560722_รายการเทศน์ก่อนฉัน ในวันอาสาฬหบูชา โดยพ่อครู
เรื่อง นามธรรมของอาสาฬหบูชาและสาธารณโภคี


       พ่อครูเทศนาที่ใต้เฮือนศูนย์ บ้านราชฯ

พ่อครูเดินทางจากสีมาฯ มาที่บ้านราชฯเมื่อวานนี้... วันนี้เป็นวันที่เวียนรอบสู่ อาสาฬหฤกษ์ คือวันเพ็ญ เดือน ๘ เมืองไทย เป็นเมืองที่ค้นพบว่า วันขึ้น ๑๕ ค่ำเดือน ๘ เป็นวันที่ มีตำนาน ของพระพุทธเจ้า เมื่อท่านตรัสรู้เสร็จ ท่านได้เสด็จมาที่ ป่าอิสิปตน มฤคทายวัน มาโปรดปัญจวัคคีย์ เพื่อมาเปิดเผยศาสนา ที่ท่านตรัสรู้

       เมื่อพระพุทธเจ้าตรัสรู้ได้ เพราะการสั่งสมความตรัสรู้ มานานนับชาติ ยาวนานมาก ตามทฤษฏีหลักที่เป็นพุทธโดยเฉพาะ คือเป็นศาสนาที่เห็น อเทวนิยม เป็นโลกุตระ

       อเทวนิยมคือรู้จักเทวะ ไม่หลงเทวะ รู้จริงถูกต้อง ไม่คลุมเครือลึกลับ ไม่เบลอ ไม่เนวสัญญา รู้อย่างวิทยาศาสตร์ แต่ไม่ได้หมายความว่า พุทธไม่มีเทวะ แต่ชัดเจน สมมุติเทพ อุบัติเทพ วิสุทธิเทพ เอาตัวมาพิสูจน์ได้ว่า เทพเทวาเป็นอย่างไร จนถึงวิสุทธิเทพ คืออรหันต์

       จิตวิญญาณมนุษย์ เป็นเทวดาได้ สัตว์เป็นไม่ได้ จิตมนุษย์ รู้โลกนี้โลกหน้า จิตที่เป็นจิตสูงขึ้น คือเทวะ จิตชมชอบชมชื่น แบบโลกีย์ คือเทวดาสมมุติ คือได้เสพ สมใจ แต่เขาว่านี่คือ การพัฒนาของมนุษย์ ที่ได้เสพกาม เสพอัตตา ได้กาม ได้โลกธรรมสมใจ ก็นิยม แล้วนิยามว่า นี่คือเทวดา คนทั่วโลก เป็นอย่างนี้หมด มนุษย์ทุกคน เป็นเช่นนี้ เป็นสามัญทั่วไป แม้จะได้ลาภ ยศ สรรเสริญ ก็ได้สมใจสมอัตตา ก็เป็นสุข เรียกว่า สมมุติเทพ เสวยโลกแบบนี้ ภพแบบนี้ ชีวิตแบบนี้ นานนับชาติไม่ถ้วน
       พระพุทธเจ้ามาศึกษา ได้สูตรใหม่ เป็นโลกุตระ คือเหนือชั้นกว่าโลกีย์ คือแทนที่จะหลงเสพกาม เสพอัตตา ก็รู้ว่าตัวเสพคือเหตุ คือโง่ คืออวิชชา มีอยู่จริงในจิตคน แล้วก็ต้องการหนักแรง ต้องฆ่าแกงจึงได้มา ถ้าไม่อยากก็พัก แต่ไม่หมดจากจิต เป็นอาสวะ อนุสัย คือนอนเนื่องนอนนิ่ง จิตตัวลึก มันทำงานตลอด อาสวะคือ เครื่องหมักดอง ที่เปลี่ยนสภาพแตกตัว ตามสภาพกิเลส เป็น potential energy คนที่ไม่มีปัญญา จะรู้การทำงานของมันได้ แล้วหยุดพลังงานนี้ไม่ได้ ถ้าไม่เก่งพอ

       ศาสนาพุทธ ค้นพบพลังงาน อาสวะอนุสัย แล้วไปจัดการระงับ หยุด และทำลาย อาสวะอนุสัยได้ ตายสนิทได้สมบูรณ์ คือความสำเร็จของ ทฤษฏีพระพุทธเจ้า

       พุทธเป็นโลกุตรธรรม คือเรียนรู้จิต เจตสิก มีญาณอ่านรู้จิตตน อย่าเที่ยวไปรู้ จิตคนอื่น คำว่า เจโตปริยญาณ คำนี้เป็นบาลีมีว่า ปรสัตตานัง ปรปุคคลานัง เป็นสัตว์ ทางจิตวิญญาณ ที่อยู่ในตัวเรานี่แหละ เป็นสภาพที่เป็นสัตว์ อ่านได้ตอนนี้เลยว่า จิตตัวสัตว์นรก เป็นเช่นนี้ แล้วเราก็สามารถรู้ว่า มันเลว เราต้องเปลี่ยน จากสัตว์นรก เป็นสัตว์ที่เจริญขึ้น ในขณะปัจจุบันเลย ที่มันกำลังบังคับ ให้ร่างกายเราทำบาป พุทธรู้อย่างแจ้งๆ ชัดๆเลยว่า กูกำลังเป็นสัตว์ตัวนี้เลย กำลังดุเลย แล้วเราก็มี วิขัมภนปหาน คือกดข่มไว้ อย่างรู้ๆเลยใน ปหาน ๕ จิตคุณก็เปลี่ยนได้ ไม่เป็นสัตว์ร้าย หยุดได้ พักได้ หยุดบทบาทได้ ถ้าคุณเข้าใจแล้วก็ทำได้ มันเปลี่ยนจากสัตว์นรก เป็นสัตว์ที่ดีขึ้น คือเรียกว่า เทวดา

       เช่น มันอยากจะฆ่าสัตว์ ฆ่ามด มันมากัด อยากบี้มด เรารู้จิตเรา จิตเราหยุดเฉย ไม่อยากฆ่า นี่คืออุเบกขา เป็นจิตเทวดา ถ้าคุณต่ออีก นอกจากไม่ฆ่าแล้ว เราก็มีจิต เมตตาอีก มันก็เป็นมด น่าสงสาร จิตคุณเกิดเมตตาเมื่อไหร่ ก็เป็นเทวดา ลงมือช่วย ก็กรุณา ช่วยได้สำเร็จก็ยินดี มุฑิตา แล้วก็วางอุเบกขา อย่าไปทวงบุญคุณ จิตเราวางอุเบกขา ไม่ยึดเป็นเรา เป็นของเราอีก

       ในจิตเรานี่แหละ คือสัตว์อื่น ในสมยะนั้นตอนนั้น จิตเราเป็นสัตว์นรก ซึ่งคนทั่วไป เขาก็ข่มใจเขา แล้วหยุดพัก ได้สติก็ไม่ทำ แต่ไม่ได้อ่านจิต ไม่ได้มีมนสิการ ไม่ได้ทำใจเลย ซึ่งการมนสิการ คือข้อที่ ๒ ของมูลสูตร

       มูลสูตร
๑. ฉันทะ เป็นมูล คือมีความยินดีรู้ว่า พ่อครูนี่สอนอย่างนี้ น่าจะทำตาม เป็นต้น
๒.มนสิการ เป็นแดนเกิด คือทำใจในใจ ตามที่ได้รับคำสอน ทำอย่างโยนิโสฯ คือ ลงไปถึงที่เกิด คือใจ ให้จิตสัตว์นรกเป็นเทวดา เป็นโอปปาติกโยนิ เราเป็นผู้ทำได้ มีมรรคผล ทำจิตให้เกิดได้ เมื่อเข้าใจ มนสิการแล้ว ก็ไปปฏิบัติ
๓. ผัสสะเป็นสมุทัย จะปฏิบัติมีผล ต้องมีผัสสะเป็นปัจจัย
๔.เวทนา เป็นสัมโมสรณา (ที่ประชุม) เมื่อผัสสะแล้ว ก็เกิดวิญญาณ (ผัสสะ ๓) ในวิญญาณ มีเวทนา สัญญา สังขาร เป็นองค์ประชุม หรือกาย ของวิญญาณเรียก กายวิญญาณ เราก็เรียนรู้วิญญาณ จากเจตสิก ๓  เราจัดแจงที่ สังขารทั้งหลาย ในกายสังขาร จิตสังขาร วจีสังขาร ซึ่งวจีสังขารคือ จิตเจตสิก ไม่ใช่คำพูด หรือ วาจาข้างนอก แต่เป็นจิตในจิต เราต้องเรียนรู้ สังกัปปะ ๗ ถ้าทำไม่ได้ไม่เป็น ก็ไม่รู้จักจิต เจตสิก ดังนั้น วจีสังขาร จึงรู้ยากกว่ากายสังขาร จิตสังขาร ซึ่งอาริยบุคคลจริง จะรู้เข้าใจ ตัวสังขาร เป็นการปรุงแต่งของ จิต เจตสิก ซึ่งส่วนใหญ่ ปรุงด้วยอวิชชา เป็น สุข-ทุกข์-เฉยๆ

       มาพูดถึงอาสาฬหบูชาต่อ พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ ตรัสรู้สิ่งเดียวกันหมด ทรงค้นพบ พระธรรม ของสภาวะจริง ทั้งรูปและนาม คือวัตถุธรรม และนามธรรม ซึ่งเป็นการ ประกอบกัน ในนามธรรม เป็นสัตว์นรก เป็นเทวดา ผู้ใดอ่านสัตว์นรก เทวดา ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นตถาคต พระพุทธเจ้าเห็นอันนี้ ลูกๆก็ตามรู้ ตามเห็นอันนี้ เป็นเชื้อธรรมะ ที่ทรงอยู่ในเรา นี่คือความรู้ของพุทธ เป็นศาสนาเดียวในโลก ที่มีโลกุตรธรรม พุทธ ทำเทวดา จากสมมุติเทพ เป็นอุบัติเทพ วิสุทธิเทพ ซึ่งทางโลกเขา หรือศานาอื่น ได้แค่โลกียธรรม วนเวียนสุขทุกข์ ไม่รู้จบ
       ธรรมกาย เขาก็มีสภาวะ ใสๆ แล้วใสยิ่งขึ้น อย่างนั้นคือ สร้างภพใส แต่พุทธ รู้นามธรรม โดย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ผู้มีสภาพนามธรรม ได้จริง แล้วก็มีรูปธรรมด้วย เช่น คุณเป็นยักษ์เมื่อก่อน แต่ตอนนี้คุณหยุด ไม่เป็นยักษ์ ไม่หน้าเขียวตาเขียว อย่างก่อน ก็ไม่มีทางเกิดหน้าเขียว แยกเขี้ยวยิงฟันได้อีก มันก็เกิดจากจิต มาก่อนทั้งนั้น ผู้มีนามธรรม มาก่อน แล้วก็จะเป็นวจี-กาย พร้อมบริบูรณ์ ทั้ง กาย-วาจา-ใจ ซึ่งกายนี้ จริงๆ ไม่ได้หมายถึงร่าง กายนี้คือ ร่างพร้อมสัญญาและใจ

       จิตเปลี่ยนจากสัตว์นรก เป็นเทวดา อุบัติเทพ แม้ได้หน่วยหนึ่ง หรือดวงหนึ่ง (เป็นภาษา ที่ใช้แทนจิต ที่เกิด-ดับเท่านั้น) แต่ที่จริง ไม่มีเม็ดมีหน่วย มีตัวหรอก แต่เป็นอาการ คือพอเกิด ๑ แล้วก็แค่เกิด พอมี ๒ ก็มีเพิ่มมา แต่พอครบ ๓ ก็เรียกว่า ๑ องค์ ต้องเป็น ๔ จึงจะมีบทบาทเพิ่มขึ้น

       ถ้า ๑ - ๓ ก็มีหมู่เดียว แต่จะเป็นองค์สงฆ์ ก็ต้องนับที่ ๔  พอมาที่ ๕ และ ๖ ก็เป็น หมู่ที่ ๒ แล้วก็มี ๗ ก็เริ่มบทบาทเพิ่มอีก เป็นวงวัฏฏะที่ซ้อนๆๆๆ ไปเรื่อยๆ

       สรุปคือเริ่มนับหมู่ได้ ต้องนับแต่ ๔ เป็นต้นไป ถ้าเป็น ๗ ก็เป็นองค์สงฆ์ ที่ใหญ่ขึ้น ถ้าครบ ๑๐ ก็ครบรอบ สงฆ์คือกลุ่มคนที่มี อาริยธรรม เป็นธรรมะที่ไม่ใช่ เทวนิยม มาพัฒนาหลักนี้ พุทธรรมนี้ ก็เกิดพุทธ - ธรรม - สงฆ์ อย่างนี้ นี่คือปรมัตถ์ของ อาสาฬหฯ คือครบ พุทธ - ธรรม - สงฆ์

       ในตัวคุณจะทำให้ครบ พุทธ-ธรรม-สงฆ์ ก็ทำได้ ถ้าทำได้ ๑ ก็ยังไม่แน่ ถ้าได้ ๒-๓ ก็มีกลุ่ม ของพุทธธรรม ของคุณคนเดียว แต่ถ้ามีคนทำ สองคน ก็เริ่มมีเหมือนมา แต่ถ้าเป็น ๓ ก็ยังไม่เป็นองค์สงฆ์ ต้องมี ๔ จึงทำสังฆกรรมได้ พระพุทธเจ้าตราไว้เป็นกฎ

       ถ้าจิตเป็นอาสาฬหฯ เป็นบุคคล แล้วมารวมกัน เป็นองค์สงฆ์ ครบ ๔ แล้วก็ขยาย ใหญ่ขึ้น เป็น พุทธบริษัท มีภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิก ซึ่งพุทธบริษัท ไม่ใช่มีแต่ภิกษุ ภิกษุณีเท่านั้น

       พุทธในไทย เป็นพุทธ ๓ ขา เป็นพุทธที่ไม่มีภิกษุณี มีแต่สงฆ์ภิกษุ อุบาสก อุบาสิกา เป็นสงฆ์ ๓ ขา มาจนบัดนี้ มาถึงปัจจุบัน มีคนจะเป็นตัวการ ให้เกิดภิกษุณีทางรูปธรรม แต่พ่อครู ไม่ดันอย่างนั้น แต่ว่าพ่อคร ูเป็นตัวการ ให้เกิดภิกษุณี ทางนามธรรม ได้ เมื่อครบ พุทธบริษัท ศาสนาพุทธก็จะมี อาสาฬหธรรม มีพุทธ-ธรรม-สงฆ์ ครบ

       พ่อครูสร้าง ภิกษุณีทางนามธรรม อยู่ในร่างของสิกขมาตุ แต่สิกขมาตุอย่าบ้า หลงว่าเป็น ภิกษุณี จนกว่าทางโลก เขาจะรับรองคุณเองนะ ใครจะเข้าใจอย่างไร สัจจะก็อยู่จริง อย่างนั้นเอง

       จำเป็นต้องยกตัวอย่าง มาอ้างอิง ในชาวอโศกมี พุทธ-ธรรม-สงฆ์ มีพุทธบริษัท ๔ นำพาศาสนานี้มา อย่างเต็มใจ ตั้งใจทำมา ทั้ง ๔ สภาพ ช่วยกัน และเป็นสงฆ์ ที่แท้จริง แม้เป็นอุบาสก อุบาสิกา ฆราวาสเราก็เป็นสงฆ์

       พุทธศาสนิกชน คือ เมืองไทยมีอันนี้ ๙๕ % เป็นพุทธตาม สำมะโนครัว เขียนใน ใบสมัคร อะไรก็ว่าเป็นพุทธ ไทย แต่ไม่ได้มาเอารัตนไตร เป็นที่พึ่ง ไม่รู้เรื่องพุทธเลย บางทีเป็น เดรัจฉานวิชาด้วย

       ไทยเราเป็น พุทธมามกะไม่ถึง ๙๕ % ซึ่งพุทธมามกะ คือผู้ที่ประกาศตน เป็นพุทธ รับศีล เปล่งว่าขอพระพุทธ-ธรรม-สงฆ์ เป็นที่พึ่ง  แต่พุทธมามกะส่วนใหญ่ เป็นมิจฉาทิฏฐิ น่าสงสาร พากเพียรไป ตายไปชาติหนึ่ง ก็ไม่ได้มรรคผล บางคนเป็น อรหันต์ผิดๆด้วย คนเชื่อตามเยอะ ซึ่งพุทธมามกะ คือ ตั้งใจปฏิบัติตาม แม้จะมิจฉาทิฏฐิ ก็ตาม

       พุทธบริษัท คือ ผู้ได้มรรคผลของพุทธ เป็นโสดาฯ สกิทาฯ อนาคาฯ อรหันต์ฯ เป็นต้นไป จะเป็นฆราวาส ไม่ว่าชายหรือหญิง ก็ตาม ชาวอโศก มีพุทธมามกะ และ มีพุทธบริษัท ๔

       เลข ๔ เป็นตัวเนื้อแท้ ที่สมบูรณ์ เป็นเส้าที่ ๑ แล้วมีเลขที่ ๗ เป็นเส้าที่สอง ยกกำลัง ทวีไปเรื่อยๆ ทั้งวัตถุและนามธรรม ก็เป็นเช่นนี้เหมือนกัน มีลักษณะการเคลื่อนที่ และการหมุน เมื่อเป็นโลกุตรธรรมจริง อาริยธรรมจริง จึงเกิดพฤติภาพ เป็นพุทธบริษัท เกิดเป็นชุมชน ที่มี กาย-วจี- กัมมันตะ-อาชีวะ ที่เป็นแบบพุทธ มีสัมมา มาจากจิต ที่เป็นสัมมา เป็นตัวตั้ง มีจิตเป็นใหญ่ เป็นประธาน ชาวอโศก มารวมตัว เป็นสาธารณโภคี ทำงานร่วมกัน อยู่ร่วมกัน พิสูจน์ธรรมะพระพุทธเจ้า มีผลผลิต แรงงาน ออกสู่สังคม มีงานสู่สังคม

       ไม่ว่างานใด ก็บริสุทธิ์ ทั้งวัตถุธรรม และนามธรรม ไม่เป็นพิษ ไม่มอมเมา ให้คนเกิด เพิ่มกิเลส เช่น เราทำกสิกรรม ปลูกพืชผัก ที่ไร้สารพิษ แล้วมีคุณภาพดี น่ารับประทาน น่าใช้ คนก็มานิยม ชมชอบ เขาก็โลภ อยากได้ คนฟังก็ว่า นี่มอมเมาไหม? ซึ่งมันซ้อน

       จริงๆคุณโลภ อยากได้สิ่งที่ดี แต่ก่อน คุณถูกมอมเมา ให้อยากได้สารพิษ แต่เรามาสร้าง แบบไร้สารพิษ เราให้คุณออกมาจากสิ่งมีพิษ มาสู่สิ่ง ไร้สารพิษ เราล้างโลภคุณ ออกมาจากความโง่ๆ ดึงออกมาจาก ขุมนรก มีนัยอย่างนี้ คุณก็เข้ามา สู่ธรรมะ จนคุณมาเห็นความดี ของทางนี้มากขึ้น คุณก็จะคลาย ความโลภมากขึ้น เป็นการลดโลภ ตามขั้นตอน จากหยาบ มาละเอียด เป็นนัยซับซ้อน       

       เช่นเดียวกับที่พ่อครู สร้างพระพุทธรูปองค์ใหญ่ เป็นสภาพซับซ้อน ทางนามธรรม แต่ไม่ผิดธรรมวินัย พระพุทธเจ้าไม่ได้ห้ามไว้ ศาสนาอื่น เขาไม่บ้าสร้าง พุทธรูปมาก อย่างพุทธ ส่วนฮินดูก็สร้าง รูปปั้นของเทวะ เลอะเทอะไปหมดเลย

       อโศกเรามีพุทธบริษัท จึงมีกรรม ตั้งแต่ สัมมาอาชีวะ เป็นอาชีพ ที่มีผลผลิต เป็นรูปธรรม กสิกรรม , น้ำยาล้างจาน ตอนนี้ทำน้ำด่าง ทำตามประสา ไม่ดูยิ่งใหญ่ เหมือนอุตสาหกรรม เราทำงานฝีมือ ทำตามพรสวรรค์ พรแสวง พอได้ ตามประสาเรา พวกเราจะไม่เป็น นักอุตสาหกรรมมากมาย เราทำแค่นี้ แต่ก็เป็นประโยชน์ ต่อชีวิตมนุษย์ คนก็เริ่มมองออก เพราะเราทำ อย่างเจตนาดี ไม่ได้อยากทำ เพื่อได้กำไร เรามีต้นรากที่ว่า อย่าทำเพื่อ หลงโลกธรรม อย่าไปเห็นแก่โลกียะ พ่อครูว่า เราจงรักษา สถานะนี้ไว้ ให้ยืนนาน เราไม่โลภมาก กินใช้แค่นี้ก็พอ ไม่แข่งรวยแข่งหรู เราเก่งกัน พอประมาณ เราไม่เอาความเก่ง ไปหาเงินหาโลภ แต่มันซ้อน ระวังให้ดี เราเปิดเผยความรู้ ไม่ปิดบัง ไม่สงวนลิขสิทธิ์ อยู่ตราบใด อโศกก็เจริญได้อยู่ แต่เมื่อใด อโศกสงวนลิขสิทธิ์ หวงแหน เมื่อนั้น อโศกเสื่อม

       ตอนนี้เราได้รับการยอมรับ ให้ไปเป็นวิทยากร แม้ต่างประเทศ ก็เชิญไป เราเต็มใจให้ แล้วกำชับว่า อย่าเอาสูตรเรา ไปรีดเงิน จากคนอื่น ตอนนี้เราเห่อ ล้างพิษตับ ก็ขอแช่ง คนเอาล้างพิษตับ ไปหากิน เอาเปรียบ ตรวจสอบให้ดี เพราะการล้างพิษตับ ก็มีโทษได้ อย่าเอางานนี้ ไปหากินเพิ่มโลภ ใครทำฟรีได้ ทำถูกได้ ก็อนุโมทนา อย่าเอาความเห่อ ความนิยมชมชื่น เป็นกระแส อย่าเอาไปฉวยโอกาส ไปทำมาหากิน ให้สำนึกนะ อย่าใช้ความรู้ ความสามารถของคุณ เป็นเครื่องมือ ทำมาหากิน จงใช้ความรู้ ความสามารถ เป็นเครื่องมือ ตัดกิเลสตน และใช้ช่วยเหลือผู้อื่น ตามความสามารถ      แต่ทุกวันนี้ ศาตร์หรือศาตรา เขาใช้เป็นอาวุธร้าย นี่คือ ความล้มเหลว ของการศึกษา มันเสียหาย เรียกว่า เป็นอาวุธร้าย เรียนโดยอวิชชา นำเอาศาตรา ไปเอาเปรียบข่มเหง รู้มาก ก็หลอกคนได้มาก เช่นทางการเมือง เดี๋ยวนี้ นั่งกดปุ่มอย่างเดียว หาเงินได้ หลายล้านแล้ว ในสังคมทุกวัน ถ้าเราไม่รู้ทัน ก็ตกต่ำ ทำร้ายสังคม

       เราจึงตั้งโรงเรียน เพื่อให้ใช้ศาสตร์ ในทางที่ถูกต้อง เราสอนสัมมาอาชีพ เช่น อาชีพกวาดขยะ พ่อครูเคยบอกว่า ขยะจะเป็นอาชีพกู้โลก มีขยะทั้ง ขยะวัตถุ และ ขยะทางจิตวิญญาณ มีล้นโลกอยู่แล้ว พ่อครูมั่นใจว่า ถ้าตั้งมหาวิทยาลัย จะตั้งคณะ ขยะวิทยา เป็นคณะใหญ่ ที่จะมีทุกศาสตร์ในนั้น เป็นการจัดการบริหาร อย่างสำคัญ

       เรามีสัมมาอาชีพ เป็นเครื่องยังชีพ เช่นกสิกรรม เราเน้นเพราะ เราอยู่ในประเทศ ที่มีความพร้อม ไม่เหมือนทางประเทศ ที่เป็นทะเลทราย เป็นน้ำแข็ง แล้วกสิกรรม นี่แหละ เหนือกว่าอุตสาหกรรม คุณกินคอมพิวเตอร์ ไม่ได้หรอก พระพุทธเจ้า จึงตรัสว่า อาหารเป็นหนึ่งในโลก ข้าวเปลือกเป็นทรัพย์อย่างยิ่ง ตอนนี้ทรัพย์อย่างยิ่ง ตอนนี้ยิ่งรัด คนต้องกินข้าว จะเป็นพันธ์ไหน ก็แล้วแต่ คือยอดสุดเลย เราต้องปลูกข้าวเป็นหลัก แล้วปลูกพืชพันธ์ ธัญญาหาร ทุกวันนี้ มีคนเข้าใจ ที่จะมาทำงาน คลุกดินเพิ่มขึ้น โดยจิตเขาเข้าใจ ต่อไป เราจะเป็น ผู้ส่งอาหารไปทั่วโลก เราจะผลิต สินค้ากสิกรรม แต่เกษตรรวมทั้งกสิกรรม ประมง ปศุสัตว์ แต่เราไม่เน้น เรื่องเลี้ยงสัตว์ เราเอาแค่พืช ก็เพียงพอแล้ว

       เราทำสัมมาอาชีพ อันลึกซึ้ง ถ้าอโศกเรายึดถือว่า อโศกเป็นคนผลิต ข้าวพันธุ์ดีมาก เป็นหลัก ของประเทศเลย พ่อครูจะดีใจเป็นหลัก แล้วเราจะเอาให้รัฐ ส่งขายต่างประเทศ เราจะคุมได้เลย ว่าจะขายให้ประเทศใด ฑูตการค้าเรา จะไปดูว่า จะช่วยเขาได้อย่างไร ไม่ใช่ไปหากำไรจากเขา ไม่ใช่ไปล้วงความลับเขา เป็น KGB FBI เราไปดูความเดือดร้อน เพื่อช่วยเหลือเขา ถ้าอโศกบริหารประเทศ ต้องส่งฑูตเช่นนี้ ไปต่างประเทศ ไม่ไปแย่งใคร แต่ไปให้เขา อย่างสุจริตใจ เป็นฑูตการค้า ก็จะไปหาว่า สินค้าเรา มีอะไรดีนะ เรารู้ต้นทุน แล้วเราก็จะไปดูว่า ประเทศไหน ขาดแคลน แต่รวย ก็ขายให้แพงๆ แต่ว่าประเทศไหน ขาดแคลนแต่จน เราก็ขายให้ถูกๆ เป็นต้น

       เรามีสัมมาอาชีพ ที่จะเลี้ยงตน และเผื่อแผ่เกื้อกูล เราก็ทำจากจิตที่มี สัมมาสังกัปปะ เรารู้ปรมัตถ์ รู้สังกัปปะ ๗ ที่จะทำใจในใจ ได้อย่างสำคัญ สร้างสมาธิ ฌาน ก็อยู่ที่ สังกัปปะ ๗ หรือมรรค ๗ องค์ ก็เพ่งที่สังกัปปะ ๗ คือ สังกัปปะ วาจา กัมมันตะ อาชีวะ แล้วมีความเพียร ด้วยอิทธิบาท เสริมพลัง และต้องไม่ขาด สติและปัญญา มีความละเอียด ที่ดีต่อเนื่อง เป็นอำนาจ คืออธิปไตย คือสติ และมีปัญญา เป็นอุตระเป็นใหญ่

       คนที่แสวงหา มีบารมีเก่า ก็จะเริ่มเข้าใจ พ่อครูมาปางนี้ ต้องมาอย่าง คนกระจอก เป็นเครื่องพิสูจน์ แต่ถ้ามาอย่างอลังการ คนก็เข้าใจง่าย เพราะคุณมีครบ แต่พ่อครู มาอย่างจ๋อย ก็ต้องมีคนมีปัญญา จึงรู้ได้ จึงได้มาน้อย ต้องแสดงสัจจะ ที่จริง ชัด จนคนมีปัญญา เห็นชัด คนที่มาที่นี่ จะไม่ได้มาด้วยอามิส ไม่ได้ล่อมา พ่อครูไม่ต้องการ ควาย (คือนักร้องหมู่ ประสานเสียง) คนมา ต้องมีตาที่ลึก พ่อครูคัดเลือกคน พ่อครูทำงาน ศาสนา ไม่ต้องการบริวาร ไม่ต้องการคนมานับถือ ไม่มีเจตนา ไม่อยากให้เป็นเลย ดังนั้น คนที่มา ก็ด้วยตัวคุณเอง ทั้งนั้น ด้วยปัญญาเห็นว่า มันต้องมานะ จะเป็นคน ไม่เรียนหนังสือ คนจน คนร่ำรวย ที่มาคือคนมีตาปัญญา มาแล้ว ก็รู้ว่าของจริง ทำได้ก็อยู่ปักหลัก อยู่จนเผาไป หลายรายแล้ว คนที่อยู่นี่ จะอยู่จนเผาหรือไม่ ก็แล้วแต่

       เราอยู่เป็นหมู่บ้าน มีวิถีชีวิตแบบแผนของอโศก ขยายกรอบ ไปตามธรรม หลายอย่าง อธิบายยาก คนยังเข้าใจได้ไม่พอ พ่อครูก็ไม่ทำ แต่ถ้าเห็นด้วย พอสมควรก็ทำ แต่ถ้าเห็นด้วยมาก ก็ยิ่งดี

       ทุกวันนี้ มีงานที่มีรายได้มาก คนนิยม ขอเตือนว่า รายได้มาก ก็อย่าหลง ไปเอาเปรียบ ก็อย่าทำ อย่าฉวยโอกาสทำมาหากิน มันเป็นบาป โดยตัวของมันเอง บาปอย่าทำ พยายามลดละ เมื่อลดละได้ ก็มารวมตัวกัน ไม่ได้พูดเพื่อหาบริวาร แต่พูดให้ชัด อะไรมารวมกัน ก็มีพลัง พัฒนาเจริญได้ ตามลำดับ

       ทุกวันนี้ถามว่า ความต้องการของสังคม ต้องการสังคม อย่างพวกเรา มากไหม ... ต้องการ และสังคมที่ว่านี่ คืออะไร คือสังคมของ คนที่มีจิตใจ คุณลักษณะ ๗ ประการ สารณียะ - ปิยกรณะ- คุรุกรณะ - สังคหะ - อวิวาทะ - สามัคคียะ - เอกีภาวะ คือ พุทธพจน์ ๗

       สารณียะ คือระลึกถึงกัน ระลึกว่า จะช่วยคนอื่น เหมือนพระพุทธเจ้าทำ พ่อครูทำ ไม่ต้องคำนึงเรื่องส่วนตนเอง

       เรื่องที่ได้รับ การยอมรับจากสังคม ไม่ว่าจะงานทางสมอง หรือกายกรรม หรือชิ้นงาน คนก็รับว่าดีอยู่ คือของดี ราคาถูก ซื่อสัตย์ มีน้ำใจ ขายสดงดเชื่อ ต้องอย่าทำ อย่างเงินเชื่อ มันไม่ดี ขอเตือนว่า พยายามไปทางโลกุตระ อย่าใช้ความชื่นชอบ ของสังคม ทำบาป

       เรื่องการเงิน ทั้งในรอบเล็ก และรอบโลก เป็นเรื่องใหญ่ขึ้นทุกวัน เพราะทั่วโลก ถือว่า เงินคือแก้วสารพัดนึก ใช้เป็นตัวแทน เป็นสิ่งแทนค่า เป็นตัวเชื่อม สังคมโลก เราอย่าเห็นแก่เงิน เงินเป็นเพียง เครื่องใช้อย่างหนึ่ง มันเป็นอสรพิษ แม้ในวงการอโศก มันก็แว้งกัด ทำให้เราเผลอ ใช้ผิดประเภท เอียงเข้าหาส่วนตน ไปทำผิดได้ อย่าทำ สังวรไว้ให้ดี เขากำลังขันชะเนาะ เรื่องเงินให้ทำเป็นคณะ เป็นกลุ่มหมู่ ทำอย่างเปิดเผย ไปตามลำดับ แม้อโศก จะมีเงินก้อนน้อย เพราะเราไม่สะสม ก้อนใหญ่ เราจะมี ไปตามเหมาะควร ตอนนี้ เรามีระดับเป็นล้าน ต่อไป จะเป็น ๑๐ ล้าน ๑๐๐ ล้าน ตามฐานะ ไม่ถือว่าสะสม แต่ถ้าไม่จัดการได้ดี อนาคตจะพัง แล้วผู้ที่พัง จะเจ็บปวด ตอนนี้ก็มี ผู้เจ็บปวดบ้างแล้ว เพราะทำพลาด ผู้ใดพลาด ก็เปลี่ยนแปลง ผู้ใดไม่ถลำ ก็ระมัดระวัง เราจะมาเป็นผู้ หมดเนื้อหมดตัว เป็นผู้ที่ หมู่รับรองว่า บริสุทธิ์ อยู่ช่วยหมู่กลุ่ม ช่วยสังคมได้ อย่างแท้จริง....

จบ

 

 
จันทร์ ๒๒ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก