560524_3 รายการเวียนธรรมวิสาขบูชา โดยพ่อครู ที่ราชธานีอโศก
   พ่อครูเทศนาธรรมปิดท้าย หลังจากสมณะ และสิกขมาตุ เวียนธรรม...ภาคค่ำ

 

มีหลายอย่างที่พ่อครูได้เทศน์ตอนเช้า หลายคนคงได้ฟัง ที่เป็นเรื่องที่ คิดไม่ออก คิดไม่ได้ แล้วทำไม พ่อครูเอามาพูดได้ ก็เป็นเรื่องที่ต้องศึกษา

ในวัฏฏะสงสารยาวนานมาก มีอัตภาพก็วนเวียนในวิบาก เกิดแล้วตาย ตายแล้วเกิด อยู่ในระดับพลังงานจิตนิยาม ซึ่งพลังงานทั้งหมด พระพุทธเจ้าแบ่งเป็น ๕ นิยาม (อุตุ พีชะ จิต กรรม ธรรมะ)

ในชีวิตของคนที่มีอัตภาพ ที่มีสภาพถึงขั้น จิตนิยาม ถ้าไม่ศึกษาพากเพียร ไม่ได้พบ ศาสนาพุทธ จะไม่สามารถชัดเจน ในเรื่องกรรมนิยาม ธรรมนิยามได้

กรรมนิยาม ต้องสะสมวิบากที่วนเวียน ในมหาจักรวาลนี้ ซึ่งลูกโลก ไม่ได้มีลูกเดียว ที่มีมนุษย์อยู่ เป็นเรื่องอจินไตย พ่อครูมีสัญญาที่จดจำได้ เพราะเคยผ่านมาในวัฏฏสงสาร ผู้ที่จำได้ คือผู้ที่มีความพิเศษ  ส่วนที่จำไม่ได้ ก็จะรู้ไม่ชัดเจน เช่นไม่รู้ดีรู้ชั่วเป็นต้น ถ้าไม่พบศาสนาพุทธ ไม่พบพระพุทธเจ้า จะไม่รู้เรื่องกรรมชัดเจน จะวนเวียนอยู่กับ สุขทุกข์โลกีย์ อยู่แล้วๆเล่าๆ นานนับชาติ อัตภาพของแต่ละคน เกิดมา ไม่รู้กี่ชาติ ตกนรกขึ้นสวรรค์มา ไม่รู้กี่ชาติ

เราจะรู้การปิดนรก รู้การปิดสวรรค์โลกีย์เลย มีแต่สวรรค์โลกุตระ อย่างเที่ยงแท้ มีหลักประกันของชีวิต จะต้องรู้กรรมนิยาม ธรรมนิยาม เพราะเราจะมีกุศลโลกุตระได้ ก็ด้วยกรรม เป็นสุกฏทุกฺกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก เป็นข้อหนึ่ง ในสัมมาทิฏฐิ

ต้องสัมมาทิฏฐิ จึงจะปฏิบัติมรรคองค์ ๘ ได้ ถ้าไม่รู้ ก็ไม่ได้ผลโลกุตระ เป็นนัตถิ ทินนัง ทานแล้วไม่มีผลเป็นโลกุตระ ซึ่งคนที่ทำทาน ก็มีผลทั้งนั้น คนที่ทำทานมิจฉาทิฏฐิ ก็มีผล เป็นกุศลโลกๆ ที่เขาได้เสียสละ ได้ทาน ก็ได้ผล แต่คำว่า อัตถิ คือมีผล ที่เป็นมรรคผล เป็นผลทางธรรม ที่จะไปสู่นิพพาน ไม่ใช่ผลโลกๆ เป็นอริยสัจ ๔

การทำทานอย่างไร ให้มีผลโลกุตระ คือมีผลลดกิเลส ไปสู่นิพพาน ส่วนใหญ่แล้ว จะทำทาน แล้วเพิ่มกิเลสทั้งนั้น พวกเราก็ได้ฟังมา และก็ได้ทำมา ถ้าไม่พบศาสนาพุทธ ก็ไม่ทำทาน ที่จะพาไป นิพพาน ก็จะตกนรก ขึ้นสวรรค์ไม่จบ นานนับชาติ

เพราะไม่รู้จักความเกิดดับของกิเลส จับกิเลส หรือ ตัณหา อุปาทานไม่ได้ ไม่รู้ปรมัตถ์ อ่านจิต เจตสิกไม่ออก ไม่รู้ตัวตนที่เป็น อกุศลจิต แล้วก็มีวิธีจัดการมัน ด้วยสมถะ และวิปัสสนาวิธี

พระพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมะที่เป็นพุทธ ท่านเป็นผู้ที่ตรัสรู้ ในวันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๑๖ เมื่อ ๒๖๐๐ ปีมาแล้ว ปีนี้ก็ย่างเข้า ๒๖๐๑ แล้ว เป็นศตวรรษที่ ๗ ของ ๖๐๐ ท่านตรัสรู้ก็คือ ดึงเอาความรู้เดิม ที่สั่งสมในสัญญา ขนาดพระพุทธเจ้า ท่านมีของเก่า ท่านระลึกชาติได้ มาไม่รู้กี่ชาติ เป็นโพธิสัตว์มหาสัตว์ มาไม่รู้กี่ชาติ อย่างพ่อครู ที่มาเทศนา อธิบายได้ ไม่เหมือนเขา ก็คือ ของที่เกิดจริงเป็นจริง สำหรับ บุคคลที่ได้ฝึกฝน ก็จะเกิดมีได้

พระพุทธเจ้ามีพุทธการกธรรมแล้ว เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็มีภูมิรู้ที่จะตรัสรู้แล้ว

พวกเราได้มาศึกษาธรรมะกัน บอกได้เลยว่า มีมรรคผลกัน มาอยู่รวมกัน อย่างมักน้อย สันโดษ เข้าหลักเกณฑ์ กถาวัตถุ ๑๐ หลักวรรระ ๘ ก็ตาม เป็นไปเพื่อ ความไม่หลง สวรรค์โลกีย์ เป็นคนมีศีล มีสมาธิ ซึ่งไม่เหมือน สมาธิที่เขามี ศีลก็ไม่เหมือน ที่เขาถือกัน แม้แต่ในวงการศาสนา เป็นภิกษุ เขาก็ถือศีล ๒๒๗ ซึ่งไม่ใช่ศีลสำคัญ เป็นศีลอาญา ก็ดีแต่ก็ยังไม่ตรง ถ้าเข้าใจใน จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีลกันจริง ศาสนาพุทธ จะไม่เป็นเช่นนี้

พระพุทธเจ้าสร้างศานาด้วยศีล ส่วนวินัยเกิดทีหลัง เป็นรั้วป้องกันศาสนา ไม่ให้ถูกบุกรุก ซึ่งในพระไตรฯล. ๙ จะตรัสเรื่องศีลเป็นหลัก พูดไปแล้ว พระท่านไม่กล้าค้านหรอก เพราะมีอยู่ ในพระไตรปิฎก เล่มเดียวกัน นี่แหละ ศีลจึงไม่เสมอสมาน การปฏิบัติ ก็ต่างกัน ความเห็นก็ต่างกัน คำอธิบาย (อุเทศ) ก็ต่างกัน จึงเป็นนานาสังวาส

มาถึงวันนี้ก็มั่นใจพวกเรา แม้ในยุคนี้ คนกิเลสหนา ก็ยังพูดธรรมะโลกุตระ ของพระพุทธเจ้าได้ ซึ่งพระพุทธเจ้า ก็พยากรณ์ไว้ว่า ในอนาคต คนจะไม่สนใจธรรมะ ที่เป็นโลกุตระ แต่จะไปสนใจธรรมะประโลมโลก ไม่ได้เป็นไปเพื่อ ความละหน่าย คลายกิเลส

แม้ในยุคนี้พวกเราก็รับธรรมะได้ แล้วก็เอาชีวิตมาพิสูจน์ ใครจะมาตายกับอันนี้... เอาแน่หรือ... คนยกมือมาก แสดงว่ามีจิตที่จะทวนกระแส อยู่กับโลกโลกุตระ เป็นโลก ที่ปลดปล่อยคน ออกจากลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข

คนนั้นหวงกิเลสมากที่สุด หวงทรัพย์สมบัติ หวงเงินหวงทองอย่างไร ก็ไม่เท่าหวงกิเลส แต่พวกเรา ก็ไม่เสียดาย ก็ลดกันไป แต่ก่อนได้มีได้เสพ ได้ลูบคลำลาภยศสรรเสริญ มีคนยกย่อง แต่มาที่นี่ ก็ลดละไป

แต่ก่อนมาที่นี่ พวกเราแต่งตัวมอซอ คนก็มอง หัวจรดเท้า ว่าเราจะไปจี้ปล้นเขาหรือไม่ แต่คนที่ใจถึง ก็ใส่ชุดอโศกเต็มที่ ล้วนมีประสพการณ์ กันแล้วทั้งนั้น เขาจะมองว่า นี่คนหรือเปล่า เราก็วางใจ ไม่ต้องกลัว ว่าเราจะไม่ได้โลกธรรม

พ่อครูพาพวกเราทำ ไม่ได้เอาอามิสล่อ มาแล้วจะได้รวยลาภ ยศสรรเสริญสุข ด้วยกาม หรืออัตตา แต่มีแต่ จะเห็นทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น ที่ตั้งอยู่ ที่ดับไป ให้หมดอามิส หมดโลกธรรม เราเข้าใจด้วยปัญญาแล้ว ใครเหลืออยู่ ก็ทำต่อไปให้หมด ใครเหลือเชื้อ ที่จะสุข ด้วยกาม ด้วยอัตตา ด้วยโลกธรรมอยู่ ก็ลดละไป

ตรวจสอบใจเรา ไม่ไปหลบในหลืบถ้ำเขา เราก็เห็นอยู่ทนโท่ เขาอวดกาม อวดอัตตา กันทั่วโลก อวดโชว์กัน แล้วเราสั่นสะเทือน อยากจะได้อย่างนี้คืน เราถูกหลอกมา หรือเปล่า จะกลับไป ก็เดี๋ยวเขาจะว่า ไม่แน่ เราก็ตรวจอ่านใจเรา พ่อครูไม่ได้ปกปิด พ่อครูว่า พ่อครูเป็นดารานู๊ด บอกอย่างโจ่งแจ้ง ไม่เหลือปิดบัง เห็นความจริง ทุกขุมขน ละเอียดถึงอรูปเลย ละเอียดกว่าขุมขน เป็นนามธรรมด้วยซ้ำ นี่คือ ยอดนู๊ด ยอดเปลือย ยอดเปิดเผย พวกเราก็ยังมากันได้ เป็นสิ่งพิสูจน์ ที่ในยุคสมัยนี้ ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ก็มีอยู่

อย่างพระพุทธเจ้าท่านตรวจ พุทธุปาทกาละ ตรวจดูว่า อะไรเกิด อะไรดับในโลก ก็หยั่งดู โดยญาณของท่าน ท่านมีสัมมาสัมโพธิญาณ ว่ามีกิเลสมากหรือน้อยอย่างไร ตอนแรก ท่านก็ปริวิตก ว่าจะสอนคนได้หรือ เพราะคนมีกิเลสมากมาย ท่านก็จะไม่สอน ก็มีจิตดีของท่าน คือ สหัมบดีพรหม ก็มาอาราธนา ให้ท่านสอนธรรมะ ไม่อย่างนั้น โลกฉิบหาย ก็คือสำนึกของท่าน เป็นพรหมวิหารของท่าน คือ อัปปมัญญา

ท่านก็ตรวจดูว่า ยังมีผู้มีธุลีในดวงตาน้อย สอนธรรมะได้อยู่ ซึ่งท่านก็สอนคน บรรลุธรรมได้น้อยกว่า พระพุทธเจ้าองค์อื่น มีมาฆบูชาครั้งเดียว มีพระสงฆ์ ๑๒๕๐ องค์ มาฟังธรรม แต่ก็ไม่ใช่ว่า ท่านจะไม่เก่งเท่าพระพุทธเจ้าองค์อื่น แต่ถ้าให้พระพุทธเจ้า องค์อื่น มาสอนคนในยุคนั้น ก็สอนได้แค่นั้น เพราะเป็นปัจจัย ที่เกิดจาก คนในยุคนั้น ที่ได้แค่นั้นเอง

ธรรมะพระพุทธเจ้านี้ทุกพระองค์ เหมือนกันหมด สอนอันเดียวกัน เพราะเป็นความรู้ สุดยอด ของมนุษย์ เป็นหลักประกัน คือถ้าได้ภูมิธรรม ถ้าได้อรหันต์แล้ว มีหลักประกัน สมบูรณ์ คือไม่ทำบาปทั้งปวงแล้ว ทำแต่ดี เพราะได้ชำระกิเลส ได้หมดจดแล้ว เป็นของที่ได้ เที่ยงแท้แน่นอน ไม่กลับกำเริบ อย่าง นิจจัง ธุวัง สัสสตัง อวิปริณาธัมมัง อสังหิรัง อสังกุปปัง

พระอรหันต์ตายแล้วเกิดได้อีก ทางร่างกาย แต่กิเลสนั้นตายสนิท ไม่เวียนกลับอีก (อสังกุปปัง) แต่ชีวิตร่างกายท่าน ก็ต่อภพภูมิได้ ท่านจะเกิดมา ก็ทำประโยชน์แก่โลก ไม่มีพิษภัยต่อโลก

พวกเรานี่ทำเพื่อผู้อื่น จริงหรือไม่ เราไปกอบโกย จากคนอื่นหรือ แล้วจิตเราขี้โลภ เอาจากคนอื่นหรือ เรามารวมตัวกัน แล้วภาวะความโลภ ภาวะความโกรธ มันเห็นได้ แสดงออกได้ อย่างมีปรากฏการณ์

พวกเรารู้สึกไหมว่า อัตราการก้าวหน้ากับสังคม เป็นพฤติกรรม ที่เราเสียสละ แก่สังคม เป็นอัตราการก้าวหน้า ที่เพิ่มทั้งมวล และคุณภาพ ทั้งแรงงานและวัตถุ ทั้งที่พวกเรา ไม่ได้มาสะสมทรัพย์ ไม่กักตุนด้วย เราก็มีทรัพย์สิน เป็นเพชรเป็นทอง ก็น้อย แต่เรามีเครื่องใช้สอย ที่ก้าวหน้า เรามีโรงเรือน มีเครื่องมืออุปกรณ์ ที่ทำงาน เพื่อรับใช้สังคม เรามีทีวี ก็เพื่อรับใช้สังคม ไม่ได้เอามาหาเงิน ทั้งที่ค่าใช้จ่ายไม่น้อย ถ้าเป็น ๒๐ ปีก่อน เราตั้งโทรทัศน์ ไปไม่รอด แต่ถึงวันนี้ไปได้ เราไปรอด เราไม่เป็นหนี้ เพราะเป็นเรื่องทุกข์ร้อน

ทางโลกเขามีเครดิต  มีสินเชื่อมาก ก็ถือว่าประสพผลสำเร็จ เขารายงานว่า มีเงินแสนล้าน หมุนเวียน แต่พวกเรา ไม่เอาระบบสินเชื่อ ซึ่งลำบากทั้งตนเอง และสังคม เราไม่เอา ยิ่งทุกวันนี้ เขาเอาเงิน ในอนาคตมาใช้ ก็ลำบากลูกหลาน ต้องตามใช้หนี้ เป็นหนี้ ไม่มีปัญญา ใช้ดอกเขาหรอก เป็นความคิดไม่เจริญเลย เพราะไม่เข้าใจ แล้วก็ทำหนักหน้าไปเรื่อย

เราพาทำทวนกระแสโลกีย์ ชาวอโศกเหมือนกระจอก แต่เรากลับมี คุณค่าประโยชน์ ตรงตาม พระพุทธเจ้าสอน เป็นผู้อนุเคราะห์โลก ช่วยโลก เป็นได้เพราะมีความจริง จริงที่ไหน.. จริงที่ใจเรา

ใจเราได้ลดละอกุศล ใจเราได้ลดกิเลสจริง เป็นความจริง เราจึงมาทำเช่นนี้ได้ แล้วก็อยู่ได้ เป็นสุขสงบ กิเลสที่มันมักใหญ่ใฝ่สูง มหัปปิจฉะ คือมันจะต้องเอาให้ได้  มันไม่มี ในจิตใจพวกเรา และก็รู้สึกสงบสบาย ไม่กระเหี้ยนกระหือรือ ไม่มีที่จะไปแย่งชิง โลกธรรม

จิตวิญญาณพุทธ เป็นความสงบนั้น ไม่ได้หมายความว่า ปิดเงียบ ไม่ได้ยินได้เห็นใคร หลีกลี้ อย่างนั้นก็สงบ แต่เป็นโลกีย์ ตื้นๆ ไม่สงบโลกุตระ สงบโลกุตระคือ สงบไม่ไปแย่งโกลีย์ จะมีพลังสร้างสรร เป็นพลัง ๔ เต็มที่ ทำงานด้วยปัญญาเต็มที่ มีพากเพียร เพื่อเกื้อกูล คนอื่นตลอด อย่างสงบด้วย ซึ่งต่างจากสงบโลกีย์ แต่เป็นคนที่สงบ แต่ทำงานยอดขยัน มีบทบาทมีเรื่อง ไม่ใช่สงบอย่างแข็งกระด้าง ไม่เอาภาระ

วิริยารัมภะ นี่คือยาดำ ของผู้จะบรรลุ เป็นขั้นตอน วิมุติของพระพุทธเจ้า มีอะไร เป็นเครื่องแสดง คือ พลัง ไม่ใช่ว่า อยู่นิ่งอย่างเดียว แต่สงบ นี่คือ มีพละกำลังแสดงออก

ในวันสำคัญ ก็มาย้ำทบทวน ในสิ่งที่ควรย้ำ ตอนนี้พ่อครู คุยกับเทวดาทุกวัน ก็มีเรื่องลึกซึ้ง มาสอนมาบอก อย่างพระพุทธเจ้า ท่านก็ว่า เทวดามาพบเรา มีแสงสว่าง ทั่วเชตวัน เป็นบุคคลาธิษฐาน เขาก็เข้าใจเป็นตัวตน แต่ที่จริงเป็นนามธรรม ในตัวท่านเอง พ่อครูก็คุยกับเทวดา ก็ได้เพิ่มเติมธรรมะ ก็มาขยายให้พวกเราทำ  ก็ขอบคุณ พวกเรา ที่มาช่วยบรรยาย ขยายให้ตื้นขึ้น แต่พ่อครู ต้องไปให้ลึกที่สุด เท่าที่จะทำได้ จนกว่าจะถึงกาละ ที่จะต้องมาพัฒนา ด้านอื่นอีก ตอนนี้ เป็นหลักสูตร เร่งรัดพัฒนา หาอรหันต์ ใครใส่ใจก็ได้......

จบ

              

 
๒๔ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก