560623_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.กล้าจริง
เรื่อง ปฏิสัมพัทธ์ของนามและรูปที่เป็นกาย ตอน ๒


                ส.กล้าจริงดำเนินรายการที่สันติฯ....

วันนี้มาดำเนินรายการแทน ส.เดินดิน ที่ติดธุระอยู่ ต้องปั่นต้นฉบับ เพื่อส่งสำนักพิมพ์ พ่อครูสอนพวกเรามากมาย คงมีเรื่องอะไร มาสาธยายมากมาย สองชั่วโมงคงไม่พอ

                พ่อครู...ไม่พอสำหรับช่วยคนที่อวิชชา ให้มามีวิชชา มีวิมุติ เป็นงานหนัก งานยาก ที่พ่อครู ประสพมา ก็ไม่ได้ทำงานมาชาติเดียว แต่ทำมาหลายชาติแล้ว เพื่อให้คน ได้วิชชาและวิมุติ จึงได้บอกว่า เป็นงานหนักและยาก แต่ก็เต็มใจที่จะทำ ตั้งปณิธานแน่แท้ ที่จะทำงานนี้ เป็นงานหลักของชีวิต พ่อครูเลือกแล้ว เป็นงานดีที่สุด เท่าที่จะทำได้ และเชื่อมั่นว่า ประเสริฐสุด สูงสุด มีค่ามากที่สุด มีประโยชน์มากที่สุด
                เมื่อทำไปแล้ว ก็ต้องบอกว่ายาก ยิ่งยุคนี้เป็นยุคใกล้กลียุคแล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า ตรัสรู้ ความเป็นมนุษย์ กับความเป็นสังคมมนุษย์ เป็นสิ่งสูงสุด จบถ้วน สัมมาสัมโพธิญาณ จะรู้หมดเลย ในความเป็นจักรวาล ในวัฏสงสาร ที่วนแล้ววนเล่า จนมีการเลิกวน หยุดวนได้ รู้ว่าความไม่มีโลกมี
                คนก็คือส่วนหนึ่งของความวน คือส่วนหนึ่งของโลก  เรามีธาตุอัตภาพ ที่มีเชื้อเกาะกุม จับตัวแน่น ไม่มีปัญญา ไม่มีวิชชาที่จะสามารถทำลาย สิ่งที่เป็นยางเหนียว ที่มันเกาะกุมไม่สลาย จนกว่าจะเรียนรู้สัจธรรม ของพระพุทธเจ้า มีพลังปัญญา ไปสลายความเกาะติด สลายยางเหนียว ให้หมดอำนาจดึงดูดเกาะตัว อย่างสมบูรณ์

                พระพุทธเจ้าว่า คนทุกข์เพราะอวิชชา ที่อวิชชาก็เพราะ ไม่รู้สิ่งควรรู้
                สิ่งควรรู้อย่างยิ่ง คือควรรู้ รูป และ นาม
                รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวเข้าไปรู้หรือธาตุรู้
                รูป มีตั้งแต่รูปหยาบ ตั้งแต่มหาภูตรูป จนกระทั่ง รูปที่เกี่ยวเนื่อง จับตัวด้วยยางเหนียวของตัณหา และมีความรู้ปัญญา ที่จะสลายยางเหนียว ต้องมีความรู้เรื่อง รูป และ นาม

                ขออ่านบทความของท่านเจ้าคุณ อุบาลี คุณูปมาจารย์  (มหาจันทร์) ว่าด้วย เนกขัมมบารมี ในนสพ. รายสัปดาห์มติชน ว่าไว้บางตอนคือ

                เมื่อกุลบุตรผู้เจริญจิตตวิสุทธิ พรากจิตออกจากกามได้แล้ว พึงทำทิฏฐิ ความเห็นให้ตรง อย่าให้เงื้อมไปในทางผิด
                คือ กามสุขัลลิกานุโยค และ อัตตกิลมถานุโยค ทั้ง ๒ ให้จิตดิ่งอยู่ที่ปัจจุบัน กำจัดอดีต อนาคต เสียให้หมด ให้เห็นสัมปยุตธรรม คือ อดีต อนาคต ปัจจุบัน รวมอยู่ ในที่อันเดียวกัน
                ตัดความสงสัยในอดีต อนาคต เสีย
        อดีต อนาคต นั่นเองเป็นตัวสังขาร ความเกิด ความดับ โทษ ทุกข์ ภัย อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา อยู่ที่สังขารทั้งสิ้น
                เมื่อเพ่งสังขารด้วยจิตอันเป็นกลาง ที่ท่านตั้งชื่อว่า " สังขารุเปกขาญาณ" ด้วยอนุโลม ปฏิโลม ก็จักเกิด ญาณทัสสนะ คือ ยถาภูตญาณ เป็น มรรคปฏิปทา รู้เท่าสังขาร คือรู้เท่าสมมุติ เป็นวิมุติญาณทัสสนะ ที่เข้าใจว่าตัวเป็นนามเป็นรูป เป็นธาตุเป็นขันธ์ก็ดับ
                คือ ความไม่รู้จริง
                ทีนี้ตัวก็ไม่ได้เป็นนามเป็นรูป เป็นธาตุเป็นขันธ์ เป็นธรรมต่างหาก เป็นตัวธรรมชัดใจ ชื่อว่า จิตตกกระแสธรรม

        พ่อครูว่าตรงนี้แหละ คือความเข้าใจผิด ต้องเข้าใจว่า รูปเป็นรูป นามเป็นนาม ขันธ์เป็นขันธ์ แต่ว่าไม่มีเหตุ ทำให้เกิดทุกข์ในนั้น อะไรที่จะไม่ให้มี พุทธเราต้องมีธาตุรู้ รู้ตั้งแต่กายนอก มาสู่กายใน เมื่อกายใน ก็เป็นเรื่องของนามธรรมแล้ว ซึ่งเกิดจาก การรับผัสสะ จากภายนอก มาปรุงแต่งเป็นเวทนา หรือความรู้สึก เราก็เรียน เวทนาในเวทนาต่อ คือเรารู้ นามรูป คือเวทนาที่ถูกเรารู้ ก็เป็น นามรูป เราเรียนรู้ มโนมปวิจารได้ เราเรียนรู้เคหสิตะ แล้วดับเหตุได้ ก็เป็นเนกขัมสิตะ
                ธาตุรู้นี้จะต้องฝึก ให้รู้ให้ลึกซึ้ง มีรายละเอียดเป็นสภาวธรรม ไม่ใช่เอาแค่ ตรรกะ เหตุผล เท่านั้น ขออภัย ที่ต้องบอกว่า ที่ท่านอธิบายมา ผิดเพี้ยนไป ที่พูดนี้ ไม่ได้ลบหลู่
                แต่การเรียนธรรมะ ในกระแสหลัก เขาเรียนกันมาเช่นนี้ เหมือนคุณ 8705 ที่เรียนมา ตะเภาเดียวกัน เป็นตระกูลเดียวกัน แล้วเข้าใจอย่างนี้ ว่าเป็นปรมัตถ์ ซึ่งถ้าพ่อครูผิด ท่านก็ถูก ถ้าพ่อครูถูก ท่านก็ผิด ของพระพุทธเจ้า ต้องมีญาณ รู้แจ้งเห็นจริง เป็นสภาวธรรมในตน ไม่ใช่เป็นตรรกะ แล้วอันไหน เป็นธรรมวาที หรือ อธรรมวาที ก็ให้ใช้ปัญญาเลือกเอา

                ได้ชื่อว่าได้ดื่มรสของพรหมจรรย์ เป็นอุปธิวิเวก ชื่อว่าเนกขัมมคุณประการ หนึ่ง
                แต่นั่นแหละ อุปธิวิเวกก็มีอย่างต่ำ อย่างกลาง อย่างสูง อย่างต่ำเพียงภูมิ พระโสดา พระสกิทา อย่างกลางเพียงภูมิ พระอนาคา อย่างสูงเป็นภูมิของ พระอรหันต์
                เนกขัมมะในที่มาบางแห่ง ท่านแสดงว่าเป็น ชื่อของพระนิพพาน ผู้ถึงพระนิพพานแล้ว
                ทุกข์ในโลกดับหมด ถึงแม้อัตภาพยังอยู่ในโลก ถึงจะเกิดโรคาพาธ ไข้ตาย ก็ได้รับแต่ ทุกขเวทนาเท่านั้น ส่วนโสกะ ปริเทวะ โทมนัส อุปายาส ไม่ได้ทำใจ ให้สะเทือนได้ จึงชื่อว่า ผู้พ้นทุกข์
                อย่าเข้าใจว่า พระนิพพานสูญหายไป สูญหายไปแต่กิเลส ผู้แต่งทุกข์เท่านั้น
                อริยมรรค อริยผล เป็นของมีจริง พระนิพพานก็เป็นของมีจริง เป็นวิสัยของ พระอริยมรรค จะแสดงพระนิพพานให้เห็น

                ท่านเรียบเรียงเหตุผลมา ก็ใช้ได้ ถ้าเป็นสภาวะจริง
       แล้วพ่อครูก็มีบทความ ทันสมัยอันหนึ่ง จะอ่านนิดหน่อย จากแนวหน้า คอลัมน์ของ สิริอัญญา ๒๒ มิย. ๕๖ เรื่อง กฏเหล็ก ๑๑ ข้อของจีน

นายสีจิ้นผิง ได้นำเสนอข้อปฏิบัติ 11 ประการ และได้รับความเห็นชอบ จากคณะกรรมการ กรมการเมือง แห่งคณะกรรมการกลาง เพื่อให้เจ้าหน้าที่ของรัฐ นายทหาร ทุกระดับชั้น และ ภาคธุรกิจเอกชนของจีน ได้ปฏิบัติอย่างเข้มข้น ดังนี้คือ
                1.ห้ามขึ้นป้าย ปูพรมแดง หรือมอบช่อดอกไม้ แก่คนในรัฐบาล ข้าราชการ และ นายทหาร ระดับสูง ไม่ว่าจะในโอกาสใด
                2.ห้ามใช้จ่ายเงินหลวงอย่างฟุ่มเฟือย โดยเฉพาะในระหว่าง ไปตรวจราชการ ต้องไม่พัก โรงแรมหรู
                3.ห้ามจัดเลี้ยงด้วยอาหารราคาแพง หรือสั่งอาหารจนล้นโต๊ะ แม้จะปฏิบัติ จนเป็นธรรมเนียม ก็ตาม
                4.ห้ามมีเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ในทุกงานเลี้ยง
                5.ห้ามคนในรัฐบาล เจ้าหน้าที่ของกรมการเมือง ข้าราชการ และ นายทหาร ระดับสูง ใช้สัญญาณไซเรน เพื่อขอทางสะดวกแก่ตน
                6.ให้เจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และ นายทหารระดับสูงทุกคน อบรมสั่งสอน ภรรยาและลูก ให้กระทำตนเป็นเยี่ยงอย่าง ในการปฏิบัติหน้าที่ ของข้าราชการ ด้วยความซื่อสัตย์ สุจริต ห้ามรับสินบน ทั้งหน้าบ้าน ในบ้าน และหลังบ้าน ด้วยเหตุแห่ง หน้าที่ของตน เป็นอันขาด
                7.ทุกคนที่กินเงินเดือนหลวง ต้องใช้ชุดที่ราชการตัดให้
                8.ห้ามเจ้าหน้าที่ ข้าราชการ และ นายทหารระดับสูง เดินทางไปต่างประเทศ โดยไม่ได้รับอนุญาต
                9.ให้เวลาหาหลักฐาน พิสูจน์ว่า รถหรูราคาแพง กับนาฬิกาแบรนด์ดัง ที่ใช้อยู่ ท่านได้มาจากไหน? เพราะเหตุใด?
                10.บัญชีเงินฝากในต่างประเทศ ให้เอากลับมาฝากในประเทศ
                11.บุตรหลานที่เรียนอยู่ต่างประเทศ ต้องกลับมา เรียนในประเทศให้หมด
                กฎเหล็กข้อ 9, 10 และ 11 ให้ใช้กับผู้มีตำแหน่งระดับสูง ของพรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศจีน อย่างเข้มข้น และแม้แต่นายสีจิ้นผิงเอง ก็จะไม่มีอภิสิทธิ์ หรือขอรับ การยกเว้น ในการปฏิบัติใด ๆ
                ทันทีที่คณะกรรมการ กรมการเมืองแห่งคณะกรรมการกลาง พรรคคอมมิวนิสต์ แห่งประเทศจีน ประกาศใช้กฎเหล็กทั้ง 11 ข้อนี้แล้ว นายสีจิ้นผิง ก็ได้สั่งให้บุตรี ที่เรียนอยู่ ในต่างประเทศ เดินทางกลับมาศึกษา ในประเทศทันที
                ต่อด้วยคอลัมน์ของสิริอัญญาเรื่อง ระวังกระสุนเคลือบน้ำตาล

                พ่อครูว่า เดี๋ยวนี้เขาเอาวินัยมาเป็นศีล ซึ่งศีลเป็นสิ่งที่ พระพุทธเจ้า ใช้สร้างศาสนา ศีลเป็นธรรมนูญ ของศาสนา ท่านตั้งศีลมาเป็นรัฐอิสระ ท่านไปที่รัฐไหน ก็มีคนของรัฐนั้น มาสมัคร เข้าธรรมนูญของท่าน รัฐนั้นต้องยอม ให้มาได้ เป็นการปลดทาส ปลดแอกได้เลย ให้หลุดพ้น จากทาสได้เลย ท่านทำมาตั้งแต่ ๒๖๐๐ ปีมาแล้ว เป็นทฤษฎียิ่งใหญ่ พ่อครู ก็พามาหลุดพ้น จากการเป็น ทาสโลกียะ ทาสนายทุน มาบ้างแล้ว ไม่ต้องหมดก็ได้... ยกมือกันหมด ... พ่อครูก็ว่า ในยุคนี้ คนตาถั่ว ก็มีคนผ่านถั่ว มาเห็นธรรมะได้ หลุดมาได้ ใครมาห้าม กันพวกคุณไม่ได้ ธรรมนูญที่พ่อครูพาทำ ก็เป็นของพระพุทธเจ้า คือจุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล และก็ใช้วินัย ควบคู่ด้วย
                วินัยเป็นอาญา มีการบังคับ มีการลงโทษ แต่ศีลเป็นเรื่องของ อิสระเสรี ใครจะถือ ก็ไม่บังคับ ไม่ถือก็ไม่บังคับ แต่วินัยคือกฏเหล็ก
                ผู้ที่บรรลุแล้ว ไม่ต้องใช้กฏเหล็กเลย ในวินัยก็มีศีล มาใส่ไว้ด้วยบางข้อ ศีลก็เลย ลดหย่อน มาเป็นวินัยบ้าง ทุกวันนี้พระในไทย มีแต่วินัย แต่ว่าพอพูดถึง ศีลของพระ เขาก็ไม่ค่อยเข้าใจ แล้วยังถามอีกว่า มีด้วยหรือ ก็คือว่า พุทธเราทุกวันนี้ ไม่มีเนื้อแท้ธรรมะ เหมือนกลอง อานกะไปแล้ว
                ที่พูดเป็นการให้สติเตือนใจ ไม่ได้ดูถูกดูแคลน และถ้าเมืองไทย เอากฏเหล็ก ๑๑ ข้อมาใช้ ประเทศไทย จะเห็นหน้าเห็นหลังเลย จะเจริญ แม้แต่พรรคที่ บริหารประเทศ ทุกวันนี้ใช้ ๑๑ ข้อนี้ ก็จะอยู่ไปได้นานเลย ไม่ต้องเอามาก เอาแค่ ๑๑ ข้อนี้ แต่นี่ไม่ได้ สักข้อเลย

                พ่อครูต่อเรื่องเกี่ยวกับ sms ที่เขียนส่งมาบางคน

0817404xxx นามรูป ก็คือรูปของนามในจิต พูดง่ายๆแบบนี้ ถูกมั้ยครับ?

        พ่อครูก็ว่าใช้ได้ นามคือธาตุรู้ เวทนาก็คือธาตุรู้ คือเมื่อเกิดสังขาร มันก็มีเวทนา ต่อมา แต่สภาวธรรม เป็นอาการเช่นนั้น ซึ่งเรามีญาณปัญญา ก็จะเข้าไปอ่านรู้ อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ของมันได้ ซึ่งอาการนี้ ไม่มีรูปร่าง สีสันตัวตน ความสุขนี้ ท่านอธิบายเป็น บุคคลาธิษฐาน เป็นเทวดา เป็นสมมุติเทพ ใครเป็นเทวดา ก็คือตนเอง ในผู้ที่เข้าใจ ความเป็นเทวดา ซึ่งยังไกลจาก วิสุทธิเทพ ยังเป็นเคหสิตเวทนา เราต้องอ่านเห็น ความเป็นเทวดา เพราะได้สมใจกิเลส แต่ถ้าทุกข์ก็คือ สัตว์นรก เรียกว่า นิรยภูมิ ดิ้นรนมาก ก็เรียกนิรยะ ดิ้นรนไม่มาก ก็คือปิติวิสัย แต่ถ้ามันโง่มาก มันไม่รู้ มันดำฤษณาหมดเลย อย่างพวกเสี้ยนยา พวกหน้ามืดในกาม คือมันเป็นความอวิชชา ที่เขาไปตั้งเอาโลกธรรม เป็นหลัก แล้วเขาไม่รู้ธรรม ไม่รู้ดีชั่ว

0888705xxx พธร.โม้ว่า หากตนเองตาย..จะตายแบบลืมตาด้วย! แหม.. เก่งถึงปานนั้น เชียวนิ! ถ้าสาวกคนไหน ชอบแบบนอนตาย ตาไม่หลับ.. ก็จงปฏิบัต สมาธิลืมตา ต่อไปนะ!

        พ่อครูก็เข้าใจเขา เขาจะเข้าใจที่พระพุทธเจ้าว่า จักขุมา ปรินิพพุโพติ คือตาย อย่างลืมตา คือผู้มีจักษุ มีญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง คือนิพพาน และเขาพาซื่อว่า ตายแล้วตาแข็ง หลับไม่ลง เป็นความเข้าใจซื่อๆ หรือเขาอาจใช้ เป็นการแดกดัน ก็ไม่รู้ แต่พ่อครู ก็เอามา ใช้ประโยชน์ ตีงูให้กากิน ไปเรื่อยๆ เขาขว้างดิน ก็เอามาถมถนน เขาขว้างขี้มาเต็มหน้า ก็เอามาทำปุ๋ย แล้วล้างหน้า ล้างตาเสีย

0888705xxx พุทธเจ้าอาจให้อโศก เป็นสัตตาวาสที่ 10 ก็ได้! เพราะมีสัญญาของ เดียถีอยู่ครบ
0888705xxx เป็นเพราะว่า พธร.รู้แค่ตัวหนังสือ! แต่ไม่ได้เห็นด้วยญาณจริงๆว่า ขันธ์ 5 เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไปจริง! ฉะนั้น พธร.จึงไม่รู้ว่า เมื่อผู้ใด ได้เห็นด้วยญาณแล้วว่า ขันธ์ 5 เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป.. เมื่อนั้นผู้นั้น ย่อมจะเกิด ความเบื่อหน่าย และเมื่อเบื่อหน่าย ย่อมจะคลายกำหนัด และเมื่อคลายกำหนัด จิตย่อมจะหลุดพ้น และมีญาณหยั่งรู้ว่า หลุดพ้นแล้ว! ซึ่งความโง่เขลา ไม่รู้จริงนี่แหละ.. ที่ทำให้พธร. เป็นมิจฉาทิฐิ ดุจเถรเทวทัต! OK

                พระพุทธเจ้าให้ทำนิโรธ ถึงสัญญาเวทยิตนิโรธ พ้นเนวสัญญาฯ เกิดเป็น สัญญาเวทยิตนิโรธ ซึ่งความเกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป ที่พ่อครู ก็อ่านจาก การรู้จิตใจตนเอง ที่รู้ว่า จิตเรา ตั้งอยู่ในฐานอุเบกขา เป็นฐานนิพพาน มีอยู่ตลอด แล้วก็ตรวจสอบใน อรูปฌาน แต่ก็มีอุเบกขา อยู่ตลอด มีคุณสมบัติอุเบกาขาครบ
                พ่อครูใช้สัญญา เป็นเครื่องกำหนดหมาย ตรวจสอบ พค ใครที่ใช้สัญญาถูกต้อง ตามลัทธิพุทธ ก็ไม่ใช่เดียรถี แต่ใครใช้สัญญาไม่ถูกพุทธ ก็เป็นเดียรถี

                0817404xxx คบสัตบุรุษ ก็แล้วแต่บุญใครบุญมัน เขาศรัทธาใคร ก็คิดว่าคนนั้น คือสัตบุรุษ

0857308xxx เพราะเหตุใด ถึงบอกว่า โสดาบันถึงปากหอกคะ แล้วอริยะขั้นอื่น ไม่ปากหอกหรือ

                ปากหอกก็คือมุขสตี คือโสดาบัน ได้ดีระดับหนึ่ง แต่ก็มีความเขื่อง ก็เลย ไปเสียบ คนอื่น ด้วยหอกปาก พระพุทธเจ้าตรัสเอาไว้ ในปัญญา ๗ ข้อของโสดาบัน คือเรื่องปากหอก ในคนที่หลงตัว เผลอตัว คือตนได้ดี ก็แสดงออก เหมือนคน ได้เพชรพลอยมา ก็รีบใส่ ไปแยงตา แต่นี่ก็ออกมาเป็นหอกปาก ก็ให้ระวัง

                0888705xxx ถ้านรกสวรรค์มีอยู่แต่ในใจละก็.. กรมศาสนา ไม่ต้องไปฟ้องศาล เพื่อจับพธร. ติดคุกหรอก! ก็รอให้นรกในใจของพธร. ลงโทษพธร.เองซิ! เพราะสำหรับ ผู้ที่เป็นมิจฉาทิฐิแล้ว ถึงแม้ว่าผู้นั้น จะกำลังทำบาปอยู่.. แต่ก็หาได้รู้ตัวเลยไม่! กลับนึกว่า เป็นสุขด้วยซ้ำไปซะอีก! เช่นคุณแม้วเป็นต้น! ฉะนั้นเมื่อธรรมะ คืออำนาจที่ผดุง ซึ่งความเป็นธรรมไว้ จึงจำต้องมีภพนรก.. ก็เพื่อจะลงโทษ ผู้ที่สมัยยังมีชีวิตอยู่ ได้เคยทำบาปหนักไว้.. จะได้สำนึกไง!

        นรกสวรรค์มีแต่ในจิตใจ นอกนั้นไม่มีอยู่ที่ไหน ในมหาจักรวาล คนเป็น ก็อยู่ในใจคนเป็น คนตายก็อยู่ในใจคนตาย และก็ยืนยันว่า ถูกต้องที่สุด อะไรที่ไม่มี ธาตุจิตธาตุรู้ ก็ไม่มีนรกสวรรค์ เพราะมันไม่มีใจ หากขาดใจไปแล้ว ไม่มีนรกสวรรค์
                ที่ใจน่ะทำแล้ว และเราทำได้ ทำสำเร็จด้วย ส่วนผู้เป็นมิจฉาทิฏฐิ ก็ทำบาป แต่ไม่รู้ตัว ก็พูดถูกจริงๆ กลับนึกว่า เป็นสุขเสียอีก เช่น คุณแม้วเป็นต้น
                เขาบอกว่า คล้ายๆกับมีคุก นรกก็เหมือนคุก เป็นตัวตน บุคคลเราเขา ยังไม่เข้าถึง ปรมัตถ์ ไม่ถึงสภาวะจริงก็ยาก แม้วไม่ตกนรกรูปธรรม แต่ก็ตกนรกสัจธรรม อยู่แล้ว
                เขาอ้างกรมการศาสนา ไม่ต้องฟ้องศาลหรอก พ่อครูไม่อยากฟื้นฝอย หาตะเข็บ มีคนที่ทำบาป ไปด้วยความไม่รู้ อย่างพระเทวทัต อย่างนางจิญจมาญวิกา ที่ทำบาป ก็ขอพูดชัดว่า กรมการศาสนา เถรสมาคม ก็ไม่รู้ มาทำพ่อครู พ่อครูก็เปิดเผยแล้ว ว่าไม่ได้ทำผิด แต่ถูกกล่าวตู่ ว่าทำผิด แล้วก็ใช้อำนาจทางโลก มาลงโทษ ว่าพ่อครูผิด แต่แท้จริง พ่อครูก็ไม่ได้ผิด ถือว่าเป็นเหตุปัจจัย ที่ได้ประโยชน์ เสียอีก accident good luck ตอนแรกก็ว่า ไม่น่าทำ แต่ตอนหลัง ก็เข้าใจ ว่าทำไม เราได้ยืนยันความจริง เราจะบอกว่า ไส้เราเป็นอย่างไรเองไม่ได้ แต่เขามาบอก ทำให้เราได้ควัก ตับไตไส้พุง มาโชว์ให้คนได้เห็นว่า ไส้เราเน่า หรือไส้เราดี พ่อครูยิ่งคะนอง เอาไส้มาโชว์ ก็ขออภัย ที่แสดงทุกวันนี้

                ก็ขอบอกขออภัยต่อ มหาเถรสมาคม ว่าทิฏฐิหรือทฤษฏีท่าน ผิดเพี้ยนไป พ่อครูก็ยืนยัน ด้วยจิตเจตนาดี ไม่ได้ต้องการลบหลู่ ไม่ได้ต้องการล้มล้าง พวกท่าน จะเลิกหรือทำ ก็อยู่ที่พวกท่านเอง ไม่ได้อยู่ที่ใครจะไปล้าง ถ้าท่านไม่เลิก ไม่ลด ก็เป็นไปอย่างนั้น ส่วนพ่อครู ก็มีหน้าที่ เปิดเผยธรรมะ
                อย่างที่ท่านเจ้าคุณอุบาลี อธิบายมา ว่าเกิดญาณปัญญา เกิดวิมุตินั้น ซึ่งพ่อครู ก็อธิบายว่า ญาณปัญญาหรือวิมุติ คืออย่างไร จนถึงสิ้นอนุสัยอาสวะ ก็ได้พูดแจกแจง ตลอดเวลา

                รูปคืออะไร นามคืออะไรบ้าง
                รูปเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าไม่รู้จักรูป อย่างเพียงพอ ก็จะหลงไปกับรูป ซึ่งรูปคือ สิ่งที่ถูกรู้ ตั้งแต่รูปหยาบ ที่มีรูปพรรษสัณฐาน คำว่ารูป ได้มาจากคำบาลี ที่เป็นรากศัพท์ว่า รุปติ
                รูป แม้สิ่งที่เห็นไม่ได้ ก็เรียกว่ารูปได้ คือสิ่งที่ไม่มีรูปร่างตัวตน ก็เป็นรูปได้
                รูปที่สวยงามที่ดี ก็เรียกว่า รูปสุข ส่วนรูปที่ไม่ดี ก็เรียกว่า รูปทุกข์ ส่วนภาวะ ที่ประชุมกันอยู่ แต่ไม่เห็นรูปร่างมัน ท่านเรียกว่า อาทิสมานกาย
                ถ้าใครสามารถเข้าใจคำว่า นาม , นามไม่มีร่าง ไม่มีสรีระ แต่มีองค์ประชุม คือองค์ประชุมของ จิตเจตสิกต่างๆ เช่น เวทนา สัญญา สังขาร ซึ่งในวิภังคสูตร มีแจก นามรูป ประกอบด้วยอะไรบ้าง

[๑๔] ก็นามรูปเป็นไฉน เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ   นี้เรียกว่านาม มหาภูตรูป และรูปที่อาศัยมหาภูตรูป นี้เรียกว่ารูป นามและรูป ดังพรรณนามาฉะนี้ เรียกว่านามรูป

                ทั้ง เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ ก็คือสิ่งที่ถูกรู้ได้ ประชุมร่วมกันหมด เรียกว่า กาย ในขณะปัจจุบัน ก็มีได้เลย
                องค์ประชุมของสังขารจิต ที่ปรุงแต่ง เป็นสุขหรือทุกข์เ ป็นผีหรือเทวดา คุณก็เห็นองค์ประชุม ที่เป็นผีหรือเทวดา คุณก็เห็นได้ โดยไม่ต้องมี สัญญาวิปลาส ไปเห็นว่า ผีตัวนี้มีเขี้ยว มีเขาตาโปน แต่ผีหรือเทวดานี้ ไม่มีรูปร่าง ตัวตน แต่รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ
                ผีก็ไม่ดี แต่เทวดาเก๊ก็ไม่ดี เราก็รู้ก็เห็น แม้เป็นนามธรรม ที่ต่อเนื่องจาก รูปธรรม มาเป็นภาพภายใน แล้วก็ปรุงปุ๊บเลย แต่อรหันต์จะปรุงได้ แต่ปรุงอย่าง ไม่มีกิเลสร่วมด้วย เป็นการสังขารขั้น อภิสังขาร
                อภิสังขาร คือไม่มีกิเลส มาปรุงร่วม ก็เชื่อมจาก มหาภูตรูป มาเป็นเวทนา ที่เป็นอุเบกขา คือวางเฉย ไม่สุขไม่ทุกข์ ถ้าตัวเองปรุงเอง ก็อยู่ภายใน แต่ถ้ากระทบ กับโลก กับภายนอก แต่จิตก็นิ่ง แน่วแน่เป็น อัปปนาสมาธิ ก็รู้เข้าใจโลกเขาหมด นั่นเป็นการรูป รูปกาย และอ่าน นามกายเราก็สะอาด มีองค์คุณอุเบกขาได้ คือ ปริสุทธา ปริโยธาตา มุทุ กัมมัญญา ปภัสสรา
                ต้องเกิดจากการล้างกิเลส มาตามขั้นตอน จนถึงอุเบกขา  แม้จะสัมผัสอยู่ กับโลกเขา อ่านมโนมวิจาร อ่านออกว่า เนกขัมสิตเวทนา กับ เคหสิตเวทนา ต่างกันอย่างไร อันไหนเป็น โสมนัสหรือโทมนัส ที่เป็นเคหสิตะ หรือเนกขัมมะ อย่างเห็นสภาวะจริง ไม่ใช่แค่ตรรกะ

                การรู้จิตของตนว่า วิมุติญาณทัสสะนั้น ต้องมีสภาวะจริง ต้องตรวจสอบว่า เราได้เนกขัมมะจริง ต้องตรวจสอบ ทั้งรูปฌานอรูปฌาน ตรวจสอบรูปและนาม ให้ละเอียด ตรวจกายให้ละเอียดลออ ซึ่งมันจะมีเครื่องหมาย ให้กำหนดรู้ได้ เป็นนิมิต ว่าอันนี้ เนกขัมมะ และต้องทำได้จริงด้วย จนกระทั่ง ไม่วนเวียนเป็น เคหสิตะอีก ทำอย่างเที่ยงแท้ ถาวรได้หรือไม่ คุณต้องมีการกำหนดรู้ได้
                ตัวเราเอง ดับกิเลสได้หมดแล้ว จึงไม่มีกิเลส ร่วมปรุงแต่ง ผู้ที่ทำได้ จนมีสภาวะ ก็จะไล่เรียงได้ อย่างละเอียดลออ แต่คนที่ได้แค่ตรรกะ จะอธิบาย ในรายละเอียดไม่ได้

                ปสากรธัมมาทิบาลี
         [๒๐๗] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ความเป็นผู้ถืออยู่ป่าเป็นวัตร ความเป็นผู้ถือ เที่ยวบิณฑบาต เป็นวัตร ความเป็นผู้ถือ ทรงผ้าบังสุกุลเป็นวัตร ความเป็นผู้ถือ ทรงไตรจีวร ความเป็นพระธรรมกถึก ความเป็นพระวินัยธร ความเป็นผู้มีพระพุทธพจน์ อันได้สดับแล้วมาก ความเป็นผู้มั่นคง อากัปปสมบัติ บริวารสมบัติ ความเป็นผู้มี บริวารมาก ความเป็นกุลบุตร ความเป็นผู้มีผิวพรรณงาม ความเป็นผู้เจรจาไพเราะ ความเป็นผู้มักน้อย ความเป็นผู้มีอาพาธน้อย นี้เป็นกึ่งหนึ่งของลาภ
         [๒๐๘] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุเจริญปฐมฌาน แม้ชั่วกาล เพียงลัดนิ้วมือ ภิกษุนี้
เรากล่าวว่า อยู่ไม่เหินห่างจากฌาน ทำตามคำสอน ของพระศาสดา ปฏิบัติตามโอวาท ไม่ฉันบิณฑบาต ของชาวแว่นแคว้นเปล่า ก็จะป่วยกล่าวไปไย ถึงผู้กระทำให้มาก ซึ่งปฐมฌานนั้นเล่า
         [๒๐๙] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ถ้าภิกษุผู้เจริญทุติยฌาน แม้ชั่วกาลเพียง ลัดนิ้วมือ  ... เจริญตติยฌาน  ... เจริญจตุตถฌาน  ... เจริญเมตตาเจโตวิมุติ  ... เจริญกรุณาเจโตวิมุติ ...  เจริญมุทิตาเจโตวิมุติ  ... เจริญอุเบกขาเจโตวิมุติ ...พิจารณากายในกายอยู่ พึงเป็นผู้ มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ กำจัดอภิชฌา และโทมนัสในโลก ...  พิจารณา เวทนาในเวทนา ทั้งหลายอยู่ ...  พิจารณาจิตในจิตอยู่ ...  พิจารณาธรรมในธรรม ทั้งหลายอยู่ ...

          พ่อครูว่า ทำที่ใจ แต่ท่านไม่ได้หมายความว่า ต้องหนีผัสสะ ปลีกเดี่ยว อยู่แต่ผู้เดียว ไม่เกี่ยวกับใคร และจะเข้าใจธรรมาธิษฐาน และบุคคลาธิษฐาน ท่านไม่ติดยึด ก็นำมาใช้ได้ ผู้ที่รู้นิมิต จะไม่ติดนิมิต รู้พยัญชนะ ไม่ติดพยัญชนะ จะรู้ธรรมในธรรมได้
               
                พ่อครูก็จะสาธยายไปเรื่อยๆ ฟังซ้ำก็ได้ประโยชน์เพิ่ม ส่วนผู้ที่ฟังไม่เข้าใจ ก็พยายาม อย่าดูถูกดูแคลน จะไม่ได้อะไร ก็คงจะมีสิ่งดีๆอยู่บ้าง เลือกเฟ้นเอา

                ส.กล้าจริงสรุป...ขอบคุณพวกเราทุกคน ที่ตั้งใจฟัง พ่อครูสอนให้พวกเรา จากคนเป็นมนุษย์ และจากคนให้เป็น คนเหนือคน สิ่งสำคัญที่ควรรู้ก็คือ รูปกับนาม และพ่อครู ก็ขยายความอีกมาก เรื่องรูปกับนาม ...

จบ

           

 
๒๓ มิถุนายน ๒๕๕๖ ที่ พุทธสถานสันติอโศก