560610_1 รายการสรุปงานอโศกรำลึก ครั้งที่ ๓๒
และเอื้อไออุ่น งานอโศกรำลึก โดยพ่อครู
เรื่อง (มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย)


                ส.เดินดินดำเนินรายการสรุปงาน....โดยมีผู้เข้าร่วมงาน ออกความคิดเห็น
                คุณมิ่งหมาย มุ่งมาจน ผู้ใหญ่บ้าน...เป็นครั้งแรก ที่จัดงานอโศกรำลึก ที่บ้านราชฯ ที่นี่สถานที่กว้าง อาหารก็เพียงพอ วันแรกผลไม้ยังไม่มา ก็ทำขนมไปเสริม บรรยากาศก็ดี มีพี่น้องหลายคนแจ้งว่า ชาวบ้านกุดระงุม ก็มาร่วมด้วย ต่อมาก็มีอบต. และผู้ใหญ่บ้านอื่นมา เขาเอากระสอบ มาใส่อาหารผลไม้ พวกเราก็ไปติงเตือน ให้เอาแต่พอประมาณ เขาก็ดีขึ้น จนถึงวันนี้ ภาพรวมก็รู้สึกดีในส่วนตัว
                ส.เดินดิน การที่มีคนข้างเคียง มาร่วมด้วย ก็แสดงว่า เขาให้เกียรติเรามาก ทั้งที่เราไม่ได้เชิญ ในหมู่คนมากๆ ก็อาจมีบางคนมี ERROR เช่นโทรศัพท์หาย ก็เป็นบ้าง เพราะมีคนมามาก ก็อาจมีคนไม่สุจริต มาปนเปบ้าง เป็นธรรมดา
                คุณมุฑิตา ส่วนดีที่จัดที่นี่ เรื่องอาหารและเวลาจะดีกว่า เพราะจัดให้กิน เป็นเวลา ที่สันติฯ จะมีคนนอกมาก ก็จะคุมคนยากกว่า แต่ที่บ้านราชฯ จะคุมได้ง่ายกว่า สถานที่บ้านราชฯ จะกว้างขวางกว่าที่สันติฯ ส่วนเสีย คือระยะทาง ในการเดินทาง มาที่บ้านราชฯ จะไกลหน่อย เช่นจากปฐมฯ มาที่บ้านราชฯ
                ส.เดินดิน...ปีหนึ่งจัดงานที่บ้านราชฯ ๕-๖ ครั้ง อาจเสนอทางรัฐ ให้จัดรถไฟฟรีให้ เกรงใจพวกเรา เดินทางมาบ้านราชฯ ปีหนึ่งก็หลายพันกม.
                คุณภูบุญ... บรรยากาศโรงบุญที่นี่ เป็นบรรยากาศที่แจกกันคึกคักดี แต่เป็นระบบดี สถานที่กว้าง สามารถควบคุม บริเวณอาหารได้ รายการที่มีสีสัน คือรายการ ประกวดร้องเพลงพ่อครู ก็อยากให้มีคน มากกว่านี้ การคัดกรอง ในการประกวด ควรให้มีระบบมากกว่านี้ , ควรมีการคัดเลือกกันมาก่อน ค่อยมาขึ้นเวที มีการซักซ้อม ให้มีเวลาเตรียมตัว ให้ดีกว่านี้
                พ่อครูขอแทรกว่า... เพลงที่ประกวด คำว่าเพลงนี่ เป็นเรื่องลึกซึ้งมาก เพลงคือ สิ่งที่มีคีตะ และวาทิตะ คือทำนองสุ้มเสียง (คีตะ) และมีภาษาคำร้อง (วาทิตะ) แต่เดิม โบราณกาลก็มีมา ไม่ว่าจะชนเผ่าในป่าเขา ก็จะมีการใช้สิ่งนี้ เป็นสิ่งอาศัยในชีวิต จะถือว่า เป็นเรื่องรื่นเริงก็ได้ เป็นเรื่องเชื่อมสัมพันธ์ ลึกซึ้งมาก ในการจัด คีตะวาทิตะ เป็นสิ่งที่ยิ่งใหญ่ สำหรับมนุษยชาติ ในเรื่องการใช้ คนก็รู้จักใช้ภาษา มาร้อยกรอง รวมเป็นความหมาย เป็นประโยชน์ อย่างเพลงกล่อมลูก เป็นเพลงประสาน สร้างสรร จนกระทั่ง มาเป็นเพลงกาม เพลงรักกัน แต่อย่างพวกเราก็มีสาระ แม้แต่ศาสนา ทุกศาสนา ก็ใช้เพลงในการสัมพันธ์ การสวดมนต์ คือการร้องเพลง จะมีลีลาอย่างไร มีลีลาสงบจริงใจ เอาเสียงมาใช้ คนพูดกันด้วยเพลง สัมผัสแล้วซาบซึ้ง
                คนไหนอ่านเพลงของพ่อครู ซึ่งไม่ใช่เพลงสามัญของโลก (พูดไปเหมือน ยกย่องตนเอง แต่ไม่มีเจตนาอวด) เพลงที่พ่อครูแต่ง เป็นคำร้อยกรอง อย่างเพลง ... ก็มีคำ ๑๒๕ คำ มาร้อยเรียง ได้คำเป็นภาษากวี และยาก เป็นภาษาที่มี ทั้งความหมาย มีลีลา ของกลอน มีสัมผัสเต็มที่ ที่จะให้เป็นเชิงกวีการ ใช้ภาษาที่เลือกมาใช้ อย่างมีความหมาย และไพเราะ มีคล้องจอง สัมผัสนอก สัมผัสใน

                ยกตัวอย่าง เพลงตะวันทอฟ้า ขึ้นต้นว่า 
มืดมนหม่นฟ้า หล้าแดนแม้นเพลิง แผดเผา
แย่งชิงโฉดเฉา เร่าแรงร้อนฟอน ไฟบ้า
คนใดใครดล ข้นใจไร้จน ระอา
เดือดร้อนแรงกล้า ด้วยอวิชชา พาต่ำ

                คำว่ามืดมนหม่นฟ้า หมายความว่า โลกนี้มันเหมือนกับ มืดเหลือเกิน มันไม่ดีแล้ว, แม้นเพลิงแผดเผา คือเหมือนมีเพลิงมาเผา คือยุคนี้โลกและสังคม ทั้งมืดมน และวุ่นวาย
                แย่งชิงโฉดเฉา เร่าแรงร้อนฟอนไฟบ้า ก็คือเสริมว่า มันดุเดือดอย่างไร คือออกอาการ ของบ้านเมือง ที่มีการแย่งชิง คำว่าโฉดเฉา เหมือนกับไฟบ้า
                คนใดใครดล คือคนทั่วไป ที่ได้รับผล, ข้นใจคือเดือดร้อนข้นแค้นใจ, ไร้จนระอา คือสิ้นไร้แล้ว ไม่เหลือแล้ว จนสุดแล้ว

                ส่วนเพลงขันติต้องไม่จาง...
เพ่งมองผ่านเมฆ เฉกใจให้ช้ำ

คล้ำดำซ้ำเป็น เห็นปานขวานผ่า
ความคิดเคย เฉยเชือน ก็เตือนตามมา
แม้เพียร เพ่งแพงแรงพา
ผองธรรมก้าวมา หน้าแนว แล้วเล่า
...

ก็คือถึงสังคม ที่ย่ำแย่ แต่เราก็เฉย ไม่เคยเห็นแก่สังคมเลย
                เป็นการหาคำมาสัมผัส แล้วเล่นภาษา และพ่อครูแต่งกวี ไม่ใช่แบบ กลอนพาไป พ่อครูแต่งกลอนกวี มาตั้งแต่เป็นวัยรุ่น ที่ยกมาพูดวันนี้ ก็เพราะพวกเรา ให้ความสำคัญ แก่เพลง ซึ่งเพลงทุกวันนี้ มันหยำฉ่า
               แม้แต่ทำนองเพลง พ่อครูก็หาคนอเรนจ์ยาก ทำดนตรียาก เพราะเป็นทำนอง ที่เหนือสามัญ
                ทุกวันนี้ไม่ใช่ศิลปะ แต่เป็นเรื่องเลวร้าย ปนเปกันทั่วโลก

ซึ่งเพลงพ่อครู แบ่งเป็น ๕ ระดับ

                ๑.ระดับลามก แต่เขาก็เรียกว่าศิลปะ จนกระทั่ง บางงานไม่กล้าเปิดเผย รู้ทั่งรู้ ว่าลามก ก็แอบขาย ในงานที่สื่อออกมา เขาก็สื่อกันออกมา แล้วเรียกว่า ศิลปะ ซึ่งแบบลามกนั้น มีทั้งที่เปิดเผย และไม่เปิดเผย

                ๒.ระดับราคะ ...ระดับนี้น้องๆราคะ ถ้าสายธรรมะ จะไม่มีส่งเสริม ราคะหรอก ไม่ว่าจะศาสนาใด ที่เข้าใจเรื่องราคะ ก็อนุโลมให้มีได้ น้อยที่สุด ซึ่งเพลงระดับที่ ๑-๒ นี้ไม่ถือว่า เป็นงานศิลปะ แต่อย่างใด แม้จะมีคนนิยม มากมายอย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะงานปั้น งานเขียน ที่สื่อราคะ ก็ไม่ใช่ศิลปะ
                ถ้าคุณเขียนหรือถ่ายรูปนู๊ด แล้วคนดู สัมผัสแล้ว กิเลสลด นี่คือศิลปะ แต่ถ้าคน สัมผัสแล้ว กิเลสเพิ่ม นี่คือไม่ใช่ศิลปะ ที่ชัดเจน คนที่เขียนภาพเปลือยแล้ว คนเห็นแล้ว กิเลสลด คือปิกัสโซ่ ดูแล้วรู้ว่ารูปนู๊ด แต่กิเลสไม่ขึ้น ให้กิเลสลด ซึ่งไม่ง่ายเลย
                ยกตัวอย่างเช่น เพลงผู้ครองรัก (พ่อครูแต่งเนื้อ กับทำนอง เป็นเพลงรัก แต่แฝง สิ่งที่จะเทิดทูน ให้น้ำหนัก อย่างเพลงผู้แพ้ ก็ไม่มีความหมาย ไปในทางกาม หรือรักเลย แต่มีปรัชญาความรัก เช่นถึงแม้ จะแพ้ทุกอย่าง ในชีวิตคน แต่ดวงใจ ทรงความมั่นคง ส่วนเพลง ผู้ครองรัก คือสื่อความมั่นคงทางใจ หรือฟ้าต่ำแผ่นดินสูง หรือชื่นรัก ก็ไม่ได้สื่อความรัก แบบโลกๆมากนัก ซึ่งเพลงเหล่านี้ พ่อครูแต่ง สมัยเป็นฆราวาสทั้งนั้น
                งานศิลปะ คุณดื่มกินไม่ได้ แต่งานศิลปะทุกงาน เป็นงานให้อาหาร ทางจิตวิญญาณ ให้เจริญอย่างไร ถ้าเจริญเป็นสาระแก่นสาร แต่เป็นศิลปะ ที่อาจเป็น สถาปัตยกรรม ศิลปกรรม นาฏกรรม เพลงการ แต่เมื่อใครบริโภค สัมผัสแล้ว ต้องให้กิเลสลด
                ยกตัวอย่าง รูปคนใส่เสื้อนอก ที่เป็นหัวลิง หัวสุนัข นี่ไม่ใช่สื่อรูปนอก แต่สื่อวิญญาณ เหมาะสมกับยุคสมัย ให้รู้ความเสื่อม สิ่งที่ควรแก้ไข คืออย่างไร แม้เขาเป็นคนเลว มีหัวหมาอย่างนั้น เขาก็ต้องรู้ ว่าเรากำลังเป็นแบบไหน เขาจะรู้สึกตัว เขาจะสำนึก ถึงไม่รู้ตัว คนอื่นก็อ่านเรื่องออก เกิดปฏิกิริยาต่อผู้สัมผัส นี่คือแบบสาระ แต่ยังไม่ถึงขั้นธรรมะ

                ๓.ระดับสาระ อันนี้มีธรรมะความดีงามไปแฝง มีความดีงาม กับความเลว มันสื่อว่า หมายถึง สัจธรรมอะไรในโลก ไม่ใช่งานเพ้อฝัน งาน Abstract ที่เพ้อกันในโลก ที่ตัวคนเขียน ยังไม่รู้ interest point เลย เล่นสีไปตามอารมณ์เท่านั้น  

                พ่อครูแม้ขณะนี้ ก็ใช้นัจจะ คีตะ วาทิตะ ในการสื่อ แสดงธรรมะ มีท่าทาง ลีลา สุ้มเสียง สำเนียงอย่างไร
                สาระคือเนื้อหา อย่างเพลงเพื่อชีวิต เพื่อสังคม ที่จริงก็มีสาระเพิ่มขึ้น โดยเอา เหตุการณ์สังคม มาสื่อให้เกิดสำนึก เกิดปลุกระดม ให้มารวมกัน มาสามัคคี ทุกศาสนา ก็มีทำนองเพลง เนื้อร้องทั้งนั้น
                หลักของศิลปะ มีสองอย่าง ๑.สาระศิลป์ ๒.สุนทรียศิลป์
                สาระคือจุดมุ่งหมาย ที่อยากให้รู้ ส่วนสุนทรีย์คือ รูปรสกลิ่นเสียง ที่จูงนำคน สู่สาระ เช่น ยานี้ขม ต้องเอาน้ำตาลมาเคลือบ แต่อย่าให้มากจนเสีย แต่ยุคนี้ มันหลงรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัสมากหน่อย จึงต้องปรุงแต่งมากหน่อย     
                แต่ถ้าเอาแต่สุนทรียะ ไม่เอาสาระ ก็ปรุงแต่งกัน มากมาย กลายเป็นราคะ เป็นกามคุณ ๕ ไม่เป็นศิลปะ คือไม่มีสาระ ได้แต่น้ำตาล มีแต่สี แต่สาระเข้าไม่ถึง น้อยที่จะมีสาระ ขายกันด้วยสี ด้วยน้ำตาล ดาราค่าตัวแพง ก็มอมเมากัน เพื่อสนุกสนาน เป็นระดับ ราคะมาก แม้ไม่ถึงลามก ก็ไม่ถึงศิลปะ
                ที่จะเป็นสาระธรรมะ มีสุนทรียะ อย่างไม่ให้คนหลง สุนทรียะอย่างไร ต้องประมาณ สัดส่วนให้ดี  

                ๔.ระดับธรรมะ อย่างเพลงขวัญ นี่ก็ชี้ว่าขวัญปลอม กับขวัญจริง ที่เป็นเนื้อแท้ คือให้รู้ว่า ขวัญคือจิตใจ ที่มีความสดชื่น มีน้ำหนัก ในการอยู่กับโลก อย่างแข็งแรง
                แต่อย่างเพลงกองทัพธรรม ก็เอาโพชฌงค์เลย

                ๕.ระดับโลกุตระ พ่อครูก็แต่งมามาก ให้พวกเราได้ร้อง

                ปางนี้พ่อครู ไม่ได้ทำงานสถาปัตยกรรม ศิลปกรรม ด้วยมือตนเอง แต่พ่อครูก็ใช้ สถาปัตยกรรม นาฏกรรม เพลงการ ศิลปกรรม พ่อครูก็ใช้ ในการทำงานทั้งนั้น ทุกวันนี้ งานศิลปะ กลายเป็นเรื่องที่ เลอะเทอะไปหมด อย่างคนผสมเหล้า ชงเหล้า เขาก็ว่า เป็นศิลปะ

                ข้างนอกเขาไม่ศึกษา เรื่องศิลปะจริงแท้แล้ว แต่ของเราก็ทำกันจริง เราต้องรู้ สถานะ ที่จะเข้าสู่ปรมัตถสัจจะ ที่จะใช้เพลงการ สื่อให้คนซาบซึ้ง รับธรรมะได้ พ่อครู ไม่รีบโถม ที่จะอนุโลมทันที ต้องสร้างวินัย ให้มั่นคงก่อน เมื่อมีเหตุปัจจัยเกิด ก็จะตั้งวินัย หรืออนุโลม ไปตามลำดับ 

                อยากให้ทำความเข้าใจกันให้ดี ให้ส่งเสริม ในสิ่งที่ควร ทำให้ดี เพลงจะเป็นวิธี ที่สอนคน มีที่ไหน เด็กอนุบาล ๔ ขวบ มาร้องเพลงพ่อครู ขนาดนักดนตรี ยังเมาเลย เป็นของยาก แต่ก็ทำกันได้ อย่างวันนี้ ร้องเพลง หรือดีไม่มีเด่น พากันเปลี่ยนคีย์ เปลี่ยนทำนองเพลง ของพ่อครูหมดเลย เพราะมันหลงง่าย ทำนองมันยาก นักดนตรี ก็เมาเลย คีย์ไหนกันแน่

                ส.เดินดิน ก็คิดว่า รร.สัมมาสิกขาพวกเรา คุรุคงต้องใช้ ความสามารถ ให้เด็กเราเข้าใจ สาระของเพลงทั้ง  ๕ ระดับอย่างไร อย่างไม่บังคับ แต่ใช้ศิลปะ ในการทำ ให้คนซาบซึ้ง ซึ่งงานนี้ ก็ได้เด็กอนุบาล มาช่วยทำให้งานนี้ ไปรอดได้

                คุณภูบุญ... ประวัติของพ่อครู ซึ่งเป็นการตอบปัญหา อโศกพันธ์แท้ ต้องมีการ เตรียมการที่ดี หาคำตอบ ที่ให้ความรู้ เก็บรายละเอียดแก่ผู้ชม

                พ่อครูว่า เป็นความเป็นของครูเก่า ก็สนับสนุน ให้รับมาบูรณาการ

                ส.เดินดิน ว่า ได้ไปเชียงใหม่ ไปเจอ ศ.แมนเฟรด เขาซาบซึ้งกับ ในหลวงมาก แต่เขารู้สึกว่า คนไทยไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย เอาแต่ซาบซึ้งอย่างเดียว เหมือนคนไทย นับถือ บูชาพุทธ แต่ไม่ได้ประโยชน์แท้ จากพุทธ เราไปศึกษากันไกลมาก แต่องค์ประมุข ที่เป็นตัวอย่างที่ดี แต่เราไม่นำมาสอน ไม่นำมาปลูกฝัง เขารู้สึกว่า จะทำอย่างไร ให้ครูทั่วประเทศ มาสอนให้ได้ประโยชน์ จากในหลวงบ้าง ก็เผื่อกับชุมชน สังคมเราด้วยว่า จะได้ประโยชน์ ต่อพ่อครูหรือไม่


       ต่อไปเป็นรายการเอื้อไออุ่นโดยพ่อครู
               มีคำถามจากรายการ ๑๕ นาทีกับ สมอ. ...ตั้งคำถามมาว่า

  • ๑. อยากให้พ่อครูสรุปบรรยากาศ งานอโศกรำลึก ครั้งที่ ๓๒ ว่าเป็นอย่างไร ต่างกับปีก่อนอย่างไร

                ตอบ.. ก็แกนของอโศกรำลึก เป็นงานที่จะรวมกัน คลายวันเช็งเม้ง คือวัน รวมญาติ เป็นวันระลึกถึงกัน อย่างเกาลัด เขาร้องว่า.. มาเถอะมารีบมา อยู่ไหนรีบมา คว้ามีดพร้า และจอบเสียม ก็มารวมกัน เหมือนงาน มีทติ้ง เราก็ไม่ทำเป็นงานมอมเมา ไร้สาระ ใครอยู่ใครตาย ก็จะได้รู้กัน ว่าเป็นอย่างไร ปีหนึ่ง ก็มารวมกัน ทั้งโลกอยู่ไหน ก็บินมาเช็งเม้ง เป็นวันรวมญาติ รวมมิตร
               ที่จะมาเห็นหน้ากัน มาเจอกันแล้ว ก็ว่าจิตใจ เปลี่ยนแปลงดีขึ้นไหม นี่คือ สิ่งสำคัญ เจริญขึ้นหรือไม่ โดยเฉพาะ มวลมิตร สนิทมาเจอกัน ความเสแสร้ง จะน้อย แต่ไปข้างนอก กับคนนอก จะมารยาทเยอะ แต่มิตรสหายรวมกัน จะทักทายตามประสา
               การรวมมิตรรวมญาติ เขาเรา เป็นสาธารณโภคี อโศกเราเป็นชนเผ่า ยุคสมัยใหม่ เหมือนพวก ผีตองเหลือง ก็เป็นเผ่าหนึ่ง มีความเป็นอยู่อย่างหนึ่ง มีเครื่องแต่งตัว มีวัฒนธรรม อย่างหนึ่ง
               เรามารวมกันที่บ้านราชฯ ปีนี้ มันไกล มายาก และก็บางคนไม่เห็นความสำคัญ ก็เลยลดลงไปบ้าง แต่การลดลงไป พวกเราก็พยายาม ทำให้ดี วันแรก ดูจะหรอมแหรม ทางด้านวงดนตรี ถ้าจัดที่สันติฯ จะมีคนนอก มาเสริมกันมาก มาจัดที่นี่ ก็มีฆราวาส ถูไถกันไป ว่ากันไป ใครจะเกิดงานนี้ ก็ได้เกิด ดันกันไป
               แต่เมื่อวันต่อมา ก็ตรงกับวันเสาร์-อาทิตย์ แม้วันบูชา พระบรมสารีริกธาตุ ก็มากันแน่น ดูดี ที่นี่รายการ ข่าวเด่นอโศก ก็มีดูกันแน่นดี เพราะไม่มีที่จะไปมาก เหมือนที่สันติฯ
               สถานที่ บุคคล อย่างร้านอาหาร ที่สันติก็จะมี ๖๐-๗๐ เจ้า แต่มาที่นี่ ก็จะลดลง แต่ก็ไม่ได้เสียหายอะไร
               ต่างจากปีเก่า คือมันก็มีเพิ่มเติม เพิ่มวัตถุ ดึงบุคคลมาทำ แต่ที่ขาดไปก็มี ก็เป็นไป ตามปัจจัย เพราะคนละสถานที่ ต่างบุคคล มวลก็ต่างกันไป ในสัปปายะ ๔ ก็มีแต่ธรรมะ ที่ทรงไว้อย่างดี

  • ๒.โศลกงานนี้พ่อครูให้ว่า "มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย" มีพวกเราคิดต่างกันว่า 1. เป็นการเชิญชวน ชาวอโศกเข้าวัด 2. ตอนนี้มีหลายฝ่าย ออกไปชุมนุม เราคนไทย จงอย่าเป็นไทยเฉย ควรออกไป ช่วยขับไล่รัฐบาล

                ตอบ...โศลกนี้ ในความหมายของชาวอโศก เป็นเรื่องธรรมะ โดยตรง ไม่เกี่ยวกับการเมือง ก็จริง อย่าไปหลงโลก ให้มาเข้าหมู่กลุ่ม แต่ที่ว่า จะต้องไม่เป็น ไทยเฉย.. คือสิ่งที่พ่อครูทำ จะเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน ก็จริง ไม่ขยายความมาก ซึ่งตอนนี้ เรื่องสังคมประเทศชาติ เขาก็ออกมา ไล่รัฐบาลกัน ที่ว่าคนไทยทุกคน อย่าเป็นไทยเฉย ซึ่งเดือนที่แล้ว พ่อครูก็แต่งกวีว่า "พูดไปสองไพเบี้ย "นิ่ง" เสียประเทศไทย" อันนี้เป็นประเด็น ที่สำคัญมากเลย พอแต่งเสร็จแล้ว ฟังพ่อครูอ่านกวี ไม้ร่มก็บอกว่า จะเอาไปอ่านบนเวที ไม่ยอมลงเวที จนต้องจูงหนวดลงเวที เขาซาบซึ้งมากในกวี เป็นความหมาย ที่มีแง่เชิงลีลา ที่พ่อครูเขียนมา

มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย
               ยากล้นคนยุคนี้                  ไกลธรรม
มิใช่กล่าวข่มคำ                                  ตู่ร้าย
แต่แท้พฤติภาพกรรม                        เห็นอยู่ จริงแฮ
คนทั่วเป็นใช่ป้าย                                ใส่ไคล้เดาความ
               ยามนี้คนจัดจ้าน                 ทุจริต
กล้าเจตนาแม้ผิด                                 ก็ด้าน
ทำได้ยิ่งกว่าคิด                                   เกินคาด
หยาบต่ำล้ำกว่ากร้าน                          สุดแล้วเมืองไทย
               หยาบในคนเชิดชั้น              ว่าสูง
หยาบทั่วหมดทั้งฝูง                           ประหลาดล้น
หยาบได้เก่งกาจจูง                             จมูกมนุษย์ มนาเลย
หยาบยิ่งพาลสุดพ้น                           พูดด้วยคำใด
               ไทยล่มจมอยู่ห้วง               กับดัก
คนบ่รู้บ่รัก                                          ชาติแท้
เหตุเห็นแก่ตัวหนัก                            เมามุ่น อามิสเฮย
ต่างต่ำตกหมกแม้                              เม็ดให้คนพาล
               หากนานไปกว่านี้                ไทยประลัย
ไทยตื่นเถิดหลับไหล                          หนักแล้ว
บัดนี้เกิดคนไทย                                 ชวนท่าน มิรู้ฤา
ให้ออกมาไล่แม้ว                                ร่วมร้องบรรลือชัย
               รวมใจพรึบพรั่งพร้อม        กันออก
มาร่วมหมู่เพื่อบอก                            โลกรู้
ออกมาร่วมทุกซอก                            ทั่วถิ่น ไทยเลย
จึงจะเกิดแรงกู้                                   ชาติได้ดังหวัง
               อย่ายังให้ชักช้า                   รอรี
มีหมู่ฝูงที่ดี                                         เกิดแล้ว
รีบพลีชีพลุยขมี                                 ขมันช่วย กันเทอญ
เผด็จศึกอย่างกล้าแกล้ว                      เถิดถ้วนมวลไทย

               "สไมย์ จำปาแพง"  ๗ มิ.ย. ๒๕๕๖


       ฟังเข้าใจก็รู้เอาเอง เป็นนัยยะที่สำคัญ รู้เอาเอง ใครมีปฏิภาณปัญญา ก็รู้เอาเอง มีหมู่ฝูงที่ดี รีบพลีชีพลุย ตอนนี้แรงประชาชน ต้องการมวลทั้งนั้น แม้แต่คอมมิวนิสต์ เขาก็ต้องการมวล แต่เขาต้องการความแน่น แต่เขาจะไม่สนใจ คำวิจัยวิจารณ์ ของคนนอก เป็นความคิดของมาร์ค ซึ่งจะดี ถ้าคนที่มารวมกัน เป็นคนดีอย่างอโศก อโศกนี่ยิ่งกว่า คอมมิวนิสต์ เพราะมีแกนศาสนา ใช้จิตวิญญาณ ของพระพุทธเจ้า มีครบ ทั้งรูปธรรม แลนามธรรม
               เรามักน้อยสันโดษ และขยันสร้างสรรให้สังคม ของคอมมิวนิสต์ เขารวมอำนาจ สู่หมู่กลุ่ม แต่ของพุทธ กระจายอำนาจ นี่คือเหนือกว่า คอมมิวนิสต์ ซึ่งก็กระจาย วัตถุด้วย จะไม่พังเหมือนคอมมิวนิสต์ แต่จะไปได้ยั่งยืน เป็นพันๆปี จะมีเนื้อหา แม้จะลดลง ก็เป็นพุทธ พ่อครูพยายามเติม สิ่งที่เป็นเนื้อแท้ของพุทธ ของพระพุทธเจ้านี้ เก่ามากใหม่เสมอ โบราณนวทัศน์

               ตอนนี้ถามว่า ทุกคนควร อย่าเป็นไทยเฉย ควรออกมา ร่วมกันได้แล้ว ...พ่อครูก็คิด อย่างนั้นเช่นกัน ตอนนี้ ผู้มีปัญญา รู้กันหมดแล้ว เป็นแต่เพียง ส่วนใหญ่ เป็นไทยเฉย ยังไม่เสียสละ หรือกลัวจะเสีย ลาภยศสรรเสริญ กลัวเสียโลกธรรม ขี้กลัว ก็กลัวเสียอัตตา เช่น ถ้าไม่ใช่ข้านำหนึ่ง ก็ไม่ออกมา นี่ก็อัตตาทั้งนั้น เห็นแก่ตน แต่ไม่ใช่กาม มาลำบาก
               คนที่ยังไม่มีธรรมะ จะมีอัตตาเห็นแก่ตัว เห็นแก่กาม เห็นแก่อัตตา คือเราเอง ไม่รอไม่หวัง แต่เราทำ เราทำไป ถามจริงๆ ใจลึกๆ ต้องการอย่างไร ก็เหมือนกันหมด ต้องการให้ประเทศ มีคุณธรรม อุดมสมบูรณ์ อยู่เย็นเป็นสุข มีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗

สาราณียธรรม 6
1. เมตตากายกรรม                 4.   สาธารณโภคี
2. เมตตาวจีกรรม                   5.   ศีลสามัญญตา
3. เมตตามโนกรรม                6.   ทิฏฐิสามัญญต

พุทธพจน์ 7
1. ระลึกถึงกัน   2. รักกัน  3. เคารพกัน  4. เกื้อกูลกัน
5. ไม่วิวาทกัน  6.พร้อมเพรียงกัน  7. เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน

       ทุกวันนี้สื่อสาร เรื่องความเลวร้าย จะเร็วมากอย่างจรวด แต่เรื่องธรรมะ กลับไปช้ามาก อย่างเต่า

               พ่อครูทำมา จะเหน็ดเหนื่อยหนักหนา จะขาดทุน นี่แหละคือกำไร มีแต่เสียเปรียบ นี่แหละดี ชีวิตนี้ ไม่คิดจะเอาเปรียบ ชีวิตนี้มีแต่เสียเปรียบ แล้วเนื้อหา สาระ ที่เราเสียเปรียบให้ คือ สิ่งดีงาม ซึ่งบุญคือ การเสียสละกิเลส คนก็ยังไม่ค่อยรับ เราเต็มใจสร้าง เต็มใจผลิต เราก็ช่วยกันสร้าง ช่วยกันผลิต บุญ ไม่ใช่สิ่งที่จะต้องได้อามิส มาให้แก่ตนเอง ซึ่งเพี้ยนไปจาก สาระสัจจะ
               เพราะผู้ที่เจตนาให้ทำ อาจมองว่า ทำให้สบายใจบ้าง ก็เป็นพื้นฐานบ้าง แต่ในแนวลึก เมื่อความโลภมากเข้า เมื่อโลภไม่ได้ดังใจ ก็โกรธ แย่งชิง ไม่ได้ด้วยการ กระทำปกติ ก็ฆ่าผัวมันเสีย เอาเมียมันมา สมัยโบราณ เขาทำกันจริงๆ

               คำว่าพลีชีพนี้ จะไขความว่า... มีคนอาจเข้าใจว่า พลีชีพคือ เสียสละตัวเอง จนตาย เช่น เดินพกระเบิดไปตายเลย หรือคาร์บอมบ์เลย แต่ไม่ใช่ พลี คือการเสียสละ เช่นเสียเวลา แรงงาน ทุนรอน ของตนบ้าง ขออธิบาย ให้ชัดเจนว่า โศลกนี้ คำว่าพลีชีพ ไม่ใช่ไปทำลายศัตรู โดยการพลีชีพตน ตายไปด้วย อย่างนั้นไม่เอา มันรุนแรง ของเราทำอย่าง อหิงสา อโหสิ แม้ใครทำร้ายเรา เราก็อภัย ไม่ต้องออก กม. อภัยโทษ ของเราอภัยอยู่แล้ว  ซึ่งถ้าในหมู่คนทั่วไป จะไม่ใช้บทลงโทษ เป็นกฏระเบียบวินัยเลย ไม่ได้
               พลีชีพคือเสียสละ ทั้งแรงงาน ทุนรอน แม้ต้องออกไปเป็นมวล ก็ต้องทำ ซึ่งมีความซับซ้อน ลึกซึ้งอย่างยิ่ง ที่พ่อครูพาทำ อโศกเรา ช่วยเขาทำอย่างยิ่ง แต่ไม่ได้ช่วยเขา อย่างที่คนทั่วไปเข้าใจ พ่อครูว่า ยากที่จะอธิบาย เพราะมีความซับซ้อน ลึกซึ้ง ทางนามธรรม
               พูดเปิดเผย สู่วงกว้างไม่ได้ แต่บอกโดยความจริงใจเลยว่า อโศกสนับสนุน การออกไปชุมนุม ตามนิติรัฐ นิติธรรมเต็มที่ แต่จะไม่แสดงตัว อย่างอโศก เพราะอโศก เป็นสัญญลักษณ์ ของความเป็นกลาง ที่ถึงเวลา จะต้องแสดงวาระอย่างนี้

               พ่อครูเจอ ในกรณีของเสธ.อ้าย ซึ่งเปิดตัวกองทัพธรรม เราชุมนุมเปิดเผย เขาก็สะกัดกั้น เกณฑ์ตำรวจมา ห้าหมื่นคน และก็ไม่ละเว้น แสดงออกมา จัดจ้าน แม้พระเจ้า ก็ไม่เว้น วิญญาณเขาต่ำมาก อย่าเอาไม้สั้นไปรันขี้ อย่าให้เสียธรรม ต้องรักษาธรรม หรือ กรณีชาติพันธุ์ก็ดี ซึ่งกรณีชาติพันธ์ ไม่มีเรื่องของ การเมืองเลย แต่คนเขาแฝง เรื่องการเมือง คิดว่าเราเล่นไม่ซื่อ
               คนเขารู้ว่า กองทัพธรรม เป็นสัญญลักษณ์ธรรมะ พ่อครูต้องทำการ รักษาธรรม แต่สนับสนุน ให้ไปช่วยกัน เพราะถ้าประชาชน มารวมกันมากพอ งานไหน ก็สำเร็จหมด ออกมาทุกซอก ทุกทั่วถิ่นแดนไทย ออกมาแสดง ความต้องการ ที่ไม่ผิดกฏหมาย มีสิทธิ์แสดงออกได้เต็มที่ ตามนิติรัฐนิติธรรม        

               พ่อครูเคยพูดมามากแล้ว ว่าต้องมา ทำการประท้วงแนวใหม่ Neo Protest ประท้วง อย่างสงบเรียบร้อย ถูกกฏหมาย ต้องการอะไร ก็แสดงออก อย่างเต็มที่ ออกมา ไม่ผิดกฏหมาย ต่อต้านแม้ว ไม่ผิดกฏหมาย เพราะเป็นนักโทษ จะเข้ามา ก็ต้องไล่ไป หรือให้เข้าคุก
               ถ้าประชาชนไม่ร่วมแรงร่วมใจจริงจัง ไทยบรรลัยจริงๆ ขอยืนยัน
               มีผู้ส่งมาว่า ให้พลีชีพสัตว์ในตัวเรา ก็เป็นเรื่องปรมัตถ์

  • นอกจากจะประกวดร้องเพลง, ตอบปัญหาแฟนพันธ์แท้แล้ว น่าจะมีการประกวด แปลเนื้อเพลง พ่อครูบ้าง

ตอบ...ก็ดีน่าจะทำนะ เพราะขนาดนักร้อง ก็ยังบอกว่า ยากน่าดูเลย อย่างเพลง กองทัพธรรม หรือเพลงสันติภาพ จะมีคำความสัมผัส อยู่ในนั้น เยอะเลย

  • พ่อครูว่างานลักษณะนี้ น่าจะจัดที่สันติอโศก ชาวบ้านราชฯ ก็ไม่ต้องไปตะกละมากนัก เพราะมีงานที่บ้านราชฯ หลายงานแล้ว

ในหมู่กลุ่มของเราให้มี เศรษฐศาสตร์บุญนิยม หมายเลข ๑

  • ๑. ไม่เป็นหนี้
  • ๒. ทำกินทำใช้ให้พึ่งตนเองได้
  • ๓. ทำให้เหลือกินเหลือใช้
  • ๔. แจกจ่ายสะพัดออก เผื่อแผ่แก่ผู้อื่น
  • เพราะปฏิบัติธรรมแบบพุทธนั้น ลืมตาเปิดทวาร มีผัสสะครบทุกทวาร ไม่ได้หนีสังคม เมื่อทำแล้ว ก็เกิดหมู่เกิดกลุ่ม ที่มีธรรมะ เจริญขึ้น เป็นประโยชน์ ต่อสังคม เพราะพวกเรา ตั้งใจมาลดละ มาทำอย่าง คนมีกถาวัตถุ ๑๐

เป็นครั้งแรก ในการจัดอโศกรำลึก ที่คนอยู่มากขนาดนี้ ในวันสุดท้าย เพราะเครื่องบิน ก็บินไปแล้ว รถไฟก็ออกแล้ว จึงไม่ต้องไปไหน ออกไปก็ไกล ก็ดีแล้ว

               สรุปว่า พ่อครูก็พยายามจะนำธรรมะ ที่ชัดเจนลึกซึ้ง ให้พวกเราที่มีภูมิรับได้ สืบทอดเอาไปใช้ได้ แต่คนที่ไม่เข้าใจ ก็ไม่เสียหลาย แต่เป็นการบันทึกไว้ ในสัญญา เมื่อต่อไป จะกดหา ก็มีอยู่ในสัญญา ก็นำมาใช้ได้ทันที อย่านึกว่า เครื่องคอมฯคนนี่ แย่นะ ที่จริงมันเยี่ยมกว่า คอมฯทั่วไปอีกนะ รู้ไว้ใช่ว่า ใส่บ่าแบกหาม ไม่ต้องใส่ ฮาร์ดดิสก์ด้วย เอาใส่สมองจำไว้เ บาสบายกว่า แต่ฟังให้เข้าใจ หรือไม่เข้าใจ ก็ให้เข้าหู ลงในสัญญาจำไว้

               ทุกคนก็ตั้งอกตั้งใจ มากัน ให้พากเพียรให้ประสพผลสำเร็จ ของตนเองเทอญ
                

         

 
๑๐ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานราชธานีอโศก