|
||
พ่อครูจัดรายการที่ห้องกันเกรา สันติฯ ก็มีประเด็นที่คุณ ๘๗๐๕ ส่งมาก็น่าจะมาอธิบายความ แล้วเป็นประเด็น ที่คนส่วนใหญ่ เป็นกัน พ่อครูก็เลย จะได้นำมาอธิบายเทียบเคียง ให้เกิดความเข้าใจ เพิ่มขึ้น ซึ่งความเห็น ต่างกันนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลก แต่เป็นการศึกษา จะได้มีเหตุผล หลักฐาน มาเปรียบเทียบกัน อย่างไม่ถกเถียง เอาชนะคะคาน แต่ก็มีความจำเป็น ที่ต้อง ชี้ถูกชี้ผิดกัน ในรายประเด็นไป ก็เป็นการเติมเต็มกัน อย่างบางกรณี ก็น่าศึกษาน่าค้นคว้า ก็เอามาอธิบายกัน แต่ก็มีสิทธิยืนยันว่า อันนี้ถูกอันนี้ผิด ตามความจริงใจ เป็นการแสดงออก ความจริงใจของตนเอง ไม่ได้เป็นการถกเอาชนะ แต่ต้องกล่าว ชี้ถูกผิด ต่อไปก็จะอ่าน sms พ่อครูไม่ได้ตีความ ให้เพี้ยนไปจาก พระพุทธเจ้า แต่พยายามตีความ ให้ตรงกับ ของพระพุทธเจ้า ที่สุดด้วย พ่อครูว่า เท่าที่เห็นมา คุณ ๘๗๐๕ ก็เข้าใจอยู่ว่า พ่อครูอธิบายอย่างนี้ แต่ไม่เข้าใจ ต่อไปว่า มันเป็นไปได้อย่างไร คือเขาว่า เทวดามันต้อง มีตัวตน ใส่ชฎา สัตว์นรก ต้องมีแขนยาว เหมือนนางนาคสิ นี่แหละคือ ความยึดมั่นถือมั่น เป็นทิฏฐิ อย่างนี้ คนเข้าใจอย่างนี้มากเลย ทั้งที่พุทธคือ อเทวนิยม เข้าใจจิตวิญญาณ อย่างเป็น วิทยาศาสตร์ รู้แจ้งเห็นจริง จิตวิญญาณเรา อยู่ในหลอดทดลอง เราก็เรียนรู้จิต ในหลอดทดลองให้จริง แต่คุณ ๘๗๐๕ เข้าใจว่า ในมนุษย์นี้ เป็นได้แค่มนุษย์ เปลี่ยนเป็น เทวดา สัตว์นรก ตอนเป็นไม่ได้ ต้องตายไป จึงเป็นเทวดา สัตว์นรกได้ พ่อครูก็มี ความเห็นต่าง ต่างที่ว่า จิตวิญญาณ เป็นการเกิดขึ้น หรือพัฒนา หรือเสื่อมลง เรียนรู้เหตุปัจจัย แล้วพัฒนาวิญญาณ ในร่างกายนี้ เราเห็นจิตวิญญาณได้ เรียกภาวะที่เห็นได้นี้ว่า นามรูป ต้องเห็น อย่างแท้จริง เห็นว่าลักษณะอย่างไร คือเทวดา หรืออย่างไร คือสัตว์นรก หรือ ลักษณะใด คือมนุษย์ อย่างไรคือ อาริยชน อย่างนี้คือ โลกียชน รู้ว่าอย่างนี้คือ โสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ ถ้าคุณ ๘๗๐๕ ไม่รู้ความเป็น ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง คือความเป็นสัตว์อื่น บุคคลอื่น คืออย่างที่เราเป็นนั้นก็รู้ แล้วเราทำให้เป็นอื่นไป เช่นจิตวิญญาณเรา ตกต่ำ ไปเป็น สัตว์นรก หรือแต่ก่อน เราเป็นปุถุชน แล้วเราก็ทำ ให้เราเป็นบุคคลอื่น เป็นโสดาฯ สกิทาฯได้ อย่างตอนเป็นๆ แต่คิดอย่าง ๗๘๐๕ จะเป็นอะไร ต้องเป็นตอนตายไปแล้ว เท่านั้น ตอนเป็น ต้องเป็นมนุษย์อย่างเดียว ก็เห็นว่าร่างกาย เป็นมนุษย์นี่ คำว่า กาย ในภาษาบาลี แปลว่าองค์รวม และมุ่งให้อ่าน นามธรรมด้วย แต่ทุกวันนี้ คนเอาไปใช้เป็นคำว่า ร่ายกาย ที่หมายเอาแค่สรีระ หรือโครงร่าง ทั้งๆที่กาย นี้ มีน้ำหนักของนามธรรม มากกว่าอีก เช่น กายมีความหมายว่า รวมทั้ง เวทนา สัญญา สังขาร ก็คือวิญญาณ ก็คือกายนั่นเอง ดังนั้น กาย คือนามธรรม แต่คนทั่วไป พูดคำว่า กายก็จะหมายถึง สรีระโครงร่าง นี่คือ ความเข้าใจผิดมากเลย ทำให้กำหนด (สัญญา) ผิดๆ แต่ที่จริงคำว่า กาย นี้คือองค์รวม ทั้งภายนอกและภายใน ต่อเนื่องกันเข้าไป 0888705xxx จึงบอกด้วยว่า ถ้าคนใดคิดชั่ว ทำชั่ว พูดชั่ว.. คนนั้นก็=เกิดเป็น โอปะปาติกะ สัตว์นรกแล้ว ในร่างมนุษย์! และหากตายไปแล้ว.. ก็จะอยู่เฉพาะ ในภพของตัวเอง ไม่เกี่ยวกะใคร.. เหมือนว่าฝันยาว เท่านั้นเอง! ซึ่งถ้าฝันดี มีความสุข ก็แสดงว่า ตายไป เกิดเป็นเทวดาแล้ว! แต่ตรงกันข้าม หากเป็นฝันร้ายว่า กำลังดิ้นขลุกขลัก อยู่ในกระป๋อง นั่นก็=ว่า ตายไป เกิดเป็นสัตว์นรกแล้ว! ซึ่งที่พธร. มีทิฐิเช่นนี้.. ก็เป็นเพราะ ตัวพธร. เองนั่นแหละ! พ่อครูว่า ก็เอาหลักฐานในพระไตรฯที่พระพุทธเจ้ายืนยันว่า คุณสมบัติของจิต มีลักษณะ เอกจรัง ไงล่ะ แต่ที่ว่าตายไป ก็ไปอยู่กับคนนั้นคนนี้ ไปเจอเทวดา นรก นั้นก็มีจริง คืออุปาทานของคนนั้นๆ เอง 0888705xxx ที่ดันไปเชื่อจินตนาการ ของตนที่คาดคะเน (VerbToเดา) เอาเองว่า ภพนรก อย่างที่ คนที่เคยตายไปแล้ว ฟื้นขึ้นมา แล้วเล่าให้ญาตพี่น้องฟังว่า ไปพบกับยมบาล หรือไปเจอ กระทะทองแดงมานั้น.. ภพนรกอย่างนั้น ไม่มีจริงๆหรอก! คงเป็นเพราะ จินตนาการ ของคนที่ตาย.. คิดไปเอง หรือฝันไปเอง ตะหาก! สรุปก็คือ พธร.เชื่อว่า ภพนรก หรือภพสวรรค์ ที่เกิดขึ้นนั้น ย่อมเป็นเพราะ ถูกจินตนาการ ของคนที่ตาย.. ปั้นขึ้นมาเอง ทั้งนั้น! พ่อครูว่า...ก็ขอเติมว่า ปั้นมาเอง ก็ไม่ใช่แค่จินตนาการ แต่เป็นอุปาทาน หรือ มโนมยอัตตา ที่ปั้นสำเร็จด้วยจิต แต่คุณก็ไปใช้ พยัญชนะว่า ใช้จินตนาการ ปั้นเอง พ่อครูว่า ก็คืออัตตาชนิดหนึ่ง 0888705xxx แต่แท้จริงแล้ว, หาก พธร.จะรู้จัก ย้อนดูความคิดของตน! พ่อครูว่า ก็ขอบคุณที่เตือน แต่พ่อครูอ่านใจตนตลอด ทุกวินาที ต้องรู้ใจเรา อยู่ตลอดเสมอ ต้องมีสติ สัมปชัญญะรู้ตัว ให้เป็นอัตโนมัติเลย ผู้ฝึกดีแล้ว ก็จะเป็นเช่นนั้น ก็จักรู้ทันทีว่า ที่ตนมีความเห็นผิดเช่นนี้.. ก็เป็นเพราะเกิดจาก จินตนาการของศิลปิน คือตัวพธร. ที่ปั้นทฤษฎีนี้ ขึ้นมาเอง ต่างหากเล่า! พ่อครูว่า ก็เอาหลักฐานจากไตรปิฎก และอื่นๆมาอ้างอิง มากมายอยู่นะ ไม่ใช่เอาจินตนาการ มาปั้นเองหรอก เพราะถ้าหากเป็นความจริงว่า ภพนรก-สวรรค์ จะสามารถถูกปั้น ขึ้นมาได้เอง เหมือนอย่างเด็ก ปั้นดินน้ำมันแล้วละก็.. ถามหน่อยว่า แล้วจะมีใครไปบ้า ปั้นให้ตัวเอง ตกนรกด้วยเล่า? มีแต่จะปั้นให้ขึ้นสวรรค์C7 กันทั้งนั้น จริงไม๊! พ่อครู..ก็ว่าน่าคิดนะ บ้าหรือเปล่า ใครจะไปปั้นให้ตน ตกนรก ถามนิดๆ ว่าคนที่กำลัง โกงบ้านเมือง อยู่ตอนนี้ ทั้งที่รู้ว่าบาป ทำไมยังกล้า ทำชั่วทำผิด แต่คน ที่ไม่รู้นั้น ก็เลยปั้นด้วยอวิชชา แต่คนที่ทำ ทั้งรู้ว่าโกงเขา ก็คือ เขาสู้กิเลสไม่ได้ ก็เป็นคำตอบ ให้กับที่ว่า จะมีใครบ้า ไปปั้นให้ตนเอง ตกนรก คนที่ปั้น ให้ตนตกนรก อย่างไม่รู้ คือมืดดำยิ่งกว่า คนรู้ตัว แล้วทำชั่ว คือมันดำฤษณา 0888705xxx จึงต้องขอย้ำหลักธรรมกับพธร.ว่า การที่จะเกิด เป็นมนุษย์ เป็นเทวดา หรือ เป็นสัตว์นรกนั้น.. ย่อมมิได้เกิดขึ้นจาก เจตนา หรือการปั้น ของใครๆทั้งสิ้น! แต่เกิดเพราะ กฏแห่งกรรม ต่างหากเล่า! ซึ่งพุทธเจ้าก็ได้แบ่ง การเกิดของสัตว์ เป็น4 ประเภท ไว้อย่าง ชัดเจนอยู่แล้ว! เช่น มนุษย์จะเกิดในครรภ์ โดยต้องอาศัยพ่อ-แม่ ส่วนเทวดา หรือสัตว์นรก ไม่ต้องอาศัย พ่อ-แม่ เพราะจะเกิดเป็นขึ้นเอง.. จึงเรียกว่า โอปะปาติกะ! พ่อครูว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ แต่ที่คุณว่า เกิดเองนี้คือ คุณจับเหตุไม่ได้ ดับอันหนึ่ง อีกอันหนึ่งก็จะเกิด แต่เป็นเพราะพธร. มีแนวความคิดแบบเดียวกับ คอมมูนิสต์! ที่เชื่อว่า โลกนี้ มีเพียงมิติ พ่อครูว่า พ่อครูเห็นการเกิดการดับ ของสัตว์ในปรโลก อยู่นี่แหละ ฉะนั้นพวกคอมมูนิสต์ จึงให้ความสำคัญเฉพาะ ชาตินี้ชาติเดียว เท่านั้น.. และเลยรังเกียจ ศาสนาพุทธ ที่สอนให้คนนั่งสมาธิ เพราะหาว่า เป็นพวกแรงงาน สูญเปล่า.. ที่ไม่มีประโยชน์อะไร! ส่วนพธร. แน่นอนว่า ฉลาดกว่าคอมมูนิสต์มาก! เพราะที่รู้จัก เอาศาสนาพุทธมาปน.. จึงเลือกที่จะใช้วิธีชม มากกว่า! พ่อครูว่า พ่อครูนี่เป็นนักติ มือหนึ่ง พ่อครูชมน้อย มีแต่ติเยอะ คุณฟังอย่างไรว่า เป็นนักชม หรือเพราะพ่อครูชมคุณมากหน่อย ก็คือคำตอบว่า คุณอยู่กับตัวเอง เท่านั้น มีแต่ตัวกูของกูเท่านั้น 0888705xxx เช่นถ้าบริวารคนไหน ชอบบริจาคทรัพย์ หรือขยันทำงานฟรี ให้หมู่กลุ่ม.. ก็จะชมว่า เป็นเทวดา! พ่อครูว่า มีแต่อธิบายสัจธรรมว่า ถ้าขยันสร้างสรรมาก ก็มีจิตเทวดา ถ้ารักษาศีล5+กินมัสวิรัต.. ก็จะชมว่าเป็นโสดาฯ! และถ้า+สละทั้งเงิน และแรงงานด้วย.. ก็จะชมว่าเป็นสกิทาฯ! และถ้า+ทิ้งบ้านเรือน และทิ้งผัวทิ้งเมีย มาอยู่อโศก ตลอดชีวิต.. ก็จะชมว่าเป็นอนาคาฯ! และยังมีกลวิธีอื่นๆ อีกมาก เช่นบอกว่า ถ้าจะให้เข้าถึง โลกุตระได้จริง.. จะต้องฟังธรรม จากสัตบุรุษ คือสะยังอภิญญา พธร.เท่านั้น! จึงสรุปได้ว่า หาก พ่อครูว่า ก็เคารพมหาเถรสมาคมอยู่นะ 0888705xxx ซึ่งถ้าถามว่า สาเหตุที่ทำไม? ถึงทำให้พธร.เป็นอย่างที่พธร. เป็นอยู่ทุกวันนี้! ก็ตอบได้ทันทีเลยว่า เพราะเงินและอำนาจ ทำให้ทักษิณเสียคน ได้ฉันใด.. ก็เพราะสักการะ และชื่อเสียงนี่แหละ! ที่ทำให้พธร. วิปลาศคลาดเคลื่อน ผิดจากธรรมะ ได้ฉันนั้น! เปรียบเหมือนต้มน้ำ ยังไม่ทันเดือด! หุงข้าวยังไม่ทันสุก! หรือคือยังไม่ทันที่จะบรรลุจริง.. ก็ดันรีบด่วน ออกมาประกาศธรรมะ สอนคนเสียแล้ว! ดังจะขออุปมาสมมุตว่า มีเด็กชาย คนหนึ่ง อายุ6ขวบ ที่ยังไม่ทันรู้เดียงสา พ่อครูว่า ก็ขอบคุณที่ส่งมาให้เห็นว่า คุณก็ยังยืนยันในทิฏฐิอย่างนี้ ซึ่งคนส่วนมาก ก็คิดเช่นนี้ แล้วพบกัน วันพฤหัสบดี ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
ตอบ... คำว่าฌาน ที่บ่งถึงว่า ทำได้บริสุทธิ์หรือไม่ ถ้าอุเบกขา หมายถึงว่า บริสุทธิ์หมด อย่างฌาน ๓ นี่ก็มีสุขนิดหน่อย แต่ก็หมดแล้ว แต่ถ้าจะบอกว่า มีพลังขจัดกิเลส ได้เร็วทันที จะอยู่ในฌานไหน ตอบไม่ได้ เพราะไม่ใช่ลักษณะของฌาน ที่จริง ฌาน คือไฟกองใหญ่ มีประสิทธิภาพ ทำลายกิเลสได้เลย อย่างฌาน ๑ ก็ไม่มีกิเลส แต่ต้องคุม มากหน่อย ฌานทุกขั้น คือจิตเป็นเอกัคคตา คือทำจิตได้อย่างประเสริฐ ยิ่งใหญ่แล้ว แม้ในลัทธินอกพุทธ ก็ทำจิตเอกัคคตาได้ ไม่มีนิวรณ์ได้ แต่ได้ชั่วคราว ของพุทธทำ ได้อย่างถาวร ส่วนความสามารถ ทำได้ทั้งเร็ว และมีหมัดเด็ด ชนะทันที ไม่ต้องนาน ก็คือ ประสิทธิภาพ เรียกว่า วสี คือมีอำนาจสูง แต่ถ้าได้ฌาน ๔ ก็ว่างโล่งสบาย แล้วจาก ฌาน ๔ ก็จะได้อธิบายต่อว่า จะได้มากได้เร็ว คือการสั่งสมฌาน เป็นสมาธิ มีประสิทธิภาพดีขึ้น
ตอบ.. .อรูปอัตตา กับอรูปภพ มีพยัญชนะ และสภาวะต่างกัน อัตตาคือสภาพของตัวตน (อัตตาคือชาติ ไม่ใช่ภพ) ส่วนภพคือแดนอาศัย ดังนั้นที่ถามว่า กิเลสตัวเดียวกันหรือไม่ ก็กิเลสตัวเดียวกัน แต่บอกฐานะของภพหรือที่อยู่ต่างกัน แต่อัตตาคือ ความเป็นตน ในระดับ ต่างๆ อยู่ในอบาย กาม รูปภพ อรูปภพ มันเป็นตัวชาติ ที่เราจะมีอัตตา อยู่แค่ไหน และที่ถามต่อว่า หากใช่แล้ว การเกิดกิเลส จึงต่างกันบ้าง ... กิเลสอรูปอัตตา อรูปภพ เกิดจากสัญญา จะเกิดโดยมีผัสสะก็ได้ ไม่มีมีผัสสะก็ได้ ถ้าสัญญากำหนดรู้อรูป ก็ใช้ทั้งจิตกำหนด ที่ท่านหมายอย่างนั้น ก็เวลาคุณระลึกเอาความจำ คุณก็ต้องใช้สัญญา โดยตรง อัตตาในอรูปภพ ก็คือสัญญาเท่านั้น แต่ว่าในอรูปภพ ก็มีทั้งกาย คือทั้งนอก และใน ก็เป็นความกว้างต่างกัน ที่กำชับว่า ต้องมีผัสสะ เพราะต้องทำ ตามลำดับขั้นตอน ถ้าทำข้างนอกเสร็จ เหลือข้างใน ก็ไม่ยากแล้ว
ตอบ... ก็ใช่ อย่างตอนนี้ก็ยังดี มีศาสนาพุทธเหลืออยู่ แต่ถ้าผ่านสองพันกว่าปี ต่อไป ก็ไม่เหลือแล้ว อาจเหลือ แต่ก็มีภาษาอื่น มากลบหมดแล้ว ไม่มีศาสนาพุทธ เรียกพุทธันดร คนที่เกิด ก็เป็นกลียุค ก็มีวิบากมากอยู่แล้ว คือ ช่วงพุทธันดร เลวร้ายมาก พระพุทธเจ้า ไม่มาเกิด สอนคนไม่ได้เลย จะมีวิบากกรรมมาก กับพุทธันดร อีกยุคหนึ่ง ไม่มีศาสนาพุทธ แต่เพราะคนดี ไม่มีกิเลสเลย ก็ไม่ต้องอาศัย ศาสนาพุทธ ยุคนั้น คนมีวิบากดีมาก แต่กลียุคนี้ วิบากมากทางทุกข์
ตอบ... ใครพูดนะว่าแบ่งทุกข์มากหรือน้อย อยู่ที่ความสะอาด และสกปรก และมัน กลับกันด้วยนะ ... คุณรักความสะอาด อุปาทานคุณก็คือ ความสะอาด องค์ประกอบ ที่ตายไปแล้ว จะไปภพมีระเบียบหรือไม่ เป็นอจินไตย คิดไม่ออกหรอก แล้วตายไป จะทุกข์มากหรือไม่ ก็ตอบไม่ได้
ตอบ...คือธรรมะที่เป็นความจริง ก็แยกเป็นสมมุติสัจจะ ปรมัตถสัจจะ สองอย่างใหญ่ๆ แล้วก็แยกย่อยไปอีก
ตอบ...เป็นภาษาที่พระพุทธเจ้าท่านกล่าวมา แล้วโบราณาจารย์ แปลกันว่า ง้วนดิน ก็ช้อนมากิน เป็นอาหารด้วย ก็คงจะหมายความว่า ท่านย่อลัดๆ สั้นๆ ว่า การกำเนิดโลก พอโลก มีดินน้ำไฟลม แล้วมีชีวะ ก็เริ่มเป็นพีชะ แล้วก็มีจิตนิยาม ก็เจริญไป ก็กินอาหาร ง้วนดินก็คือ อาหารที่เกิดจาก ธาตุดิน ก็กินดิน ก็มากินพืช กินสัตว์ ก็พัฒนาไป แต่เริ่มต้น ก็กินดิน กินน้ำมาก่อน ท่านก็เริ่มจากง้วนดิน ที่ว่ามีโอชะ สรุปคือ อาหารของสัตว์ ก็หลงติดกันไป ต่างๆนานา
ตอบ... ขายให้ขาดทุน ถ้าขายกำไร บาป
ตอบ... คำว่าเช่านี้คือคำเลี่ยง ที่จริงคือการซื้อขายขาดกัน แต่ที่เอาคำว่าเช่า มาแทน เพื่อเลี่ยงไปว่า ไม่อยากเป็นการซื้อขายพระ หรือใช้คำว่า บูชา... คำว่าบาปนี้ มีลักษณะ อย่างใหญ่ สองอย่าง คือ ๑.โง่ หรืออวิชชา ซึ่งบางที คนเราฉลาดมาก แต่อวิชชา (เฉโก) แต่ถ้าฉลาด อย่างปัญญา คือทำกิเลสลด คนที่ทำบาปนี่คือ คนโง่ เพราะมีกิเลส กิเลสทำให้ตนทำบาป กิเลสทุกตัว ถามว่าเช่าพระนี่บาปไหม? ถ้าคุณไปเช่า โดยมีกิเลสก็โง่ อย่างน้อย ถ้าเช่าพระ คุณจะนำพระไปทำไม แล้วคุณฉลาดอย่างไรล่ะ ถ้าเช่ามาให้ตนรวย ให้แคล้วคลาด อันนี้โง่ แต่ถ้านำพระมา เพื่อรำลึกถึง พระพุทธเจ้า จะได้ปฏิบัติธรรม ให้เจริญ แล้วก็เช่าพระมา โดยไม่หลงผิดว่า เช่ามาเพื่อให้มี ฤทธิเดชอะไร คุณก็ไม่บาป โดยเฉพาะ มาลดกิเลส ก็ดีมากเลย จะซื้อพระ ก็ไม่บาป แต่อธิบาย โดยภาพรวม การซื้อขายพระ มีเจตนาไม่ดี มอมเมาไปมาก ก็เป็นเรื่อง กิเลสมาก สรุปว่า ส่วนใหญ่เกือบทั้งหมด คือบาป
ตอบ...ก็ตอบแทนเลยว่า ที่คุณ ๘๗๐๕ ก็สำเนียงส่อภาษา กิริยาส่อสกุล และความเห็น ก็บอกความจริง
ตอบ... เป็นเรื่องของ เคารพใน พระพุทธ - ธรรม - สงฆ์ - การศึกษา - ไม่ประมาท - ปฏิสันถาร นี่คือคารวะ ๖ อย่างพุทธ - ธรรม - สงฆ์ ก็ไม่อธิบายมาก แต่การศึกษานี้ ทุกวันนี้ การศึกษา พาทำลายสังคม เราต้องศึกษา ให้ตัวเราเจริญแท้ อย่างปรมัตถ์ จึงไม่เสื่อม แต่ถ้าศึกษา อย่างทุกวันนี้ ก็ยืนยันว่า ศึกษาโลกีย์ เท่ากับศึกษา เป็นศาตรา เอาไปเอาเปรียบ ซึ่งคนที่ได้เปรียบ ก็เอาเปรียบ เพราะไม่ลดกิเลส ศึกษามาก ศาตรา ก็ร้ายแรงมาก เป็นการศึกษา ที่ไม่น่าเคารพ จะเคารพก็ต้องศึกษา ให้เป็นคนดี จนล้างกิเลสได้ ก็น่าเคารพ พระพุทธเจ้า สรุปธรรมะทุกอย่าง สรุปที่ความไม่ประมาท ที่เหมือน รอยเท้าช้าง เป็นที่รวมของทุกเท้าเลย เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ แม้อรหันต์ ก็ไม่ประมาท ส่วนปฏิสันถาร เป็นเรื่องยิ่งใหญ่ของสังคม พระพุทธเจ้า ท่านตรัสเลยว่า เป็นผู้ปฏิสันถารก่อน เป็นอัชฌาสัย อันนี้พ่อครูว่า ตนด้อยเรื่องนี้ ถ้าพ่อครู มีปฏิสันถาร อย่างดี พ่อครูจะเป็นที่เคารพ มากกว่านี้ ผู้มีปฏิสันถารนั้น น่าเคารพ
ตอบ... พ่อครูว่า แม้มาก็สัมผัสได้ พ่อครูก็พูดด้วยความเชื่อว่า คงไม่ศรัทธา เลื่อมใส เพราะทิฏฐิ หรือ Trend of though มุ่งไปคนละทาง ยิ่งมาสัมผัส ก็จะว่า ไม่ปฏิบัติธรรมเลย วุ่นทั้งวัน ดังนั้น อยู่ไกลห่างๆ ก็ดีแล้ว ถ้ามาก็หนักเลย จะมีมุม ที่หนักเลย เพราะเป็นสภาวะ ซับซ้อน ทวนกระแส จะเข้าใจได้ยากมากเลย ยิ่งสูงสุด ยิ่งคืนสู่สามัญ เหมือนพ่อครู ไม่ได้คำนึงตัวตน เอาประโยชน์เป็นหลัก จึงเหมือน ไม่มีสมณะสารูป จึงเอาคนที่มีปัญญา และเป็นการคัดคนด้วย ถ้าคนถือสา ก็ได้รับ การคัดเลือกออก เอาคนที่ตีเข้าหาเนื้อ ไม่ติดเปลือก ไม่ติดท่าทางสื่อแสดง แต่เอาเนื้อได้ พ่อครู เจตนาอย่างนั้นจริงๆ ก็ยากอยู่
ตอบ... พ่อครูว่า ก็ไม่อยากให้ทำทั้งคู่ ถ้าให้ตอบ ก็ในระบบหรือนอกระบบ แล้วคุณ ไปขูดรีดเขาน้อย การขูดรีดน้อย คือบาปน้อยกว่า
ตอบ.. เขาอาจไม่ใช่พวกเดียวกันนะ เณรคำนี่ซับซ้อน
ตอบ...บาป ก็ของใช้ไม่ได้ไปขายก็หลอกเขา แต่ถ้าขายเป็นพลาสติก หรือแยกขายก็ได้ ขายต่ำกว่าทุน ก็ไม่บาป... จบ
|
||
|