|
||
ส.ฟ้าไปเปิดรายการ ที่บ้านราชฯ วันอาทิตย์ที่ ๒ มิถุนายน ๒๕๕๖ วันนี้พ่อครูก็คงจะมีปรโตโฆษะ และโยนิโสมนสิการ เกี่ยวกับ sms ที่ส่งมา เกี่ยวกับเรื่อง อภิธรรม ที่จะได้อธิบาย แถลงไข ให้เกิดความเข้าใจ อย่างลึกซึ้งทั่วกัน วันนี้พ่อครูก็จะได้ขยายความต่อ ในเรื่องที่ได้เรียบเรียงมา เพื่อให้เห็นเป็น ปรับปวาทะ (คือมีวาทะอันเป็นอื่น ไปจากคำสอนของพระพุทธเจ้า ก็จะต้องจัดการ มาบอกแสดง เปิดเผยจำแนก แสดงธรรม อันมีปาฏิหาริย์ ในทางปัญญา ทางปรมัตถธรรม ไม่ใช่อิทธิปาฏิหาริย์ หรืออาเทสนาปาฏิหาริย์ 0888705xxx ทุกข์อันเกิดจากรูป ดับไปแล้ว =ดับเฉพาะทุกข์ แต่รูปมิได้ดับด้วย อย่าโง่ซิ รูปมีทั้งที่เกิดจากรูปจิต อรูปจิตก็ได้ รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ เล่น ตาสัมผัสรูป หูได้ยินเสียง ซึ่งมันเป็นไตรลักษณ์ ตามธรรมชาติ เกิด-ตั้งอยู่-ดับไป อย่างธรรมชาติ แต่รูปที่ต้องรู้ คือรูปที่จิตเอาไปปรุงแต่ง เช่นตากระทบรูป หูกระทบเสียง ก็เป็นปัจจุบัน ที่ถูกรู้ แต่เมื่อผ่านไป ก็ไม่มีผัสสะแล้ว ของสดไม่มี คุณจะมีรูปได้ ก็ต้องเอาสัญญา ความจำ ดึงมาระลึกรู้ ถ้าคนที่สร้างรูป ก็เรียกว่า มโนมยอัตตา และ 8705 ก็ว่า 0888705xxx พธร.เข้าใจผิดว่า คำว่าตัวตน หมายถึงมีรูป ฉะนั้นถ้ามีรูป ก็คือยังมีตัวตน! พ่อครู ว่า ก็ถูก ถ้า รูปดับไป ก็ไม่มีตัวตนแล้วสิ ถ้ายังมีรูป ก็ยังมีตัวตน แต่ถ้าเราดับนามรูปหมด ก็ไม่มีตัวตนสิ และเขาสับสน เพราะเขาว่า ทุกข์อันเกิดจากรูป ดับไปแล้ว =ดับเฉพาะทุกข์ แต่รูปมิได้ดับด้วย ก็สับสนสิ 0888705xxx เมฆเป็นปัจจัยให้เกิดฝน แต่มิได้หมายความว่า เมื่อมีเมฆแล้ว ฝนจะต้องตก ทุกครั้งไป ก็หามิได้! ฉันเดียวกัน สำหรับผู้ที่หมดกิเลสแล้ว เช่นมหากัสสัปปะ เมื่อประสงค์ จะดับ กายิกทุกข์ จึงเข้าสัญญาเวทยิตนิโรธ หรือตัดความเชื่อมต่อ ระหว่าง อายตนะ จึงไม่มีผัสสะเกิดขึ้น! จริงอยู่. .สฬายตนะเป็นปัจจัย ให้เกิดผัสสะ แต่ก็มิได้ หมายความว่า เมื่อมีสฬายตนะแล้ว ผัสสะจะต้องเกิดทุกครั้งไป! มหากัสสัปปะ ก็ยังมีสฬายตนะอยู่ แต่ผัสสะดับแล้ว! พ่อครูว่า ของพระพุทธเจ้า ดับเมฆ คือเหตุปัจจัย ไม่เหลือเลยนะ การตัดความเชื่อมต่อ ระหว่าง สฬายตนะ ก็ไม่มีผัสสะก็ถูก แต่เขาเข้าใจว่า นิโรธต้องเข้าไปดับผัสสะ อยู่ในภพ และต้อง ดับเวทนา ให้เหลือเพียง 0.001 % เหมือนกับหมอ วางยาสลบ อย่างนี้ พ่อครูเข้าใจ และทำเป็น คุณก็ไม่เชื่อ และก็ท้าทายด้วย พ่อครูก็ว่า ไม่ได้ดับเก่ง อย่างฤาษี ดับได้เป็นวันได้ แต่หลายวันไม่ได้ คุณท้าทายมาก็ชนะสิ แต่อย่างนั้น ไม่ใช่ของ พระพุทธเจ้า แต่นิโรธแบบพระพุทธเจ้าสิ ถ้าไม่ได้ พ่อครูเสียใจ ไม่ได้อย่างฤาษี ก็ไม่เสียใจ ได้อย่างพระพุทธเจ้าสิ จึงจะน่าภูมิใจ สฬายตนะเป็นปัจจัย ให้เกิดผัสสะ พระพุทธเจ้าตรัสว่า อายตนะจะเกิดได้ ต้องมีผัสสะ อายตนะเกิด เมื่อมีเหตุปัจจัย คือผัสสะ 0888705xxx สฬายตนะภายใน หมายถึง ตาหูจมูกลิ้นกาย (5อย่างนี้ รวมเรียกว่ารูปกาย) และใจ (หรือนามกาย) ซึ่งทั้งมนุษย์ เทวดา รูปพรหม เดรัจฉาน เปรต อสุรกาย สัตว์นรก ล้วนแต่มี สฬายตนะภายใน คือมีทั้งรูปกาย และนามกาย ส่วนอสัญญีสัตว์ มีแต่รูปกาย ไม่มีนามกาย ส่วนอรูปพรหม มีแต่นามกาย ไม่มีรูปกาย ฉะนั้น ผีเปรตเทวดา ทั้งหลาย จึงมีรูปกาย ให้เห็นได้ด้วย! แต่เป็นรูปกายละเอียด ที่เห็นได้ด้วยใจ (SixSense) เท่านั้น! แต่คนที่เห็น ดันไปคิดว่า เห็นวิญญาณ! พ่อครูว่า ถ้าแยกรูปกาย กับนามกายไม่ออก รูปกายนั้น คนหรือสัตว์ ที่มีธาตุรู้ คือนาม ก็จะรู้จัก องค์ประชุม คือนามกาย ส่วนพืชนั้น ไม่มีจิตวิญญาณ ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ซึ่งในรูปพรหม หรืออรูปพรหม ก็คือสัตว์ทางจิตวิญญาณ อย่างนี้ ไม่มีสรีระ ส่วนผู้ที่ปั้น ก็เป็น มโนมยอัตตา ก็รับรู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ อสัญญีสัตว์ก็คือ สัตว์ที่ไม่มีสัญญา ก็มีแต่รูป ไม่มีเวทนา ไม่มีวิญญาณ ส่วนอรูปพรหม มีแต่นามกาย ไม่มีรูปกาย ก็คือรูปกายที่หยาบไม่มีจริง แต่สิ่งที่ถูกรู้ ด้วยญาณคือ นามกาย หรือนามรูป ขั้นอรูปอย่างนี้มี เป็นรายละเอียด ที่พ่อครูเห็น แน่นอนคำว่า รูปกาย ของ 8705 หมายถึง สิ่งที่มีสีสัน รูปร่างแน่นอน เขาใช้คำว่า อรูปพรหมมีแต่นามกาย ไม่มีรูปกาย แต่ของพุทธนั้น เห็นได้ทุกอย่าง 0888705xxx พธร.ผู้โง่เขลาอยู่แล้ว ก็เลยอ้างพตปฎ. ว่าวิญญาณเป็นอสรีรัง ที่เห็นไม่ได้! จึงไปสรุปว่า ผีเปรตเทวดา ไม่มีจริงหรอก! ที่คนไปเห็นเข้า ก็เพราะอุปาทาน คิดจินตนาการ ไปเองตะหาก! แหม มันจึงน่าตี พธร.ยิ่งนัก พ่อครูว่า คุณฉลาด แต่ทำไมคุณไม่ฉลาดอีกที พ่อครูไม่ได้บอกว่า ผี เปรต เทวดา สัตว์นรก ไม่มี แต่เห็นว่ามี และก็ดับไม่ให้มันมีในจิตได้ ทั้งรูปละนาม ก็ไม่มี ในจิตพ่อครู พ่อครูทำให้มันไม่มี ไม่ได้ปฏิเสธว่ามันไม่มี แต่สามารถทำ ให้มันไม่มี จึงรู้ได้ 0888705xxx ก็อย่างที่เราเห็นคนกันเนี่ย เราเห็นวิญญาณคนกันหรือ? ซึ่งก็เปล่า! ฉันเดียวกัน ที่เราเห็นผีเปรตเทวดา เราเห็นวิญญาณผีเปรต เทวดากันหรือ? ซึ่งก็เปล่า เหมือนกัน! จริงไม๊ เพียงแต่คนทั่วไป ไม่รู้บัญญัต จึงพูดผิดไปว่า เห็นวิญญาณ! พ่อครูว่า..เขาพูดถูก แต่เขากำหนดผิด เพราะสิ่งที่ถูกคือ วิญญาณไม่มีรูปร่าง (อสรีรัง) เห็นไม่ได้ (อนิทัสสนัง) แต่เขาก็เห็น แต่ถ้าเขาแยกแยะได้ เขาจะเข้าใจ เขายังไม่มีความรู้ สัตตาวาส ๙ แม้แต่ข้อแรก คือ มีกายต่างกัน สัญญาต่างกัน คำว่า กาย คือองค์ประชุม ที่เกี่ยวกับ วัตถุรูปภายนอก กระทบเข้าไปเป็น องค์ประชุมภายใน ถ้าหมายเอาแต่ใน คือนามธรรม ก็เห็นกายต่างกัน จะกำหนดว่า มนุษย์เปรต คนนี้ ก็จะมีกาย เป็นรูปร่างเปรต หรือเป็นนางนาค ต่างกันไป ตามแต่ละคนยึดถือ แล้วแต่ จะสมมุติกันไป ส่วนเทวดา ก็สมมุติต่างกันไป เทวดาฝรั่ง เทวดาไทย ก็ต่างกันไป สารพัด ส่วนสัตตาวาส ข้อ ๒ กายอย่างเดียวกัน แต่สัญญาอย่างเดียวกัน เช่น ผู้ได้ปฐมฌาน หมายความว่า มีเงื่อนไขหลักคือ "ไม่มีนิวรณ์" แต่ฤาษีก็ไม่มีนิวรณ์ อย่าเดียวกับพุทธ แต่องค์ประชุม ของฌาน ก็ต่างกัน คือกายต่างกัน ตั้งแต่ฌาน ๑-๔ ก็ต่างกัน ของฤาษี ต้องอยู่แต่ในภวังค์ ไม่มีผัสสะกระทบ จึงเป็นฌาน แต่ของพุทธ กระทบอยู่ ก็มีฌาน ต่อไปก็อธิบาย สิ่งที่พ่อครูเรียบเรียงมา โดยเอานิโรธเป็นหลัก ถ้านิโรธพุทธ เรียกว่า สัมมาฌาน สัมมาสมาธิ เป็นสัญญาเวทยิตนิโรธ แต่ถ้านิโรธของทั่วไป ก็เรียกนิโรธ แต่คนไม่เข้าใจพุทธ ก็ไปเอา สัญญาเวทยิตนิโรธ มาแปล ผิดๆอีก พ่อครูก็ต้อง ปรับปวาทะ ให้เรียบร้อยโดยสหธรรม สรุป นิโรธ แบบพุทธ เป็นการทำความดับ ซึ่ง ดับเหตุที่เป็นกิเลส แต่เป็น การดับตัวตนของกิเลส จนกระทั่ง มั่นใจว่า กิเลสมันได้ดับสนิท ไม่เหลือเศษธุลี แม้นิดแม้น้อยเป็น ความไม่มี (อากิญจัญญ) เลยจริงๆ โดยการได้ปฏิบัติ ตรวจสอบด้วย อรูปฌาน ๔ จนกระทั่งสัมบูรณ์ เหตุ ที่ทำให้มีความคลาดเคลื่อน ผิดพลาดอยู่ ก็เพราะ... ๒. ตนยังมีกิเลสอยู่ แต่หลงว่าตนเอง ปฏิบัติถึงขั้น ดับกิเลส แล้ว เนื่องจาก สัญญาวิปลาส เพราะเข้าใจความเป็น สัญญา คลาดเคลื่อนไปบ้าง จึงกำหนดหมาย ปรมัตถธรรม ไม่ถูกต้องได้แท้จริง ๓. กำหนดการเกิด (ชาติ) ยังไม่ สัมมาทิฏฐิ จึงยังผิดพลาด คลาดเคลื่อนอยู่ ก็ยังสัญญา วิปลาสอยู่ เช่น ต้องเข้า-ต้องออกอยู่ เมื่อ เข้านิโรธ ก็มี การดับ เมื่อ "ออกนิโรธ ก็มี การเกิด นั่นคือ ยังวนอยู่กับ การเกิด-การดับ จึงยังไม่มีความดับเหตุ ดับปัจจัย กระทั่งสิ้น "ไม่เกิดไม่ดับ อีก จึงไม่ใช่การดับชาติ จนสนิทเด็ดขาด ๔. ยังมีโลก (ภพ) เพราะไม่ได้ ดับเหตุ แห่งการเกิดโลก (ภพ) แบบอริยสัจ ๔ ยัง มีโลก (ภพ) เพราะ ยังไม่รู้จัก โลกหรือภพ เช่น โลกที่เป็นโลกียะ นั้นเป็นไฉน โลกที่เป็นโลกุตระ นั้นเป็นไฉน แม้แค่ความเป็น "โลกนี้ (อยังโลก) โลกหน้า (ปรโลก) ก็ยังไม่สัมมาทิฏฐิ จึงไม่สามารถปฏิบัติ มรรค องค์ ๘ ให้เป็น สัมมามรรค - สัมมาผล (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๔ ข้อ ๒๕๒ - ๒๘๑) จึงยังมี โลกสมุทัย อยู่ แน่นอน โลกนิโรธ จึงยังไม่มีอยู่นั่นเอง ๕. ยังมีความเป็นสัตว์ มีสังโยชน์ มีความเป็น สัตตาวาส ๙ อยู่ สัตว์ ในที่นี้คือ สัตว์โอปปาติกะ สัตว์ทางจิตวิญญาณ จึงยังไม่พ้นสังโยชน์ สัมบูรณ์ ๖. ยังมี กาย ที่ไม่สัมมาทิฏฐิ เพราะความเป็นนิโรธ ของคนผู้นี้ยัง มิจฉาทิฏฐิ จึงได้ นิโรธ ที่ยัง สัญญาวิปลาส อยู่ เช่น นิโรธที่มีองค์ประชุม (กายที่ประชุม เข้าไปอยู่ภายในใจ) เป็นความมืดดำ (กิณหะ) หรือ เป็นความสว่างใส (อาภัสสรา) ก็ยัง หลง กันได้ว่า เป็นแดนนิพพาน แดนพรหม ซึ่งเป็นองค์ประชุมในจิตใจ [มิใช่หมายเอา ร่างกาย (สรีระ) นะ] ๗. เพราะ สัญญา ที่ ควรมี ก็ไป ทำดับหรือสะกดไว้ ให้มัน ไม่มี-ไม่ให้มันทำหน้าที่ เสียนี่ หรือไม่ก็รู้จัก สัญญา ชนิดที่ผิดเพี้ยน จึงมี สัญญาวิปลาส หรือ ไม่มีสัญญา ที่ควรมี เพื่อทำหน้าที่ กำหนดหมายรู้ ธรรมต่างๆ ได้ครบทั้งรูปธรรมและนามธรรม สัมบูรณ์ แต่กลายเป็นกำหนดผิดพลาด คลาดเคลื่อนไป ๘. หรือแม้แต่ เวทนา ที่ ควรมี ก็ ทำดับ หรือสะกดไว้ ให้มันไม่มี เสียนี่ จึงไม่มี เวทนา สูงสุด ถึงขั้นสัมบูรณ์ ด้วย เวทนา ๑๐๘ ทั้งส่วนอดีต ทั้งส่วนอนาคต ตามที่พระพุทธเจ้า ตรัสไว้ใน อวิชชา ๘ ข้อ ๗ เพราะไม่ได้ปฏิบัติ ตรวจสอบด้วย อรูปฌาน ๔ กระทั่งสัมบูรณ์ ถึงระดับ จบกิจ พ้นเนวสัญญานาสัญญายตนฌาน อย่างสัมมาทิฏฐิ ในการปฏิบัติสัมบูรณ์ ครบ ๓ กาลของเวทนา ๑๐๘ (ซึ่งมีความรู้ใน เวทนา ๑๐๘ และปฏิบัติกระทั่ง มีสภาวะ ให้รู้จักรู้แจ้ง ในความรู้สึก ๒-๑๐๘) เพราะสัญญาวิปลาส เพราะมิจฉาทิฏฐิ เพราะอวิชชา ๙. ยิ่ง ผัสสะ ของ นิโรธ ที่ไม่ใช่แบบพุทธ เขา ปิดรู้ ปิดเห็น ปิดเป็น ปิดมี ไปเลย ทั้ง ความรู้ความเห็น (ทิฏฐิ) ทั้ง สัญญา ที่เป็นการกำหนดหมายรู้ จึงไร้ จักษุ-ปัญญา-ญาณ-วิชชา-แสงสว่าง มีแต่ ความมืดดำ (กิณหะ) แล้วหลงผิด (โมหะ) ว่าเป็น โชค (สุภ) ของตนแล้วหนอ ที่ตนได้เป็น พรหมสุภกิณหะ ก็จึงงมงายกัน ไม่เสร็จ ก็เพราะมี สัญญาวิปลาส แท้ๆ จึงแม้จะมี สัญญาอย่างเดียวกัน (เอกัตตสัญญิโน) กับผู้ สัมมาทิฏฐิ ว่าเขาได้ ส.ฟ้าไทสรุป... นิโรธเป็นอนุตริยธรรม พ่อครูอธิบายเรื่องรูป ชัดเจน ว่าคืออะไร แม้แต่อรูป ก็เป็นรูปได้ เพราะรูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นิโรธแบบพุทธ และนิโรธ แบบดับฤาษี เป็นอย่างไร ต่างกันอย่างไร ต้องทำการตรวจสอบ ทำซ้ำแล้วซ้ำอีก ด้วยอรูปฌาน ๔ จนล่วงสู่ สัญญาเวทยิตนิโรธ ... พ่อครูเน้นในการพิมพ์ ทั้งตัวหนา ตัวเอียง แถมขีดเส้นใต้อีก ให้เข้าถึงใจ ซึ่งเหตุที่ทำให้ นิโรธวิปลาส มีถึง ๙ ข้อ.... จบ
|
||
|