560428_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และส.เพาะพุทธ
เรื่อง ธรรมะกับวิทยาศาสตร์

ส.เพาะพุทธ เปิดรายการที่ศาลาฉันสันติอโศก......

ต่อเนื่องจากรายการ วิปัสสนาข่าว ท่านจันทร์ตั้งชื่อว่า แรงฤทธิ์อธิษฐาน รู้สึกประทับใจ ที่ท่านมือมั่นเล่าว่า สมัยที่ท่านเรียนหนังสือ ท่านตั้งจิตอธิษฐาน ว่าจะไม่สูบบุรี่ ปรากฏว่า เพื่อนท่านติดบุรี่ แต่ท่านไม่ติด ต่อมาสม.กล้าข้ามฝัน และสม.รินฟ้า และส.คมคิด มีประเด็นที่ว่า ที่อุทยานบุญนิยม มีโครงการเกี่ยวกับ เรื่องพลาสติก มีญาติโยม นำอาหาร ใส่ภาชนะปิ่นโต มาใส่บาตร ให้สมณะสิกขมาตุ ที่บ้านราชฯ ก็ตรงกับใจ ที่อยากให้สันติอโศก ทำอย่างนั้นบ้าง อาจารย์ส.ศิวรักษ์ เคยติงว่า สันติอโศก ทำไมใช้ถุงพลาสติกมาก ใส่อาหาร

ได้ยินว่าที่บ้านราชฯ มีการเอาจริงเอาจัง ในเรื่องนี้ และได้ยิน สม.กล้าข้ามฝัน ว่าจะพยายามทำเรื่องให้ชุมชน ปลอดจากพลาสติก ได้ยินแล้ว ก็ยินดีปรีดา อย่างยิ่ง ซึ่งโดยรวมแล้ว สันติอโศกยังไม่ได้ เอาจริงเอาจัง เรื่องนี้แต่อย่างใด เมื่อได้ฟังรายการ วิปัสสนาข่าว ก็ได้เกิดธรรมปีติ ขอเชิญชวนทุกท่าน ตั้งจิตด้วย แรงฤทธิ์อธิษฐาน ในการปฏิบัติธรรม และถ้าเราเกิดเบื่อหน่าย ในการปฏิบัติธรรม พ่อครูเคยให้วิธีแก้ไว้ว่า ๑.นึกสิ่งดีที่เราเคยทำ ๒.ตั้งอธิศีล ก็อยากให้พวกเรา มาทำอธิศีล เพื่อสร้างชุมชนเรา ให้ดียิ่งขึ้น       

พ่อครู... ก่อนจะได้เกริ่นกล่าว ก่อนจะพูดถึงบทความ ของคุณ ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์ ที่ได้เขียน เกี่ยวกับเรื่อง ธรรมะกับวิทยาศาสตร์ ก่อนจะเข้าสู่เรื่องนี้ ก็ขอกล่าวถึงเรื่อง แรงฤทธิ์อธิษฐาน ขอไขความว่า อธิษฐานคือ พลังงานของจิตคน เมื่อจิตเริ่มดำริ มันก็จะมีพลังงาน ที่สังขารเกิด โดยมีต้นทุนของจิต คือ พลังงานเก่า และพลังงานใหม่ พลังงานที่ดำริ คือพลังงานใหม่ คือต้นแรก เกิดในปัจจุบัน แล้วจะมีการสังเคราะห์ ตลอดเวลา

ถ้าต้นทุนเป็นอกุศล แล้วดำริใหม่เป็นกุศล มันก็จะสังเคราะห์ ถ้าต้นทุนเป็นอกุศล ดำริใหม่ก็อกุศล มันก็จะกอดคอกัน ทำชั่วไปเหลวไหล ซึ่งคนเรา มีต้นทุนอกุศล เสียส่วนใหญ่ แล้วไม่มีวิธีระงับ ไม่ให้อกุศลออกมาก ซึ่งในโสดาบัน ก็ทำได้แล้ว แต่ก็ยังออกมามากอยู่ แต่มีสัญเจตนา คือตั้งใจลดละ ระงับจิตที่เป็นอกุศล โสดาบัน จะสามารถ ระงับจิตอกุศล ได้เป็นส่วนๆ ส่วนสกิทาคามี ก็ทำได้มากยิ่งขึ้น ต้นทุนอกุศล ก็จะออกมา ยากขึ้น อนาคามี ยิ่งไม่มีแล้ว ที่จะออกมา ทำอกุศล อรหันต์ก็ไม่ทำ อกุศล แน่นอน ด้วยประการฉะนี้

คอลัมน์: ทรรศนะ: ธรรมะกับวิทยาศาสตร์ ข่าวทั่วไป หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ -- อาทิตย์ที่ 28 เมษายน 2556 00:00:52 น. โดย ชัชรินทร์ ไชยวัฒน์

      1) เมื่อไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา...มีข่าวว่านักพันธุศาสตร์ชาวสหรัฐ ได้ออกมาประกาศ การค้นพบทฤษฎีใหม่ ว่าด้วยการคำนวณอายุ ของสิ่งมีชีวิต ที่ดำรง คงอยู่ ในโลกเรา ทุกวันนี้ ว่าอาจจะมีอายุ ย้อนหลังกลับไปได้ ไม่น้อยกว่า 10,000 ล้านปี หรือมีอายุ มากกว่า อายุของโลกเกือบ 6,000 ล้านปี จนทำให้บรรดามนุษย์ อย่างเราๆ -ทั่นๆ ตลอดไปจน สิงสาราสัตว์ พืชพันธุ์ต้นไม้ ไปจนถึงบัคเตรี ไวรัส ในแต่ละชนิด แต่ละอย่าง อาจต้องกลายเป็น สิ่งมีชีวิตนอกโลก หรือเป็น มนุษย์ต่างดาว ไปเลยถึงขั้นนั้น...

      (2) ข่าวเรื่องนี้ดูเหมือนว่า เอ็กซ์ไซท์-ไทยโพสต์ เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้นำมาเผยแพร่ เอาไว้คร่าวๆ และแม้ว่า ยังเป็นแค่ ทฤษฎี หรือยังไม่มีข้อมูล หลักฐาน มาสนับสนุนกัน แบบชัดๆ จะจะ ระดับนักพันธุ์ศาสตร์ หรือนักวิทยาศาสตร์ สาขาอื่นๆ เถียงไม่ออก แต่ทฤษฎีที่ว่านี้ ก็พอจะช่วยเจาะช่อง ช่วยหาทางออก ให้กับบรรดา นักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลาย ในการคลี่คลาย ปมปริศนาอันดำมืด ของการก่อ กำเนิดชีวิต ที่มักจะทำให้ ผู้คนในวงการวิทยาศาสตร์ต้อง อมเชาวริน มาโดยตลอด นับเป็นร้อยๆ ปี หรือนับตั้งแต่ ได้มีการ ปฏิวัติทางวิทยาศาสตร์ และปฏิวัติความคิด ของมวลมนุษยชาติ ซึ่งเคยเชื่อๆ ตามแนวทาง ของศาสนามาโดยตลอดว่า สิ่งมีชีวิตทั้งหลาย ทั้งปวงนั้น เกิดขึ้นจาก การเนรมิตสร้าง ของ พระผู้เป็นเจ้า...

       (3) เพราะถ้าหากจะว่ากัน ตามหลัก ตามทฤษฎี ของนักวิทยาศาสตร์ โดยทั่วไปแล้ว หลังจากที่โลกได้อุบัติขึ้นมา เมื่อ 4,500 ล้านปีที่แล้ว ต้องใช้เวลาอีกเกือบ 1,000 ล้านปี ถึงจะทำให้ สารเคมี หรือ สารอนินทรีย์ อันเป็นสิ่งที่ ไม่มีชีวิตจิตใจ ซึ่งตกตะกอน นอนก้น อยู่ใน สระน้ำอุ่นโบราณ เกิดแรงอัด แรงกระตุ้น ด้วยสภาพแวดล้อม และ พลังงานใดๆ อันแทบจินตนาการไม่ได้ จนกลายมาเป็น โมเลกุลของสารอินทรีย์ ขนาดเล็ก ก่อนจะวิวัฒนาการไปเป็น โมเลกุลของสารอินทรีย์ ขนาดใหญ่ กระทั่ง กลายมาเป็น อนุภาค ชนิดหนึ่ง อันจะเป็นจุดเริ่มต้นของ เซลล์เริ่มแรก ของสิ่งมีชีวิต ที่เรียกๆ กันว่า Coacervate เมื่อประมาณ 3,800 ล้านปีที่แล้วนี่เอง...

       (4) จากนั้น...กว่าที่ไอ้ เซลล์เริ่มแรก จะค่อยๆ วิวัฒนา การกลายมาเป็น เซลล์ โปรคาริโอตส์ (Procaryotes) และ เซลล์ยูคาริโอตส์ (Eucaryotes) อันเป็นเสมือน มารดาแห่งสิ่งมีชีวิต ในทุกสรรพสิ่ง ก็ต้องใช้เวลาอีก นับเป็นพันๆ ล้านปี หรือประมาณ 2,400 ล้านปีที่แล้วนั่นแหละ ถึงจะเกิด เซลล์ที่มีรูปร่าง ลักษณะทางพันธุกรรม หรือมีการ จับคู่ของยีนต่างในโครโมโซม ก่อนจะกลายมาเป็น หนอนตัวแบน เป็นปลากระดูกอ่อน กระดูกแข็ง เป็นสัตว์สะเทินน้ำ สะเทินบก เป็นกบ เป็นคางคก จระเข้ เป็นช้าง เสือ แมว หมา ลิง ต้องใช้เวลาอีก ไม่รู้กี่ร้อย กี่พันล้านปี จนกระทั่ง ลิงบางตัว ถึงได้มีโอกาส กลายสภาพมาเป็น มนุษย์อย่างเราๆ-ทั่นๆ ก็แค่เมื่อประมาณ ไม่กี่ล้าน หรือไม่กี่แสนปี เท่านั้น...

       (5) ภายใต้ทฤษฎีเช่นนี้... ส่งผลให้บรรดานักวิทยาศาสตร์ ทั้งหลาย มักต้อง อมเชาวริน หรือ อมสากกะเบือ ไปเป็นด้ามๆ นับแต่เบื้องต้น โดยเฉพาะ เมื่อต้อง ตอบคำถามว่า...เหตุใด สารเคมี หรือ สารอนินทรีย์ ที่ไม่มีชีวิต มันจึงกลายสภาพ มาเป็น สารอินทรีย์ หรือกลายเป็น เซลล์เริ่มแรก ของสิ่งมีชีวิต

       ถ้าหากไม่มีบางสิ่ง บางอย่าง ไม่ว่าจะเรียกว่า พระเจ้า หรือ ความมีชีวิต ใดๆ ก็ตาม ที่มีมาก่อนหน้านั้น มาช่วยสร้างแรงกระตุ้น สร้างกระบวนการ วิวัฒนาการ ให้ ความไม่มีชีวิต มันกลายไป เป็น ความมีชีวิต ขึ้นมาจนได้ เพราะแม้ว่า บรรดานักวิทยาศาสตร์ รุ่นแล้ว รุ่นเล่า พยายามที่จะสร้าง ความมีชีวิตขึ้นมาจาก ความไม่มีชีวิต ภายในห้องทดลอง นับไม่รู้กี่ศตวรรษ ต่อกี่ศตวรรษมาแล้ว ก็ล้วนแต่ประสบความล้มเหลว จนทำให้บรรดา นักวิทยาศาสตร์ ยังไม่สามารถ สถาปนาตัวเอง ขึ้นมาแทนที่ พระผู้เป็นเจ้า ได้แม้กระทั่ง ตราบเท่าทุกวันนี้...

       (6) ด้วยเหตุนี้...การทำให้ สิ่งมีชีวิต ย้ายตัวเอง ออกไปอยู่ นอกโลก หรือกลายเป็น สิ่งที่มีมา ก่อนหน้าที่จะมีโลก มานับเป็นหมื่นๆ ล้านปีนั้น มันอาจพอทำให้ ไม่ต้องเสียเวลา ไปตอบคำถาม อันน่าปวดหัว เหล่านี้ หรือพอได้มีเวลา คายสากกะเบือ ออกจากปากได้บ้าง

        เพราะการไปค้นหา ความมีชีวิต ที่อุบัติขึ้นมา ก่อนที่โลกจะปรากฏตัวขึ้นมา มันคงต้องไป ค้นหากัน บนอวกาศ แบบเดียวกับ การค้นหา สสารมืด ค้นหา ความเป็นไปของ หลุมดำ-หลุมขาว ที่อาจไม่ต้องเสียเวลา อ้างข้อมูล อ้างหลักฐาน อะไรมากมาย อาศัย จินตนาการ ทางวิทยาศาสตร์ แบบ นวนิยายวิทยาศาสตร์ วาดภาพออกมา เป็นฉากๆ ผู้ที่ให้ความเคารพนับถือ นักวิทยาศาสตร์ ไม่ต่างอะไรไปจากพระเจ้า ก็คงไม่กล้าเถียง ไม่กล้าตั้งคำถามใดๆ อีกต่อไป...

       (7) แต่เอาเป็นว่า ไม่ว่าทฤษฎี ว่าด้วยสิ่งมีชีวิต มีมาก่อนโลก จะได้รับการ ยอมรับ -ไม่ยอมรับ จากนักวิทยาศาสตร์ โดยส่วนใหญ่ หรือไม่ก็ตาม ทฤษฎีที่ว่านี้... ก็ดูจะ ไม่ใช่สิ่งแปลกใหม่ ใดๆ เลย สำหรับผู้ที่ไม่ได้เป็น นักวิทยาศาสตร์ แต่เป็นแค่ นักการศาสนา เท่านั้น อย่างเช่น ศาสนาพุทธของเราๆ เป็นต้น

เนื่องจาก พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านได้ทรงประกาศถึงทฤษฎี ทำนองนี้มาตั้งแต่ เมื่อกว่า 2,000 ปีที่แล้ว ปรากฏอยู่ใน พระคัมภีร์ ไตรปิฎกบท อัคคัญญสูตร ว่าด้วยสัตว์ (สิ่งมีชีวิต) ทั้งหลาย ที่มีแสงสว่างในตัวเอง ลอยไปลอยมาได้ ในอวกาศ กินปีติ เป็นภักษาหาร ซึ่งมีมาก่อนหน้าที่โลกนี้ จะอุบัติขึ้นมา ตามวัฏจักร วงจรการเกิดๆ -ดับๆ อย่างไม่มี ที่สิ้นสุด จนกระทั่ง เมื่อโลกได้เริ่มเย็น ขึ้นมาบ้าง สี กลิ่น และรส ของดิน (ง้วนดิน) ที่สุกใหม่ๆ จึงทำให้สัตว์ทั้งหลาย ที่ยังคงมี กิเลส หรือมีความปรารถนา ความกระหายใคร่อยาก จึงลงมากินง้วนดิน จนกลายมาเป็นสิ่งมีชีวิต ในแต่ละประเภท แต่ละลักษณะ และแต่ละเพศ ไปตามกรรม ของใครก็ของมัน

ซึ่งทฤษฎีที่ว่านี้ ไม่ว่าใครจะยอมรับ -ไม่ยอมรับ แต่ถ้าลองนำเอาแนวทางต่างๆ มาลงมือปฏิบัติดูแล้ว รับรองว่า... นอกจากจะไม่ต้อง ปวดเศียร เวียนเกล้า แบบพวกนักวิทยาศาสตร์ ยังอาจเกิดความสุข ความสงบ สะอาด สว่าง บรรลุนิพพาน เอาง่ายๆ ไปเลยก็ไม่แน่!!!

พ่อครูว่า.....นักวิทยาศาสตร์พยายามค้นคว้า เรื่องชีววิทยา พ่อครูก็นึกถึง นิยาม ๕ ที่มีใน อรรถกถาจารย์ ในคัมภีร์ วิสุทธิมรรค มีเรื่องธรรมนิยาม ๕ ซึ่งในพระไตรปิฏก ค้นไม่เจอ

ท่านพรหมคุณาภรณ์ ท่านได้เขียนไว้ เรื่องนิยาม ๕ ซึ่งพ่อครูสะดุด ภาษาบาลี เมื่อสัมผัส คำว่า อุตุ พีช จิต กรรม ธรรมะ เมื่ออ่านแล้ว ก็สว่างวาบเข้าใจ โดยไม่ต้องอ่าน คำอธิบาย ของคนอื่น และเมื่ออ่านของคนอื่น ก็ไม่ตรงกับ ที่พ่อครู เข้าใจทั้งหมด

พ่อครูอ่านบทความแล้วก็เข้าใจ สรุปจากบทความ เป็นอันว่า นักวิทยาศาสตร์ สรุปว่า มีสิ่งมีชีวิต ที่มีมาก่อนโลกใบนี้ พ่อครูก็ว่า "ถูกต้องแล้วครับ" (พ่อครูแสดง นัจจคีตะวาทิตะ เพื่อเป็นองค์ประกอบ ในการสื่อ ใครจะเพ่งโทส ก็ไม่มีปัญหา)

ถ้าเข้าใจอย่างบทความ ก็ต้องว่า พระเจ้าเกิดก่อนอื่นใด เป็นผู้สร้างทุกอย่าง ศาสนาพุทธ ไม่เถียงไม่แย้ง และก็ไม่รับ เพราะไม่มีใครตัดสิน ไม่มีใคร ตั้งศาลมาตัดสิน และก็ไม่มีใคร จะมาล้มศาล ก็ไม่ได้แย้งว่าพระเจ้า เกิดก่อนทุกอย่าง แต่วิทยาศาสตร์ว่า มีชีวะ เกิดก่อนโลกลูกนี้ เราอยู่ในโลกลูกนี้ สถานที่อยู่ในโลกลูกนี้ เป็นหลัก คุณจะออก หรือไม่ออกไป จากโลกลูกนี้ ก็ไม่มีใครรู้อีก เพราะเชื้อชีวิตของคุณ ที่ตายแล้ว ไม่มีใครวัดได้ จะมีขนาดเล็กแค่ไหน ไม่มีใครรู้ พระพุทธเจ้าว่า ไม่มีรูปร่างตัวตน ไปได้ไกลมาก จะออกจากโลกหรือไม่ ไม่มีใครรู้ คนที่ติดยึดในโลกลูกนี้ ก็จะอยู่โลกนี้ ส่วนคนฉลาด ก็จะออกนอกโลก ลูกนี้ได้

ชีวะนั้นมีอายุมากกว่าโลกลูกนี้ ตามที่บทความ เขามีเขียนถึง การค้นพบว่า ชีวะมีมา ยาวนานกว่า หมื่นล้านปี ซึ่งพ่อครูว่า ที่วิทยาศาสตร์ว่า ชีวะมีอายุยืนยาว กว่าหมื่นล้านปี แต่ว่าพ่อครูว่า ชีวะมีมาก่อนนั้นอีก และก็ไม่รู้ ที่ต้นด้วย

วิทยาศาตร์ก็ศึกษาไปมากมาย ต่อให้สร้างหุ่นยนต์ แล้วก็จะให้เป็นชีวะขึ้นมา พ่อครู บอกว่า เป็นไปไม่ได้ ไม่ต้องเสียเวลา แม้แต่หุ่นยนต์ที่นักวิทยาศาสตร์ จะให้มันเกิด พลังงาน ให้พลังงานมันมีชีวิต มีความรู้สึก (เวทนา) ซึ่งในชีวิตนั้นมี เวทนากับสัญญา มาทำงานกันเป็น สังขาร

มีภิกษุณี เถรี พูดไว้ว่า กายสังขาร คือลมหายใจเข้า-ออก วจีสังขารคือวิตกวิจาร จิตสังขารคือเวทนาและสัญญา ซึ่งชัดเจนเป็นสัจธรรม

เวทนาและสัญญารวมกันเป็นพลัง แล้วก็ให้ตัวความจำ เป็นต้นทุน และก็มีเจตนา เป็นต้นทุนในการเกิดต่อไป ถ้าจิตมีอกุศล ก็เป็นอกุศลเหตุ ผู้ที่เข้าใจรากฐาน ว่าพลังงานที่ละเอียดเล็ก ในรูปกับนาม รูป

ชั้นแรกถือว่า เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ที่ไม่เป็นชีวะ ขั้นที่สองคือ รูปที่ถือว่า เป็นสิ่งที่ถูกรู้ ที่เป็นชีวะ รูป คือรูปธรรม ส่วน รูปรูป คือนามธรรม เมื่อนามธรรมเราสัมผัสรู้ ก็กลายเป็นอุปาทายรูป เมื่อเรามีนามธรรม ไปอ่านรู้ในนามรูป หรือนามธรรมอีก จะหลับตาหรือไม่ จะมีนิมิตหรือไม่ เกิดแล้วเราก็อ่านต่อไป ถ้าคุณสามารถอ่าน แล้วบอกได้ คุณก็เก่งขึ้นได้เท่านั้น อ่านตัวขับเคลื่อนอ่านง่าย แต่ตัวนิ่งอ่านยาก

ในทุกพลังงาน จะมีพลังงาน โพเทนเชียน (potential energy) และพลังงาน ไคเนติก (kinetic energy) จึงเรียกว่า พลังงานมีทั้งบวกและลบ ส่วนที่นิ่งนั้น ยังมีสิ่งที่อยู่ลึกไปอีก

ยิ่งเป็นพลังงานแฝง ใต้ก้นบึ้งของจิต ยิ่งมีพลังงานสูง เป็นอัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา พอออกบทบาทมา ก็เป็นตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ ก็เกิดการสังขาร เป็นสังกัปปะ ๗ ถ้าเข้าใจทะลุทะลวง จะเข้าใจวจีสังขาร ที่เป็นมโนกรรม เมื่อสังขารปรุงแต่งเสร็จ ก็คือวจีสังขาร

จะมีความสามารถจัดแจงปรุงแต่ง ให้จิตสะอาด ถ้าสามารถทำให้ ส่วนไม่สะอาด ออกได้หมด ก็สะอาด ในทุกขณะที่คุณ จัดแจง ปรุงแต่ง สังขาร หรือเรียกว่า มนสิกโรติ เมื่อจัดการตัวร้าย หรืออกุศล ออกได้ เสร็จก็เรียกว่า วจีสังขาร ก็จะมีตัวต้นทุนแรก กับต้นทุนใหม่ บวกลบกันออกมา

วจีสังขาร คือจิตสังขาร ที่ทำงานเสร็จแล้ว เราตอบไม่ได้ ว่ามันบวกลบคูณหาร กันอย่างไร ในกระบวนการ สังกัปปะ ๗ วจีสังขาร คือผลของ การทำงานของจิต

ถ้าพลังงานที่จับตัวแน่นตีแตกยาก คือถีนมิทธะ ส่วนที่ฟุ้งจับไม่ติดคือ อุทธัจจะกุกกุจจะ

ชีวะหรือสิ่งมีชีวิต มีสารอินทรีย์ บทความเขาสรุปว่า มีมาก่อนโลกเกิด แล้วสรุปว่า พระพุทธเจ้า ก็รู้แล้วว่า ในโลกนี้ว่า...จนกระทั่ง เมื่อโลกได้เริ่มเย็นขึ้นมาบ้าง สี กลิ่น และรส ของดิน (ง้วนดิน) ที่สุกใหม่ๆ จึงทำให้สัตว์ทั้งหลาย ที่ยังคงมี กิเลส หรือมี ความปรารถนา ความกระหายใคร่อยาก จึงลงมากินง้วนดิน จนกลายมาเป็น สิ่งมีชีวิต ในแต่ละประเภท แต่ละลักษณะ และแต่ละเพศ ไปตาม กรรม ของใครก็ของมัน

เป็นการอธิบาย ในรายละเอียดที่ตัดมา ว่าเมื่อชีวะในมหาจักรวาลมีอยู่ แล้วเมื่อมีโลกใด ที่มีอาหารหรือองค์ประกอบ ที่เหมาะสม ชีวะในมหาจักรวาล ก็จะลงมากินอาหาร ก็เกิดเป็นชีวะ ที่เล็กน้อยเกิดในทะเล จนวิวัฒนาการ มาเป็นสัตว์บก ดังปัจจุบัน

ไอสไตน์ ศึกษาวิทยาศาสตร์ เก่งที่สุดแล้ว พ่อครูพอรู้เรื่อง อจินไตย ในเรื่องโพธิสัตว์ และก็อธิบายยาก บางอย่าง เป็นภูมิโพธิสัตว์ เช่นรู้ว่า ชีวะนั้น มีอยู่ในมหาจักรวาล โลกมีหลายลูก ที่ชีวะจะเกิด มีต่างดาวด้วย และก็ชีวะ ที่จะวิวัฒนาการ มาเป็นมนุษย์นั้น มันนานมาก เพราะพ่อครู มาเป็นโพธิสัตว์นั้น นานมาแล้ว คำพูดที่ว่า นานเป็นล้านปีนั้น มันสั้นกว่านัก ที่เราเวียนว่าย โลกลูกนี้มีมา ๔,๕๐๐ ล้านปี พ่อครูก็อยู่มาก่อน โลกลูกนี้เกิดอีก จึงกล้าพูดว่า ที่เขาคำณวนมานั้น ยังไม่ยาวนานหรอก

ท่านจันทร์ถามว่า ดาวอังคารมีมนุษย์หรือไม่ พ่อครูตอบว่าไม่ แต่ว่าอาจจะมีชีวะ ซึ่งไม่น่าจะสูงเท่าไหร่ เขาค้นพบว่า ดาวอังคารมีน้ำ ซึ่งก็น่าจะมีชีวะ แต่ยังไม่ถึงขั้น มีมนุษย์

เมื่อมาศึกษาศาสนาพุทธ จึงรู้ความจริง เมื่อสัมผัส นิยาม ๕ นี้ แม้จะมาค้น ในไตรปิฎกเถรวาท ก็ไม่มี ซึ่งคิดว่า คำสอนพระพุทธเจ้า ก็บันทึกไว้ไม่ครบหรอก ในไตรปิฎก ในพระไตรปิฎก ของมหายาน ก็บันทึก แต่ว่านิยาม ๕ ไม่มีในฉบับ สยามรัฐ แต่ว่าเมื่อพ่อครู สัมผัสนิยาม ๕ นี้ก็บอกได้เลยว่า มีแน่ และไม่ใช่ความรู้ ของอรรถกถาจารย์แน่ ต้องเป็นภูมิพระพุทธเจ้า จึงจะบัญญัติได้ ใน นิยาม ๕

๑. อุตุนิยาม คือบัญญัติพลังงานขั้นอุตุ เช่น อุณหธาตุ พลังงานที่ยังไม่เป็นชีวะ จะมีฤทธิ์อำนาจมหาศาล อย่างพลังงานของดวงอาทิตย์ ก็ยังหยิบมาใช้ไม่หมดเลย มีมหาศาล แตกย่อยออกไปอีกมาก สรุปแล้ว อุตุคือพลังงาน ที่ยังไม่เป็นชีวะเลย มีมากมาย เอามาใช้ยังไม่ได้หมด เช่นกัมมันตภาพรังสี ก็ยังควบคุม ไม่ได้หมดเลย แต่เมื่อมันสังเคราะห์ตัวเอง จนถึงขีดหนึ่ง เช่นว่า ความร้อนมันถึงขีดหนึ่ง จะมีจุดชวาน จุดติดเป็นเปลวไฟ มีจุดๆหนึ่ง หรือจุดแห่งความร้อนจุดหนึ่ง จะมีอำนาจสลายธาตุ เช่น ทำให้น้ำระเหย หรือทำให้เหล็กละลาย มันมีจุดวิกฤติหนึ่ง ทำให้เปลี่ยนสภาพ เรียก สร้างหรือทำลายก็ได้

เช่นโลกียธาตุ เกิดเป็นโลกุตรธาตุ จากโสดาฯ ไปจนเป็นอรหันต์ เป็นต้น จะต้องสังเคราะห์ ด้วยเหตุปัจจัย ที่สมบูรณ์ ก็จะสังเคราะห์กัน เป็นพีชะ

๒. พีชะ ซึ่งพีชะที่เล็กมาก ยังไม่จับตัวกัน นักวิทยาศาสตร์ ก็ยังค้นไม่พบ ซึ่งพีชะจะเป็นพลังงาน ที่พัฒนาจากอุตุ แต่จะยังไม่มีเวทนา ยังรู้สึกชอบ ชัง รักหรือโกรธ ไม่ได้ จึงไม่มีการดูดและผลัก ในเชิงพยาบาท หรือโลภ(รัก) คือยังไม่มีผลักหรือดูด แต่พลังงานสามัญของอุตุ ที่มันมีดูดหรือผลัก บวกหรือลบก็มี พืชจะมีสัญญากับสังขาร เป็นตัวกำหนด มันก็จะจำว่า ธาตุนี้เอา เราก็ใช้ ก็เอามา ธาตุนี้ไม่ใช้ ก็ไม่เอา

สรุปคือ พีชะนิยาม ไม่มีกรรมวิบาก เรียกว่า สังขารที่ไม่มีวิญญาณครอง (อนุปาทินนกสังขาร) ไม่มีกรรมวิบาก เพราะจิตของมัน ยังไม่ถึงวิญญาณ ยังไม่ถึง จิตนิยาม แต่เป็นชีวะแล้ว

มันมีแต่เชื้อชีวะพาเกิด อาศัยมหาภูตรูปเยอะ ยังไม่ใช่ตัวตน พลังงานของมัน ยังไม่เวียนเกิด เวียนตาย และมันก็มีมาก มันเกิดก่อน และมันก็มีมากกว่า สัตว์โลก พืชมีมากกว่าสัตว์ มีมากชนิดกว่า

๓. จิตนิยาม คือพลังงานที่พัฒนากว่า พีชะ คือมี เวทนา จิตนิยาม มีทั้ง รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ครบขันธ์ ๕ จึงเกิดกรรมวิบาก เพราะมีวิญญาณครอง (อุปาทินนกสังขาร) ดังนั้น นิยามต่อไป จึงเป็นกรรมนิยาม มนุษย์นั้น มีครบขันธ์ ๕ ถ้าอวิชชา ก็อยู่มา นานกว่าพ่อครูก็มี แล้วก็ไม่เคยคิด หรือคิดไม่ออก ก็จมอยู่กับ การเวียนว่าย นานนับชาติ เมื่อไม่พากเพียรศึกษาธรรมะ เรียก อเวไนยสัตว์ (สัตว์ที่สอนไม่ได้) เขารักดี แต่เท่าที่ตัวเองจะทำ แล้วก็พัฒนามาเป็น กัลยาณชน ก็รู้จักคุณค่า กัลยาณชน ก็จะจมอยู่ใน วัฏฏะสงสาร ของการสร้างความดี อีกนานเท่านาน ถ้าไม่มีภูมิรู้ มีปัญญารู้ว่า มีสิ่งดีกว่ากัลยาณธรรม รู้ว่าโลกียะนั้น ดีที่สุดก็ลงมาต่ำสุดได้ จนตัวเอง เข็ดหลาบ แล้วก็ออกมาจากโลกีย์ ออกจาก เหตุแห่งโลกีย์ ทำลายตัวกูของกูได้

๔. กรรมนิยาม พระพุทธเจ้ารู้แจ้ง ออกจากโลกโลกีย์ได้ แต่ไม่ได้ดูถูกโลกีย์เขา ในโลกของโลกียะ จะเรียนรู้ กรรมนิยาม รู้กุศลอกุศล จนสามารถมาศึกษา พุทธศาสนา จึงจะรู้ธรรมะ ขั้นโลกุตรธรรม ที่ไม่วนเวียน เกิดขึ้นตั้งอยู่ดับไป จนเบื่อที่จะวนเวียน แล้วมาหาทางออกได้ พระพุทธเจ้าจึงตรัสว่า คนจะมาศึกษา พุทธศาสนาจริงนั้น เป็นกุศล มหาศาล อย่างยิ่ง แม้ผู้ที่พอจะเข้าใจรู้ว่า นี่คือทางออก ก็ยังไม่มาปฏิบัติ วนเวียนอยู่ เข้าๆออกๆ ยิ่งผู้ที่เคยได้ความสูงส่งโลกีย์ เช่น คุณเคยเป็นศาสดา ศาสนาโลกีย์ ก็ยังมีตกค้าง ความยิ่งใหญ่ จะออกมา ก็ไม่ง่าย คนที่ไม่เคยใหญ่ ก็ออกมา ง่ายกว่า บอกไม่ได้ว่า ความฉลาดนี้ จะเอามาจากไหน ว่าโลกุตระดีกว่า โลกียะภูมิ

ผู้จะรู้จักกรรมนิยาม รู้กรรมดีกรรมชั่ว หรือกรรมโลกียะ โลกุตระนั้น คุณต้องรู้จิต - เจตสิก - รูป - นิพพาน ผู้จะรู้ได้นั้น ต้องมี ธาตุยินดี(ฉันทะ) ที่รู้เลิกโลกีย์ มาอยู่กับ โลกุตระ ไม่อยากวน อยู่กับโลกีย์ ในโลกที่คุณไปเสพสุข-ทุกข์ ที่เขาอวิชชา เขายึดว่า มันดีจริงๆ กว่าจะทิ้งสิ่งนั้นได้ ก็ต้องพากเพียรพิสูจน์ อะไรที่เห็นว่าไม่ดี มันชั่ว พาไม่เจริญ ไม่เป็นคุณค่า เลิกมันเลย ของใครของมัน เลิกตัวนี้ซักทีเถอะ พยายามจับตัว อาการจิตมันได้ พยายามเลิก จนมีปัญญาว่า เลิกมันแล้ว ก็ไม่ได้ลด คุณค่าอะไร เราไปน่ามี น่าได้น่าเป็น กับมันทำไม เราจะเห็นความโง่ ว่าเราไปวนเวียน กับมันทำไม ผู้ชายก็เรียก ไอ้โง่

คุณไม่รู้หรอกว่า ติดมากี่ชาติ ที่อธิบายว่าเป็นหมาไป ๕๐๐ ชาติ เพราะไปติดยินดี ในภพหมา ไม่รู้ว่าที่ดีกว่าหมา ยังมีอีกมาก จนกระทั่งเข็ดหลาบ ไม่เอาแล้ว ที่จะไปเป็นหมา ถ้าเรามีญาณพ้นแล้ว เราไม่ใช่คนแรกที่หลง แม้เราออกมา คนอื่น ก็หลงอีกเยอะเลย พระพุทธเจ้าออกมา ก็ยังมีคนหลงอีกมาก เราออกมา ก็จะได้เปรียบเทียบ แต่ก่อน เราหลงอย่างนั้นมา เมื่อเรามีจิตถึง อรหัตผล ทำลาย ความติดยึดได้แล้ว แม้จะอนาคามี ก็ยังติดอยู่ใน รูปราคะ อรูปราคะ แต่เมื่อเรา หลุดออกมาได้ จึงรู้ว่าตนโง่ ไปเป็นตามที่หลงใหล

อะไรที่เรารู้ว่าติดยึดอยู่ ชั่วอยู่ ก็ให้หยุด ออกมา เช่นโกงบ้านเมืองมันชั่ว ก็มีฉันทะในการออกมา ก็เลิกเลย แต่ถ้าไม่ล้างเหตุกำจัดมันด้วยไฟฌาน ก็จะวนเวียน กลับไปเป็นอย่างเดิมอีก ต้องใช้ไฟฌาน ที่สามารถสลาย ไฟราคะ-โทสะ-โมหะ

ผู้ที่เข้าใจและปฏิบัติอย่างสัมมาทิฏฐิ เริ่มต้นจากอบายภูมิของตน สักอย่าง ก็จะมามีโลก ที่ดีขึ้นสูงขึ้น แต่ก็ต้องไม่ยึดติด ในความดี ต้องสลายต่อ อนาคามี ก็ต้องล้างต่อ จนสูญ อยู่ในโลกอย่างไม่ต้อง ติดยึดอะไร

ถ้ายังมีขันธ์ ๕ ไว้อาศัย อย่างอรหันต์ทุกองค์ ก็รู้ว่าขันธ์ ๕ เป็นเครื่องอาศัย ท่านหยุดกรรมบาป หยุดกรรม ที่จะสร้างกิเลสให้ตน แต่ท่านจะทำงาน กตัญญูกตเวที ช่วยโลก สงสารโลก ที่เราเคยทรมาน หลงติด เมื่อเรารู้แล้ว เราจะตัดช่องน้อย แต่พอตัวก็ได้ มีอรหันต์บางองค์ ไม่อุตสาหะ พ่อครูเคยพูดว่าอรหันต์ทุกองค์ จะตั้งจิต เป็นโพธิสัตว์ ช่วยโลกต่อ เพราะท่านไม่ทุกข์แล้ว เมื่อเกิดอีก ก็จะสร้างบารมี แม้จะมีทรถ คือความกระวนกระวายใจ อย่างอรหันต์ แม้จะสิ้นหมดแล้ว กามสวะ ภวาสวะ อวิชชาสวะ ก็เป็นอรหันต์แล้ว ก็ยังไม่ ทรถา ที่ไม่สงบสนิท เพราะเป็นสภาวะ ที่ต้องอาศัยขันธ์ ในการทำงานต่อไป แม้ไม่ต้องแสวงหาอาหาร มาให้ตนเอง (อาหาร ปริเยติทุกข์) ต้องมีงานไปหาอาหาร ให้ตนเอง ผู้ใดมีปฏิภาณ ก็ไม่หาเฉพาะตน ก็หามา ให้คนอื่นด้วย เผื่อคนอื่นด้วย คุณทำก็เหน็ดเหนื่อย โดยสภาวะ ต้องเลี้ยงรูปขันธ์ ส่วน เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ก็ทำงานเคลื่อนไหว จะรู้จักใช้ประโยชน์ทำงาน ในจูฬสุญญตสูตร ท่านว่า มีไม่ว่างอยู่ก็เพียง ทรถ แม้มีวิบาก อย่างพระพุทธเจ้า ต้องเจ็บป่วย ก็ต้องทุกข์
๑.  สภาวทุกข์ ทุกข์ประจำสังขาร เกิด แก่ เจ็บ ตาย
๒. นิพัทธทุกข์ ทุกข์อยู่เนืองนิตย์ คือ หนาว ร้อน หิว กระหาย ปวดอุจจาระ ปวดปัสสาวะ
๓. อาหารปริเยฏฐิทุกข์ ทุกข์ในการหากิน-การทำงาน .
๔. พยาธิทุกข์ อวัยวะเจ้าการทำหน้าที่ไม่เป็นปกติ
๕. วิปากทุกข์ ทุกข์เพราะผลกรรม เลี่ยงวิบากเก่าไม่ได้
๖. ทุกขขันธ์ ทุกข์รวบยอดเพราะการประชุมแห่งขันธ์ ๕ อันยังอาศัยมีชีวิตอยู่

นี่คือทุกข์ ๖ อย่างที่เลี่ยงไม่ได้ คือทรถ อรหันต์ที่ท่านจบกิจ จะปรินิพพานก็ได้ แต่อรหันต์ทุกท่านจะมีกตัญญูกตเวทีแน่ เพราะมนุษย์ธรรมดาสูงพอ ก็มีกตัญญู กตเวทีแล้ว เป็นกุศลธาตุ ที่มนุษย์ธรรมดาก็มีแล้ว เป็นอรหันต์แล้ว จะไม่กตัญญู ไม่มีหรอก ท่านจะช่วยโลก เท่าที่ท่านจะทำได้ คุณอย่าห้าม พระพุทธเจ้า ไม่ให้ปรินิพพาน ซึ่งเป็นพุทธวิสัย ท่านช่วยโลก มาเท่าไหร่แล้ว จะไม่ให้ท่าน ปรินิพพานเลยหรือ? พระพุทธเจ้า ท่านเป็นพระพุทธเจ้าสมัยเดียว ไม่มีองค์ไหน เป็นสองสมัยหรอก

๕. ธรรมนิยาม จิตนิยามถึงขั้นอาริยะ จึงจะรู้กรรมชั้นโลกียะ ขั้นโลกุตระ หรือเรียกว่า ธรรมะ จะรู้ว่ากิริยาใน จะทำให้เกิดโลกียะ หรือโลกุตระ คือพระโสดาบัน เป็นต้นไป

ท่านจันทร์สรุป พระอรหันต์นั้นมีทุกข์ ๖ ข้อ ส่วนผู้ไม่ใช่พระอรหันต์ มีทุกข์ ๑๐ ข้อ ู้ผู้ที่เป็นพระอรหันต์ทุกองค์ จะต้องมีกิจช่วยมนุษย์สืบต่อ ส่วนท่านจะตั้งจิต ต่อพุทธภูมิหรือไม่ ก็แล้วแต่ ส่วนพ่อครูไม่เคยคิดรีไทร์ จากการเป็นพระโพธิสัตว์ คือไม่พยายาม เข้าไปแช่อยู่ใน สุทธาวาส ๕

ชีวะมีมาก่อนโลกอีก แล้วจะพัฒนา ตามลำดับจาก อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ ซึ่งพีชะไม่มี เวทนา เราทำลายพืช จึงไม่มีการจองเวร จองกรรม แต่ว่าต้องระวัง รุกขเทวา คือคนรักต้นไม้ เราจึงไม่ควร ตัดต้นไม้ ........

จบ

 
๒๘ เมษายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก