560704_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง นี้แลคือคนเห็นนามรูปแบบปาฏิหาริย์ ตอน ๒

            พ่อครูเริ่มรายการที่ห้องกันเกรา สันติอโศก....

เป็นคล้ายๆสงคราม ระหว่างธรรมาธรรมะสงคราม ไม่ใช่สงครามอย่างเข่นฆ่า มุ่งหมาย เอาลาภยศ แต่มันมุ่งหมายอัตตา เช่นอันไหนจะถูกต้องนะ คนไม่มีอัตตา ก็ไม่เอาชนะ คะคาน หรือก็เอามาสากัจฉากันว่า อันไหนเป็นธรรมวาที อันไหนเป็นอธรรมวาที
            เราก็มีสิทธิตัดสินว่า อันไหนผิดถูก ตามความเป็นจริงของเรา ใครจะผิดถูก ก็มีทั้งสัจจะจริง ไม่มีใครตัดสิน และแบบ มีคนที่เรานับถือตัดสิน เช่น พระพุทธเจ้าอยู่ ท่านก็ตัดสิน เราเชื่อมั่นว่า ท่านเป็นผู้รู้ ที่ยอดเยี่ยมที่สุด หรือใครที่เรายอมรับ ก็เป็นได้
            สำหรับพ่อครู ไม่เคยจี้หรือบังคับว่า ต้องมาเชื่อตามพ่อครู เพราะว่าแบบนั้น ไม่ถูกต้อง ถ้าเขาจะนับถือ ก็เป็นสิทธิ์ของเขา ไปบังคับความคิด ความเห็นความรู้ ความเชื่อ มันเป็นของบุคคล ถ้าไปบังคับ มันไม่จริงทั้งนั้น ต้องให้เขา เห็นด้วยตัวเขาเอง จึงดี
            วันนี้พ่อครูก็จะได้เอาที่พูดกันมา ตั้งแต่วันอังคาร ที่เอา sms ของ ๘๗๐๕ มาอ่าน วันนี้ก็จะได้ วิจัยวิจารณ์กัน

            ก็มีของคนอื่นได้ส่งความเห็นมาว่า
0814004xxx ชอบสิ่งที่สิกขมาตทุกรูปพูด โดนใจมาก

0867081xxx ปล่อยใจตามกีเลส จะพบแต่เสียหายเดือดร้อน อดทนบางอย่าง เพื่อรักษาไว้ หลายอย่าง

0857308xxx กราบนมัสการค่ะ ดิฉันเป็นบ่อย ที่โทสะขึ้น เวลาสอนนักเรียน แล้วไม่ได้ ตามที่ ตั้งจุดประสงค์ การเรียนรู้ไว้ ค่ะ

            พ่อครูว่า เมื่อไม่ได้ตาม มโนสัญเจตนา ตามตัณหา มีตัวเราเข้าไปร่วมว่า ต้องได้อย่างนี้ เป็นอย่างนี้ ถ้าเรามีตัวตนไปร่วม ถ้าไม่มีอย่างนี้ ก็จะไม่มีโทสะ โลภะ

0824039xxx เวลามีเหตุการณ์ใดๆ เข้ามากระทบใจ ใจมักคิดเลยเถิด สติแตก ไปตามเหตุการณ์นั้น เพราะมัวแต่ ดูใจคนอื่น ไม่เคยดูใจตัวเองเลย

0824039xxx พอได้เรียนรู้เรื่อง โยนิโสมนสิการ จิตไม่มัวแต่ดูข้างนอก! แต่ใช้วิธี ย้อนมาดู ตัวเอง มองข้างใน เห็นจิตตนเอง! จนเห็นสุขทุกข์ มาแล้วก็ไป เป็นเรื่องธรรมดาโลก! เอวัง ปลงซะเถิด สูข้าเอ๊ย เดี๋ยวก็มอดม้วยมรณา ชีวาวางวาย หายลับไปจากโลกน้อ.. อุบายดับทุกข์ ปลอบใจตัวเอง ของสกก. เอวังด้วยประการระฉะนี้ สาธุ๊น้อ!
            พ่อครูว่าแบบนั้นเป็นสมถะ เอาคาถามาใช้ ให้ใจปล่อยวาง แต่ว่าต้องอ่าน พิจารณาของจริง ให้เห็นให้ได้

            มีคำถามจาก ส.บินเก้าว่า.... เธอสงสัยว่า การที่บอกว่า หากให้สตรี เข้ามาบวช ในพุทธศาสนา จริงหรือ จะทำให้ อายุศาสนา ลดลงกึ่งหนึ่ง ขอทราบเหตุผล แล้วตอนที่ มารอาราธนา ให้พระพุทธเจ้าปรินิพพาน ทำไมพระพุทธเจ้าบอกว่า ต้องสร้างศาสนา ให้มีพุทธบริษัทสี่ก่อน จึงปรินิพพาน ?

            พ่อครูว่า นัยหนึ่งคือ ถ้าให้บวช ก็ทำให้อายุศาสนา ลดลงกึ่งหนึ่งน่ะ ฟังดูก็ขัดๆ ว่าท่านไม่อยากให้ศาสนาของท่าน เต็มหรือ ท่านทำไมไม่เอาให้ศาสนา อยู่นานๆ ก็ต้องไม่ให้มี ภิกษุณีสิ
            พ่อครูว่า ท่านไม่ได้หมายว่า ศาสนาของท่าน จะยาวหรือสั้น แต่ท่านหมาย ช่วยมนุษย์ พระอานนท์ถามว่า ผู้หญิงบรรลุ ได้หรือไม่? พระพุทธเจ้าก็จำนน ต้องให้บวช โดยสัจจะ ต้องช่วยคน

            อ่านของ ๘๗๐๕ ในวันที่สองก่อน ก็แล้วกัน

0888705xxx พธร.กลัวว่า ถ้าสอนสมาธิหลับตา จะไม่มีใครมาช่วยทำปุ๋ย จะไม่มีเงินทำ FMTV

            พ่อครูว่า ไม่ได้มีความคิดเช่นนั้นเลย เขาก็เดากันไป แต่เท่าที่อ่านดู เขาใช้ สรรพนามว่า ท่านกันก็คือ คงเป็นนักบวช แล้วเที่ยวไปรู้ ใจคนอื่น ก็เป็นแบบเดียรถีย์ พระพุทธเจ้าว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง คือให้รู้ จิตเจตสิก ของเรา ว่าจิตเป็นสัตว์ อย่างนี้ ที่เราเป็นอยู่ เรามีสัตว์นรก สัตว์เทวดา เป็นสัตว์อื่น คุณรู้ได้ไหม หรือเป็นปุถุชน เรารู้ไหม หมายถึงว่า จิตเราจะเปลี่ยนไปเป็น บุคคลอื่น จิตอย่างนี้ ดีเอ็นเอของจิต เปลี่ยนจาก โลกียะ เป็นโลกุตระ แต่ถ้าไปเข้าใจว่า เป็นจิตคนอื่น บุคคลอื่น ก็ไม่เข้าหลัก ปรมัตถ์ ไปนิพพานไม่ได้
            พ่อครูไม่เคยพูดว่า โรงปุ๋ยมาเข้าเอฟเอ็ม มีแต่พูดว่า เงินจากขยะ มาช่วย เอฟเอ็มทีวี ยังไม่ถึงขั้น เอาเงินจากปุ๋ยมาช่วย พวกเราทำขยะกัน กับผู้ที่ร่วมบริจาคกัน เรารับแต่คนใน คนนอก เราไม่รับบริจาคกัน ซึ่งเราก็ทำ อย่างประหยัด เราทำงานฟรี ไม่มีค่าแรง และอีกหลายอย่าง ที่เราไม่ต้องจ่าย เหมือนโลกเขา ก็เลยถูกกว่า เป็นครึ่งค่อนเลย นี่คือ เศรษฐกิจบุญนิยม ตามแบบพระพุทธเจ้า

            สมาธิหลับตาก็สอน ส่งเสริม แต่ไม่เน้นว่า เป็นวิธีตรงแท้ของพุทธ เป็นแต่ อุปการะ และควรทำ อย่างสันติฯ เราก็ทำกัน มีทุกวันเลย แต่เราเน้น สิ่งที่ถูกต้อง ซึ่งยาก และละเอียด พ่อครูว่า คุณ ๘๗๐๕ คงเคยได้ยินสิ่งเหล่านี้

0888705xxx พุทธเจ้าสอนให้ดูรูปตัวเอง แต่พธร.มัวไปดูสิ่งอื่น แถมดันไป วิปัสนา การเมือง
0888705xxx วิภาวตัณหาของพธร. คืออยากให้คนนับถือว่าเป็น สยังภิญญา ระดับโพธิสัต C7 Oไม๊

            พ่อครู มันเป็นสยังอภิญญาจริง ที่พ่อครูไม่ได้เข้าใจ วิภวตัณหา อย่างกระแสหลัก เขาเข้าใจ ที่เขาว่า วิภวตัณหา คือการไม่อยากมี ไม่อยากเป็น กลับไปกลับมา เท่านั้น แต่วิภวตัณหา คือปฏิบัติลดละ เหตุแห่งกามภพ ก็บรรลุผล ของกามตัณหา เหลือภวภพ คือรูปภพ และอรูปภพ ก็ล้างอีก คือเรามีตัณหา ที่ล้างภพ คือวิภวตัณหา เมื่อดับภพ ก็คือ ความประสงค์เป็น มโนสัญเจตนา ที่เรียนรู้ภพ ดับเหตุแห่งภพ ล้างภพ ไม่ได้นะ แต่มีผล คือสูญ หมดทุกภพ สมใจผล ที่ต้องการ ที่มุ่งหมาย มีมโนสัญเจตนา นี่คือ วิภวตัณหา ที่พ่อครูทำได้
            ซึ่งวิภวตัณหา อย่างที่เขาแปลคือ ไม่มีไม่ได้ไม่เป็น มีก็ไม่ได้ ไม่มีก็ไม่ได้ แล้วจะอยู่ อย่างไร ไม่มีที่อาศัยเลย ทั้งที่คุณยังมี รูปนามขันธ์ ๕ คุณต้องรู้ว่า สิ่งไหน ที่จะให้มี สิ่งไหนจะไม่ให้มี แม้ตรวจอรูปฌานดูได้เลย พ่อครูไม่เคยได้ยิน ใครอธิบาย อย่างนี้ แม้ใครฟังบางคนก็ว่า คิดเองก็ใช้แล้ว
            พ่อครูไม่ได้อธิบาย เพื่อต้องการบริวาร หรือมานับถือ หรือว่าเราเก่งมาก แต่มีอะไร ก็พูดอย่างถ่อมตน ไม่อยากเอาดี ไปข่มเขา เราเกรงใจจริงๆ

0888705xxx ทำไม?มีปัญญาเรียนแพทย์ได้ แต่ถึงดันโง่มากๆ ที่มาบวชเป็นศิษย์ เดียรถี!!!

            ๑. คุณ ๘๗๐๕ พูดเรื่องกาม ยกอ้างพระพุทธเจ้า กับพระอานนท์ ที่เดินผ่านตลาด แม้ที่ทางคับแคบ ด้วยฝูงชน ทำไมเสด็จผ่านมาได้ พระพุทธเจ้าก็ตรัสตอบว่า เพราะกาม ที่ชื่อว่าคับแคบ ตถาคตละได้แล้ว
            คือท่านตอบเป็น ธัมมาธิฏฐาน ไม่ได้ตรัสเป็น บุคคลาธิฏฐานเลย ซึ่งเขาคิดไป เป็นปาฏิหาริย์เลย มันออกทะเลไปไหนๆ เย็นยะเยือกเลย
            ที่พระพุทธเจ้าว่า ละกามได้แล้ว คือเป็นนามธรรม คือความคับแคบ ไม่ได้หมายถึง ตัวตน บุคคลเราเขา แม้คนจะมาเบียดจริงๆ ก็ไม่เป็นไร เป็นเรื่อง สภาพนอก แต่ท่านไม่มีกาม เพราะท่านไม่อึดอัด ท่านว่างโล่งแล้ว ท่านตอบเป็น ธัมมาธิฏฐาน พ่อครูว่า เขาไม่เข้าใจ แม้กามสัญญา พ่อครูยังไม่เคยเห็น ภาษาบัญญัติ ส่อว่า เป็นผู้เข้าใจว่า เป็นผู้รู้ ในกามสัญญา พ้นกามสัญญา แต่เขาฟังพ่อครูแล้ว ไม่เข้าใจ วุ่นไปหมด ก็เลยว่าพ่อครูมั่ว แท้จริงตัวเอง จับไม่ติด เขาสับสนมั่ว

            ๒. เรื่องการบรรลุธรรมของ ๘๗๐๕ โดยมีอารมณ์พบสันติสุข ซึ่งพ่อครูว่า อันนั้น เป็นอาการ สร้างอารมณ์ built อารมณ์ เป็นอุปาทาน ชนิดหนึ่ง ให้เป็นภพขึ้นมา เป็นชาติ ก็เกิด จนสำเร็จด้วยจิต คือ “มโนมยอัตตา” ทั้งที่มันไม่ได้ว่างหรอก แต่ทำจิตภายใน สำเร็จเป็นภพ เป็นอรูปภพ หรือมโนมยอัตตา ว่าว่างดี ไม่มีอาการปรุงแต่งอะไร ก็ทำได้ ก็มีความสามารถ อย่างหนึ่ง ศาสนาไม่ใช่พุทธ จะไปสร้างอย่างนี้ สามารถสร้า งแบบหลับตา และสามารถสร้างแบบลืมตา ก็ได้ด้วย

            ๓.เรื่องการเห็นทุกข์ คุณ ๘๗๐๕ เห็นทุกข์เป็นตรรกะ เช่น “เมื่อตะกี้นี้เห็นว่า คนไม่ใช่คน”

พ่อครูว่า ไม่รู้สมมุติ หรือปรมัตถ์สัจจะ อย่างตอน เรามีผัสสะกระทบ ก็รู้ว่า นี่คน นี่หมา นี่ลิง เขาก็รู้โดยสมุตติ แล้วก็รู้ว่า ไม่ใช่ปรมัตถ์ แต่คุณ ๘๗๐๕ ว่า

0888705xxx น้ำก็มิใช่น้ำ ดินก็มิใช่ดิน ฅนก็มิใช่ฅน..ไงล่ะ! ซึ่งเมื่อตอบไปเช่นนี้แล้ว เพื่อนก็ ไม่หันมาถามอีกเลย และเราทั้ง2 ก็เดินขึ้นบันไดสะพานลอย ไปด้วยอาการ อันสงบ พร้อมกับจิตใจ ที่เบิกบานเต็มที่ ถึงสันติสุขอย่างแท้จริง! และถึงกับอุทาน ขึ้นในใจว่า อ๋อ อย่างนี้เองซินะ ที่เรียกว่าสันติสุข! โดยที่โลกก็ยังคงเป็น โลกใบเดิม.. ที่เคยดูเหมือน จะวุ่นวายนัก แต่บัดนี้ ได้กลับกลายมาเป็น.. โลกที่แสนจะสงบนิ่งยิ่งนัก! รถยนตร์ที่เคยเห็น
0888705xxx วิ่งกันไปมา ก็ดูเหมือนว่า วิ่งแบบไม่ได้วิ่ง คล้ายกับหยุดนิ่ง ยังไงยังงั้น! เสียงรถ เสียงแตรเสียงฅน ก็ไม่รู้หายไปไหนหมด! พร้อมกันนั้น, แสงแดด ที่เคย แผดเปรี้ยง ตอนเที่ยงวัน ก็กลับกลายมาเป็น บรรยากาศที่แสนจะสบาย ด้วยความร่มรื่น ยิ่งนัก! และขณะที่กำลังเดินอยู่นั้น สายตาทั้งคู่ของเรา ก็ห้อยต่ำ เหมือนสายตา ของพุทธรูป พร้อมกับแปลกใจนัก ที่รู้สึกไม่ได้ว่า เท้าของเรา ยังสัมผัสกับพื้น อยู่รึเปล่า? จนเมื่อเดินขึ้นบันได มาถึงคอ
0888705xxx สะพานด้านบนแล้ว เราถึงได้เกิดความสงสัย ขึ้นมาในใจว่า ที่ตะกี้ เราไปเห็นว่า ฅนมิใช่ฅนนั้น ก็แล้วมันเป็นอะไรล่ะ? เราจึงได้เริ่มเผยอ เปลือกตาขึ้น เพื่อจะมองดูว่า แล้วมันเป็นอะไรกันแน่! พอเห็นเข้ากับ ที่กำลังเดินสวนมานั้น ก็รู้ได้ทันทีเลยว่าอ๋อ มันเป็นทุกข์! และเมื่อรู้แล้ว ก็ปล่อยเปลือกตาลงทันที ซึ่งการที่สติ สามารถรู้ได้ทัน ถึงเปลือกตาที่ค่อยๆ เผยอขึ้นทีละน้อย และรู้ได้ทัน ถึงเปลือกตาที่ค่อยๆ ปิดลงทีละน้อยนี้ จึง
0888705xxx เสมือนหนึ่งว่า ในขณะนั้น เป็นหนังที่สโลโมชั่นมากๆ (ล้านเฟรม/วินาที) ทั้งๆที่อาการ เผยอเปลือกตาขึ้น และปิดเปลือกตาลง ใช้เวลารวมกัน=ที่ กระพริบตา 1 ครั้งนั้น ก็รวดเร็ว เป็นปกติอยู่! หากแต่เป็นเพราะว่า ในขณะที่จิตเบิกบาน ถึงสันติสุข นั้น.. มิได้มี การสังขารปรุงแต่ง เป็นอุปาทาน หรือเป็นเรื่องราวของ บุคคลตัวตน ใดๆเลย!

            พ่อครูว่านี่คือ อาการสัญญวิปลาส ขนาดตัวตน บุคคลเราเขา ยังไม่รู้ถึง สมมุติสัจจะ เลย อย่างหยาบ ยังเพี้ยนเลย แต่แจกว่านี่คือ เพศหญิง เพศชาย ของนามธรรม จะไปรู้ได้อย่างไร ซึ่งมีคนแท้ๆ แต่เห็นว่าไม่มี นี่ก็สัญญาวิปลาส ซึ่งคำว่า ไม่เป็นตัวตน บุคคลเราเขา ไม่ใช่ว่าไม่เห็น เราเห็นอยู่ แต่ว่า ความไม่มีตัวตน บุคคลเราเขา คือไม่มีสัตว์ ทั้งสัตว์นรก สัตว์เปรต หรือเทวดา ในเราเลยต่างหาก คุณดูเขา ก็จะไปดู จิตเขาทำไม ต้องดูจิตเรา ว่ามีกิเลส ไปปรุงแต่งร่วมด้วยหรือไม่ เรามีกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ที่สะอาด ไม่มีกิเลส ปรุงร่วมเลย

จึงส่งผลให้สติ ทำหน้าที่ได้เต็มศักยภาพ100%.. สามารถที่จะกำหนดรู้ ได้ทันกับ อารมณ์ คือความเกิดขึ้น และดับไปของ

            พ่อครูว่า จะไปรู้ร้อยเปอร์เซนต์ ได้อย่างไร คุณไม่เห็นรูปน่ะ ทั้งที่มันมีอยู่ พ่อครู เคยทำสะกดจิต แม้มีจอกน้ำ วางอยู่บนโต๊ะ เราก็สั่งให้เขา ไม่เห็นอะไร แล้วสั่งให้เขา หยิบจอกน้ำ เขาก็เอามือควาน เหมือนไม่เห็น จนจอกน้ำตกแตก เขาก็ออกจากภวังค์ หรือว่า สะกดจิต ให้เขาเห็นเสือก็ได้ ทั้งที่ไม่มีเสือ
            คุณเข้าไปอยู่ในภพ อากาสาฯ ก็ว่างโล่ง หรือให้ไม่เห็นจริงๆ เลยก็ได้ เป็นอุปาทาน สิ่งเหล่านี้ เป็นเรื่องลึกเกิน การเห็นนามรูปเพี้ยน ก็ยากจะศึกษาให้บรรลุ ที่ว่า

0888705xxx นาม-รูปได้ หรือจึงสามารถรู้ได้ทัน กับเปลือกตา ที่กระพริบนั้น นั่นเอง! ทีนี้ขอ ย้อนกลับไป พูดถึงตะกี้ ที่สงสัยว่า เมื่อฅนไม่ใช่ฅน แล้วเป็นอะไรล่ะ! จึงได้เผยอ เปลือกตา ขึ้นมองอีกครั้ง จึงรู้ได้ทันทีว่าอ๋อ มันเป็นทุกข์! พอรู้ดังนี้แล้ว ก็ปล่อย เปลือกตาลง แต่กลับได้เกิด ความสงสัย ขึ้นมาใหม่อีกว่า ก็แล้วทำไม ถึงเป็นทุกข์เล่า? จึงได้เผยอเปลือกตาขึ้น มองใหม่อีกครั้ง พอเห็นนาม-รูป ที่กำลังเดินสวนมาปุ๊บ.. ก็รู้คำตอบได้ทันที
0888705xxx เลยปั๊บ!ว่า สิ่งที่มิใช่ตัวตน กำลังดิ้นรน เพื่อสร้างความเป็นตัวตน ให้เกิดขึ้น กับตัวเอง ซึ่งอาการ ที่ดิ้นรนนี่แหละ คือทุกข์!

            พ่อครูว่า เมื่อไม่ใช่ตัวตน มันก็ต้องไม่มีดิ้นสิ มันสุญญตาแล้ว ซึ่งที่จริง เขาเป็น ตัวตนอยู่แล้ว เป็นมหาภูตรูป เขาไม่ดิ้น ก็เกิดเป็นตัวตน มหาภูตรูปอยู่แล้ว ซึ่งพระพุทธเจ้า สอนให้รู้ทุกข์ ของตนเอง ไม่ได้ให้แส่รู้ทุกข์ ของคนอื่น นั้นคุณคาดคะเน ตรรกะเอา พระพุทธเจ้าสอน ให้รู้ความจริง ตามจริงว่า ทุกข์คืออย่างไร ในจิตของคุณ เรารู้ทุกขเวทนา ให้ออก คุณต้องหาเหตุ ที่มันทำให้เกิดทุกข์ เมื่อเจอก็กำจัด
            เมื่อจับแยกเหตุ ที่ทำให้ทุกข์ มันก็หมดทุกข์ ถ้าเราไม่ได้ให้มันสมใจ มันก็ดิ้น เป็นทุกข์ มีแบบที่เนกขัมมะ และ เคหสิตะ แบบกดข่มคือเคหสิตะ
            อาการทุกข์มันไม่มี เส้นสีเสียงตัวตน เมื่อคุณเกิดปัญญา ทำให้มันหายไป ก็เป็นปหาน ทำได้เป็นตามขั้นตอนของ ปหาน ๕

            (ถึงตอนนี้ต้องบอกพธร. เสียก่อนว่า ขณะนั้นพ.ศ.2526 เรายังมิเคย ได้เรียน หรือ ได้ฟังธรรมะ ใดๆเลย จึงย่อมมิเคย ได้ยินคำว่า อนัตตา มาก่อนด้วย!) ซึ่งในระหว่าง ที่เรา กำลังเดินอยู่ บนสะพานลอย และเผยอเปลือกตา เพียงแว๊ปเดียว เพื่อมองดู นาม-รูป ที่สวนมา อยู่นั้น.. ก็ยังอดแปลกใจ ไม่ได้เลยว่า ทำไม? นาม-รูปทั้งหลาย

            พ่อครูว่า สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตน ไม่มีนามรูป มันจะเดินออกันได้อย่างไร นี่พูดภาษาไทย ไม่ถูกเลย

            ถึงได้เดิน-ออกัน..แน่น ทั้งทางด้านซ๊ายและด้านขวา ของสะพานลอย เท่านั้น! โดยคล้ายกับว่า นาม-รูปทั้งหลายนั้น ต่างมีเจตนาร่วมกัน ที่จะเปิดช่องตรงกลาง ตลอดแนวยาว ของสะพานลอย ไว้จำเพาะให้แก่เรา เพื่อที่เรา 2 คน จะได้เดินได้ โดยสะดวก ยังไงยังงั้น! ซึ่งเป็นเรื่องที่ไม่น่า จะเป็นไปได้อยู่แล้ว! เพราะปกติ คนเมืองหลวง หรือแม้จะเป็น คนบ้านนอกก็ตาม ก็ไม่น่าที่จะใจดี ถึงขนาดเปิดทาง ให้เช่นนี้ได้! อีกทั้งเราก็มิใช่ บุคคลสำคัญ หรือเป็น
0888705xxx พระเจ้าอยู่หัว! ที่พสกนิกร ย่อมรู้สึกเคารพเทิดทูน พระองค์ พร้อมที่ จะเปิดทาง ให้เสด็จอยู่แล้ว! แต่สำหรับเรา เมื่อหาเหตุผล ยังไม่พบ แล้วขืนรีบไป สรุปว่า บนสะพานลอย ที่ดูเหมือนจะเปิด เป็นช่องกว้าง ตรงกลางไว้จำเพาะ ให้แก่เราเดินนั้น จึงน่าจะเป็น ปาฏิหารย์ ซะมากกว่า! ซึ่งถ้ามิใช่ปาฏิหารย์ แห่งธรรมแล้ว สะพานลอย จะสามารถ ยืดออกได้เอง เช่นนี้ อย่างไรเล่า! ซึ่งพวกหัววิทยาศาสตร์จ๋า อย่างเหมาเจ๋อตุง พธร. แต่โง่!. ย่อมที่จะไม่เชื่อ
0888705xxx อยู่แล้ว! แต่เมื่อดูจากพตปฎ. ที่อานนท์เดินตามเสด็จพุทธเจ้า พระอานนท์ ก็ยังอดสงสัย ไม่ได้เลยว่า ทำไมหนอ? พุทธองค์ถึงสามารถ เดินผ่านตลาด อันเป็นที่ อันคับแคบได้! ซึ่งก็คงด้วยเหตุปาฏิหารย์ แห่งวิมุต เช่นเดียวกัน! เพียงแต่ทรงเลี่ยง ที่จะไม่ตอบ เป็นเรื่องของปาฏิหารย์ เท่านั้นเอง! ซึ่งก็เช่นเดียวกับที่ องคุลีมาลวิ่งเร็ว สักเท่าไร ก็ไม่อาจตาม พุทธเจ้าได้เลย! และหลังจากที่อ่าน พตปฎ. แล้ว เราถึงได้รู้ว่า สภาวะที่เบิกบานถึง

            พ่อครูว่า คนอินเดีย นักบวชเขาหลีกให้ เขาเคารพนักบวชมาก ยิ่งพระพุทธเจ้า ท่านมี สมณสารูป ที่น่าเคารพด้วย แต่ว่าพระพุทธเจ้า ตรัสเป็นธัมมาธิฏฐาน ต่างหาก
            อาการทุกข์ เป็นนามธรรม เป็นจิต เจตสิก ไม่มีรูปร่าง สีสัน รู้ได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ

ทีนี้ต้องขอย้อนกลับไปพูดถึง เรื่องที่ยังค้างอยู่.. คือเมื่อเราได้เดินลง จากสะพานลอย ข้ามถนนแล้ว ก็ยังคงเดิน ต่อไปเรื่อยๆ บนฟุตบาท ด้วยอาการสำรวม อันเป็นอัตโนมัต โดยที่สายตา ก็ยังคงห้อยต่ำ เหมือนตาพุทธรูป และเมื่อรู้ได้เองว่า กำลังจะถึง สี่แยก ที่จะต้อง เดินข้ามแล้ว.. จึงได้เริ่มเผยอ เปลือกตาขึ้นมอง อีกครั้ง.. เพื่อจะดู ให้แน่ใจว่า จะข้ามถนน ได้ทันทีหรือไม่? ฉับพลันนั้นเอง ..นาม-รูปหนึ่ง ที่กำลัง
0888705xxx ซ้อนมอไซอยู่ ได้หันหน้า มาทางเราพอดี พร้อมกับกำลังคิดว่า ชั้นนี่สวยไหม? จะมีใครมองชั้นบ้าง หรือเปล่าเนี่ย!

            พระพุทธเจ้าให้เรียนรู้ วิญญาณในตัวเราเอง ไม่ใช่ไปรู้ วิญญาณนอกตัว

            ซึ่งการที่เราเห็นนาม คือความคิดนั้น.. ก็เห็นได้พร้อมๆกันกับ ที่เราเห็นรูป นั่นแหละ! โดยที่รูปย่อมประจักษ์ชัด อยู่ตรงหน้าเช่นใด.. นามคือความคิดนั้น ก็ให้ ประจักษ์ชัดได้ อยู่ตรงหน้า เช่นนั้นเช่นกัน ไม่แตกต่างกันเลย! แถมยังรับรู้ ไปพร้อมกัน ได้อีกด้วย! แต่เมื่อรู้แล้ว ก็ผ่านเลยไป โดยมิได้ใส่ใจ! เพราะสติทำหน้าที่
0888705xx แค่กำหนดรู้ คือรับรู้ ณ.ปัจจุบันขณะ อย่างเดียวเท่านั้น! จึงมิได้มีเรื่องราว ของ อัตตา ตัวตนใดๆ อันเป็นสังขารปรุงแต่ง ที่เกิดขึ้น เพราะด้วยความคิดนึก.. มาเจือปน อยู่ด้วยเลย.. ไม่ว่าจะเป็น เรื่องของเขา หรือของเรา จิตเองก็ไม่คิดนึก ปรุงไปทางใด ทั้งสิ้น! เพราะโดยลำพัง ที่อยู่ในความสงบ สันติสุขนั้น.. ก็ย่อมสุขบริบูรณ์แล้ว! เหนือกว่า สุขใดๆ ในโลกทั้งหมด จึงย่อมไม่มี ความคิดนึก ถึงเรื่องราวอันใดอีก! แต่เมื่อเวลาผ่านไป สักพักใหญ่

0888705xxx จิตของเรา ก็ได้เกิดความยินดีพอใจ ในสุขนี้ขึ้นมา.. จึงทำให้กำลังของสติ ที่จะระลึกรู้ อ่อนลง! เพราะเผลอไปนั่นเอง.. จึงย่อมรู้ไม่ทัน ต่ออารมณ์ ณ.ปัจจุบัน! และซ้ำ ยังจะให้เกิด จิตสังขาร คือความคิดปรุงแต่ง แทรกขึ้นมาอีกว่า ที่ตะกี้ เราสามารถ ไปรู้ได้ว่า ผู้หญิงคนนั้น คิดอะไร..นี่ก็=ว่า เราเป็นผู้วิเศษแล้วซินะ! และทันทีที่เกิด ความคิดนึกว่า เป็นเรา หรือเป็นตัวตนของเรา ขึ้นมานี้.. ความสงบสันติสุข ก็ได้หายไป ทันใด เหมือนกัน! และ
0888705xxx จึงต้องกลับมาเป็น เหมือนคนทั่วไปอีกครั้ง! ซึ่งจากเรื่องจริง ของเรา ที่ได้บรรจง เล่ามานี้ คิดว่า น่าจะเปิดหูเปิดตา เปิดปัญญาให้กับ พธร.บ้าง ดีกว่า ไปซ้ำเติมกัน ใช่ไม๊! และอย่าลืมว่า นี่เป็นเรื่องปี 2526 ที่เรายังเป็นปุถุชนอยู่! แต่ถ้าจะเอา เรื่องที่เป็นอริยะ ตั้งแต่ปี 2535 มาเล่าละก็.. เนื้อธรรมะที่เป็น โลกุตระแท้ๆนั้น ถ้าพูดกับ อริยะ ด้วยกันแล้ว.. ง่ายมาก! แต่ถ้าขืนไปอธิบาย ให้ปุถุชนฟัง.. คงต้องกด SMS กันจนนิ้วล๊อค! Bye-Bye

0888705xxx พธรเอาลัทธิเหมาเจ๋อตุง มาดัดแปลงนิดหน่อย ก็กลายเป็น พุทธลัทธิ วิภาวตัณหา!

            พ่อครูว่า ไม่ได้ซ้ำเติมหรอก ที่เล่าเรื่องของคุณมา ก็ทำให้รู้จักคุณ มากขึ้น พ่อครู ก็ขยายความ มาพอสมควร แต่ก็หมดเวลาแล้ว ต้องหยุดก่อน เพื่อตอบประเด็น

            มีคนไปค้นพบหลักฐาน ในพระไตรฯว่า ไม่มีที่พระพุทธเจ้าว่า ไปในทาง คับแคบเลย พ่อครูก็ว่า อาจมีได้ ที่คุณหาไม่พบก็ได้ อย่าไปว่าเขา

  • ๑. นามกับนามธรรม มีความหมายอย่างเดียวกัน คือตัวรู้ ธาตุรู้ คือจิตเจตสิก

ตอบ... ก็ใช้ถูก ขอขยายคำว่านาม ก็คือ จิตเจตสิก ซึ่งแม้รูป ก็หมายเอา สภาพที่ถูกรู้ เช่น เวทนา เป็น นาม แล้วมันถูกรู้ ก็เรียกว่า “นามรูป” เพราะมันถูกรู้ มันไม่ใช่ตัวปัญญา เราก็มีญาณปัญญา ไปอ่านสุข ทุกข์ของเรา เห็นรูป คือนามธรรมมันถูกรู้ ตัวนามธรรม ของเราเอง มันมีอาการสุขทุกข์ แล้วเราก็สัมผัส อ่านออก เอาสัญญา ไปกำหนดรู้ ว่าอาการอย่างนี้คือสุข เกิดสัญญาที่เป็นปัญญา รู้ความจริง ตามความเป็นจริง
คำว่า นาม คือตัวรู้ หรือธาตุรู้ ธรรมะเป็นสิ่งกลางๆ ถูกรู้และรู้ได้ เป็นสิ่งที่ทรงอยู่ หรือสูญไปก็ได้ จะสูญชั่วคราว หรือถาวรก็ได้ อย่างทุเรียน ภาษาอังกฤษเรียก ดูเรียน สิ่งที่ถูกรู้ ที่อยู่ข้างนอก เป็นรูปรูป
 รูปกาย คือสิ่งที่ถูกรู้ ที่รวมข้างนอก และนามข้างใน
ถ้าเป็นนามกาย คือเอาแต่รูปภายใน และนามภายใน เป็นองค์รวมภายใน

  • เมื่อตากระทบรูปคือทุเรียน กายนอกกายจึงคือ ตาและทุเรียน กายในกายรวมหมด ตั้งแต่ รูปร่างทุเรียน ที่อยู่ในใจเรา ซึ่งอาจจะมี หรือไม่มีก็ได้ อารมณ์ที่เกิด เหตุของอารมณ์นั้น เหตุของอกุศลเป็นจริง ขณะนั้น

ตอบ... ถูกต้อง

  • อรูปอัตตา เป็นกิเลสที่เกิดจากสัญญาเท่านั้น ไม่ใช่ของจริง จึงไม่จำเป็นต้อง กำจัดมัน

ตอบ... ไม่ได้ ต้องกำจัดหมดเกลี้ยงเลย ท่านให้ใช้อรูปฌาน ตรวจสอบเลย มันต้อง หมดทุกอย่าง ในอัตตา แต่ที่ว่าไม่มีหมดแล้ว ก็อยู่อย่างอรหัตตา คืออาศัยอัตตาทำงาน ไม่ได้ยึด

  • ส่วนกิเลสในอรูปภพ ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย คือเมื่อดับกายหยาบ คือเอาตัวช้าง ออกมาได้ กามภพดับ แต่ก็อยู่กับกามาวจร แต่ไม่มีกิเลส สัมผัสกามคุณ ก็ไม่มีกิเลส มีแต่กิเลส ที่เหลือ คือ รูปภพ

ตอบ...คุณก็ไล่ทำตัวที่เหลือ เหลือหางช้างเป็นอรูป ก็ตามลำดับ มีผัสสะอยู่ แม้อรูปตัณหา ก็ระริกระรี้อยู่ ก็ต้องกำจัดมัน ส่วนอรูปอัตตา ไม่ต้องล้าง ก็สับสนอยู่นะ เพราะชาติดับ ภพจึงดับ ภพดับ ชาติที่เกิดไม่มี ภพมันดับแล้ว ชาติก็เกิดได้ แต่ไม่มีภพกาม รูปภพก็ไล่ไป อรูปภพก็ไล่ไป เช่นกัน

  • บวกกับ แต่ก็คลับคล้ายคลับคลาว่า กิเลสอรูปภพ เกิดได้ด้วยสัญญา พ่อครูเคยพูดว่า สัญญาล้างยาก เกี่ยวกับกิเลส ในอรูปภพหรือไม่?

ตอบ... ใช้ อรูปที่เกิดจากสัญญาล้างยาก มันติ๊งต่องๆ ไม่หลุดซักที อย่างของหยาบ ก็ล้างง่าย แต่สัญญา มันอยู่ในใจเรา ไม่ต้องมีผัสสะ ก็ขึ้นได้เอง ล้างยาก แล้วแต่ใคร ยึดอะไร

  • ในเรื่องปฏิจจสมุปบาท เมื่อเราจะเปลี่ยนแปลงวิญญาณ ต้องมีนามรูปปริเฉทญาณ ซึ่งในปฏิจจฯ มีญาณนี้ ที่ตรงไหน?

ตอบ... ญานตัวนี้คือวิชชา ก็ล้างอวิชชา ไปตลอดสายปฏิจจฯ

  • ๑. ผู้รู้จริงจะเห็นความผิด เป็นความถูก ผู้ไม่รู้จริง จะเห็นความถูกของคนผิด คือสิ่งถูก เป็นอย่างไร?

ตอบ..ผู้รู้จริงจะเห็นความผิดของคนผิด เป็นความถูก (คือคนนี้ อย่าง ๘๗๐๕ เขาเห็น อย่างนี้จริง อย่างไม่เสแสร้ง เขาเอาของจริง มาบอกพ่อครู) ส่วนผู้ไม่รู้จริง จะเห็นความถูก ของคนถูก เป็นความผิดอยู่

  • ๒.การคบคนชั่ว (แต่ดำรงตนได้) เป็นประโยชน์อย่างไร

ตอบ.. คือเราทรงสภาพของเราได้ ไม่ตกต่ำ เราก็ได้รู้ว่า นี่ชั่ว แล้วเราเป็นอย่างเขา หรือไม่?

  • ๓. ต่อจากภพนี้ ศาสนาพุทธจะอยู่ต่อ ไม่ต่ำกว่า ๕๐๐๐ ปี ไม่มีแปลว่า จะไม่มีศาสนาพุทธ?

ตอบ.. ไม่ใช่เรียกว่าภพ แต่เป็นระยะหนึ่ง ของศาสนาพุทธ ซึ่งศาสนาพุทธ จะอยู่ไปถึง ๕๐๐๐​ปี แล้วจะไม่มีศาสนาพุทธ จนไปถึง ที่จะมีพระพุทธเจ้าองค์ใหม่ ซึ่งระหว่างที่ ไม่มีศาสนาพุทธ นี่เรียกว่า พุทธันดร แต่ศาสนาพุทธนี้ เกิดวนเวียนมากมาย หลายรอบ พระพุทธเจ้า เกิดมาแล้ว มีมากมายกว่าเม็ดกรวด ในมหานที แต่ว่าแต่ละ พระพุทธเจ้า กว่าจะมาเกิด นานมาก

  • ระหว่างฝืนกับทำตัวตามสบาย ก็ตกนรกทั้งคู่หรือ? แล้วทางออกคือ? การเรียน ศึกษาธรรมะ เป็นทางออกหรือ?

ตอบ... ภาษามันหลากหลาย คำว่าสบาย ก็ไม่เป็นนรก ส่วนฝืนอยู่ ก็ต้องมีนรก ต้องมีตบะ มีขันติ จะทำให้เห็น ความไม่สบาย ก็สามารถกำจัด เหตุแห่งความไม่สบาย แต่ถ้า เสพสบาย ก็ติดสวรรค์ลวง ซึ่งคือนรกนั่นแหละ มีนรกพ่วงกับ สวรรค์ปลอม ตลอดเวลา แต่นรกอย่างฝืนสู้ ก็มีสิทธิ์หมดกิเลส หมดนรกได้ในที่สุด แต่ติดสบาย นรกจะยาวนาน

  • เคยไปปฏิบัติธรรมกับชาวอโศก เวลาเย็นๆ จะเหงามาก ทำไม?

ตอบ... ไม่มีฉันทะ ที่เป็นหนึ่งใน แสงอรุณทั้ง ๗ ข้อ คือ ฉันทะต้องมาก่อน แม้แต่ใน มูลสูตร ต้องมีฉันทะมาก่อน ต้องทำความเห็น พิจารณาว่า น่าดีน่าได้ น่าเป็นอย่างไร จึงจะมีฉันทะ ในการปฏิบัติ

  • ฟังพ่อครูตอบ ๘๗๐๕ วันนี้ ได้คำตอบว่า เขาไม่ปกติ แน่นอนเลย

ตอบ.. ก็พิจารณาไป ตามความเห็นของคุณ

  • ขอพ่อครูอธิบายคำว่า มงคลอันอุดม

ตอบ...ในมงคล ๓๘ คือ เอตัมมังคลมุตตมัง คือสิ่งดีงาม นำสู่ความประเสริฐ สู่พ้นทุกข์ อุดมคือ สิ่งสูงสุด จบ มงคลอันอุดม มี ๓๘ คือความดีงาม ตั้งแต่เรื่องง่ายๆ ต้นๆ อเสวนา จ พาลานัง _ บัณฑิตา นัญ จ เสวนา... ไปจนจบ อโศกัง วิรชัง เขมัง แม้ไม่โศกแล้ว ก็ต้องระวัง ธุลีหมอง ธุลีเริง ซึ่งอโศกนี้ อยู่ในระดับ อนาคามีเยอะ ไม่ต้องมีอะไรยาก มาหรอก อยู่กันอย่างสบายๆ เป็นภูมิภพที่พ่อครู ต้องหนักอยู่

  • คุณกัลยา ถามว่า จิตอยู่ส่วนไหนของร่างกายคะ

ตอบ.. จิตไม่มีที่อยู่ จิตอยู่ในร่างกาย คือ คูหาสยัง อยู่ในร่างกาย เป็นตัวกำหนด เป็นอจินไตย แต่มันต้องออก ไม่อยู่ในนี้ นิรันดรหรอก แต่ออกไปแล้ว ก็ไม่มีที่อยู่ มันเยอะ ละเอียดมาก

  • ผู้ที่ปรารถนาพุทธภูมิ ต้องผ่านด่าน มักนารีผล ทุกคนหรือเปล่า?

ตอบ... คุณจะหมายถึงว่า ต้องผ่านผู้หญิงหรือไม่? คือก่อนบวช ก็ผ่านมาแล้วได้ แต่บวชแล้ว จะมาผ่านไม่ได้ แต่ก่อนหน้านี้ ก็มีมาเยอะแล้ว ไม่ต้องไปเรียนก็รู้ได้ เป็นสัญชาติญาณ

  • ผู้บำเพ็ญมาแล้วกึ่งหนึ่ง จะต้องสัมผัส พระปัจเจกโพธิหรือไม่?

ตอบ... ปัจเจกโพธิ นั้นหมายถึงสองขั้น คือ ปัจเจกในระดับสามัญ ยังไม่ถึงอรหันต์ ก็สะสม จนกว่า จะอรหันต์ พอเลยอรหันต์ไปแล้ว ก็สะสมปัจเจก จะถึงเลย นิยตโพธิสัตว์ ไปถึงปัจเจกสัมโพธิ ก็เป็นปัจเจก ขั้นเลยอรหันต์ไป ที่ว่ามาคงหมายถึง ระดับเลย อรหันต์ล่ะมั้ง ตอบว่า ก็จะได้สัมผัส เพราะจะได้มาช่วยกันไป

  • จิตใจมันฟุ้งซ่านตลอด คิดเรื่องราวถึงอดีต ทำไง

ตอบ...ต้องมาเรียนรู้ธรรมะ แล้วก็แบ่งทำ ไม่ต้องไปทุกข์มากกับมัน จะฟุ้งก็มาก ก็ปล่อย มันก่อน เราเอาแค่ศีล ๕ ก่อน จะเอาหมดไป ก็ไม่ได้ ต้องทำงานจ็อบ งานอีเว้นท์

  • เรียนเผากิเลสแปลว่าอะไร แล้วเอาอะไรไปเผา

ตอบ.. มันเป็นนามธรรม ไม่เหมือนไฟที่เห็น แต่เป็นไฟฌาน ที่มีฤทธิ์ ไปทำลายกิเลส ไปละลาย ไฟระคะ ไฟโทสะได้ มันมีฤทธิ์ของปัญญา ของฌาน เป็นวิปัสสนาญาณ มีฤทธิ์อำนาจ เป็นนามธรรม คำว่าฌานคือ กองไฟใหญ่ ไปเผากิเลส

จบ          
       

 
๔ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่สันติอโศก