560503_รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท
เรื่อง สมาธิต้องมีสัมมาทิฏฐิก่อน ตอน ๓

    ส.ฟ้าไทเปิดรายการที่ห้องกันเกรา สันติอโศก...

วันนี้ก็ใกล้วันที่ ๕ แล้ว ที่จะมีกลุ่มชนชาติพันธุ์ มาถวายพระพรในหลวง ที่สนามเสือป่า วันนี้ก็มีฝนเข้ามาต้อนรับชาวกทม. พวกเราชาวอโศก ก็มาช่วยกันเตรียมงาน เตรียมอาหาร ต้อนรับพี่น้อง ที่จะมาร่วมงาน

ส.ฟ้าไทว่า... พ่อครูก็จะอธิบายธรรมที่ลึกซึ้ง ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท เรื่องของสังขาร เรื่องของชาติ เป็นธรรมะโลกุตระ ซึ่งจำยาก แต่เรื่องของกิเลสนั้น จำได้ง่ายมากเลย มันเชี่ยวชาญ เป็นสัญชาติญาณ โดยที่ไม่มีใครมาบอก แต่รู้แต่เห็นมากก็จำเลย ไปหาที่ชอบๆเลย แต่เรื่องของโลกุตระ ต้องฟังแล้วฟังอีก เพราะเราไม่มีบารมี จนพ่อครูต้อง พูดแล้วพูดอีก แต่เราก็ยังเนิ่นช้า เราก็ต้องพากเพียร เพราะพ่อครู ก็พยายาม สอนพวกเรา อยู่ตลอด มีครูเช่นนี้ ก็ถือว่า เป็นครูของชีวิต สอนฟรี และเอาใจใส่ลูกศิษย์

พ่อครู. วันนี้ก็จะมาต่อเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท ธรรมะพระพุทธเจ้ารวมไว้ที่ ปฏิจจสมุปบาท ศาสนาพุทธนั้น พยายามเรียนรู้ อิทัปปัจจยตา มีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้ เป็นเหตุปัจจัยกัน พระพุทธเจ้าค้นพบ เหตุที่เป็นตัวการใหญ่ในจิต ที่เรียกว่า สมุทัยอริยสัจ ซึ่งผู้ที่เรียนศาสนามา ก็ว่าคือ "ตัณหา" เขารู้พยัญชนะ

คำว่า "สมุทัย" แปลว่าเหตุ ซึ่งในปฏิจจสมุปบาทนั้น มี อวิชชาเป็นปัจจัย ให้เกิดสังขาร เกิดวิญญาณ นามรูป สฬายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา อุปาทาน ภพ ชาติ ชรา มรณะ ทุกขโทมนัส อุปายาสะ

ชาติ นั้นมี ชาติ - สัญชาติ - โอกกันติ - นิพพัตติ - อภินิพพัตติ ซึ่งก็คือ เรื่องของ การเกิด ทั้งนั้น แต่มีนัยยะละเอียดต่างกัน อย่างคำว่า อภิ แปลว่ายิ่งใหญ่, เหนือ

ภพ นั้นท่านแจกเป็นสาม คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

อุปาทาน ท่านแจกเป็น ๔ อย่าง คือ กามุปาทาน ศีลพตุปาทาน ทิฏฐุปาทาน อัตวาทุปาทาน

ตัณหา ในปฏิจจสมุปบาท ท่านแจกวิภังค์ว่าคือ ตัณหา ๖ ที่มี ตัณหา ๖ เพราะเกิดจาก เวทนา ๖ วิญญาณก็มี ๖ ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันว่า ธรรมะพระพุทธเจ้า ต้องปฏิบัติลืมตา เปิดทวาร รับผัสสะ

พ่อครูก็พูดไม่เหมือนกับคนอื่น และก็ต้องติเตียนสิ่งผิด ซึ่งทำได้ตามพระพุทธเจ้าสอน คือ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง คือ ติสิ่งที่ควรติ ชมสิ่งที่ควรชม ซึ่งเมื่อวาน พ่อครูก็พูดให้เขาฟัง เรื่องการติอย่างละเอียด ที่สุดแล้วก็คือ ให้แต่ละคน ตัดสินเอง ว่าอะไรเป็น ธรรมวาที อะไรเป็น อธรรมวาที

เหตุที่เขาไม่ติใคร นั้นคือ

๑. ไม่รู้ว่าอะไรถูกอะไรผิด เพราะเขาไม่มีปัญญารู้ว่า อันนี้ถูก อันนี้ผิด เขาก็รู้ว่า อันนี้แหละ ถูกแล้ว เขาก็ยึดของเขา เขาไม่รู้อีกอันหนึ่ง ว่าถูกหรือผิด เขาก็ติไม่ได้

๒. เพราะไม่กล้า ซึ่งเขาพอรู้อยู่ว่า อันไหนถูกอันไหนผิด แต่เพราะกลัวเขาโกรธ ซึ่งโกรธเพราะเขาเสียลาภยศสรรเสริญ เราก็กลัวถูกว่า เราจะต้องเป็นคนที่ ไม่มีใครว่า ต้องรักษามาดไว้ รักอัตตาตัวเอง โดยไปเข้าใจว่า อย่าไปว่าใคร

๓. เพราะเป็นพวกเดียวกัน, เป็นอย่างเดียวกัน, เชื่ออย่างเดียวกัน, เห็นอย่างเดียวกัน แล้วจะไปว่า ได้อย่างไรกัน  

๔. เพราะรู้ว่ายังไม่สมควรจะติ ซึ่งเป็นคุณธรรมของผู้นั้น จะด้วยยังไม่มีข้อมูล หรืออะไร ก็แล้วแต่ ถ้าจะติก็ต้องติด้วยศีล ติด้วยเมตตา พวกนี้สูงกว่า คนที่ไม่กล้าตำหนิ อันนี้ ปราชญ์ไม่ตำหนิ (อนวัชชะ)

๕. ไม่รู้ว่าพระพุทธเจ้าสอนว่าให้ นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง (ตำหนิ สิ่งที่ควรตำหนิ สรรเสริญ ในสิ่งที่ควรสรรเสริญ) หรือเผลอไป แม้เคยรู้มา แต่ว่าลืมไป เผลอไป และที่เขาว่าพ่อครู ว่าไปติเขาทำไม ซึ่งเขาก็กำลังตำหนิ อยู่นั่นเอง

ที่นี้ที่เขาบอกว่า มีแต่ตนเท่านั้นที่รู้ คนอื่นไม่รู้ ...ก็ต้องขอบอกว่า พุทธนั้น เพี้ยนไปแล้ว ทั้งโลกเลย ไม่ใช่เฉพาะในไทยเรา เช่นความเห็นว่า สมาธิหรือฌาน คืออย่างนั้น หรือ คำว่า อภิสังขาร ๓ อย่างที่เขาแปลไปตามพยัญชนะ ซึ่งก็ไม่ผิดหรอก แต่ว่าพ่อครู แปลอย่าง โลกุตระ ก็ไม่เหมือนกัน ถ้าเปิดใจกว้างว่า มีเหตุผลหรือไม่ ที่พ่อครูพูด พ่อครู เอามาจาก ไตรปิฎก

ธรรมะของพุทธนั้น ถูกทำให้เพี้ยนไปหมดแล้ว โดยเฉพาะในหมู่ใหญ่ แทบทั้งนั้นเลย เมื่อพ่อครู พูดสิ่งถูก มันก็ไปแย้งกับ ที่ท่านเห็นกันหมด อย่างที่ท่านยึดถือ ท่านทำอย่างนั้น เมื่อพูดว่า อย่างนั้นไม่ถูก ก็ไปถูกท่าน ทั้งนั้นเลย แต่เมื่อพูดถึงสิ่งถูก ก็ไปโดนเราอีก เพราะมีแต่เรา ที่ปฏิบัติอย่างนี้ และส.ฟ้าไทว่า พ่อครูมีหลักฐาน จากพระไตรปิฎก ที่หมู่ใหญ่แปลมาเอ งเอามาอ้างอิง

พ่อครูว่า เขาเรียนในไตรปิฎก แต่ว่าไปจำสิ่งที่อาจารย์ สอนมาผิดๆ ไม่เอาเนื้อแท้ ในพระไตรปิฎก อย่างที่พ่อครูเอา มหาจัตตารีสกสูตร มายืนยันเรื่องของ สมาธิ ว่าต้องมี เหตุและปัจจัย มาก่อน จึงเกิดสัมมาสมาธิ

สมาธิไม่ใช่เกิดจาก ไปนั่งหลับตา แต่เกิดจากการเปิดทั้ง ๖ ทวาร ในการปฏิบัติ ก็เอาใน พุทธวจนะมาอ้างอิง จะไปพูดอย่างอื่น ก็ไม่ได้ ซึ่งมีพูดอยู่คนเดียว แล้วศาสนาพุทธ เขา มีกันมา ตั้ง ๒๖๐๐ ปีแล้ว เขาทำผิดมาตลอดได้อย่างไร? ซึ่งพ่อครูก็ว่า คือกลอง อานกะไงล่ะ ไม่มีเนื้อแท้เหลืออยู่เลย

วันนี้จะอธิบายหลัก "มูลสูตร" มูล คือต้นเค้า ต้นเงื่อน ต้นหลัก

๑. มีฉันทะ เป็นมูล -รากเหง้า (มูลกา)  แปลว่าจิตต้องยินดี พอใจที่จะปฏิบัติ เป็นพุทธมามกะ ยินดีจะปฏิบัติ ให้บรรลุธรรม

๒. มีมนสิการ เป็นแดนเกิด (สัมภวะ) คำนี้ไม่มีโยนิโส คำว่ามนสิการ ท่านแปลว่า ทำไว้ในใจ ซึ่งไม่ผิด ก็คือทำใจ จัดการ(สังขาร)ใจ ปรับปรุงใจ และก็ทำอภิสังขารเป็น ซึ่งผู้ปฏิบัติ นั่งสมาธิ ก็ทำใจเหมือนกัน ทำเพ่งกสิณ เขาก็ทำใจ แต่อย่างนั้น มันไม่สัมมาทิฏฐิ ไม่ถูกต้อง

จะมนสิการได้อย่างถ่องแท้ แยบคายลงไป ถึงที่เกิดได้นั้น ถ้าไม่ได้ศึกษา ก็ทำใจไม่เป็น จะต้องได้ พบสัตบุรุษ จึงได้ฟังสัทธรรม และเกิดศรัทธา อย่างสัมมาทิฏฐิ เมื่อศรัทธา บริบูรณ์ โยนิโสมนสิการ จึงจะบริบูรณ์ได้ เพราะได้ฟังธรรมะ จากสัตบุรุษ ได้คบหา คบคุ้น พิสูจน์เลยว่าเป็น สัตบุรุษจริงหรือไม่? จนเห็นจริง เห็นแจ้งว่าใช่ แล้วก็เอาความรู้ไป มนสิการ และก็ทำ สำรวมอินทรีย์ ให้มี สุจริตกรรม ๓

๓. มีผัสสะ เป็นเหตุเกิด (สมุทัย) ก็ไปเข้าใจผิดว่า จะปฏิบัติให้นิพพานนั้น ผัสสะไม่ได้ ต้องตัดผัสสะ ซึ่งพ่อครูก็เปิดไตรปิฎก เรื่องปฏิจจสมุปบาท ที่ว่าด้วยเรื่องของ ผัสสะ ๖ ซึ่งในมูลสูตรนั้น มีผัสสะเป็นเหตุ (ในที่อื่นจะว่า ตัณหาคือสมุทัยอริยสัจ คือเป็นเหตุของ เนื้อปรมัตถ์ ในจิตเลย) แต่ว่าในมูลสูตร หมายถึงว่า ถ้าไม่มีผัสสะ ก็ไม่มีเหตุที่จะได้ บรรลุธรรมเลย

๔. มีเวทนา เป็นที่ประชุมลง (สโมสรณา) เมื่อมีผัสสะแล้ว มันก็จะรวมธาตุรู้ ตั้งแต่ องค์ประชุมภายนอก แล้วก็การสัมผัส ทางทวาร ๕ มาประชุมลงที่ใจ และมันก็เกิด เวทนา ซึ่งเราจะต้องทำ สติปัฏฐาน ๔

กายในกาย พอมันมีการสัมผัสทางภายนอก เป็น กายนอก และเข้ามาภายใน ก็เป็นองค์ประชุม เป็นสิ่งที่ถูกรู้อยู่ เรียกว่า กายใน ดังนั้น กายที่ถูกรู้อยู่ในใจ ใจก็จะรู้ เรียกว่า วิญญาณรู้ รู้แล้วก็เกิดเป็น เวทนา

เวทนาในเวทนา จึงมาประชุมลงที่เวทนา คนก็ไปหลงใหลได้ปลื้มที่ เวทนา นี่แหละ ซึ่ง เวทนาก็มี ๓ ก็ต้อง กำหนดรู้เวทนา ๓ ในเวทนา ๖ เช่น ตากระทบมาก็เกิด สุข-ทุกข์-อุเบกขา นี่แหละที่เรียกว่า มโนปวิจาร เกิดเป็น สัตว์สุขก็คือเทวดา สัตว์ทุกข์ก็คือ สัตว์นรก สัตว์ไม่สุขไม่ทุกข์ก็คือ อพยากตธรรม

ใน เคหสิตเวทนามี ๑๘ และเนกขัมมสิตเวทนา ๑๘ เป็นความประชุมลง ที่สำคัญ ที่ต้องศึกษา ก็คือ เวทนาในเวทนา

จิตในจิต นั้นมีเจโตปริยญาณ ๑๖ ซึ่งเราต้องอ่านจากเวทนา ซึ่งในสุขในทุกข์นั้น จะมีเหตุ ส่วนไม่สุขไม่ทุกข์นั้น ถ้าทำได้จากการทำ เนกขัมสิตเวทนา ให้เป็นอุเบกขา ได้นั้นก็คือ ฐานนิพพาน โดยกำจัดเหตุ คือราคะ โทสะ โมหะ ให้ลดลง ตามหลัก เจโตปริยญาณ ๑๖

ตกผลึกจนเป็นสมาธิ อย่างได้กำจัดถูกเหตุ เป็นมันไม่เที่ยงเห็นมันเป็นทุกข์ จนเห็นมัน หมดตัวตน เป็นอนัตตา เห็นเลยว่า กิเลสไม่เที่ยง มันพาทุกข์ พอมันจางคลาย มันก็ลดทุกข์ ดับทุกข์ จนมั่นใจ ทำอย่างมั่นคง อเนญชา ก็สะสมผล อนุรักขณาปทาน ก็ทำ อาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง จนมันเกิด สั่งสมเป็นอดีต ทุกปัจจุบัน จนอนาคตนั้น เที่ยงแท้ แน่นอน ว่ากิเลสไม่เกิด แน่นอน

๕. มีสมาธิ เป็นประมุข (ปมุขะ) เป็นตัวนำขบวน ก็ปฏิบัติต่อจากสมาธิ จนตั้งมั่นเป็น สมาหิตะ ก็สั่งสมเป็น สอุตระจิต สั่งสมอุเบกขา จนเป็น อปุญญาภิสังขาร เราดับเหตุได้ จิตก็อุเบกขา เราสั่งสมอย่าง อาเสวนาภาวนา พหุลีกัมมัง สั่งสมเป็น อเนญชาภิสังขาร

๖. มีสติ เป็นใหญ่ (อธิปไตย = พลังอำนาจ) ก็จะมีชวนจิตดีขึ้น

๗. มีปัญญา เป็นยิ่ง (อุตระ = เหนือ) คือเจริญสูงไปเรื่อยๆ ก็จะมีสติมีปัญญา เพิ่มขึ้น สั่งสมวิมุติไป

๘. มีวิมุติ เป็นแก่น (สาระ) . สุดยอดที่จะรู้ยิ่ง คือได้เนื้อหาสาระ ที่คุณหลุดออกจาก โลกโลกีย์ คือเนกขัมมะ ออกมาจากกิเลส ที่เป็นเจ้าเรือน กำจัดกิเลสไป จนได้แก่นสาร มีวิมุติ

๙. มีอมตะ เป็นที่หยั่งลง (โอคธา) เป็นบุคคลไม่เกิดไม่ตาย เพราะดับชาติ ดับตัวที่ ทำให้เกิดอย่าง นิจจัง ธุวัง สัสฺสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง ไม่มีกิเลส เกิดหรือตาย การตายของท่าน เรียกว่า อรณะ คือไม่ทำสงครามอีกแล้ว นี่คือมนุษย์ เอโก อยู่แต่ผู้เดียว  เพราะละตัณหา ปราศจากราคะ โดยส่วนเดียว ปราศจากโทสะ โดยส่วนเดียว ปราศจากโมหะโดยส่วนเดียว ไม่มีกิเลสโดยส่วนเดียว เป็นผู้ไม่ประมาท บำเพ็ญเพียร มีใจแน่วแน่ ตั้งปณิธาน ละ บรรเทา ทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มี ซึ่งตัณหา อันมีข่ายแล่นไป เกาะเกี่ยวในอารมณ์ต่างๆ ภิกษุผู้มีสติรู้โทษนี้ว่า ตัณหาเป็นแดนเกิด แห่งทุกข์ แล้วพึงเป็น ผู้ปราศจากตัณหา ไม่ถือมั่น เว้นรอบ (นี้เรียกว่า อยู่แต่ผู้เดียว)

๑๐. มีนิพพาน เป็นที่สุด (ปริโยสาน) ผู้ใดไม่อมตะ คือผู้ยืนแท่นนิพพานแล้ว เป็น สอุปาทิเสสนิพพาน คือมีขันธ์ ๕ ที่สะอาด แม้ขันธ์สะอาด แต่ท่านก็ไม่ยึด รู้ปรินิพพานได้ หรือจะเอาแบบ พระอวโลกิเตศวร ที่ท่านจะช่วยคน ให้หมดโลกก่อน จึงปรินิพพานก็ได้ คุณจะปรินิพพานก็ได้ อยู่ที่คุณ

ถ้า เข้าใจว่า อรหันต์ตายแล้วสูญ ก็คือ อุจเฉททิฏฐิ เข้าใจไม่ถูก สิ่งที่ต้องให้สูญ คือกิเลส ตัณหา แล้วจะสามารถตายสูญ หรือไม่สูญได้ แต่ท่านทั้งหลาย ที่เข้าใจกัน คือว่า อรหันต์ ตายแล้วสูญ เข้าใจกันมาอย่างนี้ นานมาแล้ว ทั้งอรรถกถาจารย์ โบราณาจารย์ ก็เข้าใจ อธิบายมาอย่างนี้ มานาน ซึ่งไม่เหมือนกับ ที่พ่อครูอธิบาย ส.ฟ้าไทว่า ผู้ที่จะรู้ว่า อรหันต์ ตายหรือเกิดได้ สูญหรือไม่ ก็ต้องเป็นอรหันต์

พ่อครูอธิบายในภพ นั้นมี กามภพ รุปภพ อรูปภพ

กามภพ นั้นคือ ภพหยาบ เกิดทางทวาร ๕ ภายนอก ส่วน อบายภพ คือ กามภพ ที่หยาบที่สุด คุณต้องอ่านว่า นรกสวรรค์ อย่างอบายคืออย่างไร เราก็ต้องเห็นว่า มันเป็นโทษภัย ไร้สาระ คุณก็จะทำ มนสิการทำใจในใจเอง โดยมีเวทนา เป็นที่ประชุมลง ทำจนสามารถทำ มโนปวิจาร

คือต้องมีการทำ วิตก วิจาร เป็น คือทำให้กิเลส มันลดลงได้ ถ้าทำได้จริงแล้ว คุณเลิกอบายได้ มีอุเบกขา ในโลกอบาย เช่น คุณเล่นการพนัน คุณก็รู้ว่า พนันมันเลว การโกงนั้นเลว สิ่งเสพติดทั้งหลาย เป็นต้น เราต้องล้างกิเลสจริง จนเมื่อ แม้เราสัมผัสอยู่ ใจเราก็เฉย เช่นติดเหล้า เมื่อเราล้างความติดเหล้าได้ ต่อให้สัมผัสเหล้า เอามากรอกปาก ก็มีจิตอุเบกขาได้ แต่เบื้องต้น ต้องพรากก่อน จนทำได้ถึงสัมผัส ก็ไม่มีอาการ สุขหรือทุกข์

เราต้องทำโมเดล ตั้งแต่ศีล ๕ เป็นต้นไป ตั้งแต่อบายมุข
ศีลข้อ ๑ ตั้งแต่เราต้องไปฆ่าสัตว์ ซึ่งหยาบที่สุดแล้ว
ศีลข้อ ๒ ทำไมต้องไปเอาของๆเขา ไปเอามา เราก็เป็นลูกหนี้ เราต้องให้เขาสิ เราจะได้ เป็นเจ้าหนี้
ศีลข้อ ๓ ท่านก็แบ่งว่าศีล ๕ มีกามแค่นี้นะ ให้พอ
ศีลข้อ ๔ ทำไม่ต้องไปพูดปด พระพุทธเจ้าว่า ถ้าพูดปดทั้งๆที่รู้นั้น ไม่มีความชั่วใด ที่จะทำไม่ได้
ศีลข้อ ๕ ก็เป็นอบายมุขทั้งหลาย จิตเราตรวจได้ไหมว่า นิจจัง ธุวัง สัสฺสตัง อวิปริณามธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง เราหมดชาติของกิเลสแล้ว แม้สัมผัสอยู่ทนโท่

เราก็ปฏิบัติศีลไป เป็นลำดับ ศีล ๕ ศีล ๘ ศีล ๑๐ คือไม่ใช้เงินก็อยู่ได้ อย่างที่ฐานขยะ เราก็มีคนเงินเดือน แสนกว่าบาท ลาออกมา ทำงานฟรีอยู่ บางคนก็เงินเดือน หลายแสน ก็ลาออกมา

พ่อครูไม่ได้ไปบังคับ อยู่ที่ปัญญาคุณเอง มาเอง บางคนมาแล้ว ไปไม่รอด ก็ไม่อยู่ ที่คุณเอง

ส.ฟ้าไท ว่าพ่อครูสอนให้ภาคภูมิใจ กับการได้ลดละ มามักน้อยลง พ่อครูว่า เราปีติด้วยปัญญา รู้ว่าได้มาลดโลภ แต่ก่อนเราภูมิใจ ปีติว่าเราได้มาก็สุข ได้มากๆ ได้บริบูรณ์ก็สุข แต่ว่าตอนนี้ เรามาปฏิบัติธรรม  มีปีติแต่กิเลสลด อาการปีติคือ พอใจซาบซึ้งใจ ที่ได้ลดกิเลส แต่ทำได้อย่างโลกียะนั้น กิเลสเพิ่ม มีภูมิใจเหมือนกัน แต่กิเลสเพิ่ม หมู่ชนนี้ ยินดีกับการได้ลดกิเลส

การชำระออก คือ บุญ คือ การชำระจิตสันดานให้หมดจน เขาสอนกันว่า การได้บุญ นั้นคือหอบเอามาให้มาก แต่ที่จริง บุญ คือ การได้เอาออก ได้ชำระกิเลสออกไป

ใครเอาบุญมาอ้าง มาขายกินอยู่นั้น บาปกินหัว เพราะตู่คำสอน พระพุทธเจ้า ทำลายคำสอน พระพุทธเจ้า ให้ออกไปเป็นอื่น จากสัจจะของ พระพุทธเจ้า (ปรับปวาทะ)

ปรับปวาทะ พระพุทธเจ้าท่านสอนว่า ผู้ที่ได้ฟัง(สาวก) ต้องอธิบายได้ จำแนก บัญญัติได้ และแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ อย่างเช่น อุ๊ ออกมาเงินเดือนแสนเจ็ด อีกคนชื่อแหม่ม ก็มีเงินเดือน สามแสนกว่า ก็ลาออกมา นี่คือเรื่องของ ปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อย พวกคุณเอาธรรมะพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูสอนมาทำ จึงลดละปล่อยวาง สละออกมาได้ นี่คือ ปาฏิหาริย์ ซึ่งต่างจาก ปาฏิหาริย์ของเขา ที่สอนกัน แต่นี่คือ ธรรมฤทธิ์ ที่สามารถอยู่เหนือ ลาภยศสรรเสริญ ได้อย่างไม่ฝืน บางคนจะฝืน หรือกดข่มมันไว้ ก็คือความจริงของคุณ ยืนยันเอาเอง

พ่อครูแสดงธรรมมีปาฏิหาริย์ ข่มขี่ปรับปวาทะ ที่บังเกิดขึ้นให้เรียบร้อย เราไม่ได้ไป ยกตนข่มเขา เราไม่ได้อวดอ้างข่มเขา แต่คือแสดงเพื่อ อวดอ้างอิง ยืนยัน ว่าเป็นได้มีได้ เป็นอกาลิโก เอหิปัสสิโก โอปนยิโก

เราต้องแสดงออกโดยจริง ไม่ต้องเสแสร้ง ซ่อนแฝง สิ่งที่พูดนี้ยืนยันว่า ตรงคำสอน ตรงอนุสาสนีย์ของพระพุทธเจ้า เป็นเรื่องน่าทึ่ง น่ามหัศจรรย์ ซึ่งคนในโลก รูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส อย่างนี้เขาละไม่ได้ หรือลาภยศอย่างนี้ เขาละไม่ได้ บอกว่าเดี๋ยว ให้มีก่อนแล้วค่อยละ ซึ่งถ้ามันมีมาก ก็ผูกมาก จะละได้อย่างไร ควรหยุดก่อน ลดละดู หาได้ ก็ลดละลงอีก แม้ทำได้มากขึ้น ก็จะสละมากขึ้นอีก อัตราส่วนการลดละ จะมากขึ้น กล้าสละมากขึ้นอีก  ธรรมพระพุทธเจ้า ทวนกระแสสังคม (ปฏิโสตัง)

ส.ฟ้าไท ถามว่า ในมูลสูตรนั้น ถึงขั้นวิมุติ ขั้นอมตะ ...พ่อครูว่า วิมุติ นิโรธ นิพพาน ก็เป็นไวยพจน์ เป็นคำจบ แม้แต่คำว่า อุเบกขาก็เหมือนกัน วิมุติ นิโรธ คือหลุดพ้นจาก ความวนเวียนเป็นชาติ

ส.ฟ้าไทว่า ทำไมจึงมีอมตะ เป็นที่หยั่งลง พ่อครูว่า นิพพานเป็นที่สุด สูงกว่า วิมุติ หรือนิโรธ ถ้าได้นิพพานก็คือ อมตบุคคล แต่คุณจะนิพพานหรือไม่ ก็อยู่ที่คุณ ถ้าคุณตายไป คุณไม่ตั้งจิตต่อพุทธภูมิ คุณก็จบ แล้วถ้าคุณเป็น อมตะบุคคล คุณจะเกิดหรือไม่ ก็ได้ จะตายหรือไม่ก็ได้ แต่ถ้าคุณจะปรินิพพาน ก็ตายแน่ๆ แต่ตอนนี้ คุณกิเลสตายแน่ๆ วิมุติ คือจิตหลุดพ้นได้จริง

คนที่หลุดพ้นแล้วจริง จะมีสภาพที่ สัจจะย้อนสภาพ ตัวเองทิ้งมาแล้ว ทำไมตัวเอง มาเป็นอยู่ อันนี้คนหลอกกันได้ เขาอาจหลอกว่า เขาก็สัมผัสอยู่ แต่ไม่ติดเสพหรอก เขาอนุโลม ไปกับเขาเท่านั้น ซึ่งถ้าไม่จริง จะมีภาวะระเบิด เพราะกดข่ม ไม่ได้นาน แต่ถ้าหลุดพ้นจริง ก็จะสบายได้ตลอดกาล ถ้าคุณแกล้งเป็น อรหันต์ได้ ก็แกล้งไป ตลอดชีวิตเลย แล้วแกล้งไปทุกชาตินะ ก็มีแต่เป็นประโยชน์ ต่อมนุษยชาติ จะกดข่มได้ ก็ทำให้ได้ตลอด แต่ถ้ามันจริงแล้ว ก็ไม่ต้องข่มฝืน

ทุกวันนี้ก็มี เอหิปัสสิโก คนหลุดพ้น เหนือโลกียะได้ ตามบารมี จนเกิดเป็นขั้น สาธารณโภคี ซึ่งมีพยัญชนะ ในพระไตรปิฎก เป็นหลักฐาน ไม่อย่างนั้น ถูกหาว่า เป็นคอมมิวนิสต์ และที่จริง พระพุทธเจ้านี่ ยอดแห่งคอมมูน แต่พวกเขา ทำไม่ถึงจิต แต่สาธารณโภคี ไม่ได้บังคับอย่างคอมมิวนิสต์ พ่อครูไม่ได้มาง้อมางอน ให้มาทำตาม

พ่อครูพาทำสาธารณโภคี ท่านกลางยุคที่บ้าเลือด ที่จะใช้เล่ห์กล เอาเปรียบกัน มากมาย ซึ่งคนต่างประเทศนั้น มีกลวิธีในการได้เปรียบเอาเปรียบ จนได้เป็นมหาเศรษฐี แข่งกัน รวยมหาศาล สร้างอำนาจคุมไปทั้งโลก ยุคนี้พรางลวง ซับซ้อน ให้คนอื่นยอมจำนน ด้วยความฉลาด แต่ตนอยู่เหนือ ทั้งอำนาจ และทรัพย์สิน มีทั้งสรรเสริญ อำนาจ และกามด้วย เสพในกามคุณ ๕ ด้วย

โลกโลกียะกับโลกุตระนั้น คนละเรื่อง คนที่เข้าโลกุตระ จะไม่หนีโลกีย์ แต่ว่าไม่ได้ ดูถูกโลกียะ แต่พูดนั้น ก็จะข่มโดยสัจจะ แต่โดยจิตนั้น จะสงสาร ไม่มีจิตข่ม จะไปข่มทำไม เขาแบกหาม หลงอยู่ทุกข์อยู่ อย่างบิลเกตต์ ตายไปเอาไปไม่ได้ ทิ้งไว้ ให้ลูกหลานผลาญ และเขาทำ เขาเอาเปรียบ ได้เปรียบนี่ โดยสัจจธรรม นี่คือ "บาป" ไม่ใช่ว่าได้เปรียบ คือคนชนะ ไม่ใช่

คนที่มีสมรรถนะสูง แล้วทำผลผลิตไป ราคาแพง แต่คนนี้ แม้จะตีราคาแพง ก็ไม่เอา ค่าตอบแทนแพง เช่นไอสไตน์ ไปสมัครงาน เขาให้เงินเดือนมาก แต่แกไม่เอา จะเอาแค่นี้ ซึ่งเป็นสัจจะ ของแกจริงๆ แกไม่เห็นแก่เงินจริงๆ (คนจะให้ ๑๕๐๐๐ ดอลล่าต่อปี แต่เขาเอาแค่ ๓,๐๐๐ ต่อปี) เขาทำได้ถึงจริง แต่เขาไม่เอา นี่คือตัวอย่าง หลักฐานจริง

ค่าของแรงงาน ความรู้มันมีซับซ้อนลึกซึ้ง ยิ่งคนมีภูมิสูงแล้ว ยิ่งไม่เอา เอาน้อยลงๆ จนขีดสุดคือ ไม่เอามาเป็นของตน ถ้าจะเอา ก็เอามาทำประโยชน์ ไม่ได้ติดยึดหวงแหน เอามาเป็นอุปกรณ์ใช้งาน ไม่ได้ติดยึดหวงแหน

แวะไปเข้าสู่ปฏิจจสมุปบาท คนที่อวิชชาไม่รู้จักสังขาร ซึ่งแยกเป็น กายสังขาร วจีสังขาร จิตสังขาร

กายสังขาร คือองค์รวมทั้งหมด ทั้งข้าวของกายภายนอก ทั้งสมบัติต่างๆ คุณก็ปรุง อย่างนายทุน ก็ต้องมากมาย หรูหรา สะสมให้ออกดอก ออกผล มีรายได้ปันผล เพิ่มอีก จ่ายน้อย แต่ต้องได้มาก เป็นวิธีการโลกีย์ ที่ทำมาทุกยุค ไม่ขาดไปจากโลก เขาบำเรอกิเลสโลภ เป็นสามัญ

วจีสังขาร คือสภาวะของนามธรรม ในจิต ยังไม่ออกมา ถ้าใครไม่สามารถรู้ สภาพของ สังกัปปะ ๗ ก็ไม่สามารถ ปฏิบัติบรรลุธรรมได้ สังกัปปะ ๗ มี ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขาร

เป็นคำพูดในจิต ยังไม่ออกมา ถ้าไม่มีภาษาเรียกก็ไม่รู้ แต่ว่ามีภาษาบาลี ที่พระพุทธเจ้า สอนไว้ หรือเป็นคนไทย ก็มีภาษาไทย ในองค์ประกอบของ วจีสังขารนั้น จะอยู่ใน จิตสังขาร

การที่จิตเริ่มดำรินั้นคือ ตักกะ และถ้าคุณแยกแยะกิเลส ที่มาปรุงร่วมได้ คุณสามารถ ทำให้ยิ่ง คือ วิตักกะได้ ก็ดับกิเลสได้ แต่ว่าไม่ใช่ดับกิเลส แล้วไม่คิดไม่นึก แต่ว่าจะยิ่ง วิสังขารอีกด้วย คือ อภิสังขาร

สังกัปปะ คือความคิดนึกที่สมบูรณ์ หรือว่าเมื่อมันจะทำงาน มันก็ปรุงสังขารไป คุณจะอนุโลม เท่าไหร่ เช่นคุณรู้ว่า ใจคุณมีเท่านี้ แต่คุณจะให้มัน ออกไปเป็นกายกรรม วจีกรรมเท่านี้ ไม่ต้องออกไปหมดก็ได้ ซึ่งในวจีสังขารนั้น จะมีทั้งสภาพที่เป็น พลังงานเคลื่อนไหว (ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ) และ พลังงานที่นิ่ง ที่ตั้งมั่นแข็งแรง (อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา) คือมีทั้งพลังบวกและลบ ซึ่งถ้าเราล้าง ตัวกิเลสได้ การมีวจีสังขาร ก็บริสุทธิ์ ซึ่งเป็นความตั้งมั่น แข็งแรงยิ่ง ไม่มีอะไรคลอนแคลนเลย

ภพมี ๓ ภพ คือ กามภพ รูปภพ อรูปภพ

ธรรมะพระพุทธเจ้านั้น เปิดภพตลอด แต่ดับอย่างมีปัญญา ซึ่งใช้คำว่า ฌาน เป็น พลังไฟพิเศษ สามารถเผาไฟราคะ ไฟโทสะ ไฟโมหะได้ เป็นไฟที่เหนือชั้นกว่า เราสามารถ สร้างพลังฌาน ในขณะลืมตาได้ ไม่ใช่ไปนั่งหลับตาทำ ฌาน การมี ฌาน ในภพอบาย ก็ลืมตา ในโสดาบัน เมื่อเป็นสกิทาคามี ก็ลดละสังโยชน์ขั้นต่อไป ก็ยังลืมตา อยู่ในกามาวจร มีการเปิดทวาร ท่องเที่ยวในกามภพ และถ้าดับภพกามภายนอกได้ ก็เป็น อนาคามี มีนิโรธลืมตา

มีคนท้วงว่าทำไม เมื่อก่อนพ่อครูสอน สมาธิหลับตา ที่แดนอโศก แต่ทำไมตอนนี้ ไม่ทำแล้ว ซึ่งพ่อครูว่า เมื่อก่อนคืออนุโลมทำ แต่ตอนนี้ ก็ยังไม่ได้ทิ้ง สมาธิหลับตา ก็แล้วแต่คนจะทำ

อนาคามีนั้น กามภพสบายแล้ว มีผัสสะทางภายนอก ท่านก็เฉยได้ สบายได้ กิเลส ไม่มารบกวนท่าน แต่ก็มีผัสสะ อยู่เช่นเดิม คนไม่รู้หรอกว่าท่านมีกิเลส ท่านไม่แสดงออก กับกิเลส ภายนอกแล้ว เมื่อสัมผัสอยู่ แล้วก็ลากกิเลสในรูปภพ อรูปภพ ออกมาเป็นรูปราคะ อรูปราคะ ในขณะลืมตานี่แหละ อยู่ในกามาวจร เช่นเดิม แต่ไม่ใช่ ไปแสวงหาผัสสะ มันจะมีไปตามฐานะเอง

ส.ฟ้าไท สรุปว่า ถ้าขาดการฟังธรรมจากสัตบุรุษ ก็จะไม่สามารถจะทำ โยนิโสมนสิการได้ ยิ่งสูงยิ่งเก่ง ก็ต้องยิ่งทำเสียสละ ให้มากขึ้น และจะยิ่งไม่เอา....

จบ

 
๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก