิก็จะเห็น ความจริงตามจริง มีความจบความดับ แต่จะดับอย่างถาวร หรือไม่ คุณก็ตรวจดู ถ้ามันยังกลับกำเริบ ก็ทำต่อไป ทำอนุรักขณาปธาน ที่มันเห็นจริงนี่แหละ เมื่อเราได้ทำวิตักกะ คือได้ทำวิตกวิจาร คือทำฌาน ๑ เมื่อรู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน อยู่ตลอดเวลา ได้ทำฌานตลอด มีการกำจัด กามวิตก หรือกามสังกัปปะได้ เมื่อกำจัด ได้เรื่อยๆ สะอาดขึ้นๆ มันก็สะอาดขึ้นๆ ก็หมดหน้าที่ของวิตก วิจาร คือวิตกดับไป ส่วนวิจารคือ พฤติกรรมของมัน คือจบกิเลสดับได้ ก็เป็นสังกัปปะ คือจิตที่เรา ให้ปรุงแต่งสังขาร มันก็ไปปรุงอย่าง ไม่มีกิเลสร่วม ก็จะปรุงเป็น วจีสังขารที่สะอาด ยิ่งสั่งสม อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา คือจิตมันจะมี สองส่วน คือ ส่วนเจโต และปัญญา ส่วน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา คือส่วนของเจโต ส่วนของ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ก็คือปัญญา เมื่อรวมเป็น วจีสังขาร ก็จะรู้เป็น ปัจจัตลักษณ์ เฉพาะตน สิ่งที่อธิบาย ก็อธิบายจาก ที่ได้ปฏิบัติมา เมื่อมีวจีสังขาร สะอาดบริบูรณ์ ก็จะมีวจีกรรม ที่มีมโน เป็นประธาน ก็จะออกไปเป็น วาจา กัมมันตะ อาชีวะที่สะอาด ตนได้แล้ว ทำได้ ผู้อื่นก็ได้ตาม นี่คือ โครงสร้างของพฤติ จิต เจตสิก รูป นิพพาน มีคนsms มาว่า บอกตรงๆว่าอาตมายังไม่สูงส่งหรอก สัญญายังไม่ดี ไม่เหมือนพระพุทธเจ้า ท่านมีสัญญา ที่สมบูรณ์ อาตมายังต้อง เรียบเรียงมาก แต่เมื่อกี้นี้ อาตมาก็เรียบเรียง ออกมาดี ออกมาโดย ไม่ต้องอ่านได้ และพ่อครูอ่านตัวเองว่า สิ่งใดที่ไม่ได้มีเจตนา เตรียมไว้ก่อน ไม่มีอยากหรือไม่อยาก แต่ว่าเป็น ปัจจุบันธรรม จะออกมาดี แต่ว่า อย่าเอาอย่างพ่อครู เพราะต้องจิตสะอาด จึงออกมาได้ แต่ว่าถ้าไม่สะอาด มันอัตโนมัติ ออกไป จะไม่ดี กรรมที่ทำแล้ว เป็นอันทำ เป็นอกุศลวิบากได้ทั้งนั้น เชิงคิดของ 8705 เป็นเชิงหาเรื่อง จุกจิกจู้จี้เหมือนผู้หญิง หาเรื่องตลอดเวลา จะเห็นตัวอย่าง ธรรมดา คนจะทำตัวอย่างไม่ดี ให้เราเห็นไม่ค่อยมี นอกจากคนหน้าแข็ง 0878647xxx ผู้ชายดีเกินไป กับผู้ชายเจ้าชู้แต่เอาอกเอาใจ คุณสตรี คงไม่เลือก อันหลังนะจ๊ะ ตี๋นว พ่อครูว่า ที่พ่อครูบรรยายเมื่อกี้นี้ ยังอธิบายได้อีก จะมี8705 หรือ 0556 ก็จะมีอยู่ไม่กี่คน ที่เป็นเจ้าประจำ ที่คอยหาเรื่อง 0888705xxx ที่นี่ไม่เคยมีหนังสือธรรมะสักเล่ม แต่เราก็สามารถSMSส่งธรรมะยาวๆได้! เมื่อของดีเอาไม่ได้ ได้แต่ของเก๊ ก็ออกไปอยู่กับของเก๊ ซึ่งสัจจะเป็นเรื่องอธิบายยาก พระพุทธเจ้าตรัส สัจจะมีหนึ่งเดียว ใครจะได้สัจจะ ที่มีหนึ่งเดียว เป็นปัจจัตตัง ที่เปรียบไม่ได้ แต่จะอธิบาย อย่างตื้นๆก่อน ชาวอโศกมาที่นี่ได้ แต่ก่อนหอบหวง แต่มาที่นี่ก็ไม่หอบหวง มาสบายได้ เมื่อมาอยู่ร่วม ก็เข้าใจอีกว่า กรรมการงานอันใด เราทำ เป็นงานที่มีคุณ ไม่มีโทษ ทำแล้วก็ได้เกื้อกูล คนอื่นต่อ เราก็ไม่ได้คิดว่า จะต้องได้อะไร ตอบแทน เราทำกรรม ก็จบในกรรม วันๆก็สบาย จิตโล่งว่าง มีกินอยู่ใช้สอย มีเกื้อกูลกัน ตามบารมี พวกคุณก็อ่านตัวเอง ที่ได้มาอยู่ จะอยู่ไม่นาน หรือนาน แล้วแต่ละคน เราก็มีสุญญตวิหาร เป็นเครื่องอาศัย เราก็มีพฤติกรรม ที่ไม่ได้ขี้เกียจ มีพลัง ๔ เราสัมผัสแล้วก็จะรู้ว่า เราควรทำ ร่วมกับหมู่ แค่ไหน ควรพักก็พัก ควรเพียรก็เพียร ชีวิตไปเรื่อยๆ ต่อไปจะเหมือน ลี ชิง ยุน มีอายุ ๒๕๖ ปี เราได้ไหม มันสอดคล้องกับ อนุสาสนีย์ ของพระพุทธเจ้าไหม เรามีสะสมสมบัติ หรือโลกธรรมไหม ไม่มีฟูใจ ในโลกธรรม แต่ก็รู้ว่า อันไหนดี อันไหนไม่ดี ตามสมมุติเขา เราสัมผัสอยู่ ก็ไม่หวั่นไหว มันจะมีพลัง ๔ ที่มีวิมุติ เป็นเครื่องแสดง ชีวิตเราไม่สะสม แต่จะแจกจ่าย อย่างเราอยู่อย่างสมส่วน ไม่ขาดไม่เกิน พอดีๆ เรามีสภาะ รองรับไหม ได้ตรวจสอบไหม ถ้าได้ตรงความจริง สัจจะมีหนึ่งเดียว ให้ใช้ปัญญาตัดสิน ที่พ่อครูพูดนี้ ดีที่สุดหรือยัง ใครพูดได้ดีกว่านี้ไหม ในสภาวะ ที่ดีที่สุด เราก็อาศัย มีพลัง ๔ เรารู้พักรู้เพียร นอกนั้น ก็มีพร้อมพรั่งแล้ว เพราะฉะนั้น ของจริงกับของเก๊ คุณก็ตัดสินเอา ว่าตรงตาม พระพุทธเจ้าสอนไหม ชนสองพวกได้กล่าวกันและกันว่า เป็นผู้โง่ เพราะทิฐิ ฯ เรา(ตถาคต)ไม่กล่าวทิฐินั้น ว่าเป็นสัจจะ เพราะเหตุว่า เขายึดทิฐิของตนว่า สิ่งนี้เท่านั้นจริง (สิ่งอื่นเปล่าดาย ไม่มีจริง) นิพพานนั้น เป็นสิ่งที่ไม่มีอะไรเปรียบ (นัตถิ อุปมา) จะบอกว่า ความว่าง หรือ ความไม่ทุกข์ไม่สุข มันเปรียบกันยาก ระหว่างไม่ทุกข์ไม่สุข กับอาการว่าง ความไม่ทุกข์ ไม่สุขนั้น หยาบกว่าสภาวะความว่าง อาจดูว่า อาการสบาย กับไม่สบายนั้น ต่างกัน พระพุทธเจ้าอธิบายใน จูฬสุญญตสูตร สูตรว่าด้วยความว่างเปล่า [๓๓๔] พระผู้มีพระภาค รับสั่งว่า ดูกรอานนท์ แน่นอน นั่นเธอสดับดีแล้ว รับมาดีแล้ว ใส่ใจดีแล้ว ทรงจำไว้ดีแล้ว ดูกรอานนท์ ทั้งเมื่อก่อน และบัดนี้ เราอยู่มากด้วย สุญญตวิหารธรรม เปรียบเหมือนปราสาท ของมิคารมารดา หลังนี้ ว่างเปล่าจากช้าง โค ม้า และลา ว่างเปล่าจาก ทองและเงิน ว่างจากการชุมนุม ของสตรีและบุรุษ มีไม่ว่างอยู่ ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะภิกษุสงฆ์เท่านั้น ฉันใด ดูกรอานนท์ ภิกษุก็ฉันนั้นเหมือนกันแล ไม่ใส่ใจสัญญาว่าบ้าน ไม่ใส่ใจสัญญาว่ามนุษย์ ใส่ใจแต่สิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่า จิตของเธอย่อมแล่นไป เลื่อมใสตั้งมั่น และนึกน้อม อยู่ในสัญญาว่าป่า เธอจึงรู้ชัดอย่างนี้ว่า ในสัญญาว่าป่านี้ ไม่มีความกระวนกระวาย ชนิดที่อาศัย สัญญาว่าบ้าน และชนิดที่อาศัย สัญญาว่ามนุษย์เลย มีอยู่ก็แต่เพียง ความกระวน กระวาย คือภาวะเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น เธอรู้ชัดว่า สัญญานี้ว่างจาก สัญญาว่าบ้าน สัญญานี้ว่างจาก สัญญาว่ามนุษย์ และรู้ชัดว่ามีไม่ว่างอยู่ ก็คือสิ่งเดียว เฉพาะสัญญาว่าป่าเท่านั้น ด้วยอาการนี้แหละ เธอจึงพิจารณา เห็นความว่างนั้น ด้วยสิ่งที่ไม่มีอยู่ ในสัญญานั้นเลย และรู้ชัดสิ่งที่เหลืออยู่ ในสัญญานั้น อันยังมีอยู่ว่ามี ดูกรอานนท์ แม้อย่างนี้ ก็เป็นการก้าวลง สู่ความว่าง ตามความเป็นจริง ไม่เคลื่อนคลาด บริสุทธิ์ ของภิกษุนั้น ฯ เราอยู่กับปัจจุบัน เราไม่ได้อยากได้ หรือหอบหวง สมบัติอื่น แต่เรามีความว่าง เป็นสมบัติ ก็ทำการงาน อันไม่มีโทษ มีประโยชน์ต่อไป พ่อครูมีแค่สมบัติคือ "ความว่าง" ให้เท่านั้น ก็น่าสงสาร 0556 ที่อยู่มาตั้งนานแล้วได้ของเก๊ 0833858xxx ได๊อ่านหนังสือ EQ โลกุตระ ของพ่อท่าน แก้ข้อกังขา ระหว่างพุทธแท้ กับพุทธฤาษี ดีมากครับ เรารู้สมมุติอันไหนจริงไม่จริงก็ว่ากันไป 0897800xxx If Thais are like Sunti Asoke Thailand will be peace and no corruption พ่อครูจะติเตียน ผู้ไม่ปฏิบัติดีปฎิบัติชอบหรอก จะชมสงฆ์ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ รู้แล้วว่า เขาไปยึดสงฆ์ที่ไม่ใช่สงฆ์ ว่าเป็นสงฆ์ของเขา ยืนยันว่า พ่อครูต้องติ คนที่ควรตำหนิ นิคคัณเห นิคคหารหัง แล้วคุณก็ว่าพ่อครู ไปติสงฆ์ของคุณ ก็ถูกแล้ว พ่อครูก็ชัดเจนว่า คนที่มายุ่งกับพ่อครู ก็คือไปยึดคนที่ไม่ใช่สงฆ์ ว่าเป็นสงฆ์ 0878647xxx 8705 ตุ๊ดยังอาย ทำไมพยายามแดกดันชาวอโศก จิตริษยานี่ก็เป็นกิเลส รู้มั้ย สงบเถิด ตี๋นว เขาช่างเปรียบเทียบนะ อัตถิ อุปมา 0878647xxx พ่อครูครับ 8705มีทิฐิบ๋องเป็นพวกร้อนวิชา รับคลื่นความดีไม่ได้ มีลักษณะ ชอบโอ้อวด อันนี้ลึกซึ้ง เขามองว่า แค่เปลี่ยนศาสนา ก็ล้มกระดานกรรม นั้นที่จริง คนเราทำกรรม แม้ถือศีล ๕ ละอบายมุขได้ เป็นกรรมที่ดีของคุณ ลดละไปเรื่อยๆ ศีลนั้นก็เกิด พัฒนาการไป ส่วนคนที่ ไม่ได้สมาทาน ศีล ๕ เขาก็ละเมิดศีล ๕ อยู่ ไปฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ฯลฯ ไปเรื่อย เขาก็มีบาป มีกรรม แม้ไม่ถือศีล ลึกไปกว่านั้น ศาสนาอื่น เขาไม่ได้ถือศีล แต่ว่าเขายังผิดศีล ๕ อยู่ เขายังฆ่าสัตว์ ลักทรัพย์ ประพฤติผิดในกาม โกหก มีอบายมุขอยู่ เขาก็ทำกรรมบาปอยู่ โดยสัจจะ กรรมใด ถูกสัจจะ กรรมนั้นก็ถูก คนที่ว่า แค่เปลี่ยนศาสนา ก็ล้มกรรมได้ นั้นคือยังไม่เข้าใจสัจจะ เรียนศาสนามา ก็ไม่ได้อะไรเลย 0888705xxx พธรคือคนตาบอดที่ใส่แว่นตาดำ ถอดแว่นเมื่อไร ชาวอโศกถึงจะรู้ว่า พธร.ตา คนนี้ปลายฝนก็ อัตถิ อุปมา เปรียบเทียบเก่งเหมือนกันนะ 0888705xxx เอาหมอมาตรวจสุขภาพกายพธร. แต่อย่าลืมเอาจิตแพทย์ มาตรวจสุขภาพจิต พธร.ด้วย ของเราจัดสรรบ้าน-วัน-โรงเรียน ไม่ให้เลอะเทอะก็ทำได้ และควรทำต่อไป ก็เห็นใจคนที่ต้องระวัง 0868845xxx 8705สรุปไอ้โรคจิต?ผ่านโซดาเมรัยทุกระยะชิมิๆ?ปลายฝน ในโลกียศาสตร์สมองปรุงแต่งมันก็ไปเรื่อย ต่อไปเป็นการตอบประเด็น ไก่ได้พลอย วานรได้แก้ว คืออย่างไร? ตอบ... คือได้ของดีเทียบพลอยหรือแก้ว คือให้ระวังแม้ได้ของดี ก็อย่าให้ของดี ทำลายตัวเรา หรือยิ่งหนักคือได้แล้ว ก็ไม่รู้ค่าของพลอยหรือแก้ว ไก่เห็นว่า ข้าวเปลือก ดีกว่าพลอย วานรก็เห็น กล้วยดีกว่าแก้ว ระวังพวกเราได้รับสิ่งดี ได้สุญญตา ได้ความว่างแล้ว ได้เนกขัมสิตอุเบกขา คือเราตั้งใจทำออก แล้วเราควรรู้ว่า สิ่งนี้ควรรักษาผล แต่ไม่ได้รักษาเพื่อเป็นเรา เป็นของเรา อตัมยตา คืออะไร ตอบ คือ สภาวะของผู้สำเร็จ ไม่ขึ้นไม่ลง ไม่ไปไม่มา เอาก็ได้ไม่เอาก็ได้ สิ่งที่มีคือ ได้อาศัย คุณจะไม่มีเลยอย่าง ศาลานี้ว่างจากช้างม้า โค ทอง ว่างจากการชุมนุม ของสตรี และบุรุษ มีอยู่ก็แต่ภิกษุเท่านั้น ภิกษุที่เป็นอเสขบุคคล ก็ได้อาศัยไป แต่ถ้าปรินิพพาน คือ นิพพานสิ้นรอบ หมดเลย คือไม่มีอะไรเปรียบแล้ว ใครทำได้ก็คือ พระอรหันต์ แล้วใคร จะไปรู้กับท่าน คุณยังไม่ทำคุณก็ไม่รู้ พระอรหันต์ ถ้ายังไม่ปรินิพพาน ก็อยู่อย่าง บุคคลอมตะ โดยไม่ทุกข์ ไม่เป็นโทษภัยกับใคร คำว่าชั่ว กับบาปต่างกันอย่างไร ตอบ... ชั่วคือคำกว้าง รวมทั้งปุถุชน กัลยาณชน ก็รู้ว่าอันนี้ไม่ดีชั่ว ส่วนสิ่งที่ดี อธิบายกว้าง แม้แต่ว่ามีบาปก็ชั่ว ส่วนบาป นั้น อธิบายเป็นปรมัตถ์ มันมีนัยะ ที่ลึกกว่าชั่ว บาปคือ ลักษณะที่ไม่ใช่บุญ ซึ่งบุญคือ การชำระกิเลส ชำระบาป สรุป บาปคือกิเลส คุณฆ่าสัตว์ คุณก็บาป โดยเฉพาะครบองค์ ๕ (รู้ว่าสัตว์มีชีวิต -สัตว์มีชีวิต -เจตนาฆ่า -พยายามฆ่า -สัตว์ตาย) แม้ไม่ครบองค์ ๕ ก็มีวิบากเหลือตามนั้น เป็นของจริง ถามเรื่อง พิจารณากายในกายทั้ง ๖ อย่างในสติปัฏฐาน ๔ ตอบ... กายานุปัสสนา คือคุณได้ประโยชน์ ทุกลมหายใจเข้าออก ในขณะที่ยังไม่ตาย คือมีสติ ในขณะมีลมหายใจเข้าออก รู้ทั้งนอกและใน ต้องมีปฏิภาณรู้ ในขณะสัมผัส ดังนั้น ทุกอิริยาปถบัพ ก็ต้องทุกอิริยาบท ก็จะรู้อาการจิต ตามภาษา ที่เอามาเรียก สภาวธรรม คุณได้ปฏิบัติทุกบัพ คือทุกบท รู้ปฏิกูลมนสิการ คือรู้สิ่งควร ปลดปล่อย เห็นทุกอย่าง เป็นปฏิกูล และพิจารณาทุกธาตุ และมีนวสีวถิการบัพ คือพิจารณา ทุกอย่าง แม้แต่สิ่ง ไม่น่ารักน่าชัง เป็นสภาพซากศพ ก็รู้ว่าทุกอย่าง ต้องทิ้งไว้เป็นซากศพ เหมือนกัน ทุกประการ นวสีแปลว่า ความไม่มีอำนาจ อย่างซากศพ ไม่มีฤทธิ์อำนาจ วางทุกอย่าง ไม่เอาอะไรของใครเลย จบ
|
||
|