|
||
พ่อครูเดินทางออกจาก โรงปุ๋ยรักษ์ดิน ควรธรรม ธรรมชาติอโศก อ.หลังสวน จ.สุราษฏร์ธานี เมื่อเวลาประมาณ ๑๒.๑๗ น. ของวันที่ ๕ กรกฏาคม ๒๕๕๖ เดินทาง โดยรถยนต์ไปถึง ศูนย์การเรียนรู้ ชเลขวัญ หมู่ ๓ ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา เมื่อเวลาประมาณ ๑๗.๑๕ น. ต้องเรียนรู้สังกัปปะ ที่แจกเป็น ๗ องค์ธรรมสังกัปปะ ตัวที่ ๗ คือวจีสังขาร แล้วพลังงานของสังขาร จึงออกมาข้างนอก วจีสังขารไม่ใช่คำพูด แต่เป็นวจีในจิต คนชาติไหน ก็เป็นภาษาคำพูด ของชาตินั้น มันเร็ว ไม่ต้องนึกเลย มันเนียนมาก คนที่ใช้ภาษา ไม่ต้องคิดเลย บางทีเราเรียน ภาษาต่างชาติ ยังต้องคิดเป็นคำ ก่อนพูด แต่คนที่เป็น สัญชาติญาณแล้ว ก็พูดออกมาได้เลย แทบไม่ต้องคิด พ่อครูยกมังคุด มาเป็นตัวอย่างว่า มันเป็นอนุปาทินกสังขาร คือไม่มี วิญญาณครอง ไม่เป็นชีวะ ที่ถึงขั้น อุปาทินกสังขาร มันเป็นพีชะนิยาม มีพลังงาน ที่สร้างตัวมันเองได้ แต่มันไม่รู้เรื่อง ไม่รู้สึกอะไร ก็มาเข้าสู่รายการเอื้อไออุ่น จะถามสด ถามแห้งก็ได้
ตอบ... เป็นเรื่องสำคัญ ถ้าไม่รู้จักชาติก็บรรลุธรรมยาก ชาติ เป็นทั้งรูปธรรม และนามธรรม แต่ชาติที่คุณหมาย ก็คงหมายถึงว่า ๑. คนเกิดชาติก่อน จะมาได้ร่างกายนี้ มันมีจริงหรือไม่ ๒.ชาติที่หมายถึงนามธรรม ที่ว่าพระพุทธเจ้า ก่อนตรัสรู้ก็ ก็มีชาติ เกิดตาย มาหลายชาติ พอพระพุทธเจ้าตรัสรู้ก็ว่า อย่าคำนึงถึงชาติ ที่เกิดตาย มาก่อนแล้ว พระพุทธเจ้าระลึกชาติได้มากมาย ย้อนกลับไปได้มากเลย ตอนตรัสรู้ แม้ตัวท่าน เป็นพระพุทธเจ้ามาเกิด ก่อนตรัสรู้ ก็ยังไม่รู้ว่า ตนเป็นพระพุทธเจ้า ก็เลยออกป่า ปฏิบัติผิดๆ ๖ ปี ซึ่งเขาเข้าใจผิดว่า ต้องไปทรมานตนออกป่า เหมือนพระพุทธเจ้า จึงบรรลุ แต่ท่านตรัสไว้ชัดว่า นั่นเป็นทางผิด เราไม่ได้บรรลุในวิธีนั้น แต่เราไปใช้วิบาก ที่อดีตชาติ ได้ไปจาบจ้วง พระพุทธเจ้าองค์กัสสปะว่า จ้างก็ไม่ได้บรรลุ จากการมานั่ง อย่างนี้หรอก ประเด็นของมันคือว่า เมื่อพระพุทธเจ้าระลึกชาติ ก็ได้รู้ว่า ตนได้บรรลุธรรม มาก่อนแล้ว ท่านมี พุทธการกธรรม (ธรรมะที่ทำให้เป็น พระพุทธเจ้า) โดยไม่ได้ปฏิบัติอีก ในชาตินี้เลย ที่ว่าเมื่อท่านตรัสรู้ เป็นพระพุทธเจ้าแล้ว ไม่ต้องไปคำนึงถึง ชาติก่อนๆ ก็ถูกต้อง แต่อย่าไป เข้าใจผิดว่า ไม่มี แต่ว่ามันมีจริง แต่อย่าไปเอามาใส่ใจ ให้ใส่ใจใน นามธรรม ใส่ใจใน ชาติ ของจิตวิญญาณ ให้เรียนรู้ชาติ ที่เกิดจาก การกระทบสัมผัส สังขาร ๓ ให้รู้กายในกาย... อธิบายว่า ตาสัมผัสมังคุด ตากระทบรูปอยู่ หรือไม่ก็ได้ คุณก็มีสภาพรูป ที่ติดตาเขามา อยู่ในใจแล้ว เมื่อเป็นกายในกาย ก็มีวิญญาณร่วม เราก็อ่านรู้ สังขาร เราอ่านเห็น สักกายะ แล้วเห็นความไม่เที่ยง คือพ้น สักกายะทิฏฐิ รูปตัวแรกคือรูปนอก แต่รูป ในคำว่า จิต เจตสิก รูป นิพพาน หมายเอารูปคือ นามที่ถูกรู้ อยู่ภายใน เป็นนามรูป พอสัมผัสปั๊ป มันปรุงแต่งแล้ว เล่นเห็นมังคุด ก็ปรุงเลยว่า มันน่ากิน อาการน่ากิน นี่แหละ คือเวทนา มีตัณหามาร่วม ว่า อยากได้ ก็หยิบกินเลย ก็ชื่นใจ ก็มีสุขเวทนา ก็อ่านให้ได้ว่า ก่อนสุขนั้นมี ตัณหามาก่อนเลย คุณอยากมาก่อน ที่จะเกิดสุข แต่ถ้าไม่ให้ มันก็ดิ้นสิ เป็นสัตว์นรก สัตว์นี้ที่เกิดในตัวคุณ นี่แหละคือการเกิด คือ ชาติ ของนรก คำว่านรก คือนิรยะ คือดิ้นแรง อยากแรง เหมือนคนเสี้ยนยา ถ้าอยากในระดับกลาง ก็เรียกว่า สัตว์เปรต ก็ความอยากเหมือนกัน แต่นิรยะ แรงกว่า นี่แหละคือ เกิดจิตโอปปาติกะ เราต้องรู้จัก นี่คือ สัมมาทิฏฐิข้อหนึ่ง ในสิบข้อ ของสัมมาทิฏฐิ ถ้าเรียนรู้สัตว์ไม่ถูกต้อง เรียกว่า สัตตาวาส ส่วนชาติที่เกิดแล้วเกิดอีก นั่นแหละคือ สัญชาติ อย่างเรายึดว่า มังคุดอร่อย ก็ติดยึดไป แม้มันจะพักยก ตัณหาก็ไม่ได้หายไป เพียงแต่หลบพัก เป็นอุปาทาน เราต้องไม่ให้มัน เวลาอยาก คุณจะเห็นมันดิ้นเลย เราก็มีตาทิพย์ หนึ่งในวิชชา ๘ ข้อเลย ซึ่งวิปัสสนาญาณ เป็นข้อแรก คือญาณที่เห็นอาการเลย เห็นด้วยตาปัญญา ไม่ใช่ตาเนื้อ จิตไม่มีรูปร่าง เส้นแสง จิตเป็นองค์ประชุม ทั้งรูปและนาม คำว่ารูปกาย รวมทั้งนอก และใน ส่วนนามกาย ก็ละข้างนอกไว้ ในฐานที่เข้าใจ รูปทั้งหมด อภิธรรมแจกเป็น ๒๘ ซึ่งมหาภูตรูป แจกเป็น ๔ และอุปาทายรูป แจกเป็น ๒๔ อย่าง
ตอบ ... เรื่องนี้พ่อครูไม่อยากไปละลาบละล้วงมาก พระอภิธรรมเป็นสิ่งที่ เรียบเรียง ในภายหลัง แต่ไม่ได้หมายความว่า เป็นเรื่องไม่จริง เป็นสิ่งที่พระสารีบุตร เรียบเรียงไว้ แต่แรก แล้วก็มีผู้รู้ มาอธิบายต่อ บางสย่าง ก็ละเอียดเกินไป เรียกว่าเฟ้อ ไม่ผิดหรอก แต่ไม่จำเป็น ต้องเอามาเรียน ก็เป็นอรหันต์ได้ แต่โพธิสัตว์ต้องเรียน หลักใหญ่ก็เกิน แต่ที่เพี้ยนผิด ก็มีบ้าง
ตอบ... เป็นสังขยาเลข ตัวเลข ๗_๘_๙ ถ้าสามารถจับหน่วยมาเรียงได้ ๑ กับ ๑ ไม่หมุน เป็นเส้นตรง แต่มี ๓ ก็เป็นวัฏฏะ เป็นตัวตน เป็นเส้าแรก แต่พอเริ่มขยายจากตัวเก่า ก็มี ๑ ใหม่ก็เป็น ๔ แล้วก็จะมีการจับตัวเป็น ๕_๖ ก็เป็นสองเส้า ก็ยังหมุนอยู่ในตัว เป็นเส้นตรง ต้องมี ๗_๘_๙ ก็จะเป็นเส้าที่สาม เป็นวงวัฏฏะใหม่อีก การเกิดทางรูปธรรมและนามธรรม ถ้าเป็นพลังงานแรก เป็นตัวตน จะเคลื่อนไม่ได้ ต้องเป็นสาม จึงเป็นครบเส้า แต่พอเกิด ๔ ก็ไม่บริบูรณ์ แต่พอมี ๕ ๖ ก็มีเส้าที่สอง ครบ แต่พอตัวที่ ๗ คือตัวเริ่มเกิด ที่จะครบบริบูรณ์ ของวงเส้าที่สาม คือ ให้ครบ ๐ หรือครบ ๑๐ ถ้าคุณจะฆ่ากิเลส ถึงขั้นที่ ๗ คือแน่นอนต่อการตรัสรู้ เป็นเลขนิยตะ คือเที่ยงแท้ อย่างโพธิสัตว์ ขั้นที่ ๗ คือนิยตโพธิสัตว์ แน่นอนต่อการตรัสรู้ ถ้าคุณทำคุณสมบัติ ถึงขีด ๗ คุณบรรลุแน่ จะมานับเป็นปีๆไม่ได้หรอก หรือจะนับคนเกิดมา เป็นชาติๆ ๗ ชาติ ก็ไม่ใช่พาซื่อ อย่างนั้น เกิด ๗ ชาติ พ่อครูว่า เกิดโพชฌงค์ คือการเกิด ๗ ก้าว ถ้าได้ก็บรรลุแน่ หรือ คือสังโยชน์ ๑๐ ถ้าพ้นโสดาบัน ก็บรรลุสังโยชน์ ๓ ก็เหลือสังโยชน์อีก ๗ ก็จะบรรลุอรหันต์
ตอบ... ก็ต้องกำจัดอัตตาของตนเอง จึงจะสมานอัตตา...คนที่ถามก็พูดว่า ของดิฉันน้อย .. พ่อครูก็ว่า คุณพูดเองนะว่า ให้ดูอัตตาของตนก่อน พ่อครูว่า อัตตามี ๓ ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา อรูปอัตตา คำว่าอัตตา คือภาษา ที่เป็นตัวตนรวมๆ แต่อัตตะก็คือ สิ่งที่ปรากฏขึ้น ยกขึ้นในตน เป็นนามธรรม ไม่ใช่รูปธรรม อัตตาคือกิเลส เราต้องล้างอัตตา อัตตาคือความเป็นสัตว์ ในสัตตาวาส ๙ สัตตาวาส ๙ ข้อที่ ๑ คืออ่านกายต่างกัน สัญญาต่างกัน ให้ได้ก่อน รู้หยาบก่อน กำจัดหยาบก่อน แล้วลดละ ไปตามลำดับ ปฏิบัติให้ตรง ก็ล้างอัตตาได้ ใครก็ตาม พวกเรา อยู่ด้วยกัน ล้างอัตตาได้ ก็สามัคคีเอง ถ้าไม่ล้างอัตตา ก็ซัดกันไปมา พวกเรามาอยู่ ๓๐ กว่าปี ก็ไม่ได้มีอัตตาทะเลาะมากมาย ก็แค่ว่ากันไปมา งอนกันไปมา ไม่ถึงฆ่ากัน ตีกัน มั่นใจว่า อโศกเราเป็นจริง ไม่มียึดตัวตนมาก จนต้องรุนแรง เพราะลดอัตตา มาจริง ไม่ได้เอา มามิสมาล่อ ไม่ได้เอาโลกธรรม มาล่อด้วย ต้องทำตัวช้าง ออกจากพวยกาก่อนให้ได้ อย่างมัวแต่งมตัวละเอียด เอาหางช้าง ออกจาก พวยกาก่อน เราต้องทำตัวหยาบก่อน แล้วค่อยไล่ออกมา ตามลำดับ จนกระทั่ง เหลือหางช้าง สุดท้ายออก คนส่วนใหญ่ หลงเอาหางช้าง ออกก่อน ก็ไม่ได้บรรลุหรอก
ตอบ... พ่อครูว่า ต้องอ่านของตนเองให้ได้ จะจริงหรือไม่ก็คือ เขาอ่านจิตตน ได้จริงไหม มีผลจริงไหม เป็นสภาวธรรมจริงไหม อาการอย่างนี้ มันออกไปหมดแล้ว มันเป็นนามธรรม ไม่มีรูปร่าง หรือมันเหลือน้อย จนไม่แสดงออกมา ทางกายวาจาแล้ว ก็เป็น อนาคามีภูมิ ในศีล ๕ ในโสดาบัน คุณอ่านผิด มันก็ผิด อ่านได้จริง มันก็จริง ต้องศึกษาอย่างนี้ ตอบแทนกันไม่ได้
ตอบ... มาจากสัญญา มาจากความจำ จากจิตวิญญาณ ที่มีคลังความรู้อันหนึ่ง ไม่หายไปไหน เหมือนฮาร์ดดิสก์ คือสัญญาของคน ที่เป็นคลังข้อมูลใหญ่มาก ไม่หายไปไหน แต่ดึงออกมาใช้ไม่ได้ คนที่ศึกษา ก็เอามาใช้ได้ คนเราจำ ชาติก่อนไม่ได้ เพราะคนตายไป กว่าจะมาเกิดอีก นานมาก ส่วนใหญ่ตกนรกมากนาน ซึ่งเขาไม่ค่อย จำหรอก เพราะตกนรก มันทุกข์ คนที่ตายไปแล้ว เกิดมาเร็ว จะจำได้ เอามาจากไหน? ก็เอามาจากสัญญา พระพุทธเจ้าท่านเก่ง ในการมีเตวิชโช อย่างพ่อครู เอามาจากไหน? คุณรู้ไหม? ก็ตอบว่า เอามาจากของเก่าที่มีอยู่ มาบอกความจริง ไม่ได้ศึกษา เรียนจากสำนักไหน? แสดงออกมา ไม่เหมือนกับสำนักไหน ที่ต้องบอก เพราะอยากให้รู้ว่า ๑.ชาติก่อนมีจริง ๒.ความรู้เหล่านี้ เป็นสัญญา ที่เก็บมาใช้ได้ คนเราที่เกิดมา ก็เอาวิบากชุดหนึ่ง มาใช้เท่านั้น เป็นอจินไตยอย่างหนึ่ง ถ้าเราเอง เราศึกษาดีๆแล้ว จะรู้ว่า ทุกอย่าง ไม่หายไปไหน โดยเฉพาะนามธรรม สะสมมานานมาก จนกระทั่ง มีลัทธิที่ครองโลก บอกว่า จิตวิญญาณ เป็นนิรันดร แต่พระพุทธเจ้าว่า ทำให้จิตวิญญาณสูญได้ ต้องมาปฏิบัติเอง จึงจะรู้ได้เอง ไม่ต้องไปเถียงกับใคร เหมือนคนถูกลูกศร จะไปหา ว่าใครยิง ก็ตายก่อน เราต้องเอาลูกศร ออกก่อน อย่างหมอชินโอสถ ก็คือเป็นคนเกิดมา เป็นลูกของตนเอง คือเป็นปู่ ตายแล้ว มาเกิดใหม่เร็ว คือเป็นพ่อของพ่อ เลยตามรู้ได้เร็ว ลูกยังไม่ตาย
ตอบ...พ่อครูว่า ที่ว่าวันเกิด ที่จริงคือวันตาย คือวันนี้คุณจำลองตายไปแล้ว ๗๘ ปี กำลัง จะเริ่มปีที่ ๗๙ มันล่วงพ้นไปแล้ว ๗๘ปี (สมติกกมะ) วันนี้อายุเพิ่งจะวันเดียว
พ่อครูว่า อย่างลุงจำลอง ห่างจากพ่อครู ๑ ปีกับ ๑ เดือนพอดี ก็นับง่าย
พ่อครูสรุป.... ที่ออกอากาศทีวีได้ ก็เป็นเรื่องเหลือเชื่อ เพราะเราไม่ได้ ไปหาเงิน อย่างเอาเปรียบ เอารัด เรามีหลักว่า ไม่สะสม น้อยก็พอ ทำให้มาก ที่เหลือ ก็สะพรัด สู่สังคม คือเราไม่สะสม แต่เราก็สามารถเช่าดาวเทียมสองดวง ออกอากาศได้ถึงสองดวง ก็ใช้จ่าย เดือนละ ๑ ล้านกว่า เดือนไหนซื้อของ ก็ใช้สองสามล้าน ก็มาได้อยู่ โดยเราใช้เงิน จากการทำขยะ เป็นหลัก เงินบริจาคก็มีบ้าง เรารับแต่คนใน ซึ่งคนในเรา ก็มีเลือดน้อย เรารีดเลือดจากปู เรามีกติกาว่า ไม่รับเงินบริจาค จากคนนอก เป็นเรื่องมหัศจรรย์ ที่เราทำได้ พ่อครูเคยพูดถึง สามอาชีพกู้ชาติมาก่อน คนก็งงว่า เอาขยะมากู้ชาติ ได้อย่างไร อย่างกสิกรรม หรือปุ๋ย ก็พอฟังได้ แต่ว่าทำไมเอาขยะ มากู้ชาติได้อย่างไร อย่างน้อย ก็มาทำสื่อ ต่อไปสื่อ จะกู้ชาติได้ ทุกวันนี้ เขาปฏิวัติประเทศ กันด้วยสื่อ ทำอย่างไร เราจึงเอาขยะ แปรเป็นเงิน มาเลี้ยงเอฟเอ็มทีวี ทั้งที่เราก็ขาย ราคาถูกมากเลย ดีไม่ดี ก็ขายแจก แถมไปอีก ไม่ได้ขูดรีดเลย สิ่งเหล่านี้เป็น สัจจธรรม ที่ลึกซึ้งเกินพูด แปลกมหัศจรรย์ แต่เมื่อเหตุปัจจัยธรรมถึง ก็ทำได้ ไม่ได้จ้างใครมาทำหรอก พวกเรา อาสากันทำ พูดเป็นสัจจะให้ฟัง ใครเข้าใจก็มาช่วยกัน บางคนเงินเดือนแสนเจ็ด ก็ลาออก มาทำขยะก็มี มีคนหนึ่ง เพิ่งลาออกมาใหม่ๆ เงินเดือนเดือนละ สามแสนสาม ก็บรรจุทำงาน ของอโศกเรางานตกคน นั่นคือสังคมเจริญ ถ้าสังคมใด คนตกงาน สังคมนั้นเสื่อม.... จบ
|
||
|