|
||
พ่อครูว่า...คุณต้องเห็นกายทิพย์ของพ่อครู คือส่วนหนึ่ง ที่อยู่ในร่าง ของพ่อครู ซึ่งคำว่า กาย แปลว่า หมู่ หรือกอง หรือองค์ประชุม สิ่งที่รวมกันอยู่ เรียกว่า กาโย มารวมกัน เรียกว่า สัมปยุตตัง พอรวมกันแล้วเรียกว่า สหคตัง คือร่วมกันไปด้วยกัน อองลอง มีปฏิกิริยาร่วมกัน เช่น กายที่มีสามอย่างนี้ รวมกันคือ ๑.ญาณสัมปยุตตัง ๒.อุเบกขาสหคตัง ๓.อสังขาริกัง กุศลจิตที่เป็นโสภณจิต คือญาณสัมปยุตตัง สามอย่างนี้รวมกัน เป็นบริบทอยู่ ญาณคือ ปัญญาหยั่งรู้ สัมปยุตตัง คือมีญาณมาร่วม อะไรเกิด ก็รู้ด้วยญาณปัญญา ประกอบร่วมอยู่ และ ลักษณะของจิต เป็นอุเบกขา คือความวางเฉย ทั้งหมดที่พูดนี้ เป็นลักษณะนามกาย จิตที่มีญาณปัญญา และมีอุเบกขาสหคตัง คือเก่งสะสมความสามารถ เป็นวสี มีคุณสมบัติ ของฌาน ๔ มีเอกัคคตา ตกผลึก สั่งสมเป็น คุณสมบัติ แน่นเข้าเป็น อเนญชา เป็นสมาหิตัง เป็นนิจจัง ธุวัง สัสสตัง อุเบกขาของ ผู้มีบารมีสูง แข็งแรงขึ้นเป็น สมาหิตะ เป็นตัวตั้งมั่น แข็งแรง เป็นกุศลเจตสิกตัวนี้ เมื่อกระทบสัมผัส กับสิ่งข้างนอก เราจะสังขาร ได้อย่าง อปุญญาภิสังขาร ไม่ต้องล้างกิเลสแล้ว เราจะอนุโลมแค่ไหน ถ้าอนุโลมผิด ก็เสียท่าได้ แต่ถ้าประมาณ พอดีพอเหมาะได้สัดส่วนแห่ง sensible เราต้องฝึกประมาณ อย่างสัตบุรุษ ก็เป็นผู้ปรุงเอง สิ่งกระทบสัมผัส มายั่วยุเรา จะให้กิเลส เราขึ้น เราก็เฉยต่อ การยั่วยุ คือมีอุเบกขา แข็งแรง จะยั่วยวน ทำร้ายทำลายอย่างไร เราก็คงกระพัน อยู่ยงคงกระพัน มี คุณสมบัติของนิพพาน คือ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไร หักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ตัวรู้ ญาณสัมปยุต มีตัวแกนเจโต คืออัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา มีอุเบกขา แข็งแรง และมีวิตักกะ ที่มีการกลั่นกรอง เลือกเฟ้น เอามาทำงาน ทำประโยชน์ เมื่อตรองแล้ว เอาแต่กุศล ก็มาทำงาน อย่างประมาณ จัดสรรเอง วจีสังขารก่อน เป็นกรรมวาจา หรือ กัมมันตะ เป็นกรรมกิริยาของ จิตสังขาร ก่อนออกมาเป็นวจีกรรม เป็นกัมมันตะ เป็นอาชีวะ ต้องผ่านวจีสังขารก่อน คนจะควบคุม วจีสังขารได้ ต้องรู้สังกัปปะ ๗ หรือ มีองค์ฌาน กิจของฌาน คือรู้กิเลส และทำลายกิเลส อย่างมีปัญญา เมื่อสั่งสมฌาณ ก็เกิดเป็นสมาธิ ตามลำดับ นามกาย ที่เป็นเจตสิก ที่มีองค์รวมของ สามอย่างนี้ ๑.ญาณสัมปยุตตัง ๒.อุเบกขาสหคตัง ๓.อสังขาริกัง ซึ่งอสังขาริกังนั้น ยากกว่า เราจะเอามาสังขาร ได้ประโยชน์ ก็ทำได้ ถ้ามันสังขารแล้วพาเสีย ก็มัดมือมัดเท้าเสีย อย่าให้มาร่วมสังขาร เราก็ควรคุมได้ นี่คือกาโย นามกาย ต่างจาก นามรูป ซึ่งรูปคือตัวที่ถูกรู้ เวทนา คืออาการอารมณ์ ถ้าเรามีญาณ อ่านอารมณ์ออก เรารู้ว่า อาการอย่างนี้คือสุข อาการอย่างนี้ คือทุกข์ ...หัดให้รู้ เวทนาในเวทนา นี่คือสุข นี่คือทุกข์ นี่คือเฉยๆ คือรู้อาการ และรู้ความต่างกัน ของ อาการ คือ ลิงค อาการมันต่างกัน มันเป็นอิตถีภาวะ อย่างนี้นะ ซึ่งเป็น ภาวรูป 2 (รูปที่เป็น ภาวะแห่งเพศ - material qualities of sex)10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง femininity) 11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย masculinity) ถ้าเรามี ปุริสินทรีย์ น้อยกว่าอิตถินทรีย์ ก็เสร็จเลย การโกหกความจริงของธรรมะ ขั้นจิตเจตสิก รูปนิพพาน เช่นโกหกว่า ไม่มีกิเลส นี่ราคาแพงมากนะ คือปาราชิกเลย ส่วนรัฐมนตรี เดี๋ยวนี้โกหกมากเลย ทำให้เมืองไทย เสื่อมมาก เมืองไทยหน้าด้านแล้ว มีคนไม่ละอาย ต่อการทุจริต ไม่เปลี่ยนแปลง ให้คนอื่น ที่ดีกว่า มาทำ คนอื่นใล่ให้ออก กูก็ไม่ออกวะ นี่คือหน้าด้าน พ่อครูมาแสดงธรรม บนยอดเขา ก็ต้องพยายามพูด ในสิ่งที่สูงหน่อย ในเวลาที่ สมควร คำว่ารูป, นาม, กาย สามคำนี้ พ่อครูเคยขยายความ มาเรื่อยๆ คำว่ารูป ๑.เป็นมหาภูตรูป ๒. อุปาทายรูป เริ่มต้นจาก ดินน้ำไฟลมข้างนอก เป็นอุตุหรือพีชะก็ตาม ซึ่งจะเป็นจิตได้ ต้องเอาที่ นามธรรม เป็นหลัก อุตุและพีชะ ก็มีแค่ สัญญากับสังขาร ยังไม่ครบ เจตสิก ๓ จึงไม่เรียกว่า มีวิญญาณ อย่างอุตุบางอย่าง มีพลังงานสูงแรงเกิน เป็นอุณหธาตุ ที่รุนแรงมาก อย่างดวงอาทิตย์ มันก็ไม่มีชีวะเกิด จนกว่า มันจะเย็นลง จนมีธาตุ ที่สังเคราะห์กัน เป็นชีวะได้ มันมีลักษณะของ อาโปและวาโย แทรกเป็นตัวเชื่อม ในปฐวีธาตุ ที่เป็นช่องว่าง แม้ที่สุด มีตัวเชื่อมใน วาโย ก็ยังมีสิ่งเล็ก กว่านั้นอีก คือ อากาสธาตุ ที่แทรกตัวใน ปฐวีธาตุอีก ในสังคมโลก เขาต้องการสัจธรรม ที่พระพุทธเจ้าตรัสรู้ ซึ่งรวมของ ความเป็นมนุษย์ กับความเป็นสังคม เข้าด้วยกัน ซึ่งเขาทำไม่ได้ ในการรวม ใครก็ทำ ไม่ได้ ให้คนทั้งโลก มาเป็นหนึ่งเดียวกัน ทำได้แต่ให้คุณ รู้ตัวเอง ว่าจะเอาอย่างนี้ คุณรู้เอง ทำเอง ว่าจะมาอยู่ร่วมกัน อย่างนี้ ไม่บังคับใคร คุณมาอยู่ที่นี่ เขามีหลักเกณฑ์ ถ้าคุณผิด หยาบมาก เขาก็มีมติ ให้คุณออก ถ้าคุณไม่ยอมออก ก็อาศัยอำนาจของ กฏหมาย ข้างนอก ซึ่งทั่วโลก เขามีกฏเกณฑ์ แม้เขาเป็นกลุ่มน้อย ก็มีสิทธิ์ของกลุ่มน้อย เช่นกลุ่มนี้ เขาไม่กินเนื้อสัตว์ เขาไม่ทำร้ายแม้สัตว์ ยิ่งถ้าคนเขาก็ไม่ทำร้ายแน่ คือเขาทำถูกแล้ว ต้องให้สิทธิ์เขา Minority right นี่คือกฏแห่งโลก เขาถือกัน ถ้าคุณจะกิน เนื้อสัตว์ ก็ต้องไปกินข้างนอก ถ้ากินข้างในนี้ ถือว่าเบียดเบียนทำร้าย ผู้คุ้มกฏหมาย ต้องให้ความคุ้มครอง เช่น พวกนี้ไม่มีอบายมุข เขาไม่ได้ระรานใคร ไม่ได้แย่งชิง เขาออกมาจาก อบายมุข เช่น คุณดัง เพราะเต้นรำเก่ง เราก็ออกมา เลิกเต้นรำ คุณยังฟ้อนรำอยู่ พระพุทธเจ้าว่า เหมือนคนบ้า คนร้องเพลง พระพุทธเจ้าว่า ก็เหมือน เด็กร้องไห้ จะถือสา ไปทำไม? ตอนนี้พ่อครู ไม่ร้องเพลงแล้ว พ่อครูเคยออกอัลบัม ๙ อัลบัม ปรุงแต่ง ให้คนเอาไปใช้ ในทางโลกุตระ เอามาใช้ใน FMTV ได้บ้าง หรือมีเพลง ที่พวกเรา แต่งกันบ้าง ก็เอามาใช้ได้ ต้องมีน้ำกระษัยบ้างไม่อย่างนั้น กินไม่ลง ศิลปินก็เป็นคน จัดองค์ประกอบ ให้ได้พอเหมาะ เพื่อเป็นสิ่ง นำไปสู่จุดหมาย Interest point ถ้าทำได้ ก็คือศิลปิน ที่มีการจัด Composition ที่โน้มให้มี Trend ไปสู่เป้าหมาย จุดหมายหรือ Interest pointได้ ซึ่งทำตามฐานะ ตามบารมี โลกทั้งโลกเข้าใจได้ว่า สูงสุดคือ หมดตัวหมดตน สูงสุดคือ ไม่มีเป็นตัวเรา ของเรา จะยกให้เป็นเต้ย หรือเป็นใหญ่ได้ ก็เพราะมหาชน หมู่ประชาชน ยกให้ ว่าเป็นผู้บริหาร เป็นนายก (อ่าน นา-ยะ-กะ หรือ นา-ยก อย่าอ่านว่า นาย-ยก) ไม่เคยมี นาง-งก ในสารบบ ถ้าอ่านนาย-ยก คุณปูก็ไม่ได้เป็น นายกฯหรอก ทุกวันนี้ คนแสวงหา จุดสูงสุดอันนี้ จักรพรรดิ์ พระพุทธเจ้า ก็เป็นมาแล้ว พ่อครู ก็เคยเป็น ผู้มีอำนาจ มีทรัพย์ เป็นกษัตริย์ เป็นเศรษฐีใหญ่ของแคว้น ก็เป็นมาแล้ว ซึ่งคนที่ จะมาทำงานร่วม จะทำอย่างถวายหัว เพราะเชื่อว่า ท่านเป็นผู้ทำงาน เพื่อมวลชน ไม่สะสม กอบโกย เปลืองผลาญ เลี้ยงไว้อย่างถูกๆ แต่ท่านมีสาระ ทำประโยชน์ เรามีหน้าที่ ทำให้ท่านก็ทำให้ท่าน ไม่ต้องให้ท่าน ไปแบกหามเก็บหรอก แล้วเราก็ ไม่ต้องติดยึดว่า ต้องเป็นผู้บริหาร เป็นนายคน เขาก็จะยก ให้เป็นเอง เป็นนาย ที่มีคำขยาย คือ กะ (เป็นคำขยาย) สังคมจะศึกษา เศรษฐศาสตร์ สังคมศาสตร์ รัฐศาสตร์ อื่นๆ ก็เพื่อมาใช้ กับสังคม พระพุทธเจ้า ก็ศึกษาความเป็นมนุษย์ กับสังคม พ่อครูก็ศึกษาอันนี้ เพื่อให้ได้ทำงานได้ดี คนทุกคน ในไทยนี่ คนรู้จักพ่อครู ศึกษาว่าเป็นใคร มีบทบาทอย่างไร ต่อสังคม ตั้งแต่ หมู่เล็ก และเอื้อมไปสู่สังคม ตั้งแต่ทำปัจจัย ๔ ก็ทำพอกิน พอใช้เลี้ยงตน แม้บางอย่าง ต้องซื้อต้องหา เช่น ไฟฟ้า หลอดไฟ เทคโนโลยี ก็ซื้อมาใช้เพื่อจำเป็น อุปกรณ์ ที่เอามาใช้ ก็มีแฝงอยู่ว่า เราทำ เป็นผลผลิตไปแล้ว คุณเอาสิ่งแลกเปลี่ยน มาเกินควรไหม ? เช่น พ่อครู ควรมีแรงงาน วันละ ๕๐๐๐ บาท (ซึ่งน้อยกว่า คนทางโลก ที่มีค่าตัว ในระดับสูงๆ) ในราชการ คนเงินเดือนสูงสุด ทุกวันนี้เท่าไหร่ เอานายกฯ เป็นสูงสุด มีรายได้ เดือนละ แสนกว่า ได้วันละ ห้าพันบาท ซึ่งพ่อครูว่า วันละห้าพันก็ได้ ถ้าพ่อครู มีค่าแรงงาน ที่กระทำออกไปนี้ พ่อครูก็เป็น Activist ของสังคมคนหนึ่ง เพราะทำประโยชน์ ให้ทั้งหมู่ตน และสังคมนอก ยกตัวอย่าง เราทำสินค้าตัวหนึ่ง ราคาทุน มันคิดอย่างบริสุทธิ์ รวม error แล้วก็ตาม มีราคาเท่ากับ ๑๐๐๐ บาท คุณจะให้เขาไป ถ้าคุณคิดราคาขาย ๑๐๐๐ บาท ผลงานคุณ ไม่มีค่าอะไรเลย เจ๊า แต่ถ้าคุณไปขาย ราคาเกิน ๑๐๐๐ บาท นี่คือคุณไร้ค่า เป็นคน เอาเปรียบสังคม ความคิดเช่นนี้ เป็นความคิดเลว เพราะไปเอา ของคนอื่น เป็น อทินนาทาน แม้เขาจะจำนน ก็เป็นการใช้เล่ห์ เอาเปรียบคนอื่น คนใด สามารถทำงาน แล้วขายต่ำกว่าทุนได้ นี่คือ คนบุญนิยม เช่นขาย ๙๙๙ คุณก็ได้คุณค่า ๑ คนไหนชัดเจนว่า เราไม่ต้องเอาเปรียบ เราก็สลายตัวตน เพื่อคนอื่น ดีกว่า เราทำคุ้มกินคุ้มใช้ ของเราแล้ว เราเสียสละไป แต่เราก็อยู่รอด และเมื่อคน เสียสละ มาอยู่ร่วมกัน ก็เป็นไปได้ ไม่กลัวว่า อโศกจะพัง ทุกวันนี้ คนต้องการ อย่างนี้เยอะ คือเป็นตระกูล อาริยกะ เป็นตระกูลเจริญ ไม่ใช่มิลักขะ ที่ไม่เจริญ พวกอเวไนยสัตว์ ก็ต้องปล่อยเขา แต่มันมาก ทุกวันนี้ เป็นมิลักขะมาก แล้วเปลี่ยนไม่ได้ เราต้องรู้จักวิธีอยู่ ไม่ต้องรุกรานเขา จนเขาโกรธ ทำร้ายเรา ประมาณยาก เพราะเป็นเสือดุ กระทิงดุ มันจะบ้าได้ด้วย ระรานไปหมด คนที่มีจิตวิญญาณ มีใจเห็นด้วยปัญญาว่า สิ่งที่เราทำมีฝีมือ มีความรู้ และ มีผลผลิต เป็นผักพืช เครื่องมือเครื่องใช้ ก็เป็นกรรมกิริยา ที่เป็นคุณค่า ไม่ใช่เป็น การมอมเมา ต้องแยกให้ออก เช่น การแจกแทปเล็ตให้เด็ก ในตัวแทปเล็ต มันมีคุณสมบัติ เอาผีเข้า ในแทปเล็ตได้ เด็กฉลาด ก็เอามาใช้ได้ เป็นแฮกเกอร์ก็เสื่อม เด็กเหล่านี้ มีวุฒิภาวะพอหรือ? ที่จะเอาแทปเล็ตไปให้เด็ก รร.เรา จึงไม่รับแทปเล็ต ที่ทางการ แจกให้เรา บางโรงเรียน ก็ยอมให้เซ็นรับ แล้วเอาของคืน บางรร. เขาบังคับให้รับ อย่างของอโศกเรา เขาไม่ให้เซ็นว่าไม่รับ เด็กเรียนอยู่กับเรา ไม่ให้มีโทรศัพท์ส่วนตัว ก็ให้มาใช้ส่วนกลาง กับผู้ใหญ่ เพราะโทรศัพท์นี้ มีผีอยู่ในนั้นมาก เราไม่ให้เด็ก มีเงินในมือ จะใช้ก็มีเงินส่วนกลาง หรือ ญาติมาฝากไว้ จะใช้ก็ไม่ว่า เราไม่ได้เรียกร้องว่า ให้เอาเงินมาฝากไว้ให้เด็กใช้ เราเลี้ยง อย่างลูกหลาน เด็กเจ็บป่วย เราก็จ่ายให้ รักษาให้ เหมือนลูกหลาน พ้นจากเราไป ก็แล้วไป อยู่กับเรา เราก็ดูแล สิ่งเหล่านี้ ได้มาจาก ความรู้ของพระพุทธเจ้ามา เป็นของเดิม ที่เคยได้มาแล้ว แม้จะไม่สอดคล้อง กับกระแสสังคมโลก หรือกระแสหลัก ของประเทศ ที่เขาสอนกัน พ่อครูก็พิจารณา แล้วนำเสนอ ให้คุณมีสิทธิ์ เลือกเอาเอง อะไรเป็นธรรม อะไรเป็นอธรรม เป็นนานาสังวาสกัน พวกเราอยู่ในสังคม ที่มาลดละ กิเลสตนเอง เราไม่สะสมมาก บริขารก็ลดเรื่อยๆ แต่ก่อน เพชรก็เป็นบริขาร ไม่มีก็จะตาย ไม่มีเพชรประดับ ก็ไม่มั่นใจ จะออกไปข้างนอก รู้สึกว่า ตนเองจะด้อย ยิ่งออกงานใหญ่ๆ ไม่มีเพชรไปประดับ จะตาย ไม่มีก็ไปยืม ของคนอื่น ไปโชว์ เขาจะหาว่า ฐานะเราแย่ ซึ่งเราไม่ทำแล้ว เราไม่มีเพชร เราก็สบาย เรามีสมรรถนะ เราล้างส้วมเป็น ทำสาระได้ ตามที่เราทำได้ เราก็รู้จักสาระ ขยันเพียร ไม่ดูดาย เราก็อาศัยกินใช้ในสิ่งที่เราทำ ไปแลกค่าในสังคม ก็ยังมีเหลือ เป็นส่วนเกิน ให้ประโยชน์ แก่คนอื่น คุณก็เป็นคน ไม่เบียดเบียนตน ไม่เบียดเบียนสังคม คนชนิดนี้แหละ ที่พ่อครูสร้าง ให้พวกเราเป็น น้อยแค่นี้ก็พอ เสื้อผ้าปัจจัย แค่นี้ก็พอ อย่างพ่อครู ไม่ต้องไปแย่งคอมฯ ที่เป็นของดีราคาแพง ให้พ่อครู พ่อครูว่า ก็ใช้แต่นิดหนึ่ง ให้เอาของดี ประสิทธิภาพสูง ไปให้คนอื่นดีกว่า แต่คนก็จะเอาของดี ให้พ่อครูใช้ เป็นภาวะย้อนแย้งอยู่ แต่พ่อครูก็ใช้ได้แค่ ประสิทธิภาพเท่านี้ ไม่ได้ใช้เต็ม ทั้งหมดหรอก อย่างอาหารคนก็เอามา ให้กินมาก ไม่กินให้ ก็โกรธอีก กระเพาะอาหาร มีเท่านี้นะ ทิศทางที่พระพุทธเจ้าค้นพบ ให้มาเป็นมนุษย์ มักน้อยสันโดษ รู้ว่าต้องอาศัย ปัจจัย ๔ ต้องอาศัย บริขารบางอย่าง เช่น โบราณต้องมีเครื่องกรองน้ำ (ธรรมกรก) ตักน้ำรอยตีนควายมากรองดื่มใช้ได้ มีเข็มมีด้ายก็มี แต่ทุกวันนี้ พ่อครูทำงาน ไม่ต้องมี สิ่งเหล่านี้เลย มีคนขวนขวาย เป็นไวยวัจจกรช่วยทำ ไม่ต้องกังวลกับ บริขาร ๘ หรือ แม้แต่คอมฯ แว่นตาก็เป็นบริขาร ไม่ต้องกังวลเลย มีไวยาวัจจกร คอยดูแลให้ อย่างคอมฯ เวลาเสีย ก็มีคนแก้ให้ คนเรา ถ้าเราทำงานให้สังคม ทำงานให้ดี คนก็พร้อม จะให้ความช่วยเหลือ เพราะให้ท่านไป ท่านไม่เอาไปเสพ สุขส่วนตัว ท่านเอาไปเป็นนาบุญ คนจึงให้ท่าน เพราะท่าน ไม่มีตัวตน ไม่เอามาเป็นของตน ไม่เสพเป็นสุขส่วนตน คนก็พร้อม จะอุดหนุน เป็นเรื่องสามัญ โลกสากลทั้งโลก ความจริงอันนี้ เป็นเหมือนกันหมด พิสูจน์ ความรู้ของ พระพุทธเจ้า โลกมีมหาวิทยาลัย ที่ยิ่งใหญ่แค่ไหน ก็ดูเศรษฐศาสตร์ ของ พระพุทธเจ้า รัฐศาสตร์คือต้องรู้ พฤติกรรมคนในรัฐ กิเลสคนในรัฐ งานการของคนในรัฐ ก็มีความสามารถ จัดการบริหาร กิเลสคนในรัฐว่า ไม่ให้ออกมา เพ่นพ่าน เราก็ดูฝีมือ นายกฯปู ไปก่อน แต่เราก็ได้ยินแต่คำ ปัดสวะว่า ยังไม่ได้รับรายงาน แทนที่จะมี คำบอกว่า คืออะไร จะแก้อย่างไร ดูแล้ว ออกนอกท่าทุกที ไม่เข้าท่าเลย แล้วไม่รู้ว่า ออกนอกท่า ไปไหนแล้ว ไม่รู้ว่าไปไหน ก็คือ จะเอาอยู่ไหม ไม่ได้โกรธนะ แต่พูดให้ฟัง ในสัจธรรมว่า ไทยเรามี นางก อย่างนี้ ในด้านรัฐศาสตร์ ที่พ่อครูพาทำ ก็รู้จักรัฐ รู้จักการงานของคน รู้จักพฤติกรรม รู้กิเลสคน แม้มีตรงกันข้ามกัน คนละขั้ว คุณก็สามารถจัดการบริหาร ให้อยู่ร่วมกันได้ แล้วคุณก็รู้ องค์ประกอบว่า อะไรคืออะไร มันต้องมีจุดไฮไลท์ เป็นจุดชี้ชวน คุณก็ทัชไฮไลท์ อันนั้นไว้ ซึ่งคุณก็ต้องรู้กาโย องค์ประกอบ ที่ได้สัดส่วน ที่เราอยู่ได้ โดยมีโฮไลท์ ให้คนสนใจ มาสัมผัส ของดีที่ควรอวด ถ้าคุณมีของดี ควรอวด ก็ติดไฮไลท์ไว้ อโศกเรา ยังไม่กล้าติด ไฮไลท์ยังไม่ดีพอ เรามีแสงติดไม่นาน เป็นแสง ที่ติดไม่นาน ซักวันก็จะโตขึ้น เป็นแสงที่ติดนานขึ้น น่าดูขึ้น สังคมอโศกนี่ น่าอบอุ่น เราก็ทำเรื่องเศรษฐกิจ สังคมไป แม้แต่สื่อสาร เราทำ เพื่อสังคม ไม่ใช้เป็น เครื่องมือหากิน ซึ่งคนเขาใช้หากินทั้งนั้น อย่างฟรีทีวี ตราหน้าเลยว่า เป็นสื่อสาร หากินทั้งนั้น เป็นสื่อสารมอมเมา มากกว่าให้สาระ ขออภัย ที่ต้องกล่าวสัจจะ เช่น ให้ข่าวกีฬามากเกินไป นี่คือไร้สาระ กีฬานี่อย่าพูด ให้เหม็น ขี้ฟันว่า รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย คุณยังไม่ล้างกิเลส ส่งไปแข่ง ก็เพื่อเอาชนะทั้งนั้น ด้วยสามารถ เล่ห์กล อำนาจทั้งนั้น ส่งไปเพื่อเอาชนะ ไม่ได้รู้แพ้รู้ชนะ รู้อภัย คนต้องลดกิเลส จึงทำได้ ถ้าคุณยัง ไม่แข็งแรงทางจิตใจ ก็ทำไม่ได้ รัฐศาสตร์ ถ้ามหาวิทยาลัยใด สอนว่า นักการเมือง คือผู้แสวงหาอำนาจ นี่ล้ม มหาวิทยาลัยเลย ให้ตกรัฐศาสตร์เลย ผู้ศึกษารัฐศาสตร์ ต้องไปลดอำนาจ กระจายอำนาจ แล้วคนจะให้ อำนาจคุณเอง เขาให้คุณร้อย คุณใช้ห้าสิบ ก็มากแล้ว นอกนั้นให้คนอื่น เขาเติมเต็มมา ให้อำนาจประชาชน มาเติมเต็ม ไปจนร้อย คุณใช้ห้าสิบ ก็มากแล้ว คุณใช้สามสิบเถอะ ยิ่งคุณไม่ใช้อำนาจเลย ประชาชนให้คุณ เต็มร้อยเลย นี่คือ รัฐาธิปัตย์ ที่แท้จริง ตัวอย่างรัฐาธิปัตย์ ที่แท้จริงของไทยเลยคือ ในหลวง หลายอย่างเราว่า น่าจะใช้ แต่ท่านไม่ใช้ เพราะพวกนี้ เป็นหมาบ้า จะทำร้ายได้ ในหลวงน่าเห็นใจมาก ซึ่งคนเคารพ ทั่วโลก นักประชาธิปไตย ก็เคารพ คอมมิวนิสต์ก็เคารพ (คอมมิวนิสต์ฉลาด จะเคารพ พวกไม่ฉลาดจะไม่เคารพ) สรุปความเป็นรัฐศาสตร์ ความเป็นนักการเมือง คือคนที่ไม่เอาเป็นของตน แม้แต่อำนาจ คนเขาให้เป็น หัวหน้ากอง เป็นผู้บัญชาการ ก็ไม่ต้องใช้ อำนาจหรอก คุณทำตัว เท่ากับ คนส่วนล่างเลย คนเขาจะเคารพคุณ แต่คุณเบ่งอวด แล้วใคร จะเคารพคุณ เรารับใช้มนุษยชาติ นี่ประเสริฐแล้ว อ่อนน้อมถ้อมตน เป็นคนรับใช้ จะกี่ชาติ ก็ใช้อันนี้ ทำอย่างไม่เสแสร้ง ทำอย่าง จริงใจเลย คนข่มเราก็น้อมตาม แต่ถ้าใครข่มมา แล้วต่อต้าน ก็จะทะเลาะฆ่ากัน ถ้าเรา ให้เขาข่มไป จนสุดท้าย เราก็แบน จนเราไม่เหลือ ก็ละลายไป เราไม่ต้อง เอี้ยวตัวหลบ ให้เขาบี้แบน ให้ละลาย จนสิ้นซากเลย ไม่เหลือเลย ถ้าทำได้ คุณได้อรหันต์เลย แต่เพราะคุณเลี่ยง เลยไม่ได้ แต่ต้องตั้งศีล มาทำตามลำดับ ตกผลึก แบ่งทำเป็น ตามลำดับไป ผู้บริหาร ไม่ว่าระดับใด ถ้าไม่ยึดเป็นตน เป็นของตน ทำเพื่อมนุษยชาติจริง อย่างเราทำธุรกิจมา เมื่อได้ผลมา เราก็จะแบ่งหุ้นให้ สอนให้เขาเป็น อาริยะแบบเรา เขาก็จะสอน คนอื่นต่อ เป็นลูกโซ่ไป ยิ่งสูงยิ่งเอาน้อย สุดท้าย คนสูงสุด ยกให้คนอื่น หมดเลย แต่ท่านก็ทำงาน เพื่อมวลนี้ทั้งหมด คนก็เคารพ ท่านไม่เอาจริงๆ คนก็ยิ่งให้ คนให้เท่าไหร่ ก็เท่านั้น ถ้ามากไป ท่านก็จะบอก และต้องมีฐานะที่ควร เช่นพระเจ้าแผ่นดิน ก็ต้องมี พระที่นั่ง ตั่งเตียง ฉลององค์ ฉลองพระบาท ก็ต้องพอเหมาะพอสม ที่ท่านอยู่ในฐานะ ที่จะใช้ ในสังคมที่เขายึดถือ ค่าของคนว่า ต้องมีอย่างนี้ แต่นักธรรมะของ พระพุทธเจ้านั้น มีแต่ผ้าสามผืน มีบาตร ไม่มีรองเท้าก็พอ พระพุทธเจ้า ถ้าอยู่ทางโลก ต้องเป็นจอมจักรพรรดิ์ ต้องแบกหามเยอะ ท่านก็มาเป็นพระพุทธเจ้า ดีกว่า ต่อให้มีใครว่า เป็นจักรพรรดิ์ ดีกว่าเป็นพระพุทธเจ้า ต้องสมยุค สมสมัย บางสมัย ต้องไปเป็นพระเจ้า จอมจักรพรรดิ์ ดีกว่าคนรับธรรมะไม่ได้ ยุคใด ไปเป็นพระพุทธเจ้าดีกว่า มีคนเป็นจักรพรรดิ์แล้ว ยุคนี้พ่อครูไม่เป็นปธน. แต่เป็น นักการศาสนา ประเทศที่มีพระมหากษัตริย์ คือมีสองขา มีจิตวิญญาณ อย่างคอมมิวนิสต์นั้น ไม่รู้จักจิตวิญญาณ ประชาธิปไตยที่ดี ต้องมีทั้งจิตวิญญาณ และวัตถุ แต่ต้องเอา จิตวิญญาณ เป็นตัวนำ ตามพระพุทธเจ้าบอกว่า มโนบุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโน มยา ผู้ใดจะไปเป็นปธน. อยู่ในประเทศที่ ไม่มีมหากษัตริย์ เช่นทิเบต เป็นตัวอย่างว่า พระเจ้าแผ่นดิน กับผู้บริหารประเทศ เป็นคนเดียวกัน แต่ต้องเป็นสัตตบุรุษ ที่สมบูรณ์ และต้องเป็นโพธิสัตว์ ที่สูงกว่าอรหันต์ด้วย ผู้ที่จะเป็นฆราวาส ที่บริหารประเทศได้ดี ต้องเป็นอนาคามี เป็นต้นไป ทำงานเพื่อมวลชนทั้งหมด ยิ่งเป็นอรหันต์ บริหารเลย ก็ยอดเยี่ยมเลย พระเจ้าอยู่หัว พระองค์นี้ คือพระโพธิสัตว์ แต่บอกไม่ได้ว่า ระดับไหน พ่อครูยังไม่มี ข้อมูลพอ และก็ไม่ละลาบละล้วงไปรู้ ไม่มีเวลาด้วย ก็สนับสนุนส่งเสริม และไม่ต้องโหน พระโพธิสัตว์องค์นี้ เราคุ้มตัวได้ แต่คุณสมบัติของโพธิสัตว์ และอรหันต์ ก็อันเดียวกัน ความเป็นพระเจ้า และความเป็นคน เป็นอันหนึ่ง อันเดียวกัน พระเจ้า ทำอย่างไร ผู้นี้ก็ทำได้ เหมือนพระเจ้า ทุกอย่าง สู่แดนธรรมมีคำถาม....อยากให้พ่อครู ช่วยทบทวนที่ว่า ทำแบบพ่อครู ทำไม ทำได้ผล เป็นจุลภาค ไม่เป็นมหภาค ตอบ...โทษผู้อื่นก่อน เพราะคนโง่ คนเป็นอเวไนยสัตว์มาก สอนไม่ได้ พ่อครูทำอย่าง ไม่บังคับ อาจมองว่า ยัดเยียดอยู่บ้าง แต่ไม่บังคับ ผู้ใดมีปัญญารู้ว่า ควรเอาก็รับไปเลย หรือใช้ภาษาว่า มาตามหาญาติ มาตามเผ่าพุทธ ผู้มีเชื้อโลกุตระ ว่านี่ใช้แล้ว ญาติเรา มาแล้ว พวกคุณก็มา สืบตระกูลต่อ ซึ่งเราพร่องไปแล้ว ถูกโลกเอาไปมากแล้ว เราต้อง มากู้คืน ส่วนโทษตนเอง ว่า พ่อครูไม่เก่ง ไม่มีฝีมือกว่านี้ แล้วทำไมไม่เก่ง ก็อยากเก่งอยู่ แต่ทำได้เท่านี้ พากเพียรอยู่ แต่ได้เท่านี้ I will try นี่คือทำตอบ เป็นสัจจะ ในยุคนี้ใกล้กลียุค คนเสื่อมจนไม่สามารถสอนได้ ยุคนี้พระพุทธเจ้า อย่าเกิดเลย คนได้เท่านี้ สอนได้เท่านี้ พระพุทธเจ้า ท่านต้องประมาณ ตอนตรัสรู้ ท่านมีปริวิตกว่า จะมีใครรู้ธรรมะได้ ท่านมีพุทธการกธรรม แล้วท่านก็ตรวจดูว่า มีคนจะสอนได้ไหม ตอนแรก ก็ปริวิตกว่า คนสอนไม่ได้ เสร็จแล้วก็มีพระเมตตา คือ สหัมบดีพรหม เตือนว่า อย่าเพิ่งใจร้อนตัดสิน ท่านก็ตรวจ พบว่า ผู้มีธุลีในดวงตาน้อย ยังมียังสอนได้ แต่น้อยนะ พระพุทธเจ้า ทุกพระองค์ ไม่ได้มีความรู้ น้อยกว่ากันเลย แต่เหตุปัจจัย ที่คนเป็น เวไนยสัตว์ ได้เท่านี้ มาฆะบูชา ยุคพระสมณโคดม จึงมีครั้งเดียว พระอรหันต์มา ๑๒๕๐ องค์ ซึ่งเป็นยุคปลาย ภัทรกัปป์แล้ว ดังนั้น พ่อครูจึงมักน้อยได้อย่างนี้ พ่อครู ไม่ตะกละ ไม่ดันทุรัง ทำได้ตามประสา เป็นโพธิสัตว์ ระดับ ๗ ไม่บังอาจ อหังการ มมังการ กว่านี้ พระพุทธเจ้าสอน ให้มีคารโว นิวาโต ใครจะหาว่า บ่มีไก๊ ก็ไม่เป็นไร คำถามจากนักกฏหมาย ในบริบทบ้านเมือง คิดอย่างนี้ถูกหรือไม่ กับบทกวีว่า "เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา จงเลือกเอาส่วนดี เขามีอยู่ เป็นประโยชน์โลกบ้าง ยังน่าดู .เหมือนเที่ยวหา หนวดเต่าตายเปล่าเลย ฝึกให้เคยมอง แต่ดีมีคุณจริง ตอบ...โดยองค์รวมกวีนี้ดี แต่วิเคราะห์โดยละเอียดว่า ท่านก็ว่า ส่วนชั่ว ก็ของเขา เอาส่วนดี มาร่วมดีกว่า แต่ที่จะติงคือคำว่า อย่าไปรู้ ส่วนชั่วของเขา อันนี้เห็นไม่ตรงกัน ท่านพุทธทาส เราต้องพยายามรู้ เพื่อทำงาน และที่ว่า เขามีส่วนเลวบ้าง ช่างหัวเขา พ่อครูก็ว่า น่าจะเตือนเขาบ้าง จะ Let it be เลย ไม่น่าจะทำอย่างนั้น นี่คือน้ำใจ ช่วยได้ก็ช่วย ถ้าช่วยไม่ได้ก็วาง ส่วนใจท่านพุทธทาส พ่อครูไม่ไปรู้ได้ด้วย พ่อครูว่า เราต้องรู้ ส่วนชั่วของเขา ถ้าเราสามารถทำได้เท่าที่เราทำได้ เพื่อช่วยเขาได้ และที่ว่า ฝึกให้มองแต่ดี นั้นก็ไม่เห็นด้วย เราควรมองให้ครบ ทั้งความดี ความชั่ว..... จบ |
||
|