พ่อครูเริ่มรายการที่ศาลา สันติอโศก
...ทุกวันนี้โลกไม่ได้เดือดร้อน เพราะมีดเพราะปืน แต่เดือดร้อนเพราะ คนไปจับมีด จับปืน ไปทำร้ายกัน ถ้าคนเราดีซะอย่าง เราเรียนรู้ จิตวิญญาณให้ดี
สังคมมนุษย์จะเกิดความเรียบร้อยได้ เพราะคนเป็นหลัก สังคมจะสงบเย็น จะพัฒนาได้ ก็เกิดจากสองหลัก คือ ใจ ต้องมี ๑.ปัญญาจริง และ ๒. มีแรงที่จะกล้าทำ สิ่งที่ดีๆ (เจโต)
ถ้าปัญญามี แต่แรงหรือเจโตไม่แรงพอ ก็ทำอะไรไม่ได้ ทุกวันนี้ สังคมไทยเรา ปัญญามี แต่ไม่มีพลัง อินเดียเขามีเจโตดี ก็ไปรอด สายจีนเป็นปัญญา แต่คนมาก ก็ใช้กฏระเบียบ บังคับ สรุปคือต้องมี เจโตและปัญญา
มีแต่ปัญญาไม่มีเจโต ก็ทำไม่สำเร็จ แต่ถ้ามีแต่เจโตไม่มีปัญญา ก็ถูกจูงไป ทำผิดได้ง่าย
พระพุทธเจ้าก็ใช้ทั้งสองหลัก คือ ศีลและวินัย ท่านเน้นไปที่ปัญญา ให้เกิดทั้ง เจโตวิมุติ และปัญญาวิมุติ
จีนใช้ปัญญา และมีกฏระเบียบบังคับ คือเจโต ส่วนอินเดียสายเจโต จะอยู่รอด ไปนาน ได้มากกว่าจีน ประชาธิปไตยจีน ก็ใช้กฏระเบียบบังคับ รู้ทันหมดฉลาด แต่อินเดีย ไม่ค่อยรู้อะไร ก็ใช้เจโตพากันไปได้นาน
นายสีจิ้นผิงได้นำเสนอ ข้อปฏิบัติ 11 ประการ และได้รับความเห็นชอบจาก คณะกรรมการ กรมการเมือง แห่งคณะกรรมการกลาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ นายทหาร ทุกระดับชั้น และภาคธุรกิจเอกชนของจีน ได้ปฏิบัติอย่างเข้มข้น ดังนี้คือ
1.ห้ามขึ้นป้าย ปูพรมแดง หรือมอบช่อดอกไม้ แก่คนในรัฐบาล ข้าราชการ และ นายทหาร ระดับสูง ไม่ว่าจะในโอกาสใด
2.ห้ามใช้จ่ายเงินหลวงอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะในระหว่าง ไปตรวจราชการ ต้องไม่พัก โรงแรมหรู
3.ห้ามจัดเลี้ยงด้วยอาหารราคาแพง หรือสั่งอาหารจนล้นโต๊ะ แม้จะปฏิบัติ จนเป็น ธรรมเนียมก็ตาม
4.ห้ามมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในทุกงานเลี้ยง
5.ห้ามคนในรัฐบาล เจ้าหน้าที่ของกรมการเมือง ข้าราชการ และ นายทหาร ระดับสูง ใช้สัญญาณไซเรน เพื่อขอทางสะดวกแก่ตน
6.ให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และ นายทหารระดับสูงทุกคน อบรมสั่งสอนภรรยา และลูก ให้กระทำตน เป็นเยี่ยงอย่าง ในการปฏิบัติหน้าที่ ของข้าราชการ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ห้ามรับสินบน ทั้งหน้าบ้าน ในบ้าน และหลังบ้าน ด้วยเหตุแห่งหน้าที่ของตน เป็นอันขาด
7.ทุกคนที่กินเงินเดือนหลวง ต้องใช้ชุดที่ราชการตัดให้
8.ห้ามเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และ นายทหารระดับสูง เดินทางไป ต่างประเทศ โดยไม่ได้รับ อนุญาต
9.ให้เวลาหาหลักฐานพิสูจน์ว่า รถหรูราคาแพง กับนาฬิกาแบรนด์ดัง ที่ใช้อยู่ ท่านได้มาจากไหน? เพราะเหตุใด?
10.บัญชีเงินฝากในต่างประเทศ ให้เอากลับมาฝากในประเทศ
11.บุตรหลานที่เรียนอยู่ต่างประเทศ ต้องกลับมาเรียน ในประเทศให้หมด
กฎเหล็กข้อ 9, 10 และ 11 ให้ใช้กับผู้มีตำแหน่งระดับสูง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศจีน อย่างเข้มข้น และแม้แต่นายสีจิ้นผิงเอง ก็จะไม่มีอภิสิทธิ์ หรือขอรับ การยกเว้น ในการปฏิบัติใด ๆ
ทันทีที่คณะกรรมการกรมการเมือง แห่งคณะกรรมการกลาง พรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศจีน ประกาศใช้กฎเหล็กทั้ง 11 ข้อนี้แล้ว นายสีจิ้นผิง ก็ได้สั่งให้บุตรี ที่เรียนอยู่ ในต่างประเทศ เดินทางกลับมาศึกษา ในประเทศทันที
อย่างอินเดีย มีคนตั้งพันกว่าล้าน การเดินทาง เขาก็ไม่เดือดร้อนเท่าไหร่ เพราะจิตวิญญาณ มีความเอื้อเฟื้อ เห็นใจกัน แต่ว่าคนไทยเราขับรถเฉียดกัน ก็ลงมา มองหน้ากัน ควักปืนใส่กันเลย เลวร้ายแรง
ที่หยิบสิ่งเหล่านี้ ให้ศึกษาจิตวิญญาณคน สามารถทำให้ดี ทำให้ชั่วได้ มีทั้งตัวเอง และอำนาจส่วนรวม ที่จะโน้มนำ ให้ดีหรือชั่วได้
มีคนตั้งข้อสังเกตว่า กัลยาณ มิตโต กัลยาณ สหายโย กัลยาณ สัมปวังโก เป็นทั้งหมด ทั้งสิ้น ของพรหมจรรย์
พระพุทธเจ้าท่านให้คบบัณฑิต หลีกคนพาลให้ไกล อย่างพวกเรา มีกลุ่มชุมชน แม้ไม่ได้มากอยู่ ก็มีมิตรดี สหายดี สังคมสิ่งแวดล้อมดี ในระดับสาธารณโภคี ผู้มาเป็นสมาชิก ก็จะได้รับสาธารณโภคี ไปตามระดับ ยิ่งเป็นสมาชิกภายใน ก็ได้รับ สวัสดิการ หรือการร่วมกินใช้สอย เป็นเนื้อหนึ่งเดียว ที่สูงขึ้นๆ
การร่วมประโยชน์ภายนอกก็คือ กัลยาณสหายโย ส่วนกัลยาณมิตโต คือร่วม ในส่วนภายใน ร่วมประโยชน์กันทางใจ เป็นประโยชน์ที่เอื้อเฟื้อ เจือจานกัน ผู้ที่แข็งแรง ช่วยคนอ่อนแอ ผู้อดทนได้มาก ก็อดทนมากกว่า คนอดทนน้อย
อย่างมีเวลามีอาหารน้อย แม่ก็แบ่งให้ลูกกินก่อน แม่ไม่ค่อยอิ่มหรอก นอกจาก แม่ที่ไม่มี กัลยาณมิตโต แม่ก็กินก่อน ให้ลูกกินทีหลัง
แม้คนที่จะด้อยกว่า สุดท้ายก็ต้อง เสียสละให้ เพราะถ้าไม่ให้เขาก่อน เขาก็จะฆ่าเรา อย่างนี้ก็ถือเป็นความซับซ้อนในสังคม ถ้ามีอย่างนี้ ก็เป็นความเสื่อม ของสังคม ซึ่งทุกวันนี้เปรียบเทียบ จีน-อินเดีย-ไทย
ไทยเรามีพลเมือง ในระดับกลาง ส่วนจีน-อินเดีย มีพลเมืองมาก ในระดับโลก ก็ได้นำมาศึกษา เขาใช้ระบบอย่างไร เขามีจิตอย่างไร อินเดียเชิงเจโต จีนเชิงปัญญา แต่ที่จริง เป็นความฉลาด และอินเดียคือ สายศรัทธา ทั้งสองประเทศ เป็นพฤติภาพ ที่ชัดเจน ที่จะเอามาศึกษา
พ่อครูถามพวกเราว่า ไทยเราเป็นสายเจโต หรือสายปัญญา.... ยกมือสายเจโต น้อยกว่า ยกมือให้สายปัญญา... พ่อครูว่าที่จริงไทยนี่ ไม่ใช่สายปัญญา แต่สายค่อนข้าง เฉโก ยกตัวอย่างเช่น สังคมไทยทุกวันนี้ปกครองบริหารกัน อย่างศรีธนนไชย อย่านึกว่า ขณะนี้ ศรีธนนไชย ชนะได้บริหารบ้านเมือง ใช้วาทกรรม ครอบงำ คนที่ไม่รู้ทัน ได้จริงๆ แต่พ่อครูไม่เชื่อว่า คนไทยจะมีความโง่ จนกระทั่ง ไม่รู้เท่าทัน
คนที่รู้เท่าทัน หรือพอรู้ในพวกศรีธนนไชย เขาใช้วาทกรรม ครอบงำบ้านเมือง พ่อครูไม่เชื่อว่า คนโง่ จะมากกว่าคนฉลาด แต่คนไทยเจโตอ่อน และคนไทยเฉโก ไม่ตรง ไม่กล้าเสียสละ เพราะกิเลสมาก เห็นแก่ได้ คนไทยจำนนต่ออามิส เพราะแพ้กิเลส
ดังนั้น ปัญหาที่จะแก้ ต้องแก้ที่กิเลส ถ้าแก้ได้ประเทศไทยไม่ตกต่ำ รู้อยู่ว่า อะไรเป็นอะไร มีปัญญาแต่หย่อนเจโต ถ้าไทยเรามีเจโต อย่างอินเดีย จะไม่แย่ อย่างทุกวันนี้แน่
การพัฒนาเจโต ถ้าพัฒนาผิด ก็จะกลายเป็นไทยเฉย ศาสนาพุทธนี้ สอนให้เป็น ไทยเฉย มานานหลายร้อยปี เพี้ยนไปเสริมสร้างเจโต อย่างไม่เอาถ่าน รู้ทุกอย่าง แต่ไม่มี กำลังสู้ ไม่กล้าพอ กำลังสู้กิเลสไม่ได้เพราะแพ้กิเลส แพ้อามิส
เมืองไทยต่อให้คุณออกไปมาก คุณก็อ้างประชาธิปไตย ถ้าเป็นสังคมนิยม หรือ คอมมิวนิสต์ เป็นเผด็จการ ซึ่งใช้กฏเหล็กได้ แต่ถ้าเป็นประชาธิปไตยไม่ได้ เขาจะว่า ริดรอนสิทธิ์ นี่คือเรื่องคาราคาซังอยู่ คือถ้าเป็นอันใดอันหนึ่ง ชัดเจนก็เป็นได้ แต่ถ้าไม่ชัดเจน ก็เป็นไม่ได้ เมืองไทยจะเป็นอะไรซักอย่าง ก็ไม่เป็น จะเป็นคอมมิวนิสต์ ก็ไม่ใช่ จะเป็นเผด็จการ หรือประชาธิปไตย ก็ไม่ใช่ มีแต่ทุกข์ มีแต่เสื่อม พรางกัน
ตอนนี้พ่อครูเปิดเผยชาวอโศก ต่อสาธารณชน เหมือนอวดตัวอวดตน และ ย้ำข่มคนอื่นเขา มันมีความจำเป็น ที่จะต้องยืนหยัดยืนยัน ที่จริงไม่ได้ข่มเขาหรอก แต่ยืนยันสัจธรรม ทั้งๆที่เรามีพฤติภาพ แสดงตัว
อย่างชาวอโศก มีพฤติภาพ มีความเป็นอยู่ของสังคม กฏเกณฑ์เรา ก็ไม่ใช่ กฎเกณฑ์ประเทศ บางอย่าง ดูริดรอนสิทธิ์ อย่างมาในอโศก ห้ามกินเนื้อสัตว์นะ เขาก็ว่า นี่ท้องฉันปากฉัน จะกินอะไรก็เป็นสิทธิ์ฉัน แต่เราก็ไม่ได้บังคับคุณ คุณจะมาที่นี่ คือทั้งหมู่ เขาใช้ระเบียบบังคับนี้ อย่างสมัครใจ คุณเข้ามาอยู่โดยสมัครใจ คุณเอาสิทธิ มาให้เขาริดเอง สิทธิ์คุณจะกินเนื้อสัตว์ คุณก็มาให้เขาริด อย่างศีล ๕ เราก็บังคับแน่นอน แต่มีหลักกว้างๆ ไม่กินเนื้อสัตว์ก็กว้างๆ มีมีอบายมุข ก็กว้างๆ
อย่างวันก่อน พ่อครูว่า "ความรวยเป็นอบายมุข" ศ.สมภาร พรหมทา ก็ขานรับ เห็นด้วยทันที ซึ่งพ่อครูเทศน์ว่า ถ้าออกกฏได้ จะออกให้คนรวย ในประเทศไทย ไม่ให้รวย เกินเท่านี้ๆ เพราะการรวยมาก คือเอาจากของคนอื่น มาไว้ที่ตัวเองมาก และยังเอาเงินที่มี ไปดูดให้เข้ามาหาตัวอีก มันคือ อภิมหาอบายมุข มันถึงเดือดร้อน คอมมิวนิสต์ จึงจัดการอันนี้เป็นหลัก เรื่องทุนรอนนี่ เขาออกกฏมา ๑๑ ข้อ ไม่มีใครต้าน เขายอมรับ เพราะเป็นระบบ คอมมิวนิสต์ เขามีประชากร พันกว่าล้าน
พ่อครูไม่นิยมแบบบังคับ แต่นิยมแบบอินเดียมากกว่า นิยมแบบพระพุทธเจ้า ให้ปัญญา ให้เลือกได้อิสระ ยินดีมีฉันทะพอใจ มาแล้วก็พัฒนาตน และหมู่ไปกันได้
พ่อครูเอาสาธารณโภคี มาประกาศนี่ หลังจากที่พวกเราทำกันได้แล้ว เป็นกลุ่มหมู่ เป็นชุมชนชาวอโศก ทุกชุมชนอโศก เป็นสาธารณโภคี
ซึ่งเขามองว่า เราจะแผ่ขยายกันเป็นอันเดียว จากส่วนกลาง ให้ใหญ่ๆไปเรื่อยๆ แต่เราทำ อย่างกระจายกันให้เจริญ มีหลากหลายจุด เหมือนหน้ากากขาว ที่ทำตอนนี้ ไม่ใช่ทำลักษณะ จากส่วนกลาง ใหญ่ออกไป แต่ว่าทำลักษณะ เป็นดาวกระจาย ไปเรื่อยๆ จะเรียกว่า เป็นกระแส หรือเทรนด์ เป็นกระแสหน้ากากขาวนี่ ระบาดพรึบ ขึ้นมา ทั่วประเทศ พ่อครูว่า น่าจะเป็นสาธารณโภคี เป็นลักษณะกว้างๆ ไม่ใช่แบบกระจาย จากส่วนกลาง เหมือนพธม.นี่ทำไม่ได้หรอก แต่อโศกเรา ก็กระจายกันทำ ให้เกิดเอง เป็นจุด เป็นตามธรรมชาติ อาจจะช้าพอสมควร เพราะมันลึกซึ้ง แต่มันจะถาวรได้
ถ้าถึงเวลารอบหนึ่ง จาก ๑-๒-๓ แล้วจะเกิด ๑-๒-๓ ถ้าเรากระจายกันไป อย่างใช้ การสื่อสาร ทางโทรทัศน์ ทำให้การเผยแพร่ เป็นไปได้ดีมาก ทางหนังสือ เราทำมาก่อน เราทำวิทยุไม่ค่อยเก่ง แต่โทรทัศน์เรายอมจ่ายเงินมาก ให้เผยแพร่ กระจาย รับรู้ไป คนที่แสวงหา ก็จะมา เราไม่มีการโฆษณาปรุงแต่ง ไม่หลอกล่อ เราไม่ทำ เพราะว่า ต้องมาล้างตัวนี้อีกที เสียเวลา เราแรงงานน้อย เราต้องการเร็วด้วย มันย้อนแย้ง หลายนัย พ่อครูก็เลย เลือกวิธีสัจจะ เข้มๆ ไม่ต้องมาล้าง หลายขั้นตอน และไม่ถนัด พ่อครูว่า ไม่มีบารมีทางนี้
เกิดมายุคนี้ พ่อครูหัวเดียว กระเทียมลีบ เพื่อนก็อยู่คนละทาง ก็ต้องทำคนเดียว เมื่อทำไป ก็จะเกิดสภาพสะสม เหมือนน้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน คนไม่มีปัญญา จะไม่มาเอาโลกุตรธรรม
โลกุตรธรรมไม่ได้รู้ง่าย จึงได้ทีละน้อย แต่ได้เนื้อๆๆๆ พ่อครูต้องการอย่างนั้น รอจนกว่า จะถึง ๑-๒-๓ มันก็จะมาเป็น ๔-๕-๖ และก็จะเป็น ๗-๘-๙ แล้วก็จะเป็น ๐ มันมีเนื้อที่ จะเป็นไป ตามสัจจะ ไม่ใช่ว่า ๑-๒-๓ อยู่ที่ไหน แล้วอื่นๆอีก กว่าจะจับ มารวมตัวก็ยาก แต่พ่อครู ทำตามลำดับ รอแต่ว่า เมื่อไหร่จะถึง ๑๐ ซึ่งพอถึง มันจะเป็น ปฏิภาคทวี ถ้ามีสองหน่วย ก็จะมีแรงมากขึ้น มีสามหน่วย ก็ทวีคูณไปอีก เป็นสูงเชิงบวก แล้วก็เป็นระดับ ที่เป็นตัวคูณ จากตัวคูณ ก็เป็นการยกกำลัง ก็จะเป็นปฏิภาคซ้อน ทับทวีไป ที่พอเห็นได้
ทุกวันนี้พ่อครู พาทำจริง ไม่รอ ไม่หวัง แต่เราทำ อย่างมั่นใจว่า ทำสิ่งถูก สิ่งดีจริง เช่น พาคนมาจน ไม่ผิดแน่ ถามใจพวกคุณ.... ไม่ถามจริง.... เอาที่เข้าใจ ถ้าคุณจะมา หมดเนื้อหมดตัว มาอยู่กับอโศกวันนี้.... คุณจะอยู่ได้ไหม จนรอดหรือตาย ...อย่างน้อย เขาจะปล่อยให้คุณตายไหม? ข้อสำคัญ คุณมีมาตรฐาน ไม่ต่ำกว่าของเขา คุณอยู่ได้แล้ว ถ้าคุณจะเลวกว่าระดับ พื้นฐานของอโศก คุณจน หมดตัวได้แล้ว ในบางคน นอกนั้น คุณยังมีสมรรถนะ มีความขยัน ยิ่งสนใจการศึกษา ปฏิบัติ ประพฤติตน ก็จะก้าวหน้าแน่
มั่นใจว่าอโศก ไม่มีวันสูญ ที่จริงทุกอย่างก็มีสูญ แต่ว่าไม่ใช่เวลานี้ พ่อครู ประเมิน เหมือนโลโก้ของ บ.เดินหน้าฝ่ามหาสมุทร ตอนนี้พ่อครู ทำงานมา ๓๖ ปี ผ่านอายุ ๗๒ ไปแล้ว ก็ผ่านมา ๓ นักษัตรแล้ว ขณะนี้กำลังขึ้น เส้าที่ ๔ ทำงานมา เป็นปีที่ ๔๓ ผ่าน ๓๖ มา ๗ ปี
ปัจจุบันเป็นตัวแปร ที่สำคัญที่สุด ถ้าแต่ละคน พยายามอย่างมาก ขมีขมันมาก ก็จะได้สำเร็จ ทุกวันนี้พวกเรามีปัญญาเข้าใจ และหลักเกณฑ์ เราก็มีอย่างสัมมาทิฏฐิ ของพระพุทธเจ้า ก็เหลือแต่แรงทำจริง ถ้าเราทำจริงสำเร็จ ก็เกิดผลจริง จะก้าวหน้า เร็วหรือช้า ก็อยู่ที่พวกเรา
เราไม่ได้หว่านล้อม ปรุงแต่งประดับประดา หรือใช้วิธีการทางโลก เราต้องการ เนื้อแท้ ไม่ต้องปรุงแต่งมาก เราทำอย่าง ประโยชน์สูง ประหยัดสุด ไม่ต้องเสียเวลาล้าง และแม้จะช้าก็จริง แต่ว่าไม่ช้าหรอกเพราะไม่ต้อง เสียเวลาไปล้าง ทำงานมากว่า ๔๐ ปี เรื่องโทสะ ที่ต้องชำระความกัน ก็ไม่มีมาก มีน้อยมาก แต่ราคะ ก็มีกันบ้าง แต่ก็น้อย ไม่ต้องเสียเวลาล้าง ทั้งที่เราอยู่อย่าง สหศึกษา ไม่ได้แยกมาก อย่างฝ่ายหญิง ห้ามข้ามเขตนี้ ฝ่ายชาย ห้ามข้ามเขตนี้ เราก็ไม่สตริ๊กมาก แต่เขาไม่ค่อยเชื่อ เพราะเขา แม้แยก ยังเละเลย แต่ของเราไม่แยก เขาก็ไม่เชื่อว่าไม่เละ แต่ของเรา กิเลสน้อย แม้กระทบอยู่ สัมผัสอยู่ ก็ใช้เป็นโจทย์ ในการลดกิเลส อย่างโทสะ ถ้าทางโลก เขาก็แก้แค้นกัน เมื่อกระทบแรง แต่ของเรา ก็ใช้เป็นโจทย์ ในการลดกิเลส เราตั้งหมู่กลุ่ม มา ๔๐ ปีแล้ว ตั้งแต่ปี ๒๕๑๖ ที่แดนอโศก ก็เกิดเหตุจากโทสะ ราคะ ซึ่งมีบกพร่องบ้าง แต่ก็ไม่จี๋จ๋า เหมือนทางโลก เปิดโปงไป เราก็ไม่มี แม้พระมีปาราชิก ก็ไม่ได้เป็นมาก เหมือนเขา แม้พระพุทธเจ้าอยู่ ก็ยังเกิดปาราชิก มีแก๊งค์ฉัพพัคคี หรือแก๊งอื่นๆ เป็นอันธพาล อยู่ในหมู่กลุ่ม
แม้จะไม่มีดำเต็มไปหมด แต่ก็มีดำจัดแทรกชัด เช่น เทวทัต คือจุดดำชัด หรือ รองกว่านั้น ก็ไม่อยู่แต่ไม่มาก สมัยพระพุทธเจ้า แต่ว่าสมัยพ่อครู เป็นโพธิสัตว์ ก็ไม่มี จุดดำมาก เราไม่ปล่อย ให้ความชั่ว ลอยนวล แม้ในตนเอง หรือในหมู่กลุ่ม แต่เราก็ต้อง ยอมรับว่า ไม่มีที่ไหน สะอาดสิ้นเกลี้ยง แต่เราก็พากเพียรทำ แม้เรามีคนไม่มาก แต่ก็พากเพียร ยิ่งเข้าใจโลกุตรธรรม ก็ใส่ใจ แม้เราไม่หรูหรา ใหญ่โต อย่างเขา อย่างเขา จะเดินธุดงค์ ก็เดินยาวเหยียด ไปกินที่ถนน ให้คนปูผ้าให้เดิน โรยดอกไม้ให้เดิน คือเขาต้องทำ ถ้าไม่ทำ ก็ดึงความหลง ของคนไม่ขึ้น คือไฟนี่ ถ้าไม่พัดมาก มันก็ไม่ติด พ่อครูว่า ซักวันหนึ่ง ขาดแกนหลัก จะยับเยินหนักยากมาก ตอนนี้มีแรง สามารถ ก็พอรอด แต่หมดแรง จะเห็นชัด
ไม่เหมือนสายสัจธรรม ที่สร้างแก่น มีหลักฐานมีแกน แต่อันนั้น มีแต่เปลือก ข้างในกลวง พอเอาเปลือกออก มีแต่หนอนชอนไช มากมาย ของเราแม้เล็ก แต่เป็นแก่น ไปได้นาน ผู้หลงผิด ก็คิดว่าสร้างแกน แต่สร้างแกนอามิส แกนโลกธรรม หรือคุณสร้าง แกนสุญญตา คือสิ่งที่หมดเนื้อหมดตัว แต่มีพลังสร้างสรร มีสาราณียธรรม ๖ มีพุทธพจน์ ๗
แกนหลักสูง ที่เรามีสาธารณโภคี คือเรามีคนไม่สะสม คือคนศีล ๑๐ ไม่มีทรัพย์ ส่วนตน อาศัยกินอยู่กับหมู่ แม้ในฆราวาสอโศกก็มี ไม่ต้องมาคุยให้กันฟังเลย เสื้อผ้า หน้าแพร ก็เอาจากสขจ. เราจะรู้ใจเรา ว่าเราโลภ อยากได้ หรือเราใช้สิ่งที่สมควร เรามีสขจ. นี่เบาพวกเราไปเยอะ แต่พวกขี้โลภก็มี ไปเอาจากสขจ. ก็อย่าสะสม ความโลภแก่ตัว เพราะพวกเรา ไม่เคร่งครัดตรวจสอบ ไม่มาจับผิดกัน จะหยิบไป เขาก็ไม่ว่าอะไร บางที ก็พยายามอย่าทำทุจริต
ในองค์ประกอบสังคม มีพฤติกรรมคน มีข้าวของอยู่ แม้เรามีของ ราคาแพง ก็มี เป็นของส่วนกลาง เราไม่จำเป็นต้อง มีเพชรพลอยส่วนตัว โลกเขาถือว่า ทองคำมีค่า เป็นโลหะ ไม่ขึ้นสนิม เพชรมีความแข็ง เอามาใช้งานได้ เราก็รู้ อย่างแสตนเลส ก็เอามาใช้ หรือ เครื่องไม้เครื่องมือ ราคาแพง เอามาเป็นประโยชน์ท่านไม่ใช่เพื่อประโยชน์ตน เรามีการประมาณ รู้ความพอเหมาะพอดี ที่เราจะเข้าใจลึกซึ้ง ในความรู้ทางเศรษฐกิจ เป็นเศรษฐศาสตร์ ที่เป็นอย่างนี้
แม้แต่เรื่องรัฐศาสตร์ การบริหารดูแล หลักของพระพุทธเจ้า สุดยอดแล้ว บริหาร โดยไม่บริหาร ปกครองโดยไม่ปกครอง ช่วยกันทำ ช่วยเอาใจใส่ ดูแล อะไรควรเป็นหัวเรือ เป็นผู้ช่วย เป็นลูกมือ เราก็ทำกันจริง โดยไม่ต้อง เอาการบังคับ หรือจ้าง แต่เราทำด้วยปัญญา ก็เกิดสังคม ที่ไม่บกพร่อง อะไรขาด เราก็เสริม
แรงงานเป็นหลัก ให้เกิดวัตถุ เกิดมาก็สละออก สะพรัดออกไป สะสมแต่น้อย ในอโศก จะมีเงินคงคลัง ไม่มากเสมอ เพราะถ้ามาก จะเกิดเสียเวลา ธนบัตร ถ้าอยู่กับที่ ก็คือกระดาษ แต่ถ้าเอาไปสะพรัดแทนค่า ก็เกิดประโยชน์ ถ้าเอามาวางเฉยๆ ก็เหมือน กองขี้หมา เราต้องเข้าใจ เศรษฐศาสตร์
เรามีคงคลังส่วนกลาง เพราะเกิดจากการผลิต เรามีของไร้สารพิษ เราทำแค่ บริสุทธิ์ สะอาด ไร้สารพิษ ก็ไปรอด ประชาชนเชื่อใจอโศก เพราะเราไร้สารพิษ อย่างกสิกร เขาปลูก มีสารพิษ ยังไม่กล้ากิน ของตนเองปลูกเลย แต่ให้คนอื่นกินพิษ มันคือ เรื่องโหดร้ายรุนแรง สูบบุหรี่มีพิษ มันน่าออกกฏระเบียบ ไม่ให้สูบบุหรี่ อย่างอิสลามก็ห้าม แต่เขาก็ลักลอบ
การศึกษาธรรมพระพุทธเจ้า ถ้าคนละกิเลสจริง เราจะเป็นประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน เรามีสมรรถนะ ความสามารถ และมีความไม่สะสม หรือสะสมน้อย ก็จะมีเหลือ ไปช่วยสังคม ถ้าพ่อครูไม่จำเป็นก็ไม่ต้อง มีแว่นตา ไม่ต้องมีคอมพิวเตอร์ พ่อครู ไม่ได้ใช้คอมฯ เพื่อเสริมรายได้แก่ตน หรือเพื่อได้ลาภยศสรรเสริญ หรือกาม เราจะเข้าใจ สิ่งเหล่านี้ว่า เพื่อตนหรือสังคม เราก็ทำงาน รับใช้สังคม เราฝากชีวิต ไว้กับสังคม มี ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา แม้การตาย ก็ให้สังคมดูแล
การศึกษาทฤษฎีพระพุทธเจ้านี้ ถ้าเชื่อมั่น มีสัมมาทิฏฐิ แล้วก็พากเพียรศึกษา เอาประโยชน์ ให้ได้เร็วๆ มากๆ หมดๆ ถ้าเห็นว่า พ่อครูมีเท่าไหร่ ก็เอาให้มาก ให้หมด
ประโยชน์ของพระพุทธเจ้านั้น ไม่เห็นแก่ตัว ทรัพย์ที่พระพุทธเจ้า ประทาน แก่ทุกคน คือ ไม่เห็นแก่ตัว ท่านพุทธทาส พิสูจน์มาแล้ว แม้ทรัพย์สินแรงงาน ความรู้ เราไม่คิด เป็นของตัวเรา เราแจกให้หมด เมื่อยก็พัก ส่วนวัตถุก็พออาศัย มาแย่งคอมฯ พ่อครูไป พ่อครูก็เอาหนังสือเขียน แต่พ่อครูไม่ได้ขวนขวายเลย แต่เขาก็หา มาเปลี่ยนให้ เราไม่ต้องอยากได้เลย ถ้าเขาเห็นว่าเราควร ก็จะหามาให้ ทำไปเถอะ จนกว่า เขาจะหามา ยัดเยียดให้เรา ชีวิตนี้เนื่องด้วยผู้อื่น ปรปฏิพัทธา เม ชีวิกา อย่างไปขอเขาเอา ทำดีไม่ได้ดี เพราะทำดี ยังไม่มากพอ...
เอวัง
|