560512_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครู และ ส.เพาะพุทธ
เรื่อง การทำใจในใจเป็นนั้นสำคัญขนาดไหน

           ส.เพาะพุทธ เริ่มรายการที่ศาลาฉัน สันติฯ...

เดิมทีเรามี รายการ พุทธที่ไปนิพพาน ต่อมาก็มีชื่อเป็นรายการ วิถีอาริยธรรม นั่นเอง พ่อครูมาบอกความจริง ให้เรารู้ในธรรมะที่เป็น โลกุตระ เป็น อเทวนิยม ซึ่งเป็นสองข้อที่ ศาสนาพุทธ ต่างจากศาสนาอื่น โลกุตระที่จะเป็นไปได้ จะต้องมี ปฏิปทาที่เป็นไปสู่ โลกุตระ ที่ได้นำเสนอไป ในรายการที่แล้ว

นิโรธแบบพุทธ คือ การดับเหตุ คือ ตัณหา แต่ นิโรธแบบฤาษี คือการดับจิต และ อวิชชา คือความไม่รู้ ส่วนมิจฉาทิฏฐิ คือการรู้ผิด ซึ่งอวิชชานั้นก็รวมถึงมิจฉาทิฏฐิไปด้วย อวิชชาคือ คนที่ไม่รู้ความจริง เรื่องอริยสัจ

พ่อครู.. คราวที่แล้วพ่อครูได้นำปฏิปทา (การปฏิบัติ) มาสาธยาย ซึ่งนำมาจากพระไตรฯ ล.๑๖ สูตรที่ ๓ พ่อครูได้สอนไล่มาเรื่อยๆ จากสูตรที่ ๑ คือ เทศนาสูตร และมาสูตรที่ ๒ คือ วิภังคสูตร ซึ่งมีจุดสำคัญ ที่ท่านตรัสถึง ปฏิจจสมุปบาท ท่านกล่าวถึง อวิชชา คือ ความไม่รู้ใน สายปฏิจจสมุปบาทต่อมา ที่เป็นอาการที่ลึกซึ้ง มีทั้งรูปธรรม ทั้งนามธรรม

สังขาร คือรวมทั้ง มหาภูตรูป และอุปาทายรูป ต้องรู้เป็นสภาวะ ไม่ใช่แค่รู้ตรรกะ เห็นโดยใช้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ที่จะเป็นลักษณะ ให้เรารู้ในนามธรรม

สังขาร มี สังขาร ๓ คือ กายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร หรือแบ่งเป็น ปุญญาภิสังขาร อปุญญาภิสังขาร อเนญชาภิสังขาร และยังแตกเป็น ปธานสังขารอีก ในเรื่องของ อิทธิบาท ที่มีความเพียรกับสังขาร

เรื่องนามรูป ท่านก็แจกให้เรียนรู้ เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ซึ่งสำคัญมาก

พระพุทธเจ้าสอนในจุดที่สำคัญของทุกสูตรคือ "โยนิโสมนสิการ" ถ้าไม่เข้าใจเรื่องนี้ ก็จบเห่ หรือเข้าใจผิดเป็น มิจฉาทิฏฐิ เขาเรียนมาเยอะ แต่รู้มาผิด เรียนมาผิด โดยเฉพาะ คำว่า โยนิโสมนสิการ ที่ยังเข้าใจไม่ครบถ้วน ถ้ารู้การโยนิโสมนสิการ ก็คือจะรู้ นายช่างของจิต กดปุ่มของจิต หรือทำจิตให้ชำระกิเลส ให้หมดเลย ซึ่งไม่ใช่ไปดับจิต ที่เขาเรียนคำว่า นิโรธ คือการดับจิต ดับสัญญา สะกดไม่ให้มันรู้ นั้นเข้าใจไม่ถูก เขาพาสอน พาทำผิดๆมานาน

ปฏิจจสมุปบาท "สายเกิด" เริ่มจาก อวิชชา ต่อเนื่องไป สังขาร...ไปจนทำให้เกิดทุกข์
ปฏิจจสมุปบาท "สายเกิด" ท่านเริ่มที่ ชาติ ซึ่งแจกเป็น ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ ซึ่งเป็นนามธรรม ล้วนแล้วแต่เป็นการเกิดอย่าง โอปปาติกโยนิ ไม่ใช่การเกิดอย่าง สังเสทชโยนิ หรือ อัณฑชโยนิ หรือ ชลาพุชโยนิ แต่อย่างใด ซึ่งถ้าเข้าใจ การเกิดใน ปฏิจจสมปุบาท ว่าเป็นการเกิดตาย ทางร่างกายนั้น ก็จะปฏิบัติ ให้เข้าถึง ปรมัตถ์ไม่ได้ แต่ถ้าเข้าใจว่าชาติ ในปฏิจจสมุปบาท คือการเกิดอย่าง โอปปาติกโยนิ จึงจะทำให้ ปฏิบัติได้เข้าถึงปรมัตถ์

ภพ ก็มีภพ ๓ , ส่วนอุปาทานก็มี ๔ อย่าง , ไปถึงตัณหา ซึ่งในบริบทของ ปฏิจจสมุปบาท ท่านให้เรียนรู้ ตัณหา ๖ , ผัสสะ ๖ , อายตนะ ๖ , นาม ๕ รูป ๒ ,

นามรูป นั้นจะต้องใช้ปัญญารู้ ที่เรียกว่า "วิชชา" ที่ญาณตัวเริ่มต้นคือ "นามรูปปริจเฉทญาณ" ซึ่งเป็นสภาวะ ที่จะต้องมี ในการปฏิบัติ หากไม่มีสภาวะนี้ ก็ไม่สามารถปฏิบัติ บรรลุธรรมได้

วันนี้มี ศ.ระพี สาคริก มาฟังธรรมด้วย ความจริงอย่างหนึ่ง พ่อครูพบ อ.ระพี สาคริก ตั้งแต่ทำงาน สถานีโทรทัศน์ ตอนนั้น อ.ระพี เป็นผู้ทรงคุณวุฒิ ก็จะต้องเชิญมา ออกรายการ แต่ว่าก็สะดุดว่า เกิดปีเดียวกัน แต่คนละรอบ แต่ก็มีอะไรที่คล้ายกัน ซึ่งก็ไม่เคยเปิดเผย มาก่อนเลย ตอนนี้ พ่อครู ก็จะอายุ ๘๐ ปี ส่วน อ.ระพี ก็อายุ ๙๐ แล้ว รูปร่างหน้าตา ก็เปลี่ยนไป พระพุทธเจ้าก็เลี่ยงไม่ได้ แต่สำคัญคือ นามธรรม นั้นใหม่เสมอ สดเสมอ ไม่มีชรา มรณะ

ถ้าเข้าใจว่า ชาติ อะไรที่ควรดับ ให้ดับสนิทจนเป็น อภินิพพัตติ ซึ่ง ชาติที่ควรดับ คือ อกุศลจิต หรือจริงๆคือ อวิชชา จนดับอวิชชาสิ้นเลย ก็เกิดวิชชา และวิมุติ ซึ่งการดับอวิชชานั้น ไม่ใช่ว่า วิชชาดับไปด้วย แต่วิชชาจะสว่างไสว จะหมดปัญหา อย่างปัญหาเรื่องการเมือง ที่มีปัญาหามาก หลายอย่าง เราไม่รู้ ถ้ารู้เราก็ช่วยเขาแก้ได้ ไม่รู้เราก็แก้ไม่ได้

สังขาร ๓ นั้น ตัววจีสังขาร เป็นตัวที่รู้ได้ยากที่สุด ส่วนกายสังขารนั้น คนส่วนใหญ่ รู้ได้ไม่ครบที่สุด
             คำว่า กายสังขาร นั้น มีทั้ง รูปรูป และ นามรูป คือทั้งภายนอก และภายในจิต
             ส่วนจิตสังขาร ก็รู้ยากกว่ากายสังขารบ้าง
             ส่วนจิตสังขาร รู้ได้ยากที่สุด เราต้องรู้ในสังกัปปะ ๗ ตรงนี้แหละสำคัญ หากไม่รู้สูตรนี้ จะแก้ไขจิตตนไม่ได้ คนจะทำฌาน ทำสมาธิ ต้องรู้สังกัปปะ ๗ นี้ คือ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขาร

วจีสังขารไม่ใช่ วาจา แต่คือ นามธรรมในใจ หรือคำพูดในใจ ที่จะต้องเรียนรู้ ว่ามีอกุศลเหตุ หรือไม่ จะต้องทำฌาน ตรงนี้แหละ ในการเผากิเลส กามและพยาบาท ไม่ให้มาสังขารร่วม ในวจีสังขาร

องค์รวมของการสังขาร ของ สังกัปปะ ๗ จะต้องรู้เป็นสภาวะว่า แต่ละองค์ของ สังกัปปะ ๗ คืออย่างไร ถ้าทำวจีสังขาร ให้บริสุทธิ์ ก็จะออกมาเป็น สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ ได้บริสุทธิ์เช่นกัน เราปฏิบัติที่ต้นทาง ต้นเหตุ ในมูลสูตร เป็นต้นทางเลย

              ล.๑๖ สุตรที่ ๔ วิปัสสีสูตร
         [๒๒] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่านอนาถ บิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันต สัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าวิปัสสี ก่อนแต่ตรัสรู้ เมื่อครั้งเป็น พระโพธิสัตว์ ยังมิได้ตรัสรู้ ได้ปริวิตกว่า โลกนี้ถึงความยาก แล้วหนอ ย่อมเกิดแก่ตาย จุติและอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรม อันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ จักปรากฏฯ
          [๒๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะ อะไรเป็นปัจจัย
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะจึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ...
         เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อภพมีอยู่ ชาติจึงมี ชาติย่อมมี เพราะภพเป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่ออุปาทานมีอยู่ ภพจึงมี ภพย่อมมีเพราะอุปาทานเป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อตัณหามีอยู่ อุปาทานจึงมี อุปาทานย่อมมี เพราะตัณหาเป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อเวทนามีอยู่ ตัณหาจึงมี ตัณหาย่อมมีเพราะเวทนาเป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อผัสสะมีอยู่ เวทนาจึงมี เวทนาย่อมมีเพราะ ผัสสะเป็นปัจจัย ...
              เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะอะไร เป็นปัจจัย ... เมื่อสฬายตนะมีอยู่ ผัสสะจึงมี ผัสสะย่อมมีเพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สฬายตนะจึงจะมี สฬายตนะย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อนามรูปมีอยู่ สฬายตนะจึงมี สฬายตนะย่อมมีเพราะนามรูป เป็นปัจจัย ...
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อวิญญาณมีอยู่ นามรูปจึงมี นามรูปย่อมมีเพราะวิญญาณเป็นปัจจัย ...
            เมื่ออะไรหนอมีอยู่วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย ... เมื่อสังขารมีอยู่ วิญญาณจึงมี วิญญาณย่อมมีเพราะสังขารเป็นปัจจัย

             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแลพระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้มีความปริวิตกดังนี้ว่า
             เมื่ออะไรหนอมีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอะไรเป็นปัจจัย
             ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
             เมื่ออวิชชา มีอยู่ สังขารจึงมี สังขารย่อมมีเพราะอวิชชาเป็นปัจจัย เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความเกิดขึ้นแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่พระวิปัสสี โพธิสัตว์ ในธรรม ที่ไม่เคยได้ฟังมาก่อนว่า ฝ่ายข้างเกิด ฝ่ายข้างเกิด ดังนี้ ฯ

พ่อครูว่า ตัวสังขารที่เกิดด้วยอวิชชา ก็คือทำให้เกิดความเละเทะ กันทั่วโลก และที่สังขารอยู่ อย่างอวิชชา ก็เพราะ ทำใจในใจไม่เป็น ทำใจในใจอย่างไรจึงเป็น ก็คือ ต้องจับอ่าน สักกายะ ให้ได้ ใช้อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ในการอ่าน วิญญาณผี เปรต สัตว์นรก อสุรกาย เดรัจฉาน ล้วนแล้วแต่ เป็นนามธรรม แต่เขาไปเข้าใจผิดว่า เป็นตัวเป็นตน เป็น รามเกียรติ์ มหาภารตะ เป็นนิทานไป ถ้าใครเข้าใจเป็นนามธรรม ได้หมด ในการดูรามเกียรติ มหาภารตะ ก็สูงมาก

ถ้ามีวิชชา คุณก็สังขารอย่าง "วิสังขาร" คือทำให้ไม่มีสิ่งที่จะไม่ให้มี ไปปรุ่งแต่งร่วมด้วย คือไม่ให้มีเหตุตัวนี้ ไปปรุงแต่งร่วม แปลง่ายๆว่า ไม่ให้สังขาร ก็คือ ไม่ให้มีตัวร้าย ไปสังขาร เราก็ยังสังขารอยู่ แต่สังขารอย่างไม่มีโทษภัย ไม่มีตัวเหตุร้าย ไปสังขารร่วมด้วย ท่านแจกเป็น อภิสังขาร
         คำว่า จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ก็คือคำที่ใช้แทนกันได้ แล้ว

             [๒๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ได้มีความ ปริวิตก ดังนี้ว่า
             เมื่ออะไรหนอไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชรา และมรณะจึงดับ
         ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะ กระทำไว้ในใจ โดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า
             เมื่อชาติไม่มี ชราและมรณะจึงไม่มี เพราะชาติดับ ชราและมรณะจึงดับ ... เมื่ออะไรหนอไม่มี ชาติจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ชาติจึงดับ
เมื่อภพไม่มี
ชาติจึงไม่มี เพราะภพดับ ชาติจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี
ภพจึงไม่มี เพราะอะไรดับ ภพจึงดับ
เมื่ออุปาทานไม่มี
ภพจึงไม่มี เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ ...
เมื่อไรหนอไม่มี
อุปาทานจึงไม่มีเพราะอะไรดับ อุปาทานจึงดับ ...
เมื่อตัณหาไม่มี อุปาทานจึงไม่มี
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี
ตัณหาจึงไม่มี เพราะ อะไรดับ ตัณหาจึงดับ ...
เมื่อเวทนาไม่มี
ตัณหาจึงไม่มี เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ ..

พ่อครูแทรกว่า เวทนาคือความรู้สึก ถ้าอ่านตามพระไตรฯนี้ จะดับตัณหา จะต้องดับเวทนา จะไปเข้าใจผิดว่า ต้องไม่รับรู้อะไร คือดับเวทนา ไม่ให้มันรู้สึกอะไร และถ้าลืมตา มันดับไม่ได้ ก็ต้องนั่งหลับตา ไปสะกดจิต เป็นอสัญญีสัตว์ หรือวิสัญญี อย่างวิสัญญีแพทย์ ก็จะสามารถระงับ ดับความรับรู้ได้ ไม่ให้รับรู้อะไรข้างนอก เขาทำใจในใจไม่เป็น ทำไม่ถูก ทำไม่สัมมา ก็ไปดับเวทนา ซึ่งถ้าจะดับเวทนาได้ ต้องดับผัสสะอีก ก็พาซื่อไป ไม่ให้มีผัสสะอีก ไปดับนั่ง เข้านิโรธสมาบัติ โดยทำการ นั่งดับหลับไหล ซึ่งเข้าใจไม่ถูกต้อง

 เมื่ออะไรหนอ ไม่มี เวทนาจึงไม่มี เพราะอะไรดับ เวทนาจึงดับ ...
เมื่อผัสสะไม่มีเวทนาจึงไม่มี
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี
ผัสสะจึง ไม่มี เพราะอะไรดับ ผัสสะจึงดับ ...
เมื่อสฬายตนะ ไม่มี
ผัสสะจึงไม่มี เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี
สฬายตนะจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สฬายตนะจึงดับ ...

พ่อครูแทรกว่า....อายตนะจะเกิดได้ต้องมีผัสสะ (ท่านเรียกว่า ผุสสะ หรือผัสสะ แปลว่า การสัมผัส) ที่เกิดจาก ตาหูจมูกลิ้นกายใจ คือมีสิ่งสองสิ่ง ที่เป็นรูปธรรม สัมผัสกัน จึงเกิดตัวรู้ ที่ท่านเรียกว่า "วิญญาณ" แต่ถ้าไม่มีตาหูจมูกลิ้นกาย มีแต่ทวารใจ เขาเรียกว่า มนายตนะ แต่ไม่เรียกว่า ธรรมารมณ์

มีคนแย้งที่พ่อครูเข้าใจว่า ถ้าไม่มีผัสสะ จะไม่เกิดอายตนะ นั้นอธิบายว่า..
เพราะทวารใจนั้น มันเหมือนไส้เดือน มีสองเพศ ไม่ต้องหาให้ยาก ไม่ต้องกระทบ สัมผัสหรอก มันอยู่ด้วยกันแล้ว เหมือนใจ ก็ปรุงกันเองได้ ไม่ต้องไปหา ไม่ต้องสัมผัส แต่มันปรุงเองเลย

พระพุทธเจ้าแยกอายตนะ ๒ คืออายตนะ ๑๐ ก่อนเป็นอายตนะภายนอก และก็มีอายตนะ ๒ คือในใจ จะรู้จักอายตนะ ๒ ดีคุณต้องรู้อายตนะ ๑๐ ก่อน คือคุณต้องดับเหตุ ที่มาจาก อายตนะ ๑๐ ก่อนได้หมด คุณจึงจะไปรู้อายตนะ ๒ ได้ คือเป็นอนาคามี หมดสังโยชน์ ๕ แล้ว มีเหลือแต่รูปโลก และอรูปโลก เป็นอภิสังขารระดับ อปุญญาแล้ว ถึงขั้นอุเบกขาแล้ว ในการสัมผัสทางภายนอก

ถ้าคุณยังมีแวบไหวในการสัมผัสภายนอก คุณยังไม่อเนญชา คุณก็ต้องสะสม อเนญชา ต่อไป ให้มั่นคง ไม่หวั่นไหว สั่งสม อเนญชาภิสังขาร คือมีกุศลเจตนา อรูปาวจร ไม่เกี่ยวกับภายนอก แต่ต้องอยู่กับ ชีวิตประจำวัน มีการสัมผัสอยู่ แล้วจะมีการ ประมาณเอง ในการสัมผัส ท่านไม่ไปอยากได้ ลาภยศสรรเสริญสุขแล้ว ท่านมี สังขารุเปกขาญาณ ท่านก็จะประมาณ โดยไม่ได้อยาก อวดดีห่าม จะประมาณเผื่อพอ ด้วยซ้ำ ไม่ประมาท คือ อปมาทะอย่างแท้จริง พ่อครูว่า ถ้าดูแล้ว เหตุการณ์เสี่ยง ถ้าไม่ถึง ๗๐ เปอร์เซ็นต์ไม่ทำ ถ้าไม่เสี่ยงได้ ๘๐-๑๐๐ ก็ทำเลย

            เมื่อนามรูปไม่มี สฬายตนะจึงไม่มี เพราะนามรูป ดับ สฬายตนะ จึงดับ ...

พ่อครูแทรกว่า... คุณทุกข์แต่คุณกลบเกลื่อน ว่าหามาบำเรอ ให้มันเป็นสุข คราใดที่คุณ อยากได้มาก ก็ต้องไปทำผิด อย่างฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา ถ้ากูไม่ได้ คนอื่นก็อย่า อยู่เป็นสุข จึงเห็นอยู่ตำตา ในมนุษย์เช่นนี้ ภาวะทุกข์ร้อน มันมีอยู่ แต่เขาไม่เห็น ว่ามันทุกข์ เขากลับหลอกว่า จะทำให้ทุกคน มีสุข โดยเอาเงินหรืออามิส ลมๆแล้งๆ มาล่อ เช่น จะให้คนมารวยทั้งหมด ซึ่งพระพุทธเจ้าไม่สอน ในหลวงไม่สอนอย่างนั้น ในหลวงเรา เป็นตระกูลพระพุทธเจ้า เพราะสอนให้คนมาจน สอนให้คน มาจนนี้ พ้นทุกข์ สอนให้คนมารวย จะยิ่งทุกข์

อย่างถูกหวยรางวัลที่ ๑ ได้ ๓๐ ล้าน เริ่มทุกข์แล้ว มีคนมามากมาย มาทวงบุญคุณ ทั้งญาติ และไม่ใช่ญาติ บางคนต้องหนีเลย นี่คือเรื่องจริง

 เมื่ออะไรหนอไม่มี นามรูปจึงไม่มี เพราะอะไรดับ นามรูปจึงดับ ...
เมื่อวิญญาณไม่มี
นามรูป จึงไม่มี เพราะวิญญาณดับ นามรูป จึงดับ ...
เมื่ออะไรหนอไม่มี
วิญญาณจึงไม่มี เพราะอะไรดับ วิญญาณจึงดับ
เมื่อสังขารไม่มี
วิญญาณจึงไม่มี เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ

                ดูกรภิกษุ ทั้งหลาย ครั้งนั้นแล พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า
เมื่ออะไรหนอ ไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอะไรดับ สังขารจึงดับ ดูกรภิกษุทั้งหลาย ครั้งนั้นแล

พ่อครูแทรกว่า...
             ในเรื่องวิญญาณฐีตินั้น การกำหนดรู้ต่างกันนั้น จะทำให้เข้าใจ และปฏิบัติต่างกัน เช่น คนรู้เรื่องผี มาต่างกัน คนก็เห็นผี เห็นองค์ประชุมต่างกัน กายต่างกัน สัญญาก็ต่างกัน

๑. สัตว์บางพวก กายต่างกัน สัญญาต่างกัน เช่น พวกมนุษย์ เทพบางเหล่า พวกวินิปาติกะ บางเหล่า

๒. สัตว์บางพวก มีกายต่างกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น เหล่าเทพจำพวกพรหม ผู้เกิดในภูมิ ปฐมฌาน เป็นต้น .

๓.  สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน แต่มีสัญญาต่างกัน เช่น พวกเทพสว่าง อาภัสราพรหม (ว่าง ใส สว่าง แผ่กว้าง) .

๔.  สัตว์บางพวก มีกายอย่างเดียวกัน มีสัญญาอย่างเดียวกัน เช่น พวกเทพมืด สุภกิณหาพรหม (ได้นิโรธมืดเป็นโชค) ที่จริงเทวดาสุภกิณหา คือถึงขั้นนิโรธแล้ว คือถึงฌาน ๔ แล้วเป็นอุเบกขา เป็นอาภัสรา แต่ความไม่มีคืออะไร ผู้ที่สัมมา จะดับได้สนิทเลย แต่สว่างโล่ง แต่ผู้มิจฉา จะดับอย่างมืดเลย จึงใช้คำว่า กิณหา แล้วเขาก็เข้าใจว่า ได้นิโรธ แล้วเข้าใจว่า เราได้บุญแล้วหนอ ได้โชคแล้วหนอ นี่คือ ผู้ได้กายนิโรธมืด แต่ของพระพุทธเจ้านั้นคือ ความหมดเกลี้ยง ไม่เหลือตัวตน ในสิ่งที่เป็นเหตุร้าย นี่คือ นิโรธแบบพุทธ จะสว่างไสว
             สุภกิณหพรหมคือ มีทั้งสภาวะสว่างแจ้ง คือมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ชัดเจนว่า ตัวที่จะให้ดับไม่เหลือ มันหมดเกลี้ยง ไม่มีเลย อย่างสว่างรู้ๆเลย คือนิโรธสว่าง
             แต่เพราะเขาไป ไม่เข้าใจนามรูป ว่าต้องรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ จึงไปเข้าใจแบบ ตัวตนเราเขา จึงแปลมาผิดๆ

พออวิชชดับ วิชชาก็เกิด แต่ถ้าเข้าใจผิด ไปดับอวิชชา ก็ดับไปทั้งหมด ก็มืด ไม่มีแสงสว่าง ไม่มีดวงตา ไม่มีญาณปัญญา จักษุ วิชชา แสงสว่างเลย ไม่ใช่อย่างนั้น

สังขารเมื่อดับอวิชชาได้ถูกต้อง จะมีอภิสังขาร เป็น ฉันทวิริยปธานสังขาร วิริยวิริยปธานสังขาร จิตตวิริยปธานสังขาร วิมังสวิริยปธานสังขาร

เราล้างตัวอกุศลจิตได้ดับสนิท ก็มีนิโรธแบบสว่าง ซึ่งเราจะล้างได้ ต้องสังขารอย่างไร จึงจะชำระ จิตสันดาน ได้หมดจด ก็ต้องทำ โยนิโสมนสิการนั่นเอง

             พระวิปัสสีโพธิสัตว์ เพราะกระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่ออวิชชาไม่มี สังขารจึงไม่มี เพราะอวิชชาดับ สังขารจึงดับ เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ ... ดังพรรณนามาฉะนี้ ความดับ แห่งกองทุกข์ทั้งมวลนี้ ย่อมมี ด้วยประการอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ได้บังเกิดขึ้น แก่พระวิปัสสีโพธิสัตว์ ในธรรมที่ไม่เคยได้ฟัง มาก่อนว่า ฝ่ายข้างดับ ฝ่ายข้างดับ ดังนี้ ฯ
                              จบสูตรที่ ๔


เพราะทำมนสิการเป็น ความดับแห่งกองทุกข์จึงมี อะไรดับ ..ก็คือ เหตุแห่งการเกิดอกุศล ดับ หรือเหตุแห่งทุกข์ดับ ไม่ใช่ดับจิต ไปดับสังขาร หรือดับนามรูป ดับอายตนะ ดับผัสสะ แต่ให้ดับเหตุ คือ ตัณหา เมื่อตัณหาดับ ภพก็ดับ แต่ไม่ใช่ดับไปหมด แต่จะมีภพวิเศษ และตัณหา ที่จะดับนั้นคือ กามตัณหา ภวตัณหา โดยใช้วิภวตัณหา

             มนสิการ คือทำใจในใจ ผู้ที่ทำใจในใจสัมมาทิฏฐิได้มนสิการ จึงจะโยนิโส ที่แท้จริงได้ จะเกิดสัมมาทิฏฐิ คุณต้องฟังผู้อื่น เพราะรากเหง้าของคุณ คืออวิชชา แต่ถ้าคุณไปเรียน แล้วมิจฉาทิฏฐิ แล้วคุณก็ไปยึดผิด แล้วคุณไม่ฟังสมณะพราหมณ์ ที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ถ้าเผอิญถูก ก็โชคดีไป อย่างที่พ่อครูพูด ถ้าคุณเห็นแย้ง ถ้าพ่อครูผิด คุณก็ถูก ถ้าพ่อครูถูก คุณก็ผิด เราไม่แย้งกัน พ่อครูรวยธรรม ยิ่งแจกยิ่งงอก ก็ให้ธรรมะไป

             ล.๒๒ ข้อ ๔๙๗ ต้องไปเรียนรู้ มีปรโตโฆษะ จึงจะมีโยนิโสมนสิการ เพื่อให้เกิด สัมมาทิฏฐิ ก็ลองฟังพ่อครูพูด ว่ามันถูกหรือไม่ เช่นประเด็น หลับตาปฏิบัติ หรือไป ลืมตาปฏิบัติ ก็ให้ลองฟังดูบ้าง พ่อครูไม่ได้ยึด ว่าต้องมาเอาอย่างพ่อครู แต่มั่นใจว่าถูก
             ๒. ในมูลสูตรข้อ ๒ ถ้าคุณยินดีมีฉันทะก่อน แล้วก็จะเรียนรู้ มูลสูตรข้อ ๒ คือ มนสิการ คือทำใจในใจ ถ้าใครเข้าใจไม่ถูก ไปเข้าใจว่า คือการขบคิด พิจารณา นั่นไม่ถูก หรือเอาแต่ มีสติ รู้นิ่งเฉย ไม่พิจารณาเลย รู้แล้วจบ ทุกอย่างไม่ใช่ตัวตน ก็เป็นสมถะลืมตา ก็นิยมกันทั่วโลก นิยมกว่าพ่อครูด้วย เอาแต่สติเท่านั้น ตัดทิ้ง ไม่รู้สัมปชัญญะ สัมปชานะ ไม่รู้รายละเอียดลึกซึ้งอะไร

เมื่อไม่เข้าใจมนสิการ เข้าใจทฤษฏีก่อน อย่างไม่ถูกต้อง ก็จะปฏิบัติไม่ถูก คุณเอาแต่ รู้นิ่งเฉย คุณก็โยนิโสฯไม่ถูกต้อง ก็จะไม่สำรวมอินทรีย์ ก็จะไม่สุจริตกรรม ๓ ก็จะปฏิบัติสติปัฏฐาน ไม่ถูกต้อง ไม่มีโพชฌงค์เกิด ก็อวิชชาอยู่ตลอดไป

ในสุริยเปยยาลสูตร แสงสว่างที่มาก่อนมรรคองค์ ๘ คือโยนิโสมนสิการ ถ้าเข้าใจ โยนิโสฯ ไม่ถูกต้อง ก็ปฏิบัติมรรคองค์ ๘ แบบผิดๆ

            ใน ปัญญาวุฑฒิสูตร
๑.สัปปุริสสังเสวะ (รู้จักฟังบัณฑิต คบหาสัตบุรุษ)  
๒.สัทธัมมัสสวนะ (ฟังสัทธรรม)
๓.โยนิโสมนสิการ (กระทำลงในใจโดยแยบคาย)
๔. ธัมมานุธัมมปฏิปัตติ (ปฏิบัติธรรมสมควรแก่ธรรม)

             คำว่าโยนิโสมนสิการ ในสิขีสูตร แม้พระพุทธเจ้าทั้ง ๗ ในสูตรที่ ๕ สิขีสูตร- ๙ กัสสปสูตร
             [๒๕] พระปริวิตกของพระพุทธเจ้า แม้ทั้ง ๗ พระองค์ ก็พึงให้พิศดาร เหมือนอย่างนี้ ดูกรภิกษุทั้งหลาย พระผู้มีพระภาคอรหันตสัมมาสัมพุทธเจ้า ทรงพระนามว่าสีขี ... ทรงพระนามว่า เวสสภู ... ทรงพระนามว่ากกุสันธะ ... ทรงพระนามว่าโกนาคมนะ ... ทรงพระนามว่ากัสสป ... ฯ

             ๑๐ มหาศักยมุนีโคตมสูตร
         [๒๖] ดูกรภิกษุทั้งหลาย เมื่อเรายังเป็นพระโพธิสัตว์ ก่อนตรัสรู้ ยังมิได้ตรัสรู้ ได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า โลกนี้ถึงความยากแล้วหนอ ย่อมเกิด แก่ ตาย จุติ และอุปบัติ และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ยังไม่รู้ธรรม อันออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ เมื่อไรเล่า ความออกจากทุกข์ คือชราและมรณะนี้ จักปรากฏ ดูกร ภิกษุทั้งหลาย เรานั้น ได้มีความปริวิตก ดังนี้ว่า เมื่ออะไรหนอมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะอะไรเป็นปัจจัย ดูกรภิกษุทั้งหลาย เรานั้นเพราะ กระทำไว้ในใจโดยแยบคาย จึงได้รู้ด้วยปัญญาว่า เมื่อชาติมีอยู่ ชราและมรณะ จึงมี ชราและมรณะย่อมมี เพราะชาติเป็นปัจจัย ........

             สรุปคือพระพุทธเจ้าทุกพระองค์ สอนให้ทำใจในใจให้แยบคายเหมือนกันหมด .......จบ
            
             ท่านจันทร์สรุปว่า ความจริงนั้นมีหนึ่งเดียว แม้จะสอนต่างองค์ แต่ไม่ต่างธรรม ในบรรดา พระพุทธเจ้าทั้งหลาย ไม่มีอัตตาตัวกูของกู แม้แต่คำสอนของกู ก็สอน อย่างเดียวกัน แม้แต่ถ้อยคำ ก็อย่างเดียวกัน แม้แต่พระพุทธเจ้า องค์สมณะโคดม ก็เอาคำสอนของ พระพุทธเจ้าองค์ก่อน มาสอน นึกถึงหนังสือของอโศก ก็นำเอาจาก ของหนังสืออื่น ที่เป็นสัจจะ มานำเสนอ

การดับสนิทนั้น ต้องดับอวิชชา แล้วจะเกิดความสว่างของ วิชชาได้

จุดสำคัญของพระพุทธเจ้าทุกพระองค์คือ โยนิโสมนสิการ ก็คือ สังกัปปะ ๗ อันได้แก่ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขารา

ตัวมนสิการคือการสังขาร และมีการสังเคราะห์ด้วย ทั้งหมดท่านจันทร์ฟังไป ก็มึนไป แต่อะไร ที่ไม่ลงตัว แต่ถ้าเอาตัวมาลง ก็จะได้เอง ถ้าไม่มาฟัง ก็ยิ่งไม่เข้าใจ แม้เข้าหู ก็ไม่เข้าหูแล้ว

ปัจจัยที่ทำให้เกิดสังขาร คือวิญญาณที่มีอวิชชา เราต้องเรียนรู้ โยนิโสมนสิการ ที่ทำให้เกิดสังขาร อย่างมีการสังเคราะห์ เพื่อสงเคราะห์ช่วยผู้อื่นต่อไป โลกวุ่นวายเพราะ สังขารด้วยอวิชชา ....

         

 
๑๒ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก