560531_รายการเรียนอิสระ(ตามสำนึก) โดยพ่อครู และส.ฟ้าไท
เรื่อง ดับอุปาทานในเวทนาขันธ์จึงเข้าขั้นนิโรธสมาบัติ

 
              ส.ฟ้าไทเปิดรายการที่บ้านราชฯ...วันศุกร์ที่ ๓๑ พ.ค.๒๕๕๖

ตอนนี้พ่อครูมาอยู่ที่บ้านราชฯ ที่เราจะมีการจัดงาน อโศกรำลึก ที่บ้านราชฯ เป็นครั้งแรก การบรรยาย ในรายการนี้ เป็นการบรรยายธรรม ขั้นอภิธรรม ที่ลึกซึ้ง ถ้าไม่มีปัญญาจริง ไม่ปฏิบัติจริง ก็จะยากที่จะเข้าใจ เช่น คำว่า นิโรธ ที่พ่อครูอธิบายว่า มีการเข้า จะเข้า หรือเข้าแล้ว มีการออก จะออก หรือออกแล้ว เป็นอย่างไร

วันนี้ส.ฟ้าไทได้ไปประชุมที่สวน ไสหม่วน(สวนใหม่) ซึ่งชาวกสิกรที่นั่น ทำการกสิกรรม ได้ผลดีมาก วันนี้ก็มาร่วม วางแผนการปลูกผัก เพื่อใช้ในงาน เทศการกินเจ ที่จะมาถึงในไม่ช้า คนที่นั่น เช้ามาก็ออกกำลังกาย สายมาก็ปลูกผัก อยู่ผาสุก ไม่ต้องคิดเรื่องจะรวย ไม่ต้องกลัวขโมยขโจร เป็นชีวิตเกษตรกร ที่มีคุณธรรม ยิ่งกว่าเอกราช ทั่วทั้งแผ่นดิน ยิ่งกว่าขึ้นสวรรคาลัย เป็นชีวิตเสียสละ

แสดงว่า คนที่ปฏิบัติฌานแบบพุทธ แบบลืมตา ก็เห็นผลว่า มีความเป็นอยู่ผาสุก ในโลกที่เขาวุ่นวาย ข้าวของแพง ไข่จะฟองละกี่บาท เขาก็อยู่ได้ โลกภายนอก จะเป็นอย่างไร ก็อยู่ได้ เพราะมีทรัพย์ในตนเองแล้ว วันนี้พ่อครูจะมาขยายความ ในสิ่งที่คนโต้ตอบมา ทางข้อความ ว่าเป็นอย่างไร

พ่อครู....ได้มีคุณ 8705 เรียบเรียงธรรมะมา ก็ดูดี พ่อครูก็จะนำมาอธิบาย ในสิ่งที่ขัดแย้ง และเห็นต่าง เป็นการปรโตโฆษะ สิ่งที่เราเห็นต่างนั้น มันเข้าทีไหม เราก็มาตรวจสอบ ตามความเป็นจริง
              เช่น รูปขันธ์ กับเวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์ วิญญาณขันธ์ เป็นอย่างไร เราต้องเรียนรู้ สภาวะเหล่านี้
              รูปขันธ์ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ทั้งรูปภายนอกและรูปภายใน (อัชฌัตตัง อรูปสัญญี เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ) ผู้ปฏิบัติธรรม จะต้องเห็นทั้งนอกและใน เป็นวิโมกข์ ๘ ข้อ ๒ คือเมื่อขณะใด ทีมีการกระทบสัมผัส มหาภูตรูป (ภายนอก) แล้วก็เข้าไปสู่ รูปภายใน โดยเรียกว่า อุปาทายรูป
              วิญญาณที่อยู่ภายนอกตัว ไม่มีใครเห็นได้ (อนิทัสสนัง) แต่เขาก็ว่าเขาเห็น มีตาทิพย์ ซึ่งที่จริงตาทิพย์นั้น เป็นการเห็นภายใน สิ่งที่ถูกเห็นถูกรู้ เราเรียกว่ารูป และสิ่งที่ถูกรู้ภายใน เรียกว่า นามรูป
              กาย คือองค์ประชุม มีทั้งภายนอกและภายใน เมื่อเข้ามารู้ข้างใน เรียกว่า นามกาย ส่วนข้างนอกเรียก รูปกาย
              จาก นามกาย ก็มาเป็นเวทนา เป็นจิต ที่รู้สึกได้ จากเวทนา คืออารมณ์ ก็เกิดจากการสังขาร ทั้งรูปและนาม ที่รวมกัน เรียกว่า นามรูป เราสามารถอ่าน อาการของ นามรูปได้
              ถ้าเห็นอาการของมันเรียกว่า นามรูป คือสิ่งที่ถูกรู้ พออ่านเข้าไปอีกว่า สิ่งที่ถูกรู้มีอีก คือกายใน คือเวทนา ที่เกิดจากการปรุงแต่ง เนื่องมาจากการกระทบ อารมณ์หรือความรู้สึก เกิดมาจากการสังขาร แล้วเราก็รู้ ก็คือวิญญาณ ที่มันปรุงแต่งกันอยู่ เนื่องมาจาก มหาภูตรูป
              ถ้าการปรุงแต่ง ที่เราตัดเอาเฉพาะร่างกาย เป็นดินน้ำไฟลมเลย อันนั้นก็เป็น การปรุงแต่งของวัตถุ ไม่มีความรู้สึก ไม่มีจิต ท่านเรียกว่า พีชนิยาม
              แต่ถ้ามีจิตด้วย ท่านเรียกว่า จิตนิยาม แต่ถ้ามีพลังงาน สัญญากับสังขาร ไม่ใช่เวทนา อย่างนี้คือลักษณะของ พีชนิยาม เช่นพืชพันธุ์ธัญญาหาร พืชมีสัญญา กำหนดรู้ ว่าธาตุไหน ที่จะเอามาสังขาร ปรุงแต่ง ให้เจริญเติบโต พืชแต่ละชนิด ก็มีสัญญาต่างกันไป ไม่มีอารมณ์ ไม่มีรักหรือชัง ไม่มีโกรธเกลียด พยาบาท จึงไม่มีเวราณุเวร ไม่ผูกพัน และไม่มีพยาบาท จึงไม่มีบาปอะไร
              การกินพืชไม่มีบาป เพราะมันไม่มีพยาบาท ไม่มีรัก ส่วนที่มันยังไม่ใช่พืช เป็นมหภูตรูป ผสมกันเป็น ดินน้ำไฟลม นี่คือ อุตุนิยาม ซึ่งคือธาตุแท้ๆ ที่เป็นรูปวัตถุ แม้แต่น้ำธรรมดา ไม่มีวิญญาณ มันเกาะกุมกัน เป็นธาตุแต่ละธาตุ แต่มันยังไม่มีชีวะ
              แต่เมื่อเจริญไปถึง จิตนิยาม ก็มี เวทนามาร่วมด้วย เป็นอุปาทินกสังขาร คือสังขารที่มีวิญญาณครอง เริ่มมีวิบาก จิตจึงมีวิบากกรรม และก็มีธาตุรู้ คือวิญญาณ ซึ่งก็มีเวทนา สัญญา สังขาร ประกอบอยู่เต็ม ต่างจากพีชนิยาม ที่ไม่มีเวทนา
              ธาตุที่ไม่มีวิญญาณครอง ก็คือตายซาก เช่นคนป่วย ที่เป็นมนุษย์พืชแล้ว ก็อยู่ไปเหมือนพืช สังเคราะห์ตามธาตุ ที่เขาเอาใส่ให้ และก็จะหมดวาระ สลายไปเร็วกว่าพืชอีก
              ศานาฤาษีนั้น จะตัด จะดับเวทนา ดับสัญญา ซึ่งเขาถือว่า นี่คือนิโรธ ที่พระพุทธเจ้าสอน ซึ่งพ่อครูย้ำแล้วย้ำอีกว่า ถ้านิโรธที่เป็นสภาพที่ไม่รู้อะไรเลย ดับหมด ขอยืนยันว่า นั่นไม่ใช่ของพุทธเลย ของพุทธจะรู้สิ่งอกุศล ที่แฝงมากับการกระทำ จะรู้ทั้งกาย และก็รู้ที่จะตัด เฉพาะส่วนที่เป็นกิเลส เช่น มีกาม จะรวมทั้งกาย คือทั้งนอกและใน จะรู้พร้อม แม้ดับกาม ก็มีสัมผัสข้างนอก ที่จะเกิดกิเลส จากการสัมผัส แล้วดับเหตุปัจจัย คือกามและพยาบาท เมื่อล้างกิเลสแล้ว แม้จะสัมผัสอยู่ ก็จะไม่มีการปรุงแต่ง เป็นอกุศลจิต
              รูปที่ถูกรู้ นั้นเลื่อนจากหยาบมาแล้ว เพราะหยาบนั้นได้ฆ่าเหตุ คือสมุทัยแล้ว มีนิโรธแล้ว ถ้าทำได้ถึงขั้นวางเฉย มันไม่สุขไม่ทุกข์ คืออุเบกขา คือรูปฌานที่ ๔ ก็ถือว่า ได้นิโรธ คือฐานอนาคามีภูมิ ก็จะเหลือรูปกับอรูป ที่เป็นอกุศลจิต
              พอสัมผัสภายนอกอีก กิเลสรูปและอรูป ก็จะเกิดอีก เป็นขั้นตอนที่ ๒ จากการทำ ขั้นแรกแล้ว เมื่อกระทบภายนอก ก็จะไม่แสดงความอยากได้ หรือ สุขทุกข์กับโลกเขา จะไม่มี แต่จะมีรูปและอรูปอยู่ภายใน ที่ยังมีการปรุงแต่ง เป็นอกุศล เมื่อกำจัดเหตุได้อีก ในส่วนของรูป ก็จะเหลืออรูปอีก
              เมื่อเราดับกิเลส ที่ไปปรุงแต่งขั้นรูปดับ ก็เหลืออรูป ก็จะมีนิโรธ ที่ลึกเข้าไปอีก ก็อยู่สัมผัสกับโลก เป็นอรูปฌาน คืออากาสานัญจายตนฌาน ไปสู่ วิญญานัญจายตนฌาน เป็นอาการที่ว่าง แม้สัมผัสกับรูปภายนอก
              อาการเสพรส เป็นตัวหลอกล่อเรา เป็นตัวอัตตา ระดับไม่ใช่ โอฬริกอัตตา แต่เป็นอัตตา ระดับ มโนมยอัตตา คือ เป็นอัตตาที่สำเร็จด้วยจิต เมื่อสัมผัสก็ปรุงแต่ง เสพ เป็นรสสุขทุกข์ของเรา แต่ไม่จำเป็นต้องได้มา หรือทำลายผัสสะภายนอก มันเฉยๆ กับภายนอก ไม่เป็นภัยกับภายนอก ไม่โลภมาเป็นของเรา ทั้งที่กระทบสัมผัสอยู่ เพราะยังเป็นคนมีชีวิต แต่มีนิโรธ เราก็บ้าอยู่คนเดียว ไม่เกี่ยวกับใคร ใครก็ไม่เดือดร้อน
              ในขั้นอรูป แม้กระทบหรือไม่กระทบสัมผัส ก็เกิดได้ซึ่งอรูปนี้ เป็นส่วนใน ส่วนลึก ที่เรียกว่า อรูปอัตตา เป็นกิเลส อาสวะอนุสัย คำว่าอัตตา เรียกเป็นกลางๆ ในสิ่งที่เรายึดถือ
              พอมาปฏิบัติ เราจะเห็นตัวตนในจิต เป็นเวทนา ที่เกิดจาก การสังขาร ถ้าเราสามารถอ่านเหตุ ที่ทำให้เราเกิดสุข เกิดทุกข์นั้นได้ เหตุตัวนี้คือ "สมุทัยอริยสัจจ์" คุณจะรู้ทุกข์ก่อน คุณจึงจะรู้เหตุได้ ถ้าคุณรู้สุข คุณจะไม่รู้เหตุ พระพุทธเจ้าจึงมีอุบาย ไม่ให้มันบำเรอใจ ถ้าไม่ให้ มันถึงดิ้น เห็นเหตุแห่งทุกข์ แต่ถ้าให้มันเสพ มันก็มีอารมณ์สุข มากลบหมด ก็ไม่รู้ทุกข์ ไม่รู้เหตุ
              ถ้าไม่ให้ตามกิเลส ก็จะเห็นอาการทุกข์ มันอยาก มันต้องการได้มาเสพ ให้ได้ตามใจ คุณก็จะเห็นตัวสมุทัย ก็อ่านตัวจริงมันออก ไม่ใช่เห็นเป็นตรรกะ เห็นตัวอัตตาที่คุณจับมันได้ ก็เรียกว่า "สักกายะ" เป็นวิสามัญนาม ที่คุณเห็นมัน ด้วยตนเอง เฉพาะตน ไม่ใช่ว่าเป็นสิ่งรวมๆ ที่คุณตั้งไว้เฉยๆ เป็นอัตตทิฏฐิ
              คุณต้องปฏิบัติ จนคุณเข้าถึง ความเป็นอัตตา ที่จะเป็นแสงอรุณ ที่เรียกว่า อัตตสัมปทา คือเห็นอัตตา ของตนเอง ใน สุริยเปยยาลสูตร ส่วน คนปฏิเสธอัตตา คือพวก นิรัตตา คือคนที่ไม่ศึกษาอัตตา จะไม่มีวันพ้น สักกายะทิฏฐิ
              ธรรมะของพระพุทธเจ้านั้น ต้องรู้แจ้งด้วยตนเอง ด้วยการอ่าน อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ผู้ที่สามารถ รู้นามธรรมในตน จนรู้ "สักกายะ" ที่เป็นสมุทัย ที่ต้องปหาน แต่ถ้าผู้ใด ไม่รู้อัตตา ไม่รู้สักกายะ ก็ไม่รู้จะปหานอะไร ก็คือ ลัทธิ อัตตวาทุปาทาน ยึดได้แต่วาทะ  ยึดภาษาแค่อัตตา และก็ตีคำว่าอัตตาทิ้ง คือ อุจเฉททิฏฐิ คือปฏิเสธอัตตา จะเข้าใจว่า สัพเพธัมมา อนัตตา ทุกอย่าง ไม่ใช่ตัวตน เป็นต้น
              ส่วนพวก สัสสตะทิฏฐิ นั้นมีอัตตานิรันดร คือได้แต่ภาษา ได้แต่คำพูด คือพวก เทวนิยม ที่มีพระเจ้าเป็นตัวตน แล้วนามธรรม ที่เป็นตัวตน อยู่นิรันดร ไม่เปลี่ยนแปรไป มีอยู่ตลอดไป พวกนี้ไม่มีทางมาล้างอัตตา


              มาฟังของคุณ 8705 ...
          0888705xxx ดูกรพธร.หากบุคคลเข้าสู่รูปฌาน4 นั่นคือเข้าสู่สูญญตะ ที่ว่างจากกาม ทุกข์อันเกิดจากกามดับไปแล้ว ยังเหลือทุกข์อันเกิดแต่รูป
ดูกรพธร. หากบุคคลเข้าสู่อากาสาฯ นั่นคือเข้า สู่สูญญตะที่ว่างจากรูป ทุกข์อันเกิดจากรูป ดับไปแล้ว ยังเหลือทุกข์ อันเกิดแต่อากาศ
ดูกรพธร.หากบุคคลเข้าสู่วิญญานัญฯ นั่นคือเข้าสู่สูญญตะที่ว่างจากอากาศ ทุกข์อันเกิดจากอากาศ ดับไปแล้ว ยังเหลือทุกข์อันเกิดแต่วิญญาณ
ดูกรพธร.หากบุคคลเข้าสู่อากิญจัญฯ นั่นคือเข้าสู่สูญญตะที่ว่างจากวิญญาณ ทุกข์อันเกิดจากวิญญาณ ดับไปแล้ว ยังเหลือทุกข์อันเกิดแต่สัญญา (เพราะที่ว่าอะไร นิดหน่อยหนึ่ง ก็มิได้มี.. นั่นแหละ คือสัญญาที่มีอยู่ในใจเขา!) ดูกรพธร.หากบุคคลเข้าสู่เนวสัญญาฯ นั่นคือเข้าสู่สูญญตะ ที่ว่างจากสัญญา (99.999%) ทุกข์อันเกิดจากสัญญา (99.999%) ดับไปแล้ว ยังเหลือทุกข์อันเกิดแต่เวทนา
ดูกรพธร.หากบุคคลเข้าสู่มหาสูญญตะ ดังที่ตถาคต และอรหันต์ส่วนมาก เข้าถึงอยู่นั้น เพราะว่างจาก เวทนา (99.999%) กายิกทุกข์ อันเกิดจากเวทนา (99.999%) ดับไปแล้ว ยังเหลือกายิกทุกข์ อันเกิดแต่ผัสสะเท่านั้น.. ซึ่งก็คือทุกขเวทนา ที่เบาบางมากๆ นั่นเพราะ เหลือเท่าที่ค้างอยู่ 0.001% เท่านั่นเอง! เช่นที่กระบองยักษ์ สามารถทุบช้างสูง 7 ศอก ทีเดียวจมมิดดินได้ แต่เมื่อมาทุบสารีบุตร ขณะที่กำลังเข้า มหาสูญญตะอยู่.. สารีบุตร กลับแค่รู้สึกไหวๆ ที่เส้นผมเท่านั้นเอง!
ดูกรพธร. สูญญตะตั้งแต่รูปฌาณ4 จนถึงเนวสัญญาฯ.. บุคคลทั้งอริยะ และมิใช่อริยะ.. ก็สามารถเข้าได้! แต่ถ้าเป็นมหาสูญญตะแล้ว.. ย่อมเข้าได้เฉพาะ แต่อรหันต์เท่านั้น!
และสำหรับการปฏิบัตที่เป็นไปโดยลำดับ หรืออนุบุพวิหาร9 ก็คล้ายกัน! แต่ว่าเริ่มนับจาก รูปฌาน1,2,3,4 และต่อด้วย อรูปฌาน1,2,3,4 ซึ่งรวมเรียกว่า ฌาน8นี้.. ทั้งอริยะและมิใช่อริยะ ก็สามารถเข้าได้! แต่ต่างกันที่ชื่อเรียก
ถ้าเป็นฌานของอริยะ จะเรียกว่า ฌานสมาบัต! เพราะเป็นสมบัตประจำตัว ที่ไม่เสื่อม แต่ถ้าเป็นฌานของปุถุชน อาจเสื่อมได้.. จึงเรียกได้แค่ฌาน (เฉยๆ)
และท้ายสุด ที่ต่อจากฌาน8 หรือฌานสมาบัต8นี้.. ก็คือสัญญาเวทยิตนิโรธ! ซึ่งที่ต้องเรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธนี้.. ก็เพราะมีเหตุผลอยู่2ข้อ! คือ

1.ก่อนที่จะมาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธนี้ ย่อมต้องถึง เนวสัญญาฯก่อน! ที่แปลว่า.. จะว่ามีสัญญาอยู่ ก็มิใช่ ไม่มีสัญญาอยู่ ก็มิใช่ ซึ่งหมายถึงว่า ในเนวสัญญาฯนี้.. มีสัญญาเหลืออยู่ เพียงน้อยนิด! คือสมมุตว่า มีแค่0.001% เท่านั้น
อุปมาเหมือนว่า คว่ำหม้อน้ำแล้ว ถามว่าจะยังมีน้ำ เหลืออยู่ในหม้ออีกหรือไม่? ซึ่งจะตอบว่า มีน้ำเหลืออยู่ก็มิได้.. เพราะได้คว่ำหม้อแล้ว! แต่หากจะตอบว่า ไม่มีน้ำเหลืออยู่ ก็มิได้อีก.. เพราะผิวภายในหม้อ ก็ยังดูเปียกอยู่!
ฉันเดียวกัน ในเนวสัญญาฯ.. จึงยังถือว่า มีสัญญาอยู่ ซึ่งแม้จะน้อยนิดก็ตาม แต่เมื่อมาถึง สัญญาเวทยิตนิโรธแล้ว.. สัญญาย่อมดับหมด ไม่เหลือซาก!

และเหตุผลข้อที่2 ที่เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ก็คือ.. ต้องการแยกให้ชัดว่า แตกต่างจาก มหาสูญญตะ เพราะในมหาสูญญตะ ยังคงต้องเหลือเวทนา จากการที่ยังมีผัสสะ เป็นปัจจัยอยู่.. ซึ่งแม้จะเป็นทุกขเวทนา ที่เบาบางมากๆ (0.001%) ก็ตาม
แต่ทว่าใน สัญญาเวทยิตนิโรธ.. เวทนาย่อมดับหมด ไม่เหลือซาก! โดยที่สฬายตนะ ก็ยังคงมีอยู่ เป็นปกติ! แต่เมื่อตัดการเชื่อมต่อ ระหว่างอายตนะได้แล้ว.. ผัสสะ6 อันเป็นปัจจัย ให้เกิด(ทุกข์) เวทนาจึงไม่อาจเกิดขึ้นได้! และด้วยเหตุที่ทุกข์ อันเกิดจาก สัญญาและเวทนา ดับหมดนี้เอง.. จึงย่อมชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ!
ซึ่งย่อมมิใช่ อย่างที่นักเดา เช่น พธร.ไปเดาเอาเองว่า.. สัญญาคือกำหนดรู้ว่า เวทนาของ อรหันต์ เช่นอย่างพธร. ย่อมไม่ทุกข์ เพราะกิเลสอีกแล้ว.. จึงเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ แหกตาอยู่! (แล้วจะแหกตาอิน กะแหกตานา ด้วยรึเป่า?) และต้องขอย้ำกับพธร. ไว้ตรงนี้ก่อนว่า มิใช่ว่าพวกฤาษี ที่ได้ฌาน8แล้ว.. จะสามารถ ถอดปลั๊ก เพื่อดับผัสสะ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ได้ง่ายๆดอกนะ! ซึ่งพธร.รู้ไม่จริง แล้วชอบไปโมเม ให้ร้ายฤาษี หาว่าเป็นพวก สมาธิหลับตาสะกดจิต

0888705xxx ตัวเอง! จึงถามหน่อยว่า ถ้าจิตถูกสะกด จนตกภวังค์แล้ว จะมีปัญญา เกิดขึ้นได้ไง? พุทธเจ้าก็ตรัสไว้แล้วว่า ฌานย่อมมีแก่ บุคคลผู้มีปัญญา และปัญญา ย่อมมีแก่ บุคคลผู้ได้ฌาน ฌานและปัญญา มีแก่บุคคลใด.. บุคคลนั้นย่อมใกล้นิพพาน! ซึ่งเมื่อฤาษี เป็นผู้ได้ฌานแล้ว จึงย่อมมีปัญญาด้วย! ฉะนั้น หากจะมีฤาษีตนใด ที่ได้ฌาน 8 แล้ว และยังสามารถเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธได้อีก!. แสดงว่าฤาษีตนนั้น ต้องเป็นอริยะ ระดับอนาคามีขึ้นไป อย่างแน่นอน!

ฉะนั้น ที่เดียถีพธร.โง่แล้วอวดฉลาด แถมอวดรู้วิทยาศาสตร์ +สันดาน ที่อิจฉา คณะสงฆ์ด้วย.. จึงให้ร้ายพวกฤาษี ว่าสะกดจิตตัวเอง เหมือนจิตแพทย์ สะกดจิตคนไข้.. จึง=เป็นการกล่าวตู่คำสอน ของพุทธเจ้า (ซึ่งเป็นฤาษีเก่าอีกด้วย)! ที่ตรัสว่า ปัญญาย่อมมี แก่ผู้ได้ฌาน เช่นฤาษีเป็นต้น เพียงแต่ว่าฤาษี ตนที่ยังไม่ได้ เจริญสติปัฏฐาน4.. จึงย่อมไม่สามารถ บรรลุมรรคผล เช่นอาฬารดาบส อุทกดาบส เป็นต้น!

จึงขอสรุปว่า หากมีบุคคลใด เช่นฤาษีเป็นต้น ได้ฌาน8แล้ว แต่หากยังไม่ได้ เจริญวิปัสนา (=สติปัฏฐาน4) แล้ว.. ก็ย่อมไม่สามารถจะบรรลุ มรรคผลได้!

ฉะนั้น ผู้ที่ได้ฌาน8แล้ว.. ก็ยังรับรองไม่ได้ ว่าผู้นั้นจะเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธได้! และแม้ผู้ที่เป็นอริยะ ถึงขั้นอนาคามี แล้วก็ตาม แต่หากไม่ได้ฌาน8.. ก็ย่อมไม่สามารถ จะเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธ ได้อีกเช่นกัน!

จึงขอกล่าวเป็นสุภาษิตว่า การปฏิบัตเพื่อบรรลุธรรม ถึงขั้นเข้า สัญญาเวทยิตนิโรธได้ ว่ายากแสนยากแล้ว!. แต่การที่จะอธิบาย ความรู้วิปัสนา แม้ขั้นต้น คืออนัตตา.. เพื่อที่จะให้เดียถีพธร. ผู้บ๊อบฟาโล่โง่เขลา ได้เข้าใจ!. กลับยากยิ่งกว่า มากๆๆ!

อุปมาเหมือนหนึ่งว่า ขงเบ้งจะสอนตั๋งโต๊ะพธร. ที่ชอบเอาโต๊ะมาตั้ง.. แล้วแปล พตปฎ. แบบโชว์โง่ ออกทีวีทุกวัน! อย่าลืมว่า หากพธร. เป็นอริยะจริงแล้ว ย่อมไม่แล่นไป ในอนาคต ว่าอยากจะอยู่ให้ถึง 151ปี! และทั้งย่อมไม่แล่นไป ในอดีตด้วยว่า เราเป็น มหาเดียถี(อเว)G7 ด้วยนะ!

จึงขออวยพรให้ว่า หลังจากพธร.ตายไปตกนรกแล้ว.. ขอให้พระมาลัย ไปโปรดพธร. ด้วยเถิด! ในฐานะ ที่เคยเป็นเด็ก ขายพวงมาลัยมาก่อน.. พธร.จึงชอบที่จะเทศน์แบบ 100 มาลัย คือมาลัย100พวง! สาธุๆๆ อนุโมทามิฯ

ป.ล. ถ้าพธร.บอกว่ารู้ดี ที่ฤาษีหลับตาสะกดจิตตัวเอง ไม่กินข้าวกินน้ำ แถมฝังดิน อยู่ได้เป็นเดือน! ฉะนั้นเพื่อพิสูจน์ว่า พธร.รู้จริง เพราะทำได้จริง.. ไม่ได้โม้แล้ว! ไหน พธร.ลองทำแบบฤาษีนี้ ให้ดูหน่อยซิ!

เพราะถ้าพธร.ทำได้จริง เหมือนปากว่าแล้วละก็.. ต่อไปนี้ไม่ต้องคุยโม้อีกแล้ว ชาวพุทธ ทุกคนในประเทศ ก็ย่อมจะเชื่อพธร.อยู่แล้ว! ชิมิๆ แต่หากว่า ทำไม่ได้.. ก็อย่ามาคุย ให้เหม็นขี้ฟันเลยดีกว่า! และให้เลิกโจมตี ฤาษีได้แล้ว!

              พ่อครูว่า...ที่คุณ 8705 บอกว่า ถ้าเป็นอริยะจริง ย่อมไม่แล่นไปในอนาคต และในอดีตนั้น พ่อครูว่า พ่อครูเอาอย่าง พระบรมครู เพราะพระบรมครูนั้น ตอนที่ พระพุทธเจ้า ตรัสรู้แล้ว มารมาอาราธนา ให้ตายเสีย แต่พระพุทธเจ้าว่า ต้องอยู่สอนสาวก ให้แข็งแรงก่อน แล้วค่อยปรินิพพาน พ่อครูก็เอาตามอย่าง พระพุทธเจ้า ส่วนคุณจะหาว่า พ่อครูแล่นไป ในอนาคต ก็กล่าวตู่พระพุทธเจ้าด้วย พ่อครูก็จะอยู่ เพื่อสอนให้พวกเรา มีความรู้ความจริง เช่นนี้ จึงตั้งจิตเช่นนี้ เป็นมโนสัญเจตนา หรืออากังขาวจร

              แม้แต่ในอดีต พระพุทธเจ้าก็ย้อนในอดีต หยั่งไปเป็นชาดก มากมาย แล้วท่าน ก็ตรัสถึงอดีต มาเล่าสู่สาวกฟัง พ่อครูนั้น ก็ระลึกอดีตและอนาคต ก็ไม่มีปัญหา อย่าเอาแต่ บัญญัติภาษามาตี ให้เรียนรู้ สภาวะบ้างเถอะ

               ส่วนที่ว่า หากมีบุคคลใด เช่นฤาษีเป็นต้น ได้ฌาน8แล้ว แต่หากยังไม่ได้ เจริญวิปัสนา (=สติปัฏฐาน4) แล้ว.. ก็ย่อมไม่สามารถ จะบรรลุมรรคผลได้! ส่วนพ่อครูว่า ถ้ามีฌานลืมตา ผัสสะแล้ว อย่างอนาคามี จิตก็เฉย ไม่มีกามสัญญา ปฏิฆะสัญญา ที่สัมผัสจากภายนอก ดับแล้ว มีแต่สัญญาเวทยิตนิโรธ แล้วดับ นั่นคือ มีสัญญา ที่คือจิตที่สามารถ ทำหน้าที่กำหนดรู้ อนาคามีก็ใช้สัญญากำหนด ทำสติปัฏฐาน ๔ กำหนดรู้ในกามสัญญา ที่เกิดภายนอก แล้วก็กำจัดได้ เป็นนิโรธ จึงเรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธด้วย เพราะอนาคามี ทำสัญญาเวทยิตนิโรธได้ ในระดับ กามและปฏิฆะ ส่วนที่เหลือคือ รูปและอรูป อย่างมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ไม่ใช่การดับหมด ฌาน ๑-๒ ยังไม่ถึงฐานนิพพาน แต่อุเบกขาคือมีฌาน ๔ คือมีนิโรธ เป็นฐานนิพพาน

           ที่บอกว่า และเหตุผลข้อที่2 ที่เรียกว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ ก็คือ.. ต้องการแยกให้ชัด ว่าแตกต่างจาก มหาสูญญตะ เพราะในมหาสูญญตะ ยังคงต้องเหลือเวทนา จากการที่ยังมีผัสสะ เป็นปัจจัยอยู่.. ซึ่งแม้จะเป็นทุกขเวทนา ที่เบาบางมากๆ (0.001%) ก็ตาม

แต่ทว่าในสัญญาเวทยิตนิโรธ.. เวทนาย่อมดับหมด ไม่เหลือซาก! โดยที่สฬายตนะ ก็ยังคงมีอยู่ เป็นปกติ! แต่เมื่อตัดการเชื่อมต่อ ระหว่างอายตนะได้แล้ว.. ผัสสะ6 อันเป็นปัจจัย ให้เกิด(ทุกข์)เวทนา จึงไม่อาจเกิดขึ้นได้! และด้วยเหตุที่ทุกข์ อันเกิดจาก สัญญาและเวทนา ดับหมดนี้เอง.. จึงย่อมชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ!

               พ่อครูว่า สฬายตนะคืออายตนะ ๖ คือยังเปิดตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจอยู่ พ่อครูว่า ดีจังเลย ที่คุณเข้าใจเช่นนี้ ส่วนคำว่า ไม่เหลือซาก ของ8705แปลว่า ดับเวทนาขันธ์ แต่ของพ่อครู ไม่ได้ดับเวทนาขันธ์ แต่ ดับเวทนูปาทานักขันโธ คือ ดับเวทนา ในอุปาทานขันธ์
               ถ้าดับเวทนาขันธ์ก็ตายเท่านั้น หรือตัดไม่ให้มันกระทบ ก็เล่นคารมว่า ตัดการเชื่อมต่อ ที่จริงอายตนะ คือการเชื่อมต่อ อายตนะจะไม่เกิด ในที่ไหนๆ ถ้าไม่มีการสัมผัส หรือผัสสะ แต่เฉพาะใน มนายตนะกับธรรมายตนะ นั้นไม่ต้องมีผัสสะ  เอาสัญญามาปรุง มาเคี้ยวได้เลย ทุกเมื่อ
               แต่คุณ 8705 ว่าตัดการเชื่อมระหว่าง อายตะเป็นอย่างไร เช่น ตัดตากระทบรูป ก็ไม่เกิดสิ อายตนะก็ไม่มี เพราะไม่มีผัสสะ
               และที่คุณ 8705 ว่า และด้วยเหตุที่ทุกข์ อันเกิดจาก สัญญาและเวทนา ดับหมดนี้เอง.. จึงย่อมชื่อว่า สัญญาเวทยิตนิโรธ! ซึ่งย่อมมิใช่อย่างที่ นักเดาเช่นพธร. ไปเดาเอาเองว่า.. สัญญาคือกำหนดรู้ ว่าเวทนาของอรหันต์ เช่นอย่างพธร. ย่อมไม่ทุกข์ เพราะกิเลสอีกแล้ว.. จึงเป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ แหกตาอยู่! (แล้วจะแหกตาอิน กะแหกตานา ด้วยรึเป่า?) และต้องขอย้ำกับพธร. ไว้ตรงนี้ก่อนว่า มิใช่ว่าพวกฤาษี ที่ได้ฌาน8แล้ว.. จะสามารถถอดปลั๊ก เพื่อดับผัสสะ เข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ ได้ง่ายๆ ดอกนะ! ซึ่งพธร.รู้ไม่จริง แล้วชอบไปโมเม ให้ร้ายฤาษี หาว่าเป็นพวก สมาธิหลับตา สะกดจิต

เวทนาคืออารมณ์ที่เกิดจาก การปรุงแต่งจากผัสสะ ซึ่งมีสองอย่างคือ ๑.เกิดความจริง ตามความเป็นจริง ของสัตวโลก เช่น นี่แดง นี่เขียว นี่เหม็น นี่หอม ได้ยินเสียงอย่างนั้น อย่างนี้ ก็จะรู้เหมือนกัน แม้จะคนละ เชื้อชาติภาษา จะรับรู้เหมือนกัน แต่อาจรู้ต่างภาษา และเวทนาที่ ๒ คือ มีเวทนาอีกอันหนึ่ง ที่คนตาทิพย์ โสตทิพย์ หูทิพย์ ลิ้นทิพย์ กายทิพย์ จึงจะรู้เวทนาที่เป็นสิ่งเท็จ ที่เกิดจากตัวโง่ คือเกิดจากอวิชชา ที่พาสุขทุกข์ ตัวนี้ อาริยะเท่านั้น ที่จะกำหนดรู้ได้ อรหันต์จะมีตาทิพย์ รู้เวทนาอันนี้ ที่เป็นของปลอม ส่วนเวทนาอันแรก จะรู้เหมือนกันหมด
               ถ้าดับเวทนา ตัวที่เกิดจากการปรุงแต่งแล้ว จึงเหลือเวทนาที่สะอาด คือกำจัด เวทนูปาทานักขันโธ คือดับอุปาทาน ตัณหา ไม่ให้เหลือซาก จึงกำหนด สัญญาเวทยิตนิโรธ ต่างกัน
               เมื่อดับเหตุตัวที่เป็นปัจจัย เช่น ดับเหตุแห่งทุกข์ ทุกข์ก็ดับไป เช่นดับอุปาทาน ที่เป็นเหตุ เช่นดับอุปาทาน ว่ารูปอย่างนี้สวย รสอย่างนี้อร่อย ก็ดับอุปาทานนี้ได้ ก็ไม่มีเวทนาสุขหรือทุกข์

ขอชมว่า คุณ 8705 บรรยายมาครั้งนี้ จะดีกว่าทุกคราว มีการอธิบาย อย่างมีลำดับ อธิบายถึ งสมาบัติ (คือการเข้าถึง การเกิดผล) แต่การเข้าหรือออก สมาบัติหรือฌาน นั้นไม่ต้องเข้าต้องออก แต่ของคุณกำหนดว่า ต้องเข้าต้องออก ก็แบบไม่ใช่พุทธ คือต้องเข้าๆ ออกๆ การเข้าๆออกๆนี้ ไม่ใช่อาริยะ ไม่ใช่ของพุทธ แต่คุณ 8705 ว่าใครก็เข้าได้ ในฌาน ๘ ขั้นนี้
               แต่ขอชมว่ามีลำดับขั้น แต่การมีลำดับขั้น ของพระพุทธเจ้า จะมีลำดับ เช่น โสดาบัน ก็มีตามขั้น เช่น โสตาปันนะ อวินิปาตธรรม นิยตนะ สัมโพธิปรายนะ การเข้าในของพุทธ มีคำว่า สมติกมะ อุปชชติ สัมปชติ สูงไปก็เรียกว่าพ้นไป เช่น พ้นจากอบาย ก็ดับอบาย แต่ก็อยู่กับอบาย ก็กิเลสตายแล้ว ไม่สุขทุกข์อยู่ในโลกนี้ แล้วก็เลื่อนชั้น แล้วไม่ต้องเข้าต้องออก คือเข้าถึง สมติกมะ อย่างอนาคามี ก็เลื่อนชั้น คือสัมมาอุปชติ หรือสมติกมะ คือล่วงพ้นหลุดพ้น เรียกว่าวิมุติก็ได้ แต่ก็จะไม่ตกต่ำอีก ไม่เวียนกลับอีก มีการกำหนดรู้ รูปสัญญา ปฏิฆะสัญญา และนานัตตสัญญา อย่างอมนสิการ คือละเลิกได้แล้ว ไม่ต้องมนสิการ หรือทำใจในใจอีก แต่ก็อยู่กับโลกเขา ไม่หนีไปไหน และทำอย่างไม่ใส่ใจใน นานัตตสัญญา (นานัตตสัญญา คือสัญญา ที่ต่างกันไป) ถ้าละได้แล้ว จึงบรรลุอากาสานัญจายตนะ ล่วงพ้นจากรูปสัญญา และปฏิฆะสัญญา บรรลุอากาสาฯ คือความว่าง การนิโรธคือดับกิเลสจากภูมินี้ สู่อีกภูมิหนึ่ง
              วันนี้เจตนาอธิบายให้คุณ 8705 และทุกคนที่ตั้งใจฟัง ถ้าฟังด้วยดี ย่อมเกิดปัญญา ใครไม่ได้ประโยชน์ ก็ไม่รู้จะทำอย่างไร ก็พยายามให้รู้แหละ


              พ่อครูจะอ่าน sms ของคุณ
0897146xxx  กายหยาบ กายละเอียด คืออะไร ที่ว่าถอดแยกกายจิตวิญญาณ ออกจากร่าง เป็นไปไม่ได้ ใช่ไหมครับ
ตอบ เป็นไปไม่ได้ การถอดจิตวิญญาณออกจากร่าง ทำไม่ได้ คุณอาจประมาณความรู้สึกเอง ว่าออกจากร่าง ก็สมมุติได้ หลากหลาย ถูกก็มีผิดก็มี ส่วน กายหยาบ คือ องค์ประชุมที่เกิดจาก การกระทบ รูปเสียงกลิ่นรส สัมผัสภายนอก ซึ่งกายหยาบที่ว่า คือองค์รวมของการกระทบภายนอก ส่วนกายละเอียด คือเข้าไปรู้องค์รวม ของนามธรรม ที่มีตั้งแต่หยาบ จนถึงละเอียด ไปถึงอรูป หรือถึงความว่างก็ได้

0894979xxx  จิตปถุชนที่กำลังจะหาทางเดิน ก้าวเข้าสู่จิตอริยะ ในเบื้องต้น ในทางปฎิบัตแล้ว มีกี่วิธีครับ นอกจากเห็นกาย เพื่อให้เกิดนิพพิทาญานความเบื่อหน่าย สรุปสุดท้าย จิตก็เป็นผู้รู้ และก็เป็นผู้ถูกรู้ ตามขั้นตอนในการปฎิบัต ช่วยอธิบายหน่อยครับ ขอกราบนมัสการ
ตอบ..ต้องรู้ไปหมด ตั้งแต่องค์ประชุมเบื้องนอก แล้วต่อเนื่องไปถึง องค์ประชุมภายใน

0807022xxx พ่อครูต้องทำงานหนัก เพราะทุกวันถูกสอนให้เพี้ยนไปหมดแล้ว
0897146xxx บุคลาธิษฐาน ธรรมาธิษฐาน อยากฟังนานแล้ว สนุก ขอบคุณครับ
0857308xxx พ่อครูอธิบายเรื่องบุคลาธิษฐานแบบนี้ นึกถึงภาพปริศนาธรรม และภาพนามธรรม
0875576xxx โชคดีที่เจอพระโพธิสัตว์ ในยุคมารกินเมือง จากแดงสันป่ายาง
0824039xxx พ่อครูสอนพุทธแท้ต้องเป็นอเทวนิยม ซึ่งเป็นพุทธ อัตตา หิ อัตตโน นาโถ..
0824039xxx มิใช่พุทธแบบเทวนิยม ที่เอาแต่พึ่งเทวรูป เทพเจ้า พระเจ้า แต่ละองค์ที่ผู้คนนับถือ..
0824039xxx  ตนเชื่อพุทธอเทวนิยมแต่ตนไม่ลบหลู่พุทธเทวนิยม! ตนเชื่อในศีลสมาธิปัญญา ที่ตนทำเอง เป็นที่พึ่งของตนมากกว่า สาธุ๊
0824039xxx  พ่อครูเจริญธรรมตามรอยพระศาสดา ปฏิบัติตามคำสอนพระพุทธเจ้า ตนเป็นที่พึ่งแห่งตนฯ ตนเห็นชัดเจนเลย สาธุ๊

              ส.ฟ้าไทสรุปว่า ประทับใจประเด็น ปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ คือเข้าใจว่า เขาเข้าใจอย่างไร พ่อครูอ่านของเขา อย่างทวนแล้วทวนอีก ให้เข้าใจ พ่อครูอธิบาย เรื่องอนาคามี ชัดเจนมาก ต้องรู้รูปราคะอรูปราคะอย่างไร ถ้าใครฟัง อย่างต่อเนื่อง จะเข้าใจ

          วันนี้ ได้เรียนรู้สัญญาเวทนยิตนิโรธ แบบผู้ไม่รู้เรื่อง แบบฤาษีและแบบพุทธ รู้เรารู้เขา รบร้อยครั้ง ชนะร้อยครั้ง...

จบ

        

 
๓๑ พฤษภาคม ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก