560523_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู _
เรื่อง การตายของวิญญาณผีนี้คือตรัสรู้ (วิสาขบูชา)

        พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ....

วันนี้ขึ้น ๑๔ ค่ำ วันพรุ่งนี้ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ปีมะเส็ง พวกเราชาวพุทธรู้ดีว่า เป็นวันสำคัญ เป็นวันวิสาขบูชา ซึ่งวันพรุ่งนี้ ก็จะถึงแล้ว วันนี้ก็เลยถือโอกาส พูดบรรยายเรื่องวัน วิสาขบูชา

ที่บ้านราชฯ พรุ่งนี้จะมีรายการที่จัดกันขึ้น ซึ่งแต่ก่อนเราก็มี เวียนธรรม ตอนเย็น ซึ่งข้างนอก เขามีการเวียนเทียน เป็นสายศรัทธา และออกจะผิด ในแบบของพุทธด้วย เพราะพุทธนั้น ไม่ให้จุดธูปเทียน บูชาไฟ จุดเทียนธูป แล้วก็ไหลหยดใส่มือ พ่อครูก็ไม่ค่อยส่งเสริม เรื่องเวียนเทียน

แม้แต่ในจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านก็กำหนดให้งดเว้น เรื่องเหล่านี้ ซึ่งศีลนี่ เป็นธรรมนูญ ของพุทธเลยทีเดียว ก็อาจจะขัดกับ ศาสนาพุทธทั้งโลก

ไม่รู้ว่าประเทศอื่น จะมีเวียนเทียนหรือไม่ ซึ่งในยุคพระพุทธเจ้า ก็มีลัทธิอื่น ที่มีเวียนเทียน แต่พระพุทธเจ้า ท่านประกาศศาสนา ก็ไม่ให้มีในลัทธิพุทธ กล่าวไปแล้ว ก็โดนเขาที่เป็นกัน เสียส่วนใหญ่ ก็เกรงใจ ที่ต้องพูด จำเป็นที่ต้องพูด สัจธรรมความจริง

และที่เราก็จะจัดงานวิสาขบูชา กันที่บ้านราชฯ โดยมีกำหนดว่า ๐๓.๓๐ น.มีรายการ ทำวัตรเช้า, ๐๖.๐๐ น. จะมีบิณฑบาต, ๐๗.๓๐-๐๘.๓๐ ก็จะเป็นรายการ บำเพ็ญคุณ Big cleaning day คือวันทำความสะอาดใหญ่ หรือทำ ๕ ส. (สะสาง สะดวก สะอาด สุขลักษณะ สร้างนิสัย) หรือเรียกว่า ปฏิบัติบูชา พัฒนาแผ่นดินพุทธ, ๐๙.๓๐ น. เป็นรายการ เทศน์ก่อนฉัน, รายการรับประทานอาหาร, ๑๓.๐๐-๑๖.๐๐ น.บำเพ็ญคุณ Big cleaning day, ๑๘.๐๐ น.เป็นรายการเวียนธรรม พ่อครูจะมาร่วม ในตอนท้ายปิดท้าย

มาเข้าเรื่องธรรม...วันวิสาขบูชา เป็นวันยิ่งใหญ่สูงสุดวันหนึ่ง ของชาวพุทธ สังคมโลก ยกให้เป็น วันสำคัญของโลกด้วย ของไทยก็ถือว่า เป็นวันสำคัญของชาติ

วิสาขบูชาสำคัญคือ วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ของพระพุทธเจ้า ที่ตรงกับวันเพ็ญ เดือน ๖ (ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖) ซึ่งตรงกัน ทั้งสามวันเลย (แต่ไม่ใช่วันเดียวกัน) เรานับปี ที่จะกำหนดรู้ในโลก เป็นพุทธศักราช นั้น นับเอาปีที่ พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ว่าเป็นพุทธศักราชที่ ๑ พอมาถึงปีนี้ ก็นับย้อนไป ตั้งแต่พระพุทธเจ้า ประสูติ มาถึงปีนี้ ก็ครบ ๒๖๐๐ ปีแล้ว

ตั้งแต่พระพุทธเจ้าประสูติ นับไปอีก ๒๙ ปี ท่านก็ออกบวช จากนั้น ตอนอายุ ๓๕ ปีท่านก็ตรัสรู้ จากนั้น ก็ประกาศ เผยแพร่ศาสนา อีก ๔๕ ปี ไปจนตาย ก็ตอนอายุ ๘๐ ปี ก็เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๖ อีกทั้งตอน ประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน ซึ่งเป็นเรื่องประหลาด

มีความลึกซึ้งในนามธรรม นั้นเป็นวันคล้ายวันเกิด ทางนามธรรม หรือการเกิด ทางจิตวิญญาณ ซึ่งพ่อครู เคยเขียนเอาไว้ อยู่ในคำนำ ของหนังสือ คนคืออะไร ทำไมสำคัญนัก ที่เป็นหนังสือที่ พ่อครูเขียน ก่อนออกบวช ๑ ปี แต่คำนำนี้ มาเขียนทีหลัง

วัน "วิสาขบูชา" คือวันสำคัญ ที่ยิ่งใหญ่สูงสุดวันหนึ่ง ของพุทธมามกะ เพราะเป็น
๑. วันคล้ายวันเกิด ทางเนื้อหนังตัวตน ของบุคคลหนึ่งคือ.. "สมเด็จพ่อ" ผู้มหาประเสริฐ เลิศสุด ที่มีพระนามว่า "สิทธัตถะ"
๒. วันคล้ายวันตาย ทางวิญญาน ของบุคคลผู้หนึ่ง อันก็คือ "สมเด็จพ่อ" นั่นเอง ซึ่งเป็นวัน เวียนวน มาบรรจบ ขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ ซ้ำกันอีกใน ๓๕ ปีต่อมา และการเรียก การเกิด-การตาย ชนิดนี้ว่า “ตรัสรู้”

คือพระพุทธเจ้า ท่านทบทวนย้อนหลัง ระลึกไปได้นานชาติ เป็นสังวัฏกัปป์ (ระลึกได้ อย่างไม่ครบ รอบถ้วน ) และวิวัฏฏกัปป์ (ระลึกได้ครบ รอบถ้วน) ท่านรู้ว่า ท่านบำเพ็ญ มาอย่างไร จนมีบารมี จะได้เป็นพระพุทธเจ้า โดยใช้เตวิชโช คือ
๑.ระลึกย้อนชาติได้ (บุพเพนิวาสานุสสติญาณ) 
๒.ระลึกการเกิดการตาย ทั้งทางร่างกาย และทางจิตวิญญาณ สามารถทำให้การเกิด การตายสมบูรณ์ คือทำให้กิเลส (อกุศลจิต) ตาย จิตของท่าน ก็เกิดใหม่ มีญาณรู้เรียกว่า จุตูปปาตญาณ
๓.อาสวักขยญาณ คือมีวิธีปฏิบัติ ที่ได้เรียนรู้ จากพระพุทธเจ้า องค์ก่อนๆ หรือสัตบุรุษ และก็ปฏิบัติตาม ก็ได้บรรลุตามมาเรื่อยๆ ในแต่ละชาติ จนบรรลุโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ จนบรรลุโพธิสัตว์ ตามลำดับ จนบรรลุ สัมมาสัมโพธิญาณ แต่ยังไม่ประกาศศาสนา

จนวันที่พระพุทธเจ้า ท่านนั่งเจโตสมถะ แล้วใช้เตวิชโช รู้ว่าตนได้มี สัมมาสัมโพธิญาณแล้ว ซึ่งในชีวิตที่ท่านเป็น เจ้าชายสิทธัตถะนั้น ท่านไม่ได้ปฏิบัติ ศาสนาพุทธเลย เพราะก่อนตรัสรู้ ก็ไม่มีศาสนาพุทธ จนท่านก็ใช้ เตวิชชา รำลึกได้ ทั้งการเกิดตาย ทางร่างกาย และจิตวิญญาณ และก็มีญาณรู้ว่า ตนมีสัมมาสัมโพธิญาณ ก็ตรัสรู้อนุตตร สัมมาสัมโพธิญาณ ได้ในวันนั้น

ซึ่งตอนที่บำเพ็ญตน ก่อนตรัสรู้นั้น ท่านก็สารภาพไว้ว่า ๖ ปีที่ทรมานตนนั้น ไม่ได้ปฏิบัติ ธรรมของพุทธ แต่เป็นการใช้วิบาก ท่านตรัส ในพระไตรฯ ล. ๓๒ ข้อ ๓๙๒ ดังนี้ เราชื่อว่าโชติปาละ ได้กล่าวกะพระสุคตเจ้า พระนามว่ากัสสปะ ในกาลนั้นว่า จักมีโพธิมณฑล แต่ที่ไหน โพธิญาณท่านได้ยาก อย่างยิ่ง  ด้วยวิบากแห่งกรรมนั้น เราได้ประพฤติกรรม ที่ทำได้ยากมาก ทุกกรกิริยา) ที่ตำบลอุรุเวลา เสนานิคม ตลอด ๖ ปี แต่นั้น จึงได้บรรลุโพธิญาณ แต่เราก็มิได้บรรลุ โพธิญาณอันสูงสุด ด้วยหนทางนี้ เราอันบุรพกรรม ตักเตือนแล้ว จึงแสวงหาโพธิญาณ โดยทางที่ผิด

ก็ในชาตินี้ ท่านมีพุทธการกธรรม ที่ท่านระลึกชาติได้ว่า ท่านเป็นสยัมภู (คือการรู้ได้ ด้วยตนเอง อย่างเยี่ยมยอด เป็นผู้ยิ่งใหญ่สุดแล้ว เฉพาะตน ไม่ทำตามอย่างใคร มีแต่ท่าน เป็นผู้ถ่ายทอดแท้ๆ) ท่านก็รู้แล้วว่า เราเป็นพระพุทธเจ้าแล้ว พอรู้ตัว ออกจากการนั่ง เจโตสมถะ ก็รู้แล้วว่า เป็นพระพุทธเจ้า

ท่านก็ยังไม่ประกาศทันที หลังจากตรัสรู้แล้ว อีก ๒ เดือนท่านก็ไปประกาศต่อ ปัญจวัคคีย์ ที่เคยปฏิบัติธรรมด้วยกัน แล้วหนีจาก พระพุทธเจ้ามา พอพระพุทธเจ้า บรรลุแล้ว ก็มาโปรดปัญจวัคคีย์

พอประกาศว่า เป็นพระพุทธเจ้า แก่ปัญจวัคคีย์ และแสดงธรรม ในวันเพ็ญเดือน ๘ ที่เรียกว่าวัน "อาสาฬหบูชา" เป็นวันที่ ท่านแสดง "ปฐมเทศนา" หลังเทศนา โกณฑัณญะ ก็บรรลุโสดาบัน ก็เลยเกิดพระสงฆ์ขึ้น เป็นครั้งแรก เป็นอริยสงฆ์ ก็ถือว่า เป็นวันที่มี พระรัตนไตร ครบ

ซึ่งทุกวันนี้ เขาเข้าใจผิดว่า การจะบรรลุธรรม ต้องไปนั่งเจโตสมถะ เหมือนพระพุทธเจ้า ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านตรัสไว้ว่า เป็นทางที่ผิด ดังตรัสใน พระไตรปิฎก ล. ๓๒ ข้อ ๓๙๒ คนไม่ค่อยเข้าใจ อย่างเดียรถีย์ ปฎิบัติมานาน เป็นการปฏิบัติกันทั่วโลก เขาก็ว่า บรรลุกันไป ตามแต่เขาว่า มีหลายอย่าง แต่ของพระพุทธเจ้า จะบรรลุอย่างเดียว ไม่มีหลายอย่าง เหมือนลัทธิทั่วไป

การเกิดการตายนั้น เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๖ เป็นวันที่ จิตวิญญาณท่าน แต่ก่อนไม่รู้ว่า เป็นพระพุทธเจ้า ไม่รู้พุทธธรรม แต่พอมานั่ง เจโตสมถะ แล้วก็มีเตวิชโช ก็ระลึกได้ว่า เรามีพุทธธรรมแล้ว รู้ว่าอริยสัจ ๔ เป็นอย่างไร แต่ก่อน จิตที่ท่านไม่รู้ ก็คือ จิตชนิด "อวิชชา" พอรู้ขึ้นมา จิต "อวิชชา" ก็ตาย และจิต "วิชชา" ก็เกิด ซึ่งพระพุทธเจ้า รู้พรวดเดียวเลย และก็นำมาสอนตลอด ๔๕ พรรษา

แต่ก่อนมีอวิชชา พอระลึกชาติได้ จิตอวิชชาตาย ก็เรียกว่า การตายของจิต แล้วจึงบรรลุ การเกิด  เกิดเป็นพระพุทธเจ้า ซึ่งร่างกายท่าน ก็อย่างเดิมนะ มีมหาปุริสลักษณะ ๓๒ ประการ ก่อนบวช ท่านก็มีลักษณะเช่นนั้น บวชแล้ว บรรลุแล้ว ท่านก็มีร่างกายอย่างเดิม

พระพุทธเจ้า ก่อนจะรู้ว่าโสดาบันเป็นอย่างไร ก็ระลึกชาติได้ แต่ก่อนมีศาสนาพุทธนั้น ศาสนาพุทธนั้น สูญไปแล้ว มีแต่ลัทธิอื่น เต็มไปหมดเลย ท่านก็ตรัสถึง พระสูตรต่างๆ เอาไปโปรดสัตวโลก จนมีพระพุทธสาวกต่างๆ เพราะท่านมีหมดแล้ว ท่านผ่านการ บำเพ็ญมาแล้ว ท่านก็เอาของท่าน มาบรรยาย

หลวงปู่ขอบอกว่า  ชาตินี้ก็มีของตนเอง เอามาบรรยาย ซึ่งจะไม่ตรงกับที่เรียนกัน เพราะที่เรียนกันนั้น เพี้ยนแล้ว หลวงปู่ก็ยืนยันว่า อย่างนั้นไม่ใช่ ก็เลยเกิดเรื่อง เขาก็หาว่า หลวงปู่มาล้มล้าง ศาสนาพุทธ ซึ่งหลวงปู่ก็ยืนยัน สัมมาทิฏฐิ มาตลอด เขาเรียน ก็เรียกว่าพุทธ แต่เป็นความรู้ผิดๆ หลวงปู่ก็แก้ให้ เขาก็ว่าหลวงปู่ มาทำลายศาสนา ซึ่งหลวงปู่เอาจริงเอาจัง สอนธรรมะมานาน ตั้งแต่อายุ ๓๖ ตอนนี้จะย่างเข้า ๘๐ปีแล้ว ใช้เวลากว่า ๔๔ ปีแล้ว ก็ยืนยันว่า จะอยู่ศาสนาพุทธนี่แหละ ใครจะบอกว่า หลวงปู่ทำลาย ศาสนาพุทธ ไม่มีทางหรอก

การเกิดการตายทางจิตวิญญาณ ท่านเรียกภาษาบาลีว่า "อภินิพัตติ" หรือเรียกว่า "ชาติ" ก็ได้ เป็นคำสามัญนาม (common noun) แต่การเกิด ที่หลวงปู่หมายนั้น เป็นวิสามัญนาม ซึ่งอภินิพพัติ คือการเกิด อย่างสูงสุด

การเกิดมี ๕ อย่าง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตติ อภินิพพัตติ

โอกกันติ คือเริ่มมีอาริยมรรค เริ่มแต่โสดาบัน พอเป็นนิพพัตติ ก็มีอริยคุณ เพิ่มไปตามขั้น จนสูงสุด เป็นอรหันต์ ก็เรียกว่า "อภินิพพัตติ"

ดังนั้น ในวันเพ็ญเดือน ๖ นั้น จึงเป็นการเกิด การตาย ทางวิญญาณ จากผู้ที่อวิชชา ไม่รู้พุทธธรรม ก็มาเป็นผู้ที่มี พุทธธรรม พอมีการตาย ก็มีการเกิด เป็นการเกิด พุทธธรรม ท่านก็เอา พุทธธรรม มาบรรยาย มาสอน มาตรัสสอน ให้คนอื่นรู้ตาม ก็เป็นความรู้ จากการตรัส ของพระพุทธเจ้า ก็เรียกว่า "ตรัสรู้" คือรู้ตามคำสอน หรือ อนุสาสนี ของพระพุทธเจ้า

            ใครปฏิบัติตาม แล้วบรรลุตามพระพุทธเจ้า ก็คือตรัสรู้ ไปตามลำดับ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ก็เป็นพุทธบุตร นี่คือ การเกิดการตาย อยู่ที่จิต เพราะมันรู้ว่า อะไรตายอะไรเกิด กิเลสตาย จิตตนก็เกิดเป็นเทวดา เป็นพรหม เป็นจิตสะอาด 

          ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

๑.ในมรรคองค์ ๘ ศีลข้อ ๑-๓ อยู่ที่กัมมันตะ ศีลข้อ ๔ อยู่ที่วาจา แล้วศีลข้อ ๕ อยู่ที่ใด

ตอบ ก็อยู่ที่ใจ ศีลข้อ ๕ คือการหลงติดสิ่งนั้น อย่างมัวเมาเรียกว่า "สุรา" คือแรงกล้า - "มัชชะ" ก็ลึกไปกว่าอีก คือใจมันมัวเมา (มัตตะ) เช่น จิตไปหลงเสพ อบายมุข 

๒.ตามองดูรูป ต้องใช้สัญญากำหนด จากนั้นจึงส่งความจำนี้ ไปให้วิญญาณ ที่อยู่ใน ภวภพ (เป็นอุปาทายรูป) วิญญาณก็จดจำ พอรับรู้แล้ว จึงส่งให้ปัญญา รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ใช่หรือไม่?

ตอบ  สัญญาคือจิตของเรา เรียกว่า เจตสิก ต้องสามารถกำหนดหมายรู้ เช่น นี่คือบวบงู และก็มีส้มโอที่โตกว่า หัวหลวงปู่ เมื่อตา กระทบรูปภายนอก ก็ต้องใช้สัญญา กำหนดรู้ ซึ่งสัญญา ทำหน้าที่สองอย่าง คือ กำหนดรู้และจดจำ ถ้าสัญญา ไม่กำหนดรู้ ปฏิบัติธรรมไม่ได้ และสัญญานั้น อยู่ในวิญญาณ และคนที่ไม่มีจิตบริสุทธิ์ จะรู้ประกอบด้วย กิเลสผสม ไม่รู้ความจริง ตามความเป็นจริง จิตตนเอง หลอกตนเอง ให้หลงผิดว่าจริง นี่แหละคือผีหลอก หลอกว่าจริง แท้จริงมันไม่จริง นอกจากอรหันต์นั้น จึงจะมีปัญญา รู้ความจริง ตามความเป็นจริง ได้บริบูรณ์ แต่ถ้าเป็นโสดาบัน ก็รู้จริงได้ระดับหนึ่ง ก็จะมีผีอยู่

๓. แล้ว สัญญา วิญญาณ ปัญญา ที่แปลว่ารู้นั้น รู้ต่างกันอย่างไร

ตอบ สัญญาคือการรู้และจำไว้ และใช้งานกำหนดหมายว่าคืออะไร เช่น นี่เงาะสีทอง นี่ส้มโอ นี่บวบงู ส่วนวิญญาณคือธาตุรู้ ที่เป็นองค์รวม เวลาปฏิบัติธรรม พระพุทธเจ้า สอนให้ ต้องมีการกระทบสัมผัส แล้วจะเจอ วิญญาณผีหลอก ก็เรียกว่า วิญญาณสัตว์ เราก็มาดับ วิญญาณสัตว์ พอวิญญาณตาย จะรู้อย่างเป็นปัญญา ปัญญาคือการรู้ ที่ลึกซึ้ง (สัญญาคือรู้เริ่ม วิญญาณคือรู้อย่างกลาง ปัญญาคือ รู้อย่างปลาย)

๔.ลักษณะของสังกัปปะ ๗ เป็นเช่นนี้หรือไม่ ในขณะที่เดินไปเอาปากกา กำลังหยิบอยู่ คิดว่า "ลัก" นี่เป็นตรรกะ ก็เลยจับประเด็น แล้วก็บอกในใจว่า ขอยืมเขา ยืมแล้วจึงมาเอา คำว่า "จึงมาเอา" นี่คือวิตักกะใช่ไหม จิตจึงหยุดคิด นี่คืออัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา และที่บอกว่ายืมเขาแล้ว นี่คือ วจีสังขารใช่หรือไม่ แสดงว่า ตักกะกับวิตักกะ เป็นคนละตัว โดยมีสังกัปปะ เป็นตัวแปร ใช่หรือไม่

ตอบ....ในการปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ต้องรู้สังกัปปะ ๗ ตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา วจีสังขาร ทั้ง ๗ ตัวนี้คือ ที่เราจะเรียนรู้ การสังขาร เราต้องเรียนรู้ ตั้งแต่การดำริ แล้วก็ต้องรู้ว่า มันมีกามหรือพยาบาท มาปรุงแต่ง โดยใช้ สติปัฏฐาน คือมี ตีรณปริญญา หรือ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ เมื่อดำริแล้ว มันมีตัวกิเลส คือ กามและพยาบาท มาปรุงร่วมด้วยหรือไม่ ก็จับตัวนี้ให้ได้ เราก็จัดการ ไม่ให้มันมี (คือวิตักกะ) ถ้าดับไม่ได้ หรือว่าคนไม่รู้ พอจิตมันเกิดปั๊ป เช่น สัมผัสเงาะ สัมผัสลูกฟักข้าว โอ้โห ชอบ ไอ้ตัวชอบนี่แหละ คือตัณหา หรืออุปาทาน คุณแวบเลย นึกคิดว่าอยากได้ อยากมีอยากเป็นเลย มันปรุงแล้ว ก็จะออกไปทำงาน ผ่าน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ถ้าจิตที่ได้เรียนรู้ฌาน ก็จะตรวจว่า มีกามหรือไม่ ถ้ามี แต่จิตมีกำลัง สามารถต้านได้ กิเลสก็จะไม่ไป ตามที่จิต หรือสมาธิที่ตั้ง ก็จะมีกิเลส เท่าที่เรากั้นได้ ถ้ากั้นได ้มันก็จะสังขารในใจ เป็นวจีสังขาร เช่นอยากได้ ก็เอามาๆ จะซื้อหรือขโมย จะออกมาเป็น วจีกรรม ถ้าอัปปนาแรงขึ้น ก็เป็นพยัปปนา แล้วเก่งขึ้นอีก ก็เป็นเจตโส อภินิโรปนา นี่คือ อาการของ สังกัปปะ ๗ จนเราฆ่ากิเลสได้ เป็นจิต ก็จะสั่งสมเป็น อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็นสามาธิ ขณิก อุปจาระสมาธิ (คือใกล้สมาธิ) อัปปนาสมาธิ จนแน่นแข็งแรง เพราะรักษาผล อนุรักขณาปธาน

จิตเราจะมีทั้งตัวหลักแน่น และจิตปัญญาตัวเคลื่อนตัวช่วย ปหานได้ ก็เป็นจิตวิตักกะ สมบูรณ์เป็นวิสังขาร อ่านกิเลสออก ฆ่ากิเลสได้ ไม่มีกิเลส ก็เรียกว่า "วิสังขาร" จนเป็น "วจีสังขาร" ก็ยังไม่ออกเป็นกายกรรม-วจีกรรม -อาชีพ

ที่ไปสมมุติไปเอาปากกา ถ้าเข้าข่ายที่ว่า ก็ถูกต้อง ถ้าไม่ก็ปรับให้ตรง

ผมมีเพื่อนคนหนึ่ง เขาบอกผมว่า หมดความโกรธอย่างหยาบแล้ว แม้ใครยั่วก็ไม่โกรธ และหมดความเกลียดชัง ความรักแบบชีวิตคู่ ก็ไม่มี และยังปฏิญาณตน เป็นพระโสดาบัน นานแล้ว รู้สึกอนุโมทนา และก็เชื่อว่า ศาสนานี้ ไม่เป็นหมัน

ตอบ ถ้าจริงชนิดที่ความรัก ไม่มีแบบคู่แล้ว ก็เป็นอนาคามี ความโกรธหยาบไม่มี  ความจริงแล้ว ชาวอโศก เราทำได้จริง แต่ก็อย่าไปบอกใคร พร่ำเพรื่อ ถ้าอยากอวด อยากบอก ก็ไม่ควรบอก เพราะจะเป็นกิเลสซ้อน แม้บอกของจริงของตน พระพุทธเจ้า ก็ปรับอาบัติปาจิตตีย์ บอกแล้วถ้าไม่มีความจำเป็น อย่าบอก แต่ถ้าเผื่อว่า ก็มาถาม เราก็ควรจะบอก อย่างไม่มีจิตอยากบอก ก็บอกให้รู้ได้ว่า เป็นขั้นไหน อย่าไปพูดกันง่ายๆ ธรรมะพระพุทธเจ้าเป็น อกาลิโก ถ้ายังมีผู้ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ โลกไม่ว่าง จากอรหันต์

พระพุทธเจ้าโคดม เป็นองค์ที่ ๔ ในภัทรกัปป์ จะเกิดกลียุคได้อย่างไร

ตอบ พระพุทธเจ้าท่านบรรยายว่า ภัทรกัปป์นี้ จะมีพระพุทธเจ้า ๕ องค์ ซึ่งพระสมณโคดม เป็นองค์ที่ ๔ และองค์ที่ ๕ คือ พระศรีอาริยเมตไตรย (ซึ่งคือตำแหน่ง) คำว่า ศรีอริยเมตโตรยนั้นไม่ได้ชื่อศรีอาริยเมตไตรย เหมือนเราเรียกว่า อรหันต์ พระพุทธเจ้า องค์ที่ ๕ ที่จะมาเกิดนี้ ยังไม่บอกชื่อ ว่าจะชื่ออะไร คนก็เดากันไป อย่างเถรวาทก็ว่า ชื่ออชิตะ ส่วนด้านมหายาน ก็เดาว่า ชื่อกัสสปะ ก็ว่ากันตามหลักฐาน พ่อครู ก็ไม่จำเป็นต้องรู้ตอนนี้

สรุปคือพระศรีอาริยเมตไตรย ไม่ใช่ชื่อพระพุทธเจ้า ศาสนาพุทธ ไม่มีพระพุทธเจ้า เกิดซ้อนกัน ซึ่งศาสนาของพระโคดม กำลังไปแค่ครึ่งหนึ่ง โบราณาจารย์ท่านว่า ศาสนาพุทธ ของพระโคดม จะมีอายุ ๕๐๐๐ ปี พ่อครูเห็นด้วย ซึ่ง ๒๖๐๐ ปีนี้ ก็เพี้ยนไปแล้ว พ่อครูต้องมาทำ ให้ยืนยาวไป ๕๐๐๐ ปี ซึ่งตอนนี้ ยังไม่กลียุค แต่ก็จะเคี่ยวข้น ไปเรื่อยๆ จนกลียุค คนจะตายไปมาก จะเหลือน้อย ที่ดินที่กินที่อยู่ จะเหลือเฟือ จะไม่แย่งแล้ว เพราะมีเหลือน้อยคนแล้ว

อยู่กันไปจนมีคนมาก ก็จะเลวลง ชั่วลงเร็ว ก็ไล่ไปหากลียุค จนศาสนาพุทธ ใครก็ไม่เชื่อ จะไม่มีศาสนาพุทธ มีแต่ศาสนาขี้หลอก เป็นความหลง จนฆ่ากันตาย ไปในสังคมโลก คนทำลาย ธรรมชาติให้วิปริต ทุกวันนี้ก็วิปริต อย่างที่อเมริกา เกิดทอร์นาโด ยังน้อยไป ทั้งธรรมชาติและคน จะช่วยกันฆ่ากัน อะไรก็ไม่เหลือ ศาสนาไม่เหลือแล้ว จะเหลือเชื้อ ศาสนาดีๆ เช่น ศาสนาบาไฮ คือเชื้อของ ศาสนาพุทธที่มี จนคนเลวก็ตายไปหมด เหลือคนมีบารมีอยู่

ศาสนาพุทธจะไปอีกนาน เรียกว่า พุทธธันดร คือช่วงที่ ไม่มีศาสนาพุทธ ศาสนาพุทธ จะไม่มีสองช่วง คือ ช่วงที่คนดีหมด ไม่ต้องมีศาสนา ส่วนอีกช่วง คือใกล้กลียุค คนเลวมาก คำสอนพระพุทธเจ้า หายหมด เกิดไฟประลัยกัลป์ ล้างโลก ศาสนาพุทธไม่เกิด

จนคนมันเลวลงๆ เสื่อมเรื่อยๆ ระดับหนึ่ง ศาสนาพุทธ จึงจะเกิดมาช่วยคน พระศรีอาริยเมตไตรย จึงจะเกิด เกิดมาก็จะสอนคนได้เยอะ เพราะคนดี

คนที่อยู่ด้วยกันแต่เพ่งโทสกัน คนที่เพ่งโทส จะมีวิบากไหม

ตอบ...คนที่เพ่งโทส คือจับผิดโดยไม่มีเมตตา มีริสยา แต่ถ้ามองผู้อื่น โดยไม่มี ความเคียดแค้น แต่มองว่าผิด ก็บอกกัน ด้วยเมตตา ไม่ริสยา

ขณะนี้คุณน้า กำลังอาละวาดอยู่ใกล้บ้าน ด่าคนอื่นใกล้บ้าน และในบ้าน จะทำใจอย่างไร

ตอบ ก็ทำใจเมตตา เพราะเขาอาละวาด เพราะไม่รู้ คุณสามารถให้เขาหยุด อาละวาด ได้หรือไม่ อย่างมีศิลปะ ถ้าทำไม่ได้ ก็บอกคนอื่น ต้องช่วยกันบ้าง เห็นคนอื่น ทำไม่ดี ก็ปล่อยปละละเลย ก็ไม่ดี ถ้าช่วยได้ก็ช่วย ช่วยไม่ไหว ก็ต้องวางใจ ว่าเป็นเวรภัยของเขา เป็นวิบากของเขา เขาก็ตกนรก เป็นวิบากเขา แต่ถ้าธรรมดา ต้องหาทางช่วยกัน อย่าดูแคลน

สังเกตประจำเลยว่า นร.สัมมาสิกขา ที่มาฟังธรรมพ่อครู ไม่ค่อยตั้งใจฟัง อย่างรุ่นพี่ มักจะกระจุกตัว ที่ทางออก แทนที่จะเอาภาระ ดูแลน้องๆ บางคน อ่านการ์ตูน บางคน ก็หลับ หลวงปู่ว่า เขาควรทำอย่างไร ที่ไม่เบียดเบียนตนและผู้อื่น หากง่วง ก็ออกมาเดิน ดูแลรุ่นน้องด้วย

ตอบ ใครผิดทำไม่ดีอย่างที่เขาเตือน ก็ปรับปรุง แต่ที่เด็กๆไม่ค่อยฟัง เพราะธรรมะ ที่พ่อครูสอนนั้นยาก ขนาดผู้ใหญ่ ยังฟังไม่ไหว แล้วทำไม ต้องบรรยายยากๆ ก็เพราะว่า หลวงปู่ต้องทำหน้าที่ อธิบายสิ่งยาก อธิบายมา ๔๔ ปีแล้ว ก็ต้องอธิบายให้ลึกเพิ่ม และผู้ที่บรรยาย ช่วยหลวงปู่ ทั้งในและนอกโทรทัศน์มีแล้ว ทั้งสมณะ สิกขมาตุ ฆราวาส ก็ช่วยกันอยู่ แต่หลวงปู่ ก็ต้องอธิบายสิ่งยาก แต่ฟังแล้ว ได้ประโยชน์ไหม ก็ยืนยันว่าได้ประโยชน์ มันบันทึกไว้ในสัญญา เหมือนเก็บไว้ในฮาร์ดดิส โตมา จะได้ใช้ประโยชน์ แต่ถ้าเราไม่เก็บเลย มานั่งเปล่า ก็ไม่มีใช้ แม้เราจำไม่ได้ สัญญา มันก็จำได้ สัญญาจำเก่งกว่า คอมพิวเตอร์ คนนี่จำได้มากกว่า อยู่ในสัญญาเราเอง

ถ้าคนเราไม่เข้าใจกัน ผิดใจกันไปวันๆ จะอยู่กันได้ไหม

ตอบ ก็ตีกัน ก็ทำความเข้าใจกันซะ

กระเทยบวชได้ไหมครับ

ตอบ ..ไม่ได้ อยู่ในข้อห้ามของวินัย แม้บวชมาแล้ว โดยไม่รู้ว่าเป็นกระเทย มาปลอมบวช ลักเพศ รู้ทีหลัง ก็ให้สึก กระเทย เป็นเรื่องวิบาก ธรรมชาติที่จะสืบพันธ์ จะมีความใคร่อยาก ก็เป็นเรื่องของเพศ เป็นการสืบพันธุ์ แต่ว่ากระเทยนี่ เป็นเรื่องของ การสัมผัส การติดสัมผัสด้วย ซึ่งไม่ใช่เรื่องสุขด้วย การสืบพันธุ์ไม่ใช่เรื่องสุข แต่ไปยึดว่าเป็นสุข พวกสัตว์ สืบพันธุ์เป็นทุกข์ ตายไปก็มี คนโบราณ แต่งงาน เพื่อสืบพันธุ์ ก็ไม่จัดจ้าน แต่ว่าตอนนี้ ก็เป็นเรื่องเละเทะ กระเทยนี่ เป็นเรื่องติดสัมผัส ไม่ใช่สืบพันธุ์ (คือน้ำเชื้อไปผสมไข่)
      แต่กระเทยไปติด สัมผัสเสียดสี ก็จนกระทั่ง ไม่ต้องสืบพันธุ์ ชายกับชาย หญิงกับหญิง เป็นเรื่องวิปริต จิตวิตถาร เป็นกามารมณ์ ที่ข้ามเขตสามัญ ชาติหนึ่งๆ ให้ดัดสันดาน ไม่ให้บวช แต่ศึกษาธรรมะได้ ของเรานี่ระวัง เพราะไม่ให้แพร่เชื้อ

ผู้จ้างวานฆ่า ผู้ฆ่าเอง ผู้ร่วมมือฆ่าใครบาปมากหรือน้อย

ตอบ ..คนจ้างวานฆ่า ในกฎหมายก็ถือว่า ปรับโทษคนจ้างมาก พวกฆ่าตามสั่งก็เบากว่า คนร่วมมือ ก็เบาสุด แต่ธรรมะ อยู่ที่จิตของคน จิตของคนจ้างนั้น ก็อยากฆ่าแน่ แต่คนฆ่า บางทีก็ไม่อยากฆ่า

ตามที่คุณทักษิณชอบยกมือ ไอเลิฟยู ตามมือของ พระพุทธโต รู้สึกว่า ทักษิณ ชอบทำตามพ่อครู หรือพธม.

ตอบ ของเราเป็นตรีลักษณ์ คือ โลกุตระ (เหนือโลก)โลกวิทู (รู้โลก)โลกานุกัมปายะ (ช่วยเหลือโลก) พ่อครูก็ไม่รู้สึกว่า เขาเอาอย่าง แต่ถ้าจะวิจัยก็คือ คนที่ชอบเอาของดี คนอื่นไปทำ ก็เป็นเล่ห์เหลี่ยม

การเลี้ยงหมาของคุณจำลอง เป็นวิบากไหม

ตอบ คุณจำลองเป็นการใช้วิบาก ของคุณจำลองเอง

เซลล์ที่คอพ่อครูอักเสบ เพราะโดนแก๊สน้ำตาใช่หรือไม่

ตอบ เป็นมาก่อน อย่าไปลงโทษเขา

การปฏิบัติโดยการขัดกิเลสตนระดับไหน จึงจะไม่เบียดเบียนตน

ตอบ เราปฏิบัติธรรม แล้วไม่สร้างกิเลสแก่ใจตน ถ้าคุณยังทำกิเลสใส่ใจตน ก็เบียดเบียนตนอยู่

การบริจาคเงินช่วยซื้อเสื้อเกราะ ให้ทหารบาปไหม ใช้ป้องกันตัวก็จริง แต่ก็ไปสู้ศัตรู

ตอบ ทหารนี่มีหน้าที่ฆ่าคน แม้แต่ตำรวจก็ตาม บางทีก็มีหน้าที่ฆ่าคน คนที่ไป สนับสนุน ก็มีปัจจัยร่วม แต่โดยค่ารวมแล้ว ทหารตำรวจ ก็ทำงานเพื่อ สังคมส่วนใหญ่ เราก็จะช่วยส่วนใหญ่ แม้จะต้องสนับสนุน ให้เขาไปฆ่าคน เขาก็ต้องไปฆ่า คนทำผิด ทำเลว บวกลบคูณหารแล้ว เขาเลี่ยงฆ่าคนไม่พ้น เขาก็ต้องไปช่วยสังคม เขาไม่ได้บุญ โลกุตระแน่ เพราะฆ่าคน แต่เขาก็กุศล ถ้าอย่างไร เลี่ยงได้ก็เลี่ยง อาชีพนี้ ถ้าทำอาชีพนี้ อย่างบำเรอ โลกธรรม ก็ได้บาปซ้ำซ้อน ไม่ได้ว่าตำรวจทหาร แต่เป็นการอธิบาย สัจธรรม

....จบ

 

 
๒๓ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก