เรื่อง พูดไปสองไพเบี้ย"นิ่ง"เสียประเทศไทย |
วันนี้เป็นวันแรกของงานอโศกรำลึก ครั้งที่ ๓๒ งานประจำปีของเรา ก็มีหลายงาน งานที่สำคัญของพวกเรา ที่จะต้องมาให้ได้ คืองานปลุกเสกฯ พุทธาฯ ที่เราจะเสริมหนัก เรื่องปริยัติ เสริมการศึกษา มีระบบที่จัดให้ตั้งแต่เช้า-เย็น ก็ลงตัวแล้ว จัดมานานแล้ว มีการสาธยายธรรม ภาคเช้าเป็นหลัก พ่อครูก็เป็นหลัก ส่วนก่อนฉัน ก็มีสาธยายธรรมพอควรโดยสมณะและสิกขมาตุ เป็นการเสริมต่อกัน ส่วนภาคบ่าย ก็มีปกิณกะไป เป็นรายการธรรมะบ้าง อาชีพบ้าง หรืออย่างอื่นบ้าง ก็คล้ายๆ กับมรรคองค์ ๘
ที่มีองค์ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ ที่ประพฤติจริง ด้านสังกัปปะ ก็ด้าน จิตวิญญาณความรู้ ต่อมาเป็นสัมมาวาจา เนื่องมาเป็นสัมมากัมมันตะ รวมเป็น สัมมาอาชีวะ เป็นผลเป็นอาชีพ เป็นการงานความรู้พฤติกรรมสังคม ที่ร่วมกับสังคม
ศาสนาพระพุทธเจ้า เป็นศาสนาสังคมไม่ปลีกแยก จึงต่างจากลัทธิเดียรถีย์ ไม่เหมือนกัน มีทฤษฎีคนละแนว ซึ่งลัทธิอย่างเดียรถีย์ ที่ต่างกับพุทธ หรือไม่ตรงพุทธ คือลัทธิ ปลีกแยกจากสังคม โดยไปอยู่ป่าเขาถ้ำ ไปบำเพ็ญจิตแข็งแรง จนมีฐานจิต แข็งแรง ก็ออกมาสู่สังคมมนุษย์ ถือว่าการบรรลุ ได้จากการนั่งสมาธิ เข้าใจสมาธิ คือนั่งหลับตา ในภวังค์ จะเกิดเจโต และปัญญา บรรลุเอง เขาเชื่ออย่างนั้น เพราะว่า เขาถือว่าพระพุทธเจ้าเป็นหลัก
พระพุทธเจ้าอุบัติ ก็ปฏิบัติอยู่ป่า จนไปนั่งเตวิชโช ก็สำเร็จ แต่ที่จริงมีสภาวะ ลึกซึ้งซับซ้อน ที่พระพุทธเจ้ามีวิบาก และมีส่วนลึกซึ้ง
อวิชชาคือความไม่รู้ และจะพาเกิดเป็นหลัก ผู้ที่เกิดมา ก็เริ่มต้นด้วย ความไม่รู้ แล้วก็ค่อยๆรู้ขึ้น การจะรู้ขึ้น ผู้ที่มีของตนอยู่แล้ว เป็นบารมีในตัว ผู้สูงสุดเรียก สยัมภู อย่างพระพุทธเจ้า มีของตนแล้ว ก็มาเกิดด้วยอวิชชา คือยังโง่อยู่ มาเกิดตามปัจจัย ที่พ่อครูอธิบายไม่ได้ แม้แต่พระพุทธเจ้า ก็มาเกิดอย่างไม่รู้
มาเป็นเจ้าชายสิทธัตถะ ก็ไปตามวิบาก แรกเกิด ก็ไม่ค่อยรู้ความ โตมาหน่อย ก็เริ่มรู้เดียงสา อย่าง ๗ ขวบก็เริ่มรู้ เป็นเลขที่เป็นรอบ ของการเกิด ก็ค่อยโตเต็ม เป็น ๙
๗ เป็นเลขเริ่มจะรู้ความ เช่นพระพุทธเจ้า บำเพ็ญจาก ๑-๓ มาเป็น อนาคามีโพธิสัตว์ ต่อมาพัฒนาเป็น อนิยตโพธิสัตว์ ต่อมาถึงปางที่ ๗ คือนิยตโพธิสัตว์ หรือ รอบที่ ๗ ถ้าเป็นคน ก็เป็นอรหันต์ได้ อย่างมีอรหันต์ ๗ ขวบก็มีได้ ความสมบูรณ์ ทางสรีระก็ได้ ครบทางวิญญาณด้วย ที่จะออกมาทำงานได้
พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ ระดับ ๗ ก็จะรู้รอบ ที่เข้าอรหัตผล จึงสาธยาย อรหัตผลได้ แต่ถ้าโพธิสัตว์ ที่ยังไม่ถึงระดับ นิยตโพธิสัตว์ ก็ยังไม่ได้ ส่วน ๘-๙ ก็ยังไม่อธิบาย เพราะเกินภูมิพ่อครู
สิ่งที่พ่อครูอธิบายก็รู้เลาๆ อย่าไปสมมุติตัวเอง เป็นเช่นนั้น พยายามปฏิบัติ ก็จะได้เองในตน ถ้าปฏิบัติ สัมมาทิฏฐิ มีสัมมาผล ก็อย่าไปหลง สำนึกตน ว่าอย่าหลง แม้แต่ตนได้แล้ว ก็สำทับต่อ ว่าเราได้มากพอ เต็มสมบูรณ์หรือยัง อย่าประมาท ให้ตรวจสอบตนให้ดี
อธิศีล-อธิจิต-อธิปัญญา แม้แต่อธิมุติ ในระดับ ๑-๔ อธิมุติ จะเป็นตัวที่ ๔ เป็นตัวเริ่มต่อไป (แปลว่า มีจิตโน้มน้อมต่อไป) ที่มีทิศทางเจริญ ถ้าเอาใจใส่ฐาน ๔ ก็จะขึ้นเลข ๕ เป็นเลขกลาง ระหว่าง ๑๐ แต่เป็นครึ่ง ของเลข ๙ ซึ่งเป็นตัวสูงสุด แห่งความมี ส่วนเลข ๑๐ หรือ ๐ เป็นตัวผล ตัวสำเร็จอย่างเดียว ไม่ต้องพูดถึง ส่วนเรา ทำให้เต็ม ๙ ให้ได้ ๑-๙ แล้วเป็น ๑๐ ก็ต่อ ถ้าเป็น ๐ ก็จบ
เป็นเรื่องของสัจจะที่พอรู้ได้ ใช้เป็นบันได ในการสร้างสรรอะไรได้ เป็นการเพิ่ม ปริมาณ หรือคุณลักษณะ หรือถอย ก็ได้ทั้งรูป และนามก็ได้
เลข ๔ คือเลขที่ต้องพัฒนา ถ้าปฏิบัติ ศีล สมาธิ ปัญญา ทำให้เป็นวงจร ให้สมังคี เป็นความสัมพันธ์ อันได้ครบวงจร ส่งเสริมกัน ระหว่าง ศีล สมาธิ ปัญญา ก็เป็นตัวตั้ง อัปปนา เสริม อธิศีล อธิปัญญา ก็เสริมกันอีก เป็นแม่กับพ่อ ให้เกิด อธิจิตที่ดีขึ้น
เสริมสภาวะที่จะพัฒนาศีลอีก ก็คือเกิดอธิมุตโต คือความหลุดพ้น หรือความรู้ หรือความหลุดพ้น ล่วงพ้น ผ่านจุดต่ำ ไปสู่สูง
ถ้าเพิ่มเป็น ๕ เราเรียกว่า อภิหรือวิ ก็ได้ แปลว่า ยิ่งหรือวิเศษ เช่น อภิสังขาร อภิปัญญา ก็จะเสริมเติม เป็นขีดขั้น จะต้องคู่กันเสมอ คือ เจโต กับ ปัญญา
จิตเป็นใหญ่เป็นประธาน มโนปุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา ดังนั้น ผู้ใดจะศึกษา ไม่ว่าโลกหรือธรรม ต้องเอาจิตเป็นหลัก ต้องอ่านจิตให้ครบ อย่างศาสนาพุทธ ที่อ่านจิตได้ครบ
พุทธชัดเจนเรื่องจิต เจตสิก รูป นิพพาน ที่เป็นอภิธรรม (เป็นเจโต) หรืออภิปัญญา (เป็นปัญญา) คือสิ่งที่ทรงไว้จริงๆ ของสัตว์โลก คือจิตวิญญาณ หรือมโน
อภิธรรมคือเจโต หรืออภิจิต คือจิตวิญญาณ ให้ทรงไว้ ซึ่งการทรงไว้ ของพลัง ระดับจิตวิญญาณ แต่ถ้าจะสลายอัตภาพ ก็ต้องสลายอันนี้ จะเป็นสัตว์เดรัจฉาน สัตว์เซลล์เดียว ก็ไม่มี ถ้าปรินิพพานแล้ว ก็สลายหมด
จุดต่อการพัฒนาระหว่างพีชะ มาเป็นจิตนิยาม นั้นมาได้อย่างไร พ่อครูยังไม่รู้ ถ้าพีชะ พัฒนาจนถึงรอบหนึ่ง ก็จะมาเป็น จิตนิยาม พ่อครูยังไม่มีความรู้ มาอธิบายได้ว่า จุดที่ล่วงพ้น (สมติกกมะ) ที่มีการแยก จากพีชะ มาเป็นสัตว์เซลล์เดียว แต่ถ้าพีชะก็คือ ยังต้องอาศัย ดินน้ำไฟลม ออกมาสู่ลม สู่อากาศไม่ได้
มันวนระหว่าง ดิน น้ำ ไฟ ลม จากอุตุมาเป็นชีวะ ถูกไฟก็เป็นพีชะ จากนั้น ก็จะพัฒนา เป็นจิตนิยาม ก็เป็นสัตว์ แล้วพัฒนาเป็น เวไนยสัตว์ แล้วพัฒนาข้าม กุศลโลกีย์ มาเป็นกุศลโลกุตระ
ศานาที่เป็นโลกียธรรม ก็จะมีการทรงไว้ ระดับกัลยาณชน ก็รู้กุศลอกุศล พัฒนากุศล สูงสุด เป็นศาสดาได้ แต่พัฒนาได้แค่นั้น ซึ่งโลกียะ จะอ่านจิต แต่ไม่หยั่งรู้ได้ถึง จิต เจตสิก รูป นิพพานไม่ได้ เพราะปรมัตถ์ ไม่สมบูรณ์ อาจทำให้ดีได้ อยู่ได้นานมาก พระพุทธเจ้าว่า บางทีเหมือน อาสวะจะดับได้ แต่ไม่ได้ เพราะไม่ครบ กาโย ไม่มีการสัมผัส วิโมกข์ ๘ ด้วยกาย คือข้อที่ ๒ ของวิโมกข์ ๘ ยังไม่รู้ภายนอก อาจทำภายในเก่ง แต่ไม่ละเอียด เพราะไม่สามารถ กำหนดรู้ อรุปในภายในได้ชัด
อาจทำอรูปฌาน ได้ถึง เนวสัญญานาสัญญายตนะ แต่ไม่ชัดเจน สาธยายไม่ได้ เพราะเป็น อุตริมนุสธรรม ผู้ไม่มีจริง หากแสดงก็ผิดแน่ ผู้ที่จะพัฒนา ต้องรู้องค์รวม ทั้งภายนอก และภายใน ซึ่งสัมพันธ์กันหมด
พระพุทธเจ้า ว่าต้องสัมผัส (ผุสโส) วิโมกข์ด้วยกาย คือมีสัมผัส ๖ เต็ม อย่างไม่ปิด ทวาร ๖ เชื่อมโยงระหว่าง นอกและใน ไม่ขาดสาย ไม่ขาดการรู้ เป็นปฏิสัมพัทธ์ ไม่ขาดสาย ผู้ใดยังไม่สัมผัสรูปกาย นามกายนอก ที่เนื่องมาสู่ กายในกาย อย่างในอานาปานสติ ท่านให้ลมหายใจ เป็นกายนะ จะต้องรู้ ภายนอกด้วย อย่างรู้อยู่ เห็นอยู่ เป็นปัจจุบันนั่นเทียว สำเร็จอิริยาบถอยู่
นาม คือธาตุรู้ ส่วนรูป คือสภาพที่ถูกรู้ แม้จะเป็นเวทนา คือความรู้สึก ที่เป็นสังขาร อย่างหนึ่งแล้ว ถ้าศึกษา จะรู้ว่า เวทนากับสังขาร คืออันเดียวกัน วิญญาณที่เกิดจาก การสัมผัส คือวิญญาณสมบูรณ์ ในขันธ์ ๕ จะเกิดเมื่อมีผัสสะ
ผู้รู้นาม-รูป นั้น รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ ซึ่งในปฏิจจสมุปบาท เรียกว่า นามรูป ไม่เป็นสภาวะเดียวกัน คือเมื่อเกิดผัสสะ ก็จะเกิดวิญญาณ (องค์รวมของเวทนา สัญญา สังขาร) ถ้าผัสสะแล้วเราไม่รู้ ก็มีกามหรือพยาบาท มาสังขารร่วมด้วยทันที
เช่น เอาอันนี้ล่ะวะ หรือจัดการอันนี้ล่ะวะ คือผู้ไม่รู้ ก็ถูกพลังงานกาม กับพยาบาท บงการอยู่ เราก็ต้องทำตามคำสั่ง หรือทำตามสังขารปรุงแต่ง ก็ทำงานตั้งแต่ ดำริคือตักกะ เราต้องวิจัย จนจับตัวการ หรือตัวโจรได้ ก็สำเร็จ แต่ทุกวันนี้ เราเห็นตัวการ แต่ว่ามันใส่ หน้ากากแดงอยู่ แต่ถ้าเราจับมันได้ และกำจัด ตัวบงการนี้ได้ เสร็จสิ้น เราก็มีวิตักกะ อย่างไม่มีตัว อกุศลเหตุ มาปรุงแต่ง ก็จะมีสังกัปปะ ที่สะอาด ก็ไปเป็น วจีสังขาร ที่สะอาด พร้อมออกไปเป็นวาจา กัมมันตะ อาชีวะที่สะอาด ปรุงแต่ง ไปตามบารมี ของแต่ละคน
พอจัดการตักกะ วิตักกะ สังกัปปะได้ ก็สั่งสมเป็น พลังงานลบ สั่งสมเป็น พลังงานบวก คือ อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา ก็สั่งสมเป็นพลังงาน นิ่งแข็งแรง ตั้งมั่น แล้วเราก็สั่งสมเพิ่ม จากพลังงานเคลื่อน มาเสริมพลังงานนิ่งมากอีก เป็นวงจรไป อย่างอิเล็คตรอน ก็เป็นประจุลบ ก็เคลื่อน ส่วนนิวเคลียส ก็เป็นตัวนิ่ง
พยายามอ่านเหตุ ที่เกิดจากการสัมผัส จึงไม่ออกป่า สำหรับพระพุทธเจ้า แต่อย่าดูถูกฤาษี เขาจะใช้เวลานานกว่า พวกสายปัญญา พวกสายศรัทธา หรือเจโต ก็จะใช้เวลานานกว่า ส่วนพวกสายที่วุ่นวาย ก็คือสายวิริยาธิกะ จะเอาเจโตหรือปัญญา ก็สับสน ใช้เวลา ๘๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพวกเจโต (สายสัทธาธิกะ) ก็ใช้เวลา ๔๐ อสงไขยกับเศษแสนมหากัป ส่วนพวกปัญญา ก็เดินทางตรงกว่า ก็ใช้เวลา เร็วกว่าแบบอื่น
อย่างพวกเราก็เป็นสังคม ที่เกิดจากจิต พ่อครูไม่เคยเอาวัตถุ หรือความสวยงาม มาล่อ พ่อครูสร้าง สิ่งใหญ่ๆนี้ พ่อครูเราไม่เคยชอบ อย่างที่จะสร้าง สมเด็จปู่ วิชิตอวิชชานี้ ทำไมต้องใหญ่ขนาดนี้ เขาก็คิดกันมา ก็ดันทุรังกันมา พ่อครูก็ยังมืดๆอยู่ ว่าจะทำได้อย่างไร วัสดุก็เอาหินทรายนี่แหละ ก็จะหนักมากอยู่
พ่อครูทำงานโดยดูเหตุปัจจัยและผล ถ้าผลถูกต้อง ได้เท่าไหร่ เอาเท่านั้น แล้วก็ได้ ไปเรื่อยๆ เรากะจะได้เท่านี้ แต่ได้แค่นี้ ก็ดูว่าเพราะเหตุอะไร อย่างทางโลก เขามีโปรเจ็ค แล้วก็มีผล ที่คาดว่าจะได้ แล้วพอทำไป ก็อาจไม่ได้ เขาก็ต้องพยายามทำ แม้จะโกง จะเบี้ยวอย่างไร ก็ต้องทำตามให้ได้ ตามคาด ก็เลยเกิด ความวุ่นวาย ก็ไปเอาเปรียบ เอารัด ไปโกง ไปโมเมตัวเลข ทำยอดเพื่อเอาไปโกง ก็เลยมีคน ทำโปรเจ็ค มาใหญ่โต มากมาย โดยไม่ดูผลเสียที่เกิด
พ่อครูไม่เอายอดเป็นหลัก ๑.อย่าผิด ๒.เต็มที่ ถ้าไม่ผิดแม้จะได้ผลน้อย ก็คือ บารมีเราเท่านั้น ไม่ผิด แต่ไม่ได้ผลตามคาด ก็คือบารมีเรา ทำได้แค่นี้ ตรวจสอบเต็มที่ ว่าเราทำ ถูกหรือไม่ ได้แค่ไหนก็คือ บารมีเรา แล้วพ่อครูเรียกว่า "ชนะรายทาง" ส่วนทุนนิยม จะเอายอดให้ได้ ทำให้ได้ตามคาด อย่างนี้พัง เกิดผลเสียมาก
หลักของการงาน หรือฐานของการงาน เช่น การงานกว้างๆ ของเรา มีฐานการศึกษา ฐานการอุตสาหกรรม ฐานกสิกรรม ฐานการงานผลิต และอื่นๆอีก เรามีโรงงาน ผลิตยา สมุนไพรโรงงานแรก ที่ปฐมอโศก และแห่งที่สอง ก็คือ ที่ศีรษะอโศก ก็มีผู้ดูแล เป็นหลักอยู่คือ ขวัญดิน แก่นฟ้า และอุ่นเอื้อ
อย่างอุ่นเอื้อ ก็ศึกษาทางโลกไปด้วย จนได้ปริญญาเอก ส่วนขวัญดิน แก่นฟ้า ก็ได้ปริญญาโท เป็นองค์ประกอบ ที่เราจะนำมาใช้กับสังคม โดยเรารู้เนื้อหาแท้ ที่เป็นแก่นสาร แล้วเราก็ดู องค์ประกอบต่างๆ แล้วก็จัดสรรหน่วยต่างๆ มาประกอบ สังขารกัน โดยดูความเหมาะสม มีทั้งบวกและลบ ที่ไปด้วยกัน หรือขัดกัน
สิ่งที่ขัด ถ้าถูกต้องจะขัดเกลา แต่ถ้าทำไม่ได้สัดส่วน จะขัดแตก แต่ถ้าพอดี พอเหมาะ จะขัดเกลา ถ้าไม่มีสิ่งขัดเกลา จะไม่สะอาดไม่บริบูรณ์ ศาสนาพุทธต้องมี สัลเลขะธรรม ศาสนาใด ไม่มีการขัดเกลา จะช้าหรือไม่สำเร็จเลย แต่ถ้าขัดแตก หรือขัดแย้ง มากเกิน จะเป็นภาวะไปไม่รอด หรือสลาย แตกไปเลย
ถ้าสัดส่วน ไม่พอเหมาะ จะไปไม่เป็น ผู้ใดจัดสรรองค์รวมให้ดี จะมีทั้งขัดกัน และไปด้วยกัน เป็นไปตามธรรม ผู้ที่ขัดแย้ง ก็ดูหมู่ใหญ่บ้าง ถ้าเราควบคุมองค์รวม ดูสิ่งที่ขัดแย้ง ให้ไปรวมด้วยได้ ไม่ให้ขัดแตก ทำให้องค์รวมนั้น พอเหมาะ จะเกิดสิ่ง ขาวสะอาด สมบูรณ์ และแน่น ซึ่งจะพอเหมาะได้ ต้องรู้หน่วยต่างๆ ที่ขัดแย้งกัน หากคนละพวก คนละหมู่ ก็จะขัดกัน ซึ่งต้องจัดสรรให้ดี
พ่อครูทำงาน ให้มีการขัดพอเหมาะ และนำพาหมู่ใหญ่ไปได้ เรียกว่า กลมกลืนได้ ไปด้วยดี สิ่งขัดแย้ง เรียกว่า contrast คือศิลปะ จะมีอย่างนี้ทั้งนั้น ให้องค์รวม ดำเนินก้าวหน้าไปได้ นี่คือนักบริหาร ต้องเข้าใจการจัดสรร
ใครหลงเรื่องการขัดแย้ง ว่าจะไม่ให้มีเลย ไม่ได้หรอก ถึงได้ก็ได้อย่าง ขลุกขลัก หรืออาจทำท่า ว่าจะได้มากได้เร็ว แต่หลวม ไม่สะอาดสมบูรณ์ แต่ถ้าขัดได้พอเหมาะ จะได้อย่างสมบูรณ์ แข็งแรง แวววาว แน่น
ขณะนี้เรามีทั้งโรงงานยา เรามีแหล่งอาหาร คือกสิกรรม อาหารเป็นหนึ่ง ในโลก เราไม่กินยาทุกวัน แต่ยาและอาหาร เป็นปัจจัยสำคัญ ของชีวิต สำคัญกว่า ผ้านุ่ง (ไม่ได้หมายถึง แต่เสื้อผ้า แต่คือองค์ประกอบต่างๆ ที่ห่อหุ้มมนุษย์) ถ้าองค์ประกอบ มีลูกปืน มีระเบิด เราไม่เอา เราก็เอาแต่ที่จะพก มาใช้ประโยชน์ เรามีไว้อาศัย สิ่งที่เรามี นอกจาก ที่อยู่นั้น เครื่องนุ่งห่ม ก็คืออุปโภค สิ่งที่เป็นบริขาร ซึ่งบริขารทุกวันนี้ มันมากไป จนมีรถ มีคอมพิวเตอร์ เครื่องมือมากมาย นั่นคือ บริขารทั้งสิ้น รวมความคือ เครื่องนุ่งห่ม หรือเครื่องอาศัย
เครื่องอาศัยมีอาหารและวิหาร อาหารคือบริโภคใน ส่วนวิหาร คือบริโภคนอก อย่างอาหาร ที่คุณเสพ ทั้งรูปและนาม ก็เอาเข้าไปภายใน ทั้งนั้น แต่บริขาร หรือเสื้อผ้า หรือเครื่องตกแต่ง ก็คือ รวมเรียกว่า "วิหาร" หรือเครื่องอาศัย เราต้องรู้ว่า เราต้องมีวิหาร หรืออาศัยอย่างไร ต้องจัดสรรให้พอดี
ถ้าเข้าใจองค์ประกอบ ความเป็นอยู่ในอุปโภค และบริโภค ที่เรากำลังสร้าง ให้เกิดตามจริง ตอนนี้เราเกิดบริโภค คืออาหารและยา ส่วนที่อยู่ เราก็สร้าง อุปโภคอื่น เราก็ทำ แต่ไม่เก่งเท่าไหร่ แต่ไม่เป็นไร เพราะโลกอุตสาหกรรม มันเจริญ
อย่างอาชีพชาวนานั้น พ่อแม่ปู่ย่า ก็ไม่อยากให้ลูกหลาน มาลำบากทำนา เท่าไหร่ แม้รัฐบาล จะมีประชานิยม มาหลอกก็ตาม แต่ก็ซับซ้อน
พระพุทธเจ้าให้รู้จักสาระ อย่างอโศกเรา ก็ทำสิ่งเป็นสาระ เช่นยา เราก็ทำมาแล้ว อย่างกึ่งกสิกรรม กึ่งอุตสาหกรรม ก็คือปุ๋ย เราก็ค่อยๆทำ สิ่งเหล่านี้ พ่อครูว่า เกิดเองตามบารมี พ่อครูเป็นคนไม่วางแผน แม้แต่สมเด็จปู่ ที่จะสร้าง ก็ไม่ได้วางแผน สิ่งเหล่านี้ ถ้าคนไม่มีเงิน ทำไม่ได้ แต่พ่อครูไม่มีเงินนะ แต่ก็มีคนสร้างให้ ตามบารมี เป็นอจินไตย ไม่อยากได้ มันก็ต้องมี ถ้าพ่อครู อยากได้มากกว่านี้ แต่มันเกินบารมี ก็ต้องหืดขึ้นคอ พ่อครูไม่ทำหรอก ทำตามบารมีดีกว่า
พวกอยู่ข้างนอกไม่มา ก็อีกมาก เราไม่รอเราไม่หวังแต่เราทำ ทำตามมีตามได้ ใครจะมาช่วยก็มา ไม่ได้หลอก ไม่ประชานิยม แต่พาทำอย่างสัจจะ อย่างพระพุทธเจ้า พาทำ แต่ท่านที่ศึกษา ก็ยึดมั่นอย่างท่าน ท่านก็พาทำ นอกที่พระพุทธเจ้าพาทำ เป็นเดียรถีย์ แล้วก็มาพูดอยู่ นี่ก็คือ ปรับปวาทะ คือเพี้ยนไปจาก คำสอนพระพุทธเจ้า และก็พาทำกันอยู่ อย่างเดียรถีย์ไม่น้อย พ่อครูก็มาปรับ ด้วยการชักนำ สิ่งที่เป็นอื่น ไปจากพระพุทธเจ้า คือปรับวาทะ มาปรับให้เป็นเนื้อแท้ ที่จะพามาทำ ให้ถูกต้อง ให้ได้เนื้อหาสาระ
ผู้ที่มีดวงตา มีความรู้ ก็อย่ารอรั้ง มาช่วยกัน พ่อครูมั่นใจว่า จะปักหลักที่ ราชธานีอโศก นี่แหละ ที่น้ำท่วม ไม่ต้องกลัว เพราะสัตว์จะเกิดจาก ธาตุน้ำก่อน มันจึงจะเป็นชีวะได้ ไม่มีน้ำเกิดไม่ได้ แม้แต่พืช ขอให้มีน้ำ ก็ไปรอด ถ้ามีธาตุอาหาร ยิ่งไปได้ดี
ความรู้ที่พ่อครูสาธายก็คือ มาจัดสัดส่วน คนที่มีปัญญาทางจิต ก็จะเกิดได้ แม้มีศรัทธา ก็ต้องสัมมาทิฏฐิ มีปัญญาด้วย มาเป็นผู้เจริญได้ กล้าพูดตรงๆเลย ไม่พูดเล่น พูดชัดตามปัญญาพ่อครู ว่าสภาวะโลกโดยเฉพาะ ในเมืองไทย ที่มีปรากฏการณ์ หน้ากากขาว ถ้าคนไทยตื่น รู้ว่าหน้ากากขาว จะแก้วิกฤติได้ แล้วอย่าเป็นไทยเฉย ปิดปาก ไม่ต่อเชื่อม ประสานเป็นมวล ก็บรรลัย จะแพ้ ขอยืนยัน
ขอจบด้วย นัยปก หนังสือพิมพ์ เราคิดอะไร เรื่อง พูดไปสองไพเบี้ย "นิ่ง" เสียประเทศไทย
พูดไปสองไพเบี้ย "นิ่ง" เสียประเทศไทย
พูดไปมากยิ่งแล้ว ไทยเอย
คนก็เฉยกับเฉย ยากแท้
ไม่เห็นแก่ชาติเลย จิตป่วย กระนั้นฤา
ต่อสำนึกเสื่อแย่(แหย้) ชำรุดแล้วกระไรไฉน
ทุกข์ไทยในขณะนี้ คือใด
ไทยเห็นอยู่ว่าภัย มนุษย์บ้า
ระห่ำหนักขนาดไหน ชัดยิ่ง
ลายชั่วอาละวาดท้า หยาบช้าเกินคน
ไม่สนแม้ขื่อบ้า แปเมือง
หยาบย่ำกระน่ำเคือง คั่งแค้น
หักเหลี่ยมถล่มเหลือง มุ่งประหัต ประหารแฮ
ไทยบ่เคยมีแม้น เช่นนี้ได้ไฉน
หรือไทยจักสิ้นชาติ ศาสน์กษัตริย์
หรือจักถึงวิบัติ แน่แท้
หรือทั้งชาติขาดขัด- สนกต- เวทิตา
หรือจักหมดทางแก้ ล่มแล้วเมืองไทย
พูดไปใช่จ่ายเบี้ย สองไพ
หาก "นิ่ง"ได้ตำลึงไทย ไม่แล้ว
ยิ่ง "นิ่ง"ยิ่งไทยไถล ถลำต่ำ แน่เอย
ไทยดับแน่ไป่แคล้ว อยู่เท้าเผด็จการ
สันดานดิบดีดดิ้น ดำฤษณา
เงินบวกอันธพาลพา คลั่งร้าย
มันบ้าเลือดเข้าตา กระทิงดุ มิปานแล
ชนขวิดไม่เลือกคล้าย สัตว์แท้เดรัจฉาน
ผนึกสมานกันร่วมสู้ ไทยเอย
เอาแต่ "นิ่ง"เชือนเฉย ชาติสิ้น
พูดเถิดเปิดปากเฉลย ตามสิทธิ์ เถิดเทอญ
แสดงออกช่วยกันปลิ้น ถลกเนื้อในเหม็น
"สไมย์ จำปาแพง" ๒ พ.ค. ๒๕๕๖
|