|
||
พระพุทธเจ้า เมื่อท่านประสูตร ท่านเป็นโพธิสัตว์ เกินระดับ มหาโพธิสัตว์ (ระดับ ๘) ส่วนระดับ ๙ ระดับสัมมาสัมโพธิญาณ เลยระดับ ปัจเจกพระพุทธเจ้า เป็นเรื่อง อจินไตย ถ้ายังไม่ประกาศเป็น สัมมาสัมพุทธเจ้า ต่อมหาชน ก็ถือว่า อยู่ในฐาน มหาโพธิสัตว์ แม้ในชาติสุดท้าย ที่เรียกว่า โพธิสัตว์มหาสัตว์ เป็นต้น เมื่อโพธิสัตว์ใหญ่กำเนิด ก็มีจะมีธรรมชาติ แปลกๆเกิด เช่นตอนพระพุทธเจ้า ประสูติ ก็จะมีแผ่นดินไหว มีทั้งรูปธรรมและนามธรรม ซึ่งทางนามธรรม จะลึกซึ้ง ส่วนเรื่องรูปธรรม แผ่นดินไหว ก็อธิบายไม่ไหว เป็นเหตุปัจจัย ที่ลงกัน ทั้งรูปและนาม ผู้ถึงรอบสมบูรณ์ จะตรงเลย เป็นเรื่องที่ อย่าไปสงสัย อย่าไปงง เป็นเรื่องมหัศจรรย์ เช่น พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ วันประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน จะเป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ วันสว่าง ทำไม ต้องตรงกันหมด อย่าคิดเลย หัวจะแตก เป็นเรื่องยอดมหัศจรรย์ ที่นักวิทยาศาสตร์ ไม่อาจคำนวณได้ ภาวะประสูติ ตรัสรู้ ปรินิพพาน คืออย่างเดียวกัน คือภาวะที่เกิดเป็น พระพุทธเจ้า จริงๆเลย ท่านเป็นพระพุทธเจ้าวันนั้น ไม่ใช่เป็นเจ้าชายสิทธัตถะ คือ ตั้งแต่เกิดมา ท่านไม่รู้ มาก่อนว่า เป็นพระพุทธเจ้าอย่างไร จนท่านมา ระลึกย้อนทวนไป ไม่รู้กี่ชาติ สุดท้าย ท่านก็ระลึกได้ว่า ท่านได้สั่งสม ความเป็นพระพุทธเจ้า ได้ครบแล้ว ซึ่งในปางสุดท้าย ท่านก็ไม่ได้ ไปศึกษาพุทธที่ไหน เพราะศาสนาพุทธนั้น สูญหาย ไปนานแล้ว ส่วนท่านเอง เกิดมา ก็ไม่รู้พุทธธรรม ท่านก็เคว้งคว้าง ไปปฏิบัติผิดๆ อยู่หลายปี ท่านก็รู้ในที่สุดว่า ท่านเป็นใคร รู้หมดเกลี้ยง ท่านก็รู้พุทธธรรม จนครบในตัวท่าน ทันที ไม่ใช่เรื่องเล่นกล แต่ยิ่งกว่าเล่นกลนะ แป๊ปเดียวไม่กี่ชม. ตรวจสอบตนเอง ไม่กี่ชม. ในยามแรก ระลึกชาติ ในยามที่สอง ดูความเกิดความดับ ยามที่สาม ก็ดูความสิ้นอาสวะ เป็นอจินไตย ท่านก็รู้ของท่าน พ่อครูก็รู้ของพ่อครู แต่เรียบเรียงยาก ได้อะไร ก็เอามาพูด เพราะมันมีมากเยอะ เป็นเศรษฐีบ้านนอก อันไหนนึกได้ก็พูด แต่อันไหน นึกไม่ออก ก็พูดไม่ได้ ในบุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกการเกิด ทั้งทางร่างกาย ตัวตนบุคคล เราเขา อย่างพระเจ้า สิบชาติ หรือในชาดก ก็เกิดแม้เป็นสัตว์ ก็เกิดมา สารพัด ก็รู้ว่าตนเอง ผ่านอะไร สะสมอะไรมา ยามสุดท้าย ท่านก็ตรัสรู้ถึง อริยสัจ ๔ ท่านเอามาเปิดเผย เป็นมัชฌิมา ปฏิปทา ความเกิด ความตรัสรู้ ความตาย จึงเกิดในคืนนั้นแหละ ที่ท่านใช้เตวิชโช (ในระดับ ของพระพุทธเจ้า) ในยามหนึ่ง ยามสอง สุดท้าย ก็สิ้นอาสวะ อย่างมาก ก็สามยาม เท่านั้น ๑๒ ชม.เอง ... อยากได้ไหม? . พ่อครูว่าอาตมาอยาก.... สู่แดนธรรมถามว่า ...พ่อครูยังอยากได้ มีคนท้วงว่า ... ถ้ายังอยากได้ จะไม่ได้หรอก ตอบ... นี่เป็นตรรกะตื้นๆว่า ผู้บรรลุธรรม คือผู้หมดอยาก แต่ที่จริง มันต้องอยาก ก่อนสิ มีมโนสัญเจตนา ประสงค์มุ่งหมายก่อนสิ คุณโง่ มันต้องอยากก่อน ถึงจะหาทาง ปฏิบัติตาม จึงจะบรรลุ ความอยากหมดจบ เพราะครบบริบูรณ์แล้ว ก็ไม่ต้องอยาก เมื่อนั้นต่างหาก คือ สมยะของ ความไม่อยาก ความอยากคำนี้ คือตัณหา หรือ อากังเขยยะ หรืออิสสา ก็ได้ เป็นความประสงค์กลางๆ ในพระสูตร อากังเขยสูตร อันนี้จะค้านแย้ง กับคนที่คิดว่า ต้องไม่อยากสิ จึงจะได้ ซึ่งเป็นแง่คิด ของพวกเซ็น ที่เอาแค่เข้าใจว่า ทุกอย่างไม่มีตัวตน ก็จะบรรลุแล้ว นั่นน่าสงสาร เพราะจะไม่สามารถ ปฏิบัติลดละ อัตตาตัวตนได้เลย แต่ก็ขอบคุณ ๘๗๐๕ ที่พยายามท้วงแย้ง พ่อครูก็เอาประเด็น ที่คนเข้าใจผิด มาขยาย เพื่อให้คนที่ยังเข้าใจ อย่างคุณ ๘๗๐๕ ที่มีเยอะ ในศาสนาพุทธ ได้เข้าใจมากขึ้น อย่างประเด็นที่ว่า ถ้าอยาก ก็ยังไม่จบสิ มันจะอยากอยู่ไม่ได้ และนิพพานคือ ความไม่อยาก แล้วคุณจะไป อยากได้นิพพาน ได้อย่างไร? ซึ่งพ่อครูว่า คุณต้องมี ความไม่อยากได้ ทันที หรือไม่นะ ก็ไม่ได้ มันต้องสะสม เป็นนิพพานเล็กๆ ไปจนนิพพานบริบูรณ์ มันต้องมีเบื้องต้น ท่ามกลาง บั้นปลายสิ พ่อครูได้รับกลอนจาก อ.เป็นต้น นาประโคน เขียนกวีมาให้... อธิปไตยใหญ่แท้ในมนุษย์ คือ มนุษย์คือผู้ใช้อำนาจ ส่วนสัตว์ก็ใช้อำนาจ เหมือนกัน แต่เป็นอำนาจ ไม่ประเสริฐ เช่น อำนาจกำลังแข็งแรง ก็เอาไปชนะ ข่มคนอื่น แทนที่ จะเอากำลัง ไปช่วยอุ้มชูคนอื่น ใครล้ม ก็ไปช่วยยก แต่ว่าก็ไปส่งเสริมอำนาจ ที่ไปเอาชนะ ทำร้ายผู้อื่น เช่น การชกมวย เป็นต้น เป็นความเลว เป็นสัจจะที่ผิดเพี้ยน คุณมีกำลังมา แต่ไปชกตี ข่มเบ่งคนอื่น เอากำลังแรงของเรา ทำร้ายคนอื่น แล้วคุณชนะ คุณไม่ประเสริฐอะไร ถ้าคุณมีกำลัง ก็ไปแบก คนหกล้ม ช่วยคนอื่น อันนี้ ประเสริฐกว่า ถ้าคุณมีเงิน ก็เอาไปต่อเงิน เล่นหุ้น อันนี้คือวิธีคิด ของทุนนิยม ที่เลวร้าย เป็นปรัชญาเบี้ยวบิด มันซ้อน สนับสนุนโลกียะ ที่บำเรอตน บำเรอกาม สังคมจึงเสื่อม ไม่เข้าใจโลกุตระ เป็นโลกียะ ไปไม่รอด วิเศษวิสุทธิ์พุทธ บัญญัติไว้ คือเยี่ยมยอดดีมาก บริสุทธิ์สะอาด พุทธบัญญัติไว้ นี่คือธรรมะพระพุทธเจ้า ที่สอนรู้โลก รู้อธิปไตย เหนือกว่า มหาวิทยาลัย หรือ ศาสตร์ใดๆ ทั้งนั้น เป็นความจริงสูงสุด ถ้าคุณสำเร็จ ปัญญาพระพุทธเจ้า จะเข้าใจ เศรษฐสาตร์ รัฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ มนุษยวิทยา ก็จะเข้าใจหมด แต่อาจไม่เป็นได้ ทั้งหมด หลายอย่างก็เป็นได้ ถ้าเข้าใจ ก็เป็นได้เร็ว จะเป็นการบริหาร สังคมศาสตร์ การอยู่ร่วมกัน การสงเคราะห์ เป็นเศรษฐศาตร์ คือการแจกจ่าย เจือจาน แบ่งกันได้ อย่างดี ไม่เกิดความเดือดร้อน นำพาอำนาจแท้ในคน คือสติและปัญญา จะนำพา มีทั้งอำนาจ และความเหนือ ที่ไม่ใช่อย่างข่มเบ่ง ทำร้าย แต่เหนือคือสูงกว่า เจริญกว่าดีกว่า แล้วก็ช่วย คำว่าเหนือ ของพระพุทธเจ้าคือ เหนืออย่างประเสริฐ ช่วยสังคมมนุษย์โดยแท้ เหนือโลกเหนืออัตตาตน ยิ่งผู้ คือยิ่งกว่า คนที่เขาไม่เหนือ เหนืออย่างมีความรู้ มีเมตตา มีคุณธรรม คือเป็นประโยชน์ผู้อื่น เหนือกาม เหนือโลกธรรม เหนืออัตตา คือ เขามีลาภ มียศสรรเสริญ กาม อัตตา ก็ไม่เอาไปทำร้ายใคร โดยเฉพาะ กามกับอัตตา คือตัวสำคัญ ที่ต้องล้าง จนไม่มี ไม่เหลือ แต่ลาภยศสรรเสริญ ก็อยู่กับโลก ก็จะมี โดยธรรม คือมีโลกธรรมอยู่ แต่กามกับอัตตา ไม่มีในตนแล้ว ก็อยู่กับคนอื่น ที่มีกาม มีอัตตาอยู่ ท่านก็อยู่อย่าง ไม่ต้องอยากแย่งกาม แย่งอัตตา แย่งโลกธรรมใคร โลกธรรมนั้น ทำอย่างไรจะหลุดพ้น ก็ต้องเรียนรู้ตนเอง ที่โง่ไปเป็นทาสมัน ทุกคน เคยเป็นทาสมัน มันอยู่ในตัวเรา ที่เราไม่รู้ว่ามันเป็นเรา เป็นของเรา เราเป็นทาสมัน ทั้งกามและอัตตา สามารถเข้าใจความเป็นอัตตา ความเป็นโลก ว่าเรายังทรงเป็นทาสมัน อยู่ในจิต เรายังอยากได้ อยากมีอยากเป็น ในโลกและอัตตา ผู้ใดสามารถ ทำลายเหตุได้ แม้จะเกิดลาภ มันมีผลผลิต จากที่คุณใช้พลังงาน ทางวัตถุ ทั้งนามธรรม คุณทำก็เกิดลาภ โดยธรรม เกิดมาเราก็อาศัยใช้สอย ถ้าเหลือก็แบ่งแจก สร้างสรรขยัน รู้พักรู้เพียร ชีวิตนี้ ก็สบาย ชีวิตลดความเป็นทาส ก็ลดบำเรอตน จนไม่บำเรอตน ชีวิตก็ใช้ปัจจัย ๔ พอแก่การ ดำรงชีพ ก็พอ มีบริขารใช้ทำงาน ก็ใช้ไป เรากินใช้น้อย แต่ทำงานมาก ไม่มีวันจนแต่ไม่รวย ไม่สะสม สร้างสรร แล้วแจกจ่าย พึ่งตนเอง มีหมู่กลุ่ม สร้างสรรไป มีเหลือก็แบ่งแจก คนที่เป็นเด็ก คนแก่ คนป่วย คนพิการ คนไร้สมรรถภาพ ที่เราต้องแบ่งให้ เขาทำกินทำใช้ ไม่พอเราก็เกื้อกูล ในคน ๕ ประเภทนี้ ส่วนมีอีกสองคน ที่จะมาแทรกเราอยู่ ซึ่งเราไม่อยากให้เลย ก็คือ คนขี้เกียจ คนขี้โกง เราก็ต้องเลี่ยงบ้าง สอนให้มันดีขึ้น ไม่ได้ก็หาทาง ลงโทษจับขัง คนในโลกสุดๆ ก็เอาไปฆ่าเลย คนขี้เกียจ คนขี้โกง ก็ทำร้ายเบียดเบียนคน ก็มีอยู่ในโลก จำเป็น เขาก็ต้อง ประหารชีวิต พ่อครูก็ไม่ได้เห็นด้วย แต่โลกจำเป็น ก็ต้องทำ ไม่อย่างนั้น ก็รักษาสังคม ไม่รอด แต่ที่นี้ในสังคมคนฉลาด ก็กำจัดด้วยวิธีธรรมะ สร้างสนามแม่เหล็กแห่ง คุณธรรม อย่างคนขี้เกียจ ขี้โกง ถ้าตกมา ในสนามแม่เหล็ก แห่งคุณธรรม มันก็อยู่ไม่ได้ มันต้อง กระเด็น ออกไปจนได้ เพราะอำนาจธรรมะ เราไม่โหดร้าย แต่เขาจะอยู่ลำบากเอง เราต้องรักษา สนามแม่เหล็ก แห่งคุณธรรมเราให้ดี เราไม่ต้องไป โหดร้ายกับเขา ช่วยหิตพหุชน เป็นสัจจ์ เป็นอย่างอโศก ก็ช่วยประชาชน เป็นอันมากอยู่ ประชาธิปไตยงาม ดังปรารถนาแล หากอำนาจเป็น ฉะนี้ คือถ้าเข้าใจ อำนาจทั้งสาม โดยเฉพาะ ธรรมาธิปไตย ที่ล้างอัตตา ล้างกาม หมดแล้ว ก็อยู่กับโลก ที่มีโลกธรรม คุณก็มีสติ เป็นอำนาจอยู่เหนือมัน แต่อยู่กับโลกธรรม มันมีโดยธรรม เรารู้ว่ามันคือ สมมุติโลก เราทำงานรับใช้โลก เป็นโลกานุกัมปายะ มีลาภใช้ลาภ ให้แก่คนอื่น ตนเอง อาศัยใช้น้อย เราใช้ยศ สรรเสริญ รับใช้ เป็นโลกานุกัมปายะ คือรับใช้โลก นี่คือ ยอดประชาธิปไตย ส่วนโลกธรรม คืออันตรายอันแสบเผ็ด คือลาภ คนเขาให้ลาภ ต้องไม่ประมาท ต้องรู้ว่า มันจะมีมากขึ้นๆ อย่าประมาท ถ้าประมาท คืออันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ อย่าเผลอ ไม่ว่า ลาภ ยศ สรรเสริญ สุข ถ้าเป็นอรหันต์ แล้วเสียท่า ใช้โลกธรรมผิดไป ก็เสียท่า หรือประมาณผิด ในการรับใช้ก็เสีย เช่น ไปรับรองคนผิด ก็พลาดท่า พระพุทธเจ้าเตือนว่า ลาภ ยส สรรเสริญ เป็นอันตราย อันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ ขีณาสพ อย่างโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ ก็ไม่พ้นแน่ เมื่อได้ครบสมบูรณ์ ก็เป็นประชาชน ที่สามารถอยู่กับประชาชน ใช้อำนาจที่เรามี อย่างมีประโยชน์ คุณค่า หากอำนาจเป็น ฉะนี้ ใหญ่แท้ ยิ่งใด ที่มีอำนาจธรรม เพราะเราไม่เบ่ง อำนาจโลก อำนาจอัตตา ใจเรายังหลง ในโลกธรรมหรือไม่ หลงในอำนาจอัตตาหรือไม่ เราต้อง อ่อนน้อม ถ่อมตน เป็นคนรับใช้ นี่คือคาถา ที่ให้พวกเราทุกคน ทุกชาติ และอย่าทำ อย่างเสแสร้ง รับใช้เพื่อเอาคืนมาให้ตน เราต้องรับใช้จริง โลกธรรมเป็นอุปกรณ์ ในการรับใช้ อย่าหลงว่า เป็นเครื่องมือแสวงหา ให้บำเรอกาม หรืออัตตา ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
ตอบ... พ่อครูก็ไม่รู้ว่า ทำไมอาภัพ อัปภาคเช่นนี้ ก็เพราะอำนาจโลกธรรม ที่ทำให้คนสยบ เกือบไม่เหลือแล้ว ก็คงต้องประชาชน มารวมตัวกัน มาแสดงอำนาจ ประชาชน แสดงความเป็น เจ้าของประเทศ ออกมาบอก ให้คนที่บริหาร ไม่ได้ดี เลิกหยุดทำ ก็ได้หมด ถ้าประชาชนมาก แล้วมาแสดงความเห็น ตรงกัน เช่น หยุดกู้เงินนี้ ประชาชนไม่เห็นด้วย นั่นคือ ความเป็นประชาธิปไตย คนไทยไม่เข้าใจ และ ไม่เอาภาระด้วย คนรวยๆ ไม่ออกมา ชั่งหัวมัน แต่คนจน คนระดับกลาง ก็ต้องรักษา สถานะ ต้องออกมา แม้คนรวย ก็สามารถตกลงมาได้ แต่คนที่เข้าใจแล้วว่า อันนี้ไม่ควรทำ ก็ออกมา เห็นรวมกันว่า อันนี้ไม่ควรทำ อย่างเช่นเห็นว่า ผู้นำนี้เราไม่เอา ก็ต้องออกมาสัก ๓๐ ล้านคน ก็ต้องออกแน่ แม้ ๑ ล้านคนมา ออกมายืนกัน ก็ทำได้แน่ แต่ตอนนี้ หน้ากากขาวออกมา แต่อย่ามาทำตัว เป็นผู้นำ ออกมายืนยัน ไม่ต้องมีใคร เป็นใหญ่ ถือป้ายออกมา ซึ่งก็จะตรงกันหมด ไม่ต้องขึ้นเวทีพูดหรอก เดี๋ยวหลงตน ไฮปาร์คอีก ทำกันทั่วประเทศ ทุกจังหวัด ยืนยันข้อเรียกร้อง ข้อเสนอตรงกัน คนโง่ คนหลงอำนาจ ให้ออกเลย ชี้เลย ตามอำนาจนิติรัฐ นิติธรรม แล้วจะเป็น ประชาธิปไตย อันสวยงาม ถ้าออกมามากพอ คณะที่ต่อต้าน ไม่มากพอหรอก ประชาชนที่เห็น รวมกัน น่าจะมากกว่า คนที่พารวนมา อย่าไปกลัว ถ้ามามากกว่า ชนะแน่
ตอบ... วิบากกรรมมีจริง จะแสดงผลเมื่อไหร่ ก็แล้วแต่การประมวลผล มันเกินบรรยาย มันจะออกผล ไม่ว่าชาตินี้ หรือชาติหน้า เราเองเราเชื่อ แล้วอย่าไปทำ ก็แล้วกัน วิบากเหล่านี้ คุณต้องรับไป ไม่ว่าชาติใดชาติหนึ่ง เพราะคุณต้องเวียนตาย เวียนเกิดไปอีก ไม่รู้กี่ชาติ สวรรค์นั้น ชั่วแวบ แต่นรกนี้นานมาก หนักและยาวนาน ผลของนรก ยังไม่ออก คนที่หลงทำหยาบ ทำบาปสะสมไป เขาไม่เชื่อในวิบากกรรม ก็บอกแล้ว เขาก็ไม่เชื่อ เราควรอยู่ทำประโยชน์ต่อ เราไปบอกเขามากๆ เขาโกรธ ก็ทำร้ายได้ แต่เราไม่ได้กลัว ในภัย ๕ การตาย คือการเปลี่ยนร่าง ก็ได้ร่างดีกว่าเดิม ไม่ต้องไป สาปแช่งเขา กรรมใครกรรมมัน เขาทำชั่ว ก็น่าสงสาร มันยังไม่ออกฤทธิ์ เขาจึงเหลิง อย่างอโศก ก็รวมตัว ทำเป็นสนามแม่เหล็ก แห่งคุณธรรม มีพลัง ๔ พ้นภัย ๕
พ่อครูว่า มีเวลาโอกาสก็จะเว่า แต่เว่ากลาง ก็ได้รู้หลายภาคหน่อย
ตอบ.. ถ้าเราขยันทำงาน เราก็ได้กุศลของเรา เขาไม่ทำก็ไม่ได้ มันเป็นทรัพย์ที่ ยิ่งกว่าเงิน กว่าทองนะ ได้สั่งสม ติดจิตวิญญาณไปเลย ขยันหมั่นเพียร ทำงานที่ดีไปเลย ใครไม่ทำ ก็โง่ ไม่ได้สิ่งดี เราทำเราได้สิ่งดี เราบอกเขาได้ เขาไม่ทำตาม ก็แล้วไป
ตอบ.. หลวงปู่เห็นว่าในโลก เขาจะไม่ให้มีพระพุทธรูป ไม่ได้แล้ว เราก็ต้องมีตามเขา แต่เราต้องให้มี อย่างเข้าใจสิ่งที่ถูก เช่น อย่าเอาดอกไม้ ธูปเทียน มาเคารพ พระพุทธเจ้าว่า ดอกไม้ ธูปเทียน เป็นวัตถุอนามาส มีในศีล แต่ว่าเดี๋ยวนี้ พุทธไม่เอา ไม่ศึกษาฝึกฝน ศีลแล้ว เอาแต่วินัย ซึ่งพระพุทธเจ้า ท่านห้ามไว้ในศีลว่า ไม่ให้จุด ธูปเทียน บูชาไฟ เรามีพระพุทธรูป เพื่อสะดุดตาคน องค์ใหญ่ก็สะดุดตามาก เป็นเครื่องจูงนำคนมาได้
ตอบ... สัตว์เดรัจฉานคือ สัตว์ที่ไม่มีปัญญา เดรัจฉาน แปลว่า ผู้ขวางทางนิพพาน ไม่ว่าคน หรือสัตว์ ที่ไม่รู้เรื่อง คนนี่แหละประพฤติขวางทางนิพพาน คือเดรัจฉาน อีกความหมายคือ อเวไนยสัตว์ ซึ่งคนผู้ใด ที่สอน ให้ไปนิพพานไม่ได้ คือสัตว์เดรัจฉาน คนนี่แหละ คือมีปัญญาไม่พอ ยังเป็นเดรัจฉานอยู่ คนแม้เข้าใจ ทางไปนิพพาน แต่ไม่ปฏิบัติ ก็เป็นเดรัจฉานอยู่ จนกระทั่ง ปฏิบัติให้หลุดพ้นจาก เดรัจฉานได้ ต่ำกว่า โสดาบัน คือเดรัจฉาน ทั้งสิ้น ส่วนพระพุทธเจ้า จะมาเกิดเมื่อไหร่ พ่อครูตอบง่ายว่า ไม่รู้ แต่ตอบความเข้าใจว่า พระพุทธเจ้าจะอุบัติ เมื่อมีเหตุปัจจัย ที่จะมาสอนโลก เช่น ความรู้ของ ศาสนาพุทธไม่มี ยุคที่คนดี แต่ยังไม่มีความรู้พุทธ พระพุทธเจ้าก็จะเกิด ส่วนยุคคนดีมาก พระพุทธเจ้า ก็ไม่เกิด ส่วนยุคกลียุค สอนคนไม่ได้ ก็ไม่มาเกิด มาเกิดก็ไม่คุ้มแล้ว ยุคใกล้กลียุค ก็คือ พุทธันดร ซึ่งมีสองช่วง คือยุค คนสอนไม่ได้แล้ว กับยุคที่คนดี ไม่ต้องสอน พระพุทธเจ้า จะไม่เกิด ในสองยุคนี้
ตอบ... ดูไบ คือเมืองๆหนึ่ง ในประเทศ สหรัฐอาหรับ เอมิเรสต์ ซึ่งพ่อครูก็เล่นคำว่า เราไม่ต้อง วิ่งไปดูไบหรอก แต่เราก็ดูไป คือปฏิบัติ แล้วก็ดูไป เราไม่เอาสูตรดูไบ คนที่ไปดูไบ ก็ใช้ทฤษฏีดูไบ ตามโลกเขา ให้รู้ว่า คนๆหนึ่งที่ดูไบ กำลังทำงาน กระทบกระเทือน ต่อประเทศไทย เราก็ไม่ต้อง ไปทำที่ดูไบ เราเอาดูไปก็พอ . จบ
|
||
|