|
||
พ่อครูจัดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ ... เป็นรายการที่เน้นธรรมะเป็นหลัก ไม่ว่าจะพูดเรื่องสังคม หรือการเมืองก็ตาม ซึ่งธรรมะ ที่พ่อครูอธิบายนั้น ลึกและยาก ต้องบรรยายอย่างนี้ เพราะว่าบรรยายมานาน กว่า ๔๐ ปีแล้ว ต้องอธิบายแนวลึก ส่วนธรรมะระดับต้นระดับกลาง ก็มีผู้อธิบายอยู่ วันนี้จะบรรยายเรื่อง ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งในอวิชชา ๘ ที่มี ๔ ข้อแรก เป็นเรื่อง อริยสัจ ๔ ก็คือ หัวใจของศาสนาพุทธ คำว่า อวิชชา ก็คือ ไม่รู้อริยสัจ นั่นแหละ อวิชชาข้อ ๕ คือไม่รู้ในส่วนอดีต ข้อ ๖ คือไม่รู้ในส่วนอนาคต ข้อ ๗ คือไม่รู้ทั้งอดีต และอนาคต การไม่รู้อดีตนั้น ไม่ใช่หมายถึงว่า ชาติก่อนเราเป็นอะไร อย่างนั้น มันได้แค่ตื้นๆ ศาสนาพุทธนั้น เป็นศาสนาขั้น โลกุตรธรรม ไม่ใช่ธรรมะแค่ โลกียธรรม คำว่า ไม่รู้ในส่วนอดีต หรือ อนาคต ก็คือไม่รู้ในส่วนปรมัตถ์ การเริ่มต้นปฏิบัติได้ก็จะมี ส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธุ์ (ปุญญาภาคิยา อุปปธิเวปักกา) คือจิตจะเกิดใหม่ คือ ชาติ (ที่มี ๕ อย่างคือ ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ) ชาติ คือการเกิดทั่วไป กว้างๆ เป็นสามัญนาม ไม่ค่อยจำเพาะลงไป สัญชาติ ในพระไตรปิฎกท่านแปลว่า ความบังเกิด คือสิ่งที่กำหนดไปโดยความไม่รู้ หรืออย่างสัญชาตญาณ โดยไม่รู้จักตัวเหตุใหญ่เลย เป็น มโนปุพพังคมา ธัมมา ที่ฝังอยู่ใน อนุสัย เลยเป็นต้นเค้า คนที่ไม่ได้ศึกษา ก็ใช้สัญชาตญาณ พาเกิดอยู่ตลอดเวลา โอกกันติ คือการเกิดอยู่อย่างต่อเนื่อง ถ้ามีอวิชชาเป็นเหตุ ก็จะเกิดสังขาร วิญญาณ... ตามประสาโลก ดีบ้างชั่วบ้าง ถ้าเป็น บุญ คือ การได้ชำระจิตสันดานให้หมดจด แต่ถ้าไม่ได้ชำระ แต่ก็พอรู้ว่า อะไรดีอะไรชั่ว ก็อยากเป็นคนดี ก็จะดีได้อย่างโลกีย์ ก็สร้างความตกผลึกแก่จิต สั่งสมความดีในจิต แต่ไม่ได้รู้รากฐานของจิต รู้แต่หยุดกดข่ม เลิกสิ่งไม่ดี แต่ไม่ได้ละล้าง กำจัดกิเลส จึงไม่เป็นปรมัตถธรรม เพราะยังไม่มีวิชชา ปัญญายังไม่เป็น สัมมัปปัญญา ไม่มีสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ ก็ยังไม่ได้จริง ถ้าเรามี วิชชา เราก็จะจัดแจงจัดทำ (สังขาร) ทำให้กิเลสลด แต่ถ้าเรามี อวิชชา กิเลสก็จะมาจัดแจง(สังขาร) แต่คนทั่วไป ก็จะมีการระงับชั่วคราวได้ ถ้าระงับได้ ต่อเนื่องๆได้ เราเรียกว่า "โอกกันติ" การทำดีต่อเนื่องก็คือ โอกกันติ การทำชั่วต่อเนื่อง ก็คือ โอกกันติ แต่ถ้าเราได้ศึกษา พยายามทำให้กิเลสลด อย่างต่อเนื่อง อย่างมีวิชชา มีญาณปัญญา สามารถรู้แจ้งเห็นจริง ต้องทำจิตเป็น หรือสังขารอย่างยิ่ง หรือ อภิสังขาร คำว่า อภิ คือ เรื่องยิ่งใหญ่ เฉพาะ เป็นเรื่องอยู่เหนืออยู่บนเลย จึงเป็นการปรุงแต่ง ที่แตกต่างจาก สังขารธรรมดา อวิชชา ใน ๔ ข้อแรก คือรู้จัก อริยสัจ ๔ ต้องรู้เหตุแห่งทุกข์ได้ สามารถมีญาณรู้เห็นอย่าง ชานโต ปัสสโต (อย่างรู้อย่างเห็นๆ) คือมันสัมผัสรู้ ซึ่งมีเงื่อนไขสำคัญ เป็นเหตุแห่ง การปฏิบัติคือ ผัสสะ ในมูลสูตร ๑๐ นั้นเป็นสภาวะของเค้าต้น ของหลักธรรม ผู้ใดสามารถรู้ว่า ใจตนมี "ฉันทะ" ยินดีกับทิศทางนี้ จึงจะทำได้ ถ้าไม่มีฉันทะ จะยากมาก ท่านตรัสว่า เป็นแสงอรุณ ในสุริยเปยยาลสูตร จากแสงอรุณแล้วจึงจะมีศีล ซึ่งคือหลักเกณฑ์ปฏิบัติ เราต้องรู้ว่า ศีลนั้นปฏิบัติ เพื่อละหน่ายคลาย ไม่ใช่ปฏิบัติเพื่อมีเพิ่ม หรือเพื่อขลัง หรือเพื่ออยู่เย็นเป็นสุข ด้วยลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข แต่ศีลนั้นลึกกว่านั้น คือล้างกิเลส ด้วยความยินดี (ฉันทะ) ไม่ไปยินดีในลาภยศ สรรเสริญ หรือกาม หรืออัตตา เราต้องมี ความรู้ ความเห็นอย่างนี้ ฉันทะ คือยินดีที่จะออกจากโลก แต่ไม่ใช่อย่างศาสนาโลกียะ คือออกป่าเขา ทิ้งไปเลย อย่างนั้น อย่างนั้นมันเป็นอัตตา หรืออาตมัน ซึ่งศาสนาอื่นเขาได้สูงสุด แค่เป็นอาตมัน เป็นพระเจ้า เป็นปรมาตมัน (บรมอัตตา) ก็ยังดี ยังมีความไม่แก่งแย่ง ให้สังคมไม่วุ่นวาย สังคมได้ประโยชน์ ผู้มาเรียนรู้ธรรมะพระพุทธเจ้า จึงรู้เหตุเกิดของทุกข์ ในการหลงติด ลาภยศสรรเสริญสุข ซึ่งเป็นโลกุตรธรรม มีแต่ในศาสนาพุทธอย่างเดียว ศาสนาอื่น ท่านเรียกว่า โลกายตศาสตร์ ในพระไตรฯล. ๑๖ ข้อ ๑๗๕ ๘. โลกายติกสูตร [๑๗๗] เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้แล้ว โลกายติกพราหมณ์ ได้กราบทูล พระผู้มีพระภาคว่า ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนา แจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ พระธรรมเทศนาแจ่มแจ้งยิ่งนัก ข้าแต่พระโคดมผู้เจริญ เปรียบเหมือน บุคคลหงายของที่คว่ำ เปิดของที่ปิด บอกทางให้แก่คนหลงทาง หรือตามประทีป ไว้ในที่มืด ด้วยหวังว่า คนมีจักษุ จักเห็นรูปดังนี้ ฉันใด พระองค์ ทรงประกาศธรรม โดยอเนกปริยาย ฉันนั้นเหมือนกัน ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ข้าพระองค์นี้ ขอถึงท่านพระโคดม กับทั้งพระธรรม และภิกษุสงฆ์ ว่าเป็นสรณะ ขอท่าน พระโคดมผู้เจริญ จงทรงจำข้าพระองค์ ว่าเป็นอุบาสก ผู้ถึงสรณะ ตลอดชีวิต ตั้งแต่วันนี้ เป็นต้นไป ฯ เขาไปแปลว่า โดยสายกลาง แต่ที่จริงควรแปลว่า มุ่งสู่ความเป็นกลาง ท่านใช้คำว่า มชฺเฌน แปลว่า ความเป็นกลาง ไม่ใช่แปลว่า ทางสายกลาง จิตจะต้องมีปัญญาที่อยู่กลางเลย เพราะในโลก สิ่งที่ไม่มีมันก็มี ถ้าคุณจะไปยึด มีหรือไม่มี ก็คือยึดอยู่คนละข้าง ของส่วนสุดทั้งสอง นั่นเอง ของพระพุทธเจ้า ไม่ยึดทั้งสองอย่าง และที่สำคัญ อะไรจะไม่ให้มี ก็กำจัดให้เด็ดขาดเลย ตัวที่ไม่ให้มีอย่างเด็ดขาด ที่จะให้ดับ ไม่เหลือคือ "อวิชชา" ส่วนที่เหลือคือ "วิชชา" ที่เต็ม จึงรู้จักสังขาร วิญญาณ นามรูป อายตนะ ผัสสะ เวทนา ตัณหา ภพ ชาติ ชรา มรณะ -ทุกขโทมนัสอุปายาสะ นั้นก็มีอยู่รู้อยู่ แต่ท่านตัดที่ เหตุแห่งทุกข์ นิโรธ นั้นดับทุกเหตุแห่งทุกข์ เพราะทุกข์นั้นเกิดแต่เหตุ ท่านตรัสรู้ปัจจัยการ ถ้าดับทุกข์นั้นไม่จบ แต่ถ้าดับเหตุแห่งทุกข์นั้นจบ เราต้องดับที่เหตุ ไม่ใช่ไปดับที่ผล พอดับเหตุ ผลก็ดับได้ สรุป พระพุทธเจ้าท่านตรัสรู้ว่า ทุกอย่างเป็น ปัจจัยการ เพราะมีสิ่งนั้น จึงมีสิ่งนี้ เป็นความสัมพันธ์สืบต่อ เป็นเรื่องของนามธรรม ตามที่ไอสไตน์รู้ ค้นพบว่า ถ้าสลายนิวเคลียสได้ จะได้พลังงานสูงมาก เป็นนิวเคลียร์ พระพุทธเจ้ารู้วิชชา ที่สลายนิวเคลียสของอวิชชา สลายโดยใช้อุณหธาตุที่มีพลัง สลายพลังงาน ที่เป็นราคะโทสะโมหะ ได้ ทำอย่างไม่กดข่ม สามารถรู้สิ่งที่จะมีที่จะยังอยู่ต้องอาศัย ผู้ทำใจได้จริง ดับอวิชชาได้สนิท จึงรู้แจ้งจริง ในสังขาร และสิ่งที่ปรุงแต่งกัน ก็เกิดวิญญาณ เป็นธาตุรู้ ที่มีเหตุ เพราะในขันธ์นั้น มีรูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ วิญญาณนั้นอาศัย เวทนา สังขาร, รูปต้องอาศัย ผัสสะ คือต้องมีรูปด้วย แต่ถ้าอยู่แต่ ภายในนั้น ไม่ต้องผัสสะ และในการระงับ กำจัดไม่ให้มีนั้น อย่างในระดับ อนาคามี ที่ได้กำจัดมา ตั้งแต่หยาบ เป็นภพข้างนอก เป็นกิเลสที่เกิดจากภายนอก ท่านก็ได้ กำจัดมาจริง จึงเป็นความสามารถ ที่อยู่เหนือมันได้จริง สิ่งดับ ดับได้จริง มีปัญญา และเจโต ที่ดับได้จริง มีการรู้ว่า อารมณ์วิมุติ นิโรธ หลุดพ้นนั้นเป็นอย่างไร จึงสามารถรู้จิตเจตสิก สามารถจัดการ แต่ถ้าคนเดา จะเดาไม่ออก ไม่สามารถรู้ได้ อย่างแท้จริง ผู้ที่สามารถ มีผลของตนจริง จึงไม่เชื่อใคร ในกาลามสูตร ๑๐ ไม่เชื่อ แม้แต่พระพุทธเจ้า ไม่ต้องเชื่อใครๆ ไม่ต้องอาศัยผู้อื่น ท่านเรียกว่า อปรปฺปจฺจยา [๑๗๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย โดยที่แท้ อริยสาวกผู้ได้สดับ ย่อมมีญาณหยั่งรู้ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้องเชื่อผู้อื่น ว่า เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี เพราะสิ่งนี้เกิดขึ้น สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อ วิญญาณมี นามรูปจึงมี เมื่อนามรูปมี สฬายตนะจึงมี เมื่อสฬายตนะมี ผัสสะจึงมี เมื่อผัสสะมี เวทนาจึงมี เมื่อเวทนามีตัณหาจึงมี เมื่อตัณหามีอุปาทานจึงมี เมื่ออุปาทานมีภพจึงมี เมื่อภพมี ชาติจึงมี เมื่อชาติมีชราและมรณะจึงมี อริยสาวกนั้น ย่อมรู้ประจักษ์ อย่างนี้ว่า โลกนี้ย่อมเกิดขึ้นอย่างนี้ ฯ ภิกษุสาติ ว่าวิญญาณล่องลอยไป ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่ตรัสเช่นนั้น วิญญาณนั้น เกิดแต่ การผัสสะ ทางอายตนะ ๕ แต่ในใจนั้น เรียกว่า มโน หรือ จิต ซึ่งมโนเป็นเนื้อแท้ เป็นคำเฉพาะเลย ในทวารใจ การล้างชำระจิตพระพุทธเจ้าให้เริ่มที่ วิญญาณ ในวิญญาณอบาย นั้นให้ดูที่ ตา หู จมูก ลิ้น กาย พอกระทบมีผัสสะก็เกิดวิญญาณ เป็น วิญญาณผี หรือ เทวดาหลอก มี สุขเท็จ ซึ่งทุกคน หลงใหลมาก่อนทั้งนั้น หลงว่า ได้มาเสพสัมผัส ทางทวาร ๕ นั้นสุข แม้แต่มี อัตตา ก็เป็นสุข จะให้ยิ่งใหญ่ เป็นอัตตาพระเจ้าเป็นพรหม ถ้าติดยึด ก็เป็นสุขเท็จ สุขหลอกทั้งสิ้น มีพราหมณ์เกวัฏฏ์ ไปถามพระพรหม (เจ้าลัทธิ)ว่า มหาภูตรูปดับได้ ไม่ตั้งลงที่ไหน พระพรหม ตอบไม่ได้ ก็บอกว่า เรานี่แหละยิ่งใหญ่ เรานี่แหละครองโลก แล้วก็ถามอีกว่า มหาภูตรูป ดับได้ที่ไหน พระพรหมก็ตอบอีกว่า เรานี่แหละใหญ่ เรานี่แหละครองโลก ถามสามครั้ง พระพรหมก็ตอบอย่างเดิม ก็ไม่ถามอีก แล้วลากตัวเกวัฏฏ์ ไปที่หลังม่าน (พระพรหมก็คือ เจ้าลัทธิใหญ่ที่บรรลุ เป็นพระเจ้าที่หลงว่า ตนเป็นผู้เนรมิต มีอำนาจมาก ชี้เป็นชี้ตายได้ ก็คือเจ้าลัทธิ) ในพระไตรฯล. ๙ ข้อที่ ... [๓๔๖] ดูกรเกวัฏฏ์ ลำดับนั้น เธอได้เข้าไปหามหาพรหมแล้วถามว่า ท่าน มหาภูตรูปทั้ง ๔ คือ ปฐวีธาตุ อาโปธาตุ เตโชธาตุ วาโยธาตุ เหล่านี้ ย่อมดับไม่มีเหลือ ในที่ไหน? แถลงปัญหามหาภูต
ตอบ เอาภาษามาเล่นลิ้นถาม โอปปาติกคน คำว่าโอปปาติกะ เป็นชื่อของการเกิด ทางจิตวิญญาณ เป็นการเกิดชนิดหนึ่ง ในการเกิด ๔ ประเภท (ชลาพุชโยนิ -เกิดในน้ำครำ, สังเสทชโยนิ -การเกิดโดยแตกตัวแบ่งตัว ,อัณฑชโยนิ -การเกิดที่เกิดสองครั้ง คือเกิดเป็นไข่ก่อน แล้วค่อยฟักเป็นตัว เรียกว่า ทิชาชาติ เช่นนกเป็นต้น, โอปปาติกโยนิ -คือการเกิดทางจิตวิญญาณ) ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ จะต้องเรียนรู้ว่า สัตว์โอปปาติกะคืออย่างไร สัตว์โอปปาติกะ คือ ยังไม่ใช่สัตบุรุษ ยังหลงวนเวียน ในโลกีย์ คือยังมีทุกข์ ยังไม่เป็นโลกุตระแท้ เป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณ ถามว่าโอปปาติกะคนมีไหม? โอปปาติกะ คือจิตวิญญาณของคน ที่มีความสามารถเรียนรู้ ที่จะหลุดพ้นจาก การถูกผูกสัตว์ไว้ ในสัตตาวาส ๙ ถ้าแก้ได้ ก็จะไม่ถูกผูกสัตว์ไว้
ตอบ มี สวรรค์นรกมีแน่ จิตวิญญาณคุณมีแน่ เมื่อวิญญาณหมด ก็คือผีไม่มี คนส่วนใหญ่ ที่ว่าเห็นวิญญาณ มาหลอกเป็นผี แต่พระอรหันต์ตายแล้ววิญญาณไม่มี แต่ถ้าท่าน ต้องการต่อภพ แต่วิญญาณท่านหมดแล้ว เหลือแต่มนายตนะ แต่ไม่มีผีหรือเทวดาแล้ว ท่านจึงตายแล้วสงบ จึงเรียกว่า อยู่ที่ สันดุสิต (ชั้นดุสิต) คือที่สงบเฉย สรุปแล้ว ผู้ที่หมดผีเป็นๆ ตอนตายก็ไม่มี แต่คนที่ไม่สงบตอนเป็น ตอนตายก็เป็นผี ลงนรกมาก ขึ้นสวรรค์ลวง ปุถุชน ไม่สามารถระงับ นรกสวรรค์ได้ ซึ่งผู้ที่เป็นโสดาฯ กำหนดได้บ้าง จึงมีสวรรค์บ้าง แต่ผู้ที่ไม่ได้ฝึก แม้จะตั้งจิตก่อนตาย ได้สงบคิดแต่ดี ใจก็ดี แต่ตายแล้ว คุณไม่เคย กำหนดรู้ ฝึกสัญญา ไม่เคยฝึกเวทนาในเวทนา ฝึกไม่เก่ง ตายไปแล้ว จะทำได้อย่างไร แม้จะตั้งใจ ก็ได้นิดหนึ่ง แล้วก็ไปนรก เพราะเป็นอุปาทานที่สะสมมา นี่คือวิบาก ดังนั้น ผู้จะมีสวรรค์ โสดาฯขึ้นไปจึงมีบ้าง ถ้าเป็นอนาคามี จะมีนรกในขั้นรูปภพ อรูปภพ เรื่องผีล่องลอย แล้วนรกสวรรค์เป็นชั้นๆมีหรือไม่ ก็มี คำว่าชั้นๆ คือระดับของ ความแรงร้าย ตามสัจจะ คำว่าปรโลกในความหมายของโลกีย์ ได้ลาภยศสรรเสริญสุข แล้วคุณตายไป คือไปปรโลก จิตวิญญาณหรือมโนคุณไป แต่ร่างกายคุณเน่าอยู่ ปรโลกอย่างนั้นมี สวรรค์ ไม่ค่อยมี (กำหนดด้วยสัญญา) แต่นรกจะมีมากมาย ถ้าผู้ไม่ได้ฝึก ไม่ได้เรียนรู้เลย ก็นรกชัดๆ เป็นชั้นๆ ปรโลกของพระพุทธเจ้า นั้นคุณต้องดับโลกให้ได้ตอนเป็นๆ เมื่อดับโลกได้ ภพดับ ชาติดับ แล้วก็อยู่กับกามาวจร ท่านก็อยู่กับกามาวจร ที่เต็มไปด้วยอกุศล แล้วท่าน ก็ใช้กุศล ทำงานต่อ ชีวะมันมีในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งเล็กละเอียดมาก ธรรมดาแสงก็ละเอียด นิวเคลียร์ ละเอียดกว่าแสงอีก ไอสไตน์ค้นพบ แต่พระพุทธเจ้าค้นพบละเอียดกว่า จิตวิญญาณ ก็ละเอียดกว่า ไปอย่าง สัพพโตปพัง ทะลุทลวงได้ ไม่มีที่สิ้นสุด ละเอียดกว่าแสงใดๆ ซึ่งชีวะนั้น มีอยู่ในโลกอื่นอีก ในมหาจักรวาลนั้น มีโลกที่มีมนุษย์อยู่ พ่อครูรู้ว่า ในระบบสุริยจักรวาล เราไม่มีโลกที่มีมนุษย์อยู่ เขาก็พอเดาว่า จะมีโลกที่มีมนุษย์อยู่ ในจักรวาลอื่นอีก การถ่ายทอดมโนมยอัตตานั้น เป็นกันได้ เหมือนกับผีที่มีคนปั้น เป็นมโนมยอัตตา แล้วก็ไป เล่ากันฟังกันไป ก็เข้าใจกัน อย่างไม่ถูกต้อง โลกอื่นมีชีวะหรือไม่ ไม่ต้องคิดหรอก มาเรียนรู้วิญญาณ ในตัวเองแล้วจะรู้ เหมือนอย่างที่พ่อครู พามาปฏิบัติ
ตอบ ...ตอบตายตัวไม่ได้หรอก ให้คุณพยายามรู้จักวิญญาณ ให้ถูกต้องจริงๆ รู้จักสัญญา ให้ถูกต้องจริงๆ แล้วจะเข้าใจว่า อะไรเกิดก่อนหลัง
ตอบ รู้ อาริยสัจ ๔ (ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค) หรือแยกมาเป็น ปฏิจจสมุปบาท ซึ่งก็คือ อริยสัจ ๔ นั่นเอง
ตอบ เกือบหมด ศึกษาไม่ถูกต้อง คือมันยังไม่จริงไม่ชัด มันพอรู้ แต่ยังไม่สมบูรณ์ ยังมีวิจิกิจฉา ต้องศึกษาจนรู้ว่า สัมมาเป็นสัมมา มิจฉาเป็นมิจฉา ต้องรู้แจ้งในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ได้ จึงจะเดินทางสู่โสดาปัตติมรรคได้ ผู้จะศึกษาได้ ต้อง ไม่มีตัว อัตตามานะน้อย ปัญญามาก หรือไม่มีอัตตามานะมาก แต่ปัญญาไม่มากนักก็ได้ แต่ถ้ามีอัตตามานะมาก ก็จะปิดกั้นไม่รับ
ตอบ ยังไม่บรรลุธรรมเลย ยังไม่เป็นโพธิสัตว์
ตอบ ยังอีกนาน คำว่าพรากไม้ที่ชุ่มด้วยยางจากน้ำ คือ ไม้ถ้ายังไม่เอาออกจากน้ำ ก็จะไม่ติดไฟ กิเลสมากต้องพรากก่อน
ตอบ พระพุทธเจ้าท่านสอนให้มองเรื่องร่างกายมนุษย์ ผู้หญิงคือถุงขี้ผูกโบว์ ผู้ชายคือ หนังความหุ้มขี้ มีขี้ทั้งตัว ตั้งแต่หัวจรดเท้า มีขี้ข้างในอีก ไปรักอะไร กันนักกันหนา ก็พิจารณาบ้างก็ดี ว่ามันไม่ใช่สิ่งน่าหลงใหล การกำหนดใจ ท่านให้กำหนดเป็น อศุภะ สุดท้าย อะไรก็ไม่น่ามีน่าเป็น พระอรหันต์ ท่านไม่ได้อยากได้อะไร ท่านไม่ผลัก ไม่ดูดแล้ว ท่านอาศัยทำงาน แต่ท่านจะไม่สะสม เรื่องกามราคะ ต้องปฏิบัติตั้งแต่อบายภูมิ ตามลำดับไป กามคุณ ต้องตั้งใจว่ายิ่งกว่าถุงขี้ ก็พยายามมองอย่างนั้น ต้องทำใจว่า ไม่ใช่สิ่งน่าได้น่ามีน่าเป็น เทียบเลย เราจะจับขี้ แต่ละที ไม่ง่ายเลย
ตอบ พ่อท่าน ชื่อ สมณะ รัก โพธิรักขิโต
ตอบ พระพุทธเจ้าตอบว่า ผู้ตั้งตนเป็นคนโสด ท่านเรียกว่าบัณฑิต ผู้ฝักใฝ่ในเมถุน ย่อมเศร้าหมอง อีกอันหนึ่ง ท่านสอนว่า แม้ไม่แต่งงานก็อย่าแต่ง แต่ถ้าแต่งงาน ก็อย่ามีลูก แต่นั่นแหละ ก็ต้องเรียนรู้ทุกข์ มีลูกเรียนรู้ทุกข์ เพราะไม่รู้ว่าลูกผี หรือ ลูกคนมาเกิด แต่ก็ไม่มีลูก ก็อย่าหลงในกามมาก ก็พยายามห้ามกัน ใครไม่ได้ ก็แล้วแต่วิบาก
ตอบ มีเจเขี่ย คือเอาออก หรือบอกทางบ้านให้เตรียมให้ ในพืชมีโปรตีนครบ เช่น ถั่ว หลากหลายชนิด มีพืชที่มีเมล็ด ใบ ก้าน หัว
ตอบ ก็พยายามลดละ ตั้งใจเอาจริงเอาจัง มันไม่ง่าย แต่ก็ต้องเรียน ไม่อย่างนั้นไปไม่รอด คนมีบารมีตั้งใจแสวงหาจริง ก็ไม่ง่าย คนมาได้ก็อนุโมทนา ก็ต้องทำ ยิ่งรวมกันก็เป็นสนามแม่เหล็ก ที่เป็นรูปธรรม
ตอบ ได้ มันมีการสังเคราะห์กันได้ เป็นอจินไตย
ตอบ การระลึกรู้ คือเอาสัญญาไปกำหนด คือดึงเอาความจำมารู้ การกำหนดรู้ คือการอ่าน ในสภาพภายนอก และสภาพภายใน ซึ่งภายในเป็นเรื่องสำคัญ ให้อ่าน จิตเจตสิก ตนเองให้ออก สิ่งที่ระลึกได้เรียกว่าสัญญา แล้วเราหลงไปกับสัญญา ก็มีเยอะ ถ้าเราจะระลึกสัญญา ก็เป็นของแห้ง ก็ได้แต่ปัญญา ได้ความเข้าใจความรู้ แต่ไม่ได้ทำลาย กิเลสจริงๆตอนผัสสะ ซึ่งในอนาคามี จะเหลือแต่สัญญา เพราะข้างนอก ที่ผัสสะไม่เกิดกิเลสแล้ว แต่พระพุทธเจ้าตรัสว่า ตัวสัญญนี่แหละนาน แต่ก็ทุกข์น้อย ผู้ไม่เรียนรู้ตามลำดับ จะเวียนวนไม่สำเร็จ ยากนาน คุณอาจกดข่มได้กี่ชาติ แต่ก็จะวนเวียนกลับมา เบื้องต้นให้เรียนรู้ฆ่าอบายก่อน แล้วฆ่ากามต่อมา แล้วจะมั่นใจเอง
ตอบ แช่คือแช่เฉยๆ แต่ตั้งมั่นคือ ล้างมันหายไปเลย
ตอบ ถ้าเอาตรรกะมาใช้ก็ได้ชั่วคราว เป็นอัตตวาทุปาทาน พึ่งสิ่งสมมุติขึ้นมาว่า ทุกอย่าง ไม่มีตัวตน เป็นต้น แต่ไม่ได้ล้างกิเลส อย่างให้ดับสนิท ไม่เกิดอีก อย่างพ่อครูอธิบาย พิจารณาเห็นความจริง จนเกิดญาณ ที่เป็นพลังฌาน ในการสลายกิเลสนั้น มันไม่ถาวร แต่ก็ได้พักได้อาศัย เราต้องเรียนรู้ศีล สมาธิ ปัญญา ให้ทำตามลำดับ ไม่ใช่อาศัยแต่เหตุผล ตรรกะ ที่อาศัยพักยกชั่วคราว ไม่ได้ฝึกอ่านอาการ ลิงค นิมิต แล้วไปทิ้งเฉยๆ รู้นิ่งเฉย มีสติอย่างเดียว อย่าไปยึดมั่นถือมั่น วางๆ ถ้าฐานะดีฉลาดวาง มีกินมีใช้ ก็ทำได้ ตลอดชีวิต มันง่าย เป็นคาถาเพื่ออาศัย แต่ไม่เข้าเป้า
ตอบ ก็ต้องดู อย่างติดสิ่งเสพติด ในรูปรสกลิ่นอยู่ ยังละไม่ได้นี่ก็ ไม่เป็นอรหันต์หรอก ถ้าว่าเป็นโสดาบัน ก็พอได้ ถ้าเป็นกายสักขี ต้องสัมผัสวิโมกข์ ๘ สำเร็จอิริยาบถอยู่ จึงจะบรรลุได้... .จบ |
||
|