|
||
วันนี้ตั้งใจจะอธิบาย ในพระไตรฯล.๑๖ ไปตามลำดับ เพราะมีเรื่องแทรกอยู่เรื่อยๆ ก็พยายาม จะอธิบายไปตามลำดับ พ่อครูว่า ตนเป็นเศรษฐีบ้านนอก มีอะไรควักได้ก็แจก แต่ว่ามีท่านปัจฉาฯ ก็นำ sms ของคุณ ๘๗๐๕ มาให้ ประมาณ ๓ หน้ากระดาษ ซึ่งก็เป็น เรื่องทิฏฐิเดิม ของคุณ ๘๗๐๕ หานิทาน มาประกอบทิฏฐิตน หลากหลาย พ่อครูก็จะอ่าน ไปเรื่อยๆ เขาพากเพียรมา ก็เห็นใจ... SMS 8705 พุธที่ 24 - 07- 56 พ่อครูอธิบายแทรกว่า เป็นได้คือ เป็นอุปาทาน แต่ว่าไม่ใช่ วิปัสสนาญาณ ผู้ที่เริ่มเห็น รูป-นาม คือมีสัมผัสที่ ๖ แต่สัมผัสที่ ๖ ของคนนี้คือ ความลึกลับ อธิบายไม่ได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์ อธิบายว่า เพราะในขณะนั้น.. จิตยังไม่ทันที่จะได้ คิดนึก ปรุงแต่งอะไร ไปตาม ความเคยชิน อันเกี่ยวกับ กามคุณ5 ซึ่งติดอยู่กับ ประสาทสัมผัส ทั้ง5เลย! ฉะนั้น จึงเป็น ช่วงเวลาเหมาะสม ที่สัมผัสที่6 คือจิตวิญญาณนั้น ถึงจะสามารถ แสดงออก ซึ่งประสิทธิภาพ ในการรับรู้ ของมันได้! เช่น ที่สามารถไปเห็นสัตว์ โอปะปาติกะได้ นั่นไง! แต่เนื่องจากว่า คนที่เห็นสัตว์โอปะปาติกะนั้น ไม่ค่อยจะรู้จัก ศัพท์บัญญัต ของพุทธเจ้า จึงมักจะพูดผิดๆ ไปตามภาษา แบบชาวกะเหรี่ยง บ้านป่าว่า เห็นผี เห็นวิญญาณ! เพราะแท้จริงแล้ว, วิญญาณเป็นอสรีรัง ที่ไม่อาจเห็น ด้วยตาได้! (หรือจักขุวิญญาณ) พ่อครูเห็นว่า คุณ ๘๗๐๕ จบเห่ตรงนี้ คือไม่สามารถ มีจักขุวิญญาณที่ อสรีรังได้ เพราะคุณ พูดเองว่า จิตวิญญาณ อสรีรัง พ่อครูอธิบายเช่น ตากระทบรูป นี่มะนาวโห่ บนโต๊ะ สัมผัสแล้ว เราก็เกิด จักขุวิญญาณ ที่อสรีรัง เราก็มองออกว่าเป็น นามธรรม เป็นเวทนา สัญญา สังขาร เราก็วิจัยต่อ เวทนาในเวทนา วิญญาณในวิญญาณ หรือ จิตในจิต ในขณะเป็นๆ ขณะสัมผัสปัจจัย อยู่หลัดๆ แต่ว่าเขาไปเข้าใจ วิญญาณ อย่างสัมผัสที่ ๖ นี่แหละ คือของแห้ง คืออุปาทาน ปั้นสำเร็จด้วยจิต ไม่มีเหตุใดยืนยัน เหมือนอย่าง ที่พ่อครู พาฝึกว่า นี่ตากระทบรูป นี่บักอึ(ฟักทอง) เราก็สัมผัส แล้วอ่านรู้ ความอยากได้ เราก็อ่านรู้วิญญาณ เป็นวิปัสสนาญาณ เป็นวิชชาแท้ ข้อที่ ๑ ของพ่อครู ในวิชชา ๘ อย่างนี้ เป็นความเห็น ที่ต่างกัน ระหว่าง พ่อครูกับ ๘๗๐๕ หรือแม้ด้วยจิตวิญญาณเอง ก็ไม่อาจจะเห็นวิญญาณ ได้เช่นกัน! ฉะนั้น เพื่อให้ถูกต้อง ตรงกับศัพท์บัญญัต ของพุทธเจ้าแล้ว จึงควรพูดว่า เห็นรูปกาย ของสัตว์ โอปะปาติกะ! หรือถ้ารู้ประเภทของ สัตว์โอปะปาติกะที่เห็น ก็พูดไปเลยว่า เห็นสัมภเวสี หรือ เห็นเปรต หรือเห็นเทวดาไปเลย! แต่อย่าพูดว่า เห็นวิญญาณเด็ดขาด! เพราะเดี๋ยว พธร. จะยกพตปฎ. เอามา เถียงได้! พ่อครูว่า...ผู้ที่เป็นอมตบุคคลแล้ว ถ้าเป็นผู้ที่สามารถทำ มโนมยอัตตาได้เก่ง ก็เรียกว่า มีวาสนา อย่างพระโมคคัลลานะ ท่านก็ทำเรื่อง มโนมยอัตตา มามาก ก็ปั้นได้ แต่เป็นสิ่งแทน อย่างเราปั้นพระพุทธรูป เราก็ไม่ได้ติดที่รูป แต่เรารู้ได้ ถึงนามธรรม ที่เรากำหนด และไม่อยากบอกว่า มโนมยอัตตาอย่างนั้น พ่อครูก็เห็นได้ พ่อครูว่า ยืนยันว่าไม่ใช่ ซึ่งมนุสสเปโต นั้นก็มีจิตเป็นเปรต ใช่แล้ว เราไม่ได้ศึกษาร่างกาย เราศึกษาจิต อย่างรูป ที่มีคนใส่เสื้อสูตร แต่หัว เป็นเดรัจฉาน เราหมายเอานามธรรม ไม่ได้หมายถึงรูปธรรม ยืนยัน โดยอ้างความเป็นสัตว์(ใดๆ) ด้วยว่า.. จักต้องเป็นที่ จิตวิญญาณ เท่านั้น! ซึ่งบ่องตงๆ เลยว่า พธร.สรุปง่ายเกินไป! เพราะคำว่า มนุสสะเปโตนี้ พุทธเจ้ามิได้ ประสงค์ จะให้หมายถึง สัตว์ที่ถือกำเนิดขึ้น มีนาม-มีรูป เป็นเปรตจริงๆ โดยเป็นขึ้นมาเอง ไม่ต้องอาศัย พ่อและแม่ ที่เรียกว่า สัตว์โอปะปาติกะ (เปรต) นั้นเลยไม่! พ่อครูว่า... พูดแล้วก็สงสาร ๘๗๐๕ว่า คุณยังไม่เข้าใจ สัตว์โอปปาติกะ และ ไม่เข้าใจแม่พ่อ ทางจิตวิญญาณ ที่ทำให้เกิด โอปปาติกสัตว์ ซึ่งเป็นนามธรรม ศีลเป็นแม่ ปัญญาเป็นพ่อ เป็นต้น ทำให้เกิดเทวดา เปรตได้ ซึ่งเป็นสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ความเป็นแม่ เป็นพ่อ เป็นประสิทธิภาพของศีล ของปัญญา ทำให้เกิดโอปปาติกสัตว์ได้ คือ มาตา-ปิตา อยู่ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ที่เป็นแสงอรุณด้วย เพราะแท้จริงแล้ว, พระองค์เพียงแต่ประสงค์ จะอุปมาให้เห็น เท่านั้นเองว่า หากผู้ใด มีคุณธรรม ที่ตกต่ำไปจากเดิม คือความมีมนุษยธรรม ของตนแล้ว เพราะมาก ไปด้วยความโลภ เช่นเดียวกับเปรต.. ผู้นั้น ก็ย่อมจะไม่แตกต่าง อะไรกับเปรต ที่อยู่ในร่างมนุษย์! พ่อครูว่า... ก็ไม่ต่างหรอก อันเดียวกันเลย แต่คุณก็ไปแยกอีก อยู่กับของจริง ไม่ศึกษาของจริง แต่ไปศึกษาของลึกลับ แล้วอีกเมื่อไหร่หนอ คุณ ๘๗๐๕ จึงได้ศึกษา ปรมัตถ์ธรรม และเหตุนี้เอง ถึงได้เรียกว่า มนุสสะเปโตนี่ไง! ซึ่งก็ยังมีคำอื่นๆ อีกมาก เช่น มนุสสะเทโว, มนุสสะนิริยะโต, มนุสสะมนุสโส, มนุสสะเดรัจฉาโน,ฯ เช่นอย่างคำว่า มนุสสะมนุสโสนี้ ก็หมายถึง มนุษย์ผู้ยังคง คุณธรรมเดิมของตน หรือยังคงความมี มนุษยธรรม ของตนได้ นั่นเอง! ยิ่งคำว่า มนุสสะเดรัจฉาโน แล้ว.. ยิ่งชัดเจนใหญ่! ว่า.. ย่อมมิได้หมายถึง เกิดเป็นสัตว์เดรัจฉานจริงๆ อย่างนั้นแน่! เพียงแต่หมายถึงว่า มีคุณธรรม ที่ตกต่ำไปจาก มนุษยธรรมเดิมของตน จนเหลือเทียบเท่า กับสัตว์เดรัจฉาน แล้วนั่นเอง ฉะนั้น ดังที่วิสัชนามานี้ จึงหวังเป็นอย่างยิ่งว่า เมื่อพธร. เข้าใจดีแล้ว ก็จงอย่า ไม่ไปเปลี่ยน ความหมายของคำว่า สัตว์โอปะปาติกะ ให้ผิดเพี้ยน ไปจากเดิม ที่พุทธเจ้า ได้หมาย บัญญัตเอาไว้.. อีกเลย! พ่อครูว่า...คุณไปติดอยู่ที่พยัญชนะ เท่านั้น แต่ถ้าพธร. ยังยืนกรานอยู่ว่า ถ้าเป็นคนอื่น ที่มิใช่อรหันต์ ก็ย่อมจะมี นรก-สวรรค์ได้! แต่หากเป็น อรหันต์ อย่างพธร.แล้ว สวรรค์-นรก ก็ย่อมจะไม่มีอยู่ได้เลย! พ่อครูว่า คุณพูดถูกเลย คนที่เป็นอรหันต์แล้ว หมดนรก หมดสวรรค์โลกีย์ ของตนแล้ว อทุกขมสุขแล้ว ส่วนคนไม่ใช่อรหันต์ ก็ต้องมีนรก-สวรรค์ แม้อนาคามี ก็มีรูปภพ -อรูปภพ แล้วคุณไม่อยากได้หรือ สภาวะที่ไม่มี นรก-สวรรค์โลกีย์ เป็นสวรรค์อัน นัตถิ อุปมา (ไม่มีอะไรเปรียบ) เป็นปรมัง สุขัง จึงถามหน่อยว่า ก็แล้วทำไม? อรหันต์ที่ชื่อว่า พระมาลัย ถึงไปเยี่ยมสัตว์นรก ในขุมนรกได้เล่า! อีกทั้งทำไม? พระโมคคัลลาน์ ถึงยังไปสนทนาธรรมะ กับท้าวสักกะ ในดาวดึงสวรรค์ ได้ด้วยเล่า? พ่อครูว่า.. ทุกวันนี้ ก็เป็นพระมาลัย เดินอยู่ในนรก แต่หมดนรก หมดสวรรค์ในใจ และ พ่อครูคุยกับเทวดา อยู่เกือบทุกคืน จึงขอให้ข้อคิดกับพธร.ว่า ดวงอาทิตย์ ใหญ่กว่าโลกของเรา ตั้ง 1.5 ล้านเท่า! แต่ในเอกภพนี้.. ยังมีดวงอาทิตย์ดวงอื่น ที่ใหญ่กว่า ดวงอาทิตย์ของเรา ตั้ง 95,000 ล้านเท่า! ซึ่งเมื่อเทียบกันแล้ว.. ดวงอาทิตย์ดวงนั้น ย่อมจะใหญ่กว่า โลกของเรา ตั้ง 142,500 ล้านๆเท่า! ฉะนั้นโลกของเรา จึงเป็นเหมือนผงฝุ่นธุลี ในเอกภพเท่านั้น! โดยยังไม่นับ สสารมืด เช่นหลุมดำ เป็นต้น ที่สายตาของมนุษย์ ไม่อาจจะมองเห็น มันได้ด้วยซ้ำ! แต่ด้วยเครื่องมือ ทางวิทยาศาสตร์ ก็สามารถจะพิสูจน์ได้ว่า ยังมีสสารมืด อีกเป็นจำนวนมาก ถึง96% ที่มากกว่าสสาร ที่ตาของเรา มองเห็นได้ (เพียงแค่4%) ด้วยซ้ำ! ฉันใดก็ฉันนั้น มิติของโลกมนุษย์นี้ ก็เป็นเพียงแค่ มิติเล็กๆ มิติหนึ่งเท่านั้น ใน 31 มิติ หรือใน 31 ภูมิ ที่พุทธเจ้า ได้บอกเอาไว้แล้ว! โดยที่แต่ละภูมิ ก็ยังแบ่งออกไปอีก ตั้งหลายภพ! เช่น นรกภูมิ ก็ยังแบ่งออกไปอีก ตั้งเกือบ 500 ขุมนรก (หรือ 500 ภพนรก) เป็นต้น! พ่อครูว่า เคยลุยมาแล้ว มากกว่า ๕๐๐ ขุมนรก และขุมนรก มีมากกว่า ๕๐๐ ขุมอีก มีอยู่มาก ฉะนั้น การที่จิตวิญญาณ ของพธร. ไม่สามารถจะพัฒนา จนมองเห็น ภพภูมิอื่นๆ ของสัตตาวาส 9ได้.. แล้วพธร. ก็ยังขืนจะไปบ๊งเบ๊งว่า ภพภูมิอย่างนั้นๆ ไม่มีจริงๆหรอก!. แต่เป็นเพราะ มโนมยอัตตา ที่จินตนาการ ปั้นขึ้นมาเองทั้งนั้น! ซึ่งถ้าเป็นจริง อย่างที่ พธร. ว่านี้ละก็.. ถามหน่อยว่า เมื่ออรหันต์องคุลีมาล บิณฑบาตกลับมา พร้อมด้วยเลือด โชกศรีษะแล้ว.. ทำไม พุทธเจ้าถึงได้ตรัส แก่องคุลีมาลว่า นี่ถ้าหากท่าน มิได้บรรลุ เป็นอริยะแล้ว ตายไป ท่านก็จักต้องได้รับ ทุกขเวทนา อย่างแสนสาหัส ในนรก ที่ทุกข์มากกว่านี้ หลายแสนเท่า จึงถามพธร.ว่า ถ้าสมมุติว่า องคุลีมาล มิได้บรรลุ เป็นอริยะ จริงแล้ว เมื่อตายไป องคุลีมาลก็จะต้อง ไปปั้นนรก คือปั้นทุกข์ ให้กับตัวเอง กระนั้นหรือ? พ่อครูว่าใช่แล้ว เพราะองคุลีมาล ทำบาปมามาก แต่ว่าได้พบ พระพุทธเจ้าก่อน จึงละบุญ ละบาปได้ ก็จบ ซึ่งในพระสูตรบทหนึ่ง, พุทธเจ้าก็ได้ตรัสไว้แล้ว มิใช่หรือว่า ทุกข์นั้น.. ย่อมมิใช่ ที่คนอื่นๆ จะมากระทำ ให้กับตัวของเราได้! พ่อครูว่า แล้วคุณไปมองทุกข์คนอื่น อยู่ทำไมเล่า เช่นที่เล่ามาว่า เห็นก้อนทุกข์ เดินมา เป็นต้น และทุกข์นั้น.. ก็ย่อมมิใช่ ที่ตัวเราเอง จะกระทำให้กับ ตัวเราเองได้ เช่นกัน! เพราะว่าทุกข์นั้น ย่อมเกิดมาแต่เหตุ (คือตัณหา) และปัจจัย (คืออวิชชา).. ต่างหากเล่า! พ่อครูว่า ทุกอย่างมาแต่เหตุ พระพุทธเจ้า ถึงไม่ดื้อกดข่มเฉยๆ แต่ว่าท่านดับ เหตุปัจจัย ต่อเนื่อง ไปจนจบ ไปตามอิทัปปัจจยการ ไล่ดับอัตตา ตั้งแต่ โอฬาริกอัตตา มโนมยอัตตา และอรูปอัตตา ไปตามลำดับ เมื่อเป็นผู้ที่เป็นอมตะ ก็มีอรหัตตา ไว้อาศัย ไม่ลึกลับแล้ว ฉะนั้นแล้ว, ที่พธร.บอกว่า ที่คนตกนรกนั้น.. ก็เป็นเพราะ มโนมยอัตตา ไปปั้นนรก คือปั้นทุกข์ ให้กับตัวเอง ทั้งนั้น! พ่อครูว่า ใครจะปั้น ก็เป็นของคนนั้น แต่เราสามารถที่จะมี หรือไม่มีอันนี้ได้ มีก็เอาไว้อาศัย ไม่ยึดติด จิตสามารถสร้าง ธรรมกาย ไว้อาศัย แล้วก็รู้ว่า กายนี้สักแต่ว่า อาศัย อัตตานี้สักแต่ว่า เป็นเราเป็นของเรา ท่านดับอัตตาได้สิ้นเกลี้ยง ไม่เกิดอีก พ่อครูว่า ไม่ขัดแย้ง กับพระสูตรได้เลย จึงเป็นคำพูด ที่ขัดแย้งกับพระสูตร อย่างชัดแจ้ง! ซึ่งเราเอง, บ่องตงๆว่า มิได้มีเจตนา ที่จะอยากเถียง เอาชนะพธร.เลย! แต่เป็นเพราะว่า เรานั้นได้ดวงตา เห็นธรรมจริง บรรลุเป็นอริยะจริง! พ่อครูว่า ถ้าคุณหลงว่าบรรลุ พระพุทธเจ้า ก็ไม่เอาผิด แต่ถ้าทั้งรู้ว่า ตนไม่บรรลุ แต่โกหกว่า บรรลุ ก็ปาราชิก จึงสามารถที่จะเลือกเฟ้น พระสูตรมาใช้ได้ อย่างเหมาะเจาะ ก็เพื่อที่จะบรรจง ชี้แจง ให้เรียงลำดับไป ตามหลักแห่ง เหตุและผล! โดยต้องระวัง ไม่ให้มั่ว และยังต้อง มิให้ผู้อ่าน สับสนได้อีกด้วย! แต่พธร.กลับหาว่า เรานั้นเก่งแต่ตรรกะ เท่านั้น เพราะมิได้ ทะลุ ปรมัตถสัจจะจริงๆ เช่นกับพธร.เลย ฉะนั้น เราจึงขอเตือน พธร.ว่า ถ้าหากจิตวิญญาณ ของพธร. เปรียบเป็น กระสุนด้านเสียแล้ว หรือคือ สัมผัสที่6 ของพธร. จึงไม่อาจสามารถ ที่จะทำหน้ารู้แจ้ง ธรรมารมณ์.. พ่อครูว่า ที่พ่อครูอธิบาย เรื่องเวทนา ๑๐๘ คือธรรมารมณ์ คุณก็ไม่เข้าใจเลยว่า พ่อครูรู้แจ้ง ธรรมารมณ์ ตามศักยภาพ ที่ควรจะมีจริงๆ ของมันได้! ฉะนั้นแล้ว, ก็เท่ากับว่า ถึงแม้พธร. จะปฏิบัต สมาธิลืมตา แต่ก็มีผัสสะได้แค่ 5 (คือตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย) เท่านั้น! เพราะว่า ยังขาดผัสสะ ที่สำคัญยิ่ง! ซึ่งนั่นก็คือ พธร.ยังขาด ผัสสะทางจิตวิญญาณ หรือขาด สัมผัสที่ 6 นั่นเอง! แล้วพธร. จะไปบรรลุธรรมจริงๆ ตามที่คุยไว้ อย่างไรได้! สรุปว่า ถ้าพธร. เห็นทุกข์จริง ถึงจะหวังพระนิพพานได้! แต่หากว่า พธร.ยัง มิได้เห็นทุกข์จริงๆ เหมือนอย่างที่ คุยโม้ไว้ละก็.. อย่าหวังเลยว่า พธร. จะเป็นพุทธเจ้าได้! จึงขอวิงวอน แต่เพียงว่า ให้พธร. พ้นจากปากเหวนรกได้.. เราทั้งหลาย ก็น่าจะพอใจแล้ว! สาธุๆๆ เจริญธรรม สำนึกดี อนุโมทามิฯ พ่อครูก็ว่า... เริ่มที่สัมผัสที่ ๖ คือวิปัสสนาญาณ จะมีตลอด และเจริญไปกับ ผัสสะ ๕ คือ ญาณที่จะรู้จักวิญญาณ ทางทวาร ๕ และถ้า ๕ ทวารนี้ ไม่มีวิญญาณ ประกอบ เรียกว่า สัมผัสที่ ๖ คือต้องสัมผัส ทางทวารทั้ง ๖ แต่คุณก็ไปพูดแต่ว่า สัมผัสที่ ๖ นี้ไม่เกี่ยวกับ ๕ ทวาร แต่คุณโผล่ไปเอาที่ สัมผัสที่ ๖ เลย ไม่มีประสาทรูป และ โคจรรูปเลย คุณไปดับ ตา-หู-จมูก-ลิ้น-กาย แล้วคุณจะไปมี วิญญาณที่ ๖ ได้อย่างไร เพราะวิญญาณจะมี เมื่อผัสสะ วิญญาณจะมีแต่ทวาร ๖ เมื่อดับกิเลส ทางทวารทั้ง ๕ได้แล้ว อย่างอนาคามี แต่ถ้ามีแต่นาม ไม่มีรูป ก็จะช้านาน พระพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ถ้าปฏิบัติ อย่างถูกต้อง สัมมาทิฏฐิ ก็บรรลุได้ ไม่ ๗ วันก็ ๗ เดือน หรือ ๗ ปี ก็อย่างน้อย ได้อนาคามี แต่ถ้าไม่มี สัมผัสทั้ง ๕ คุณก็เดาเอาว่า นี่คือสัมผัสที่ ๖ เป็นเรื่องลึกลับ เดาเอา มีแต่สัญญาล้วนๆ กายในกาย คือจากตาสัมผัสรูป แล้วก็มีนามธรรมเรา ไปรับรู้เข้าไป เป็นสัมผัสที่ ๖ เข้าไปเป็นสังขาร เป็นความรู้สึก หรือ เวทนา และมีสัญญากำหนดรู้ เกิดวิญญาณ เป็นเจตสิก ๓ เมื่ออ่านเวทนาออก ก็อ่าน อิฏฐารมณ์ อนิฏฐารมณ์ได้ เมื่อดับสุข ดับทุกข์ ตัวเปรต ก็หายไปได้หมด เมื่อสัมผัสทางทวาร ๕ แล้วก็เกิดสัตว์ ทางจิตวิญญาณ เมื่อเรารู้ แล้วก็ดับสัตว์ ที่เกิดจาก ทวารนอกได้ เราก็เป็นอนาคามี เหลือแต่ข้างใน เป็นสัมผัสที่ ๖ ไม่เรียกว่าสัมผัส เป็นธรรมายตนะ กับ มนายตนะ ก็เหลือแต่ สัมผัสเดียว คือ หนึ่ง เฉพาะใจ จะเรียกว่า สัมผัสที่ ๖ ไม่ได้ เพราะต้องนับตั้งแต่ ๑-๖ เช่น รูปกาย ก็ต้องสัมผัส รูปภายนอก แล้วก็มีนามรู้ เรียกว่ารูปกาย แล้วก็มีนาม เข้าไปรู้นามอีก เป็นองค์รวม เรียก นามกาย เป็นลักษณะ ปัจจัตลักษณ์ เฉพาะของตน ไม่เกี่ยวกับคนอื่นเลย ต้องเรียกว่า สัมผัสหนึ่งเดียวเลย คือภายใน รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ นามคือตัวรู้ ถ้าไม่มีตัวผู้รู้ ไม่มีนาม เราก็ไม่มีสัตว์ ยกตัวอย่าง จับฟักข้าวมา กระทบกับทุเรียน มันกระทบให้ตาย ก็ไม่รู้ ไม่เกิดอะไร เพราะไม่มีนาม ดังนั้น ต้องมีรูปและนาม ประกอบกัน จึงรู้ผัสสะ ผู้ปฏิเสธ ผัสสะภายนอก จึงไม่ได้ศึกษา นาม-รูป ที่เกิดจากเหตุปัจจัย ถ้าปราศจาก เหตุปัจจัยแล้ว นาม-รูปย่อมไม่มี ต้องมีผัสสะ เป็นปัจจัย คุณ ๘๗๐๕ เป็นผู้เห็นแต่ ร่าง ของโอปปาติกะ เห็นเป็นรูปร่าง โดยตาทิพย์ สัมผัสที่ ๖ เห็นแต่โครงร่าง ย่อมไม่อาจ อ่านรู้เวทนาได้ เขาเห็นแต่ ของคนอื่น แต่ว่า พ่อครูว่า คุณต้องเห็น เวทนาของตน เป็น เอโก พหิทธา รูปานิ ปัสสติ แต่คุณไปเห็น แต่ร่าง เห็นดวงดาว อวกาศ สสาร ก็ไม่เห็นอริยสัจ ๔ ได้จริง ไปหลงอยู่กับ โลกทิพย์ ภายนอก พระพุทธเจ้าให้ศึกษา นามธรรมในตน นี่ยิ่งกว่า ภิกษุสาติอีก คุณไปเล่นอย่างนี้ ก็โมฆะ ไปตลอด แต่ใครจะมีอิทธิปาฏิหาริย์จริง ก็ไม่ใช่เรื่องที่จะไปเถียงกัน ก็พูดผ่าน ๆ พ่อครูเคยเล่น เดรัจฉานวิชชา เหล่านี้มา ๘ ปี เล่นถึงอรูปพรหม เหยียบอก พรหม ด้วยกันมาแล้ว ก็มีแม่พาเด็ก มาให้รักษา บอกว่า มีสามีเป็นพระพรหม พ่อครู ตอนนั้นก็ว่า นี่พรหมชั้นต่ำ มีเมียอยู่ พ่อครูก็เอา พรหมชั้นสูง เอาพระนารายณ์ มาปราบเลย ก็หายได้ แล้วเขาก็หายป่วย แล้วตอนโต อายุ ๔๐ กว่าปี ก็มาหาที่ สันติอโศก ก็จำไม่ได้ เพราะโตขึ้นมากแล้ว ที่คุณพูดมานี้ พ่อครูรู้มามากแล้ว แต่ว่าพ่อครู อฏฺฏิยามิ หรายามิ ชิคุจฺฉามิ มาแล้ว พ่อครูว่า คุณก็ฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด มาแย้งอยู่ตลอด ฟังไม่เข้าใจเลย พ่อครูดับความเป็นสัตว์ เหล่านี้แล้ว ทั้งสัตว์อบาย สัตว์สวรรค์ พรหม พ่อครูไม่มี ก็บอกว่าไม่มี สิ้นสังโยชน์ ส่วนคุณจะเอาเรื่อง นอกสังโยชน์ มาพูดกับพ่อครู สรุปเลยว่า... คุณ ๘๗๐๕ ยังมิจฉาทิฏฐิ ในเรื่องโอปปาติกสัตว์อยู่ ขอบ่องตง คุณยังไม่เห็น ของตนในตน คุณมีแต่ทิฏฐิ ที่ยึดภาษา พยัญชนะ แต่ไม่ได้ศึกษาเลย แม้แต่คำว่า แม่หรือพ่อ ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ คุณก็เข้าใจ คนละอย่าง กับพ่อครู ถ้าคุณว่า สัตว์โอปปาติกะนั้น เกิดโดยไม่มีพ่อมีแม่ อย่างของคุณ แต่พ่อครูว่า พ่อครูเข้าใจอีกอย่าง ก็จบที่ว่า ถ้าพ่อครูผิด คุณก็ถูก แต่ถ้าพ่อครูถูก คุณก็ผิด OK! ดังพระพุทธเจ้าว่า ความเห็น ของเรากับเธอ คงไปด้วยกัน ไม่ได้แล้ว เป็นต้น ต่อไปเป็นการตอบประเด็น
หมายเหตุ... ที่คนเริ่มมีอาการหลง มาจากอะไร ? กับที่ หลง ๆ ลืม ๆ เป็นไปตามวัย หรือ เกิดแต่อย่างใด ? เพราะ บางครั้ง ฟังพ่อท่านเทศน์ เห็นมีบ่นออกมา ประมาณว่าว่า... เอ๊... ปาก ต้องการพูดอย่างหนึ่ง ใจกำหนดไว้ อย่างหนึ่ง.. ตอบ... เพราะอุปกรณ์คือสมอง มันเสื่อมลง ซึ่งความจำบางเรื่อง พ่อครูก็จำไม่ได้
ตอบ...คนมีศีล คือกำหนดไม่ให้ทำชั่ว แต่ถ้าทำแค่กาย วาจา ไม่ได้ปรมัตถ์ เขาก็เป็น คนดีได้ แต่ถ้าอายุมากไร้ศีล บาปกรรมก็ตะพึดเลย แต่ถ้าคนมีศีล ยิ่งอายุมาก ยิ่งเจริญ จากคุณหมาแหงน
ตอบ... เช่นคุณเจ็บที่หัว มันมีประสาทรับรู้ ก็รับรู้ตรงนั้น สำหรับอวัยวะ ที่มีประสาท รับรู้ แต่ว่า ถ้าบอกว่าเจ็บใจ คุณไม่ได้เจ็บที่หัวใจ มันไม่มีที่ตั้ง เช่น คุณถูกด่า คุณก็เจ็บปวด อยู่ในร่างนี้ เป็นคูหาสยัง ไม่มีที่อยู่หรอก มันเอกจรัง ทูรังคมัง มีอยู่ ที่มันเกิด ขณะใดที่ผัสสะ แล้วมีอาการ หรือ คุณไปดึงสัญญา มาปั้นเอง เป็นต้น
ตอบ... ถูกต้อง ถ้าคุณไม่มีประสาทรูป (ตา หู จมูก ลิ้น กาย) และโคจรรูป คือ (รูป เสียง กลิ่น รส สัมผัส) เมื่อเกิดผัสสะ ก็รับรู้สู่ภายใน เป็น กายวิญญาณ รวมหมดเป็น กายในกาย แล้วเวทนาในเวทนา ก็คือนามกาย ไล่ไปเรื่อยๆ
ตอบ...ใช่แล้ว ความไม่เที่ยงมันมี แม้จะช้านาน หลายล้านชาติ มันก็ต้องเปลี่ยนได้ ในที่สุด แต่อะไรที่เร็ว แล้วคุณเห็นได้ ก็เป็นความสามารถของคุณ ส่วนอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ นั้นสูงกว่า สัมมสนญาณที่เห็นแค่ ความวน เกิด-ตั้งอยู่-ดับไป แต่ว่าอุทยัพพยานุปัสสนาญาณ จะเห็นไปในทางดับ มากกว่า อะไรจะอร่อย แล้วก็เห็นว่า มันจบที่ไม่มี สูงกว่านั้นก็คือ ภังคานุปัสสนาญาณ เห็นแต่ว่า มีแต่ความดับสูญ เรามาคว้า พยับแดด เกลียวคลื่น สุขนั้นแวบเดียว แค่ปลายเข็ม แต่อุปาทานนี้สิ คุณจำเอาไว้ ไม่ลืมเลย เช่น ความทรงจำที่ดี ต้องจำไว้ไม่ลืม นี่คือ อุปาทาน ถาวรกว่า แต่สุขนั้นแป๊บเดียว แค่ปลายเข็ม คุณก็ไปหลง เอาอันนี้ว่าจริง ก็ใช้เวลา แรงงาน ทุนรอน ไปแสวงหา ก็ทุกข์ตลอด สุขมันพรางทุกข์ แต่ถ้าคุณ มาหัดลดละ ไม่ไปเอาสุข รู้ว่ามันทุกข์มากกว่า มันเป็นลมๆแล้งๆ คุณก็มี ภังคานุปัสสนาญาณ รู้ว่าทุกอย่าง มันก็หายไป เป็น ๑. ปรโต ๒. ริตตโต ๓. ตุจฉโต ๔. สุญญโต ๕. อนัตตโต
ตอบ . คือจิตที่ลดความติดจากรูปแล้ว มันบางเบากว่าติดรูป แต่ไม่มีภาษาเรียก ก็เรียว่าอรูป
ตอบ... อย่างธรรมกาย เขาก็ปั้นว่า ใสขนาดนี้คือโสดาฯ ใสขนาดต่าง ก็อริยะต่างกัน ถูกต้อง
ตอบ... ถูกต้อง...
ตอบ... สิกขมาตุ ไม่ได้ถือเคร่งคุรุธรรม ๘ ประการ แต่เราก็อยู่ในครรลองนั้นๆ ไม่ได้ละเมิดอะไร
ตอบ... มี ๑.ตากระทบรูป ๒.หูกระทบเสียง ๓.จมูกกระทบกลิ่น ๔.ลิ้นกระทบรส ๕.กายสัมผัสเย็นร้อนอ่อนแข็ง เรียกว่า ๕ สัมผัส แล้วก็มีใจอีกเป็น ๖ เรียกรวมๆว่า สัมผัส ๖ แต่ถ้าไปปิด ตา หู จมูก ลิ้น กาย ก็ไม่มีสัมผัส
ตอบ... เผานาจะเผาอะไร เผาดินหรือไง เขาอาจเผาไม้บางส่วน เราจะเผาฟางทำไม มันของดี
ตอบ. .เปรตอยู่ที่ใจตนนี่แหละ อยากกินขนม อยากได้สิ่งที่ไม่ควรได้
ตอบ.. .ตั้งว่าจะสอนคน ให้บรรลุธรรมนี่แหละ
ตอบ...ปาราชิกหมายความว่า ขาดจากความเป็นพุทธ ไปชาติหนึ่งเลย ขาดโดย ทุกคน อย่าไปให้ความรู้ มันเป็นโทษ ที่หนักกว่าพรหมทัณฑ์ แต่เขาจะค้นคว้าเองได้ แต่เราไม่บอกไม่สอน ไม่ติง ก็หนักแล้ว แต่ปาราชิกนั้น หนักกว่านั้น ให้ออกไปไกลห่าง จากพุทธเลย เช่น เราเทศน์อยู่ แล้วคนนี้มา เราก็หยุดเทศน์ ต้องให้เขาออกไปก่อน แต่ส่วนตัวเขา จะศึกษาเอง ก็แล้วแต่ แต่พุทธศาสนิกชน ไม่ควรส่งเสริม โดยเฉพาะ ในวงของสงฆ์ ลงโทษชาติหนึ่ง เหมือนผู้ที่ตายจากศาสนา เหมือนใบไม้ร่วง จากขั้วแล้ว
ตอบ... อยากต้องมี อ.อ่างสิ แล้วจะไปไล่เรียง หาญาติได้อย่างไร หลายคนไม่รู้ก็มี หลวงปู่มี ต้นเหล่ากออยู่ที่ อ.พิบูลมังสาหาร ทวดเป็นอุปราชฯ เมืองพิบูลฯ พี่ชายของทวด เป็นเจ้าเมือง
ตอบ... คำว่า ชาติ แล้วระลึกชาติ ก็คือชาติเก่า ชาติที่เราเคย เกิดมาแล้ว ถ้าง่ายๆ คือเกิดอย่าง ร่างกายนี้ ชาติก่อนจะมาเกิด เป็นหลวงปู่นี้เป็นใคร หลวงปู่ไม่เอาภาระ ไม่พยายามตรวจ ไม่พยายามเอามาพูด เป็นการเกิด อย่างตัวตน บุคคลเราเขา พระพุทธเจ้า ไม่ได้ปฏิเสธว่าไม่มี แต่มีเป็นของจริง เราเกิดตายมาไม่รู้กี่ชาติแล้ว มันก็ระลึกรู้อย่างนั้น ไม่ได้ประโยชน์อะไร เราต้องมาเรียนรู้ การเกิดขึ้น_ตั้งอยู่ ดับไปของจิตใจ เช่น จิตโกรธเมื่อกี้นี้ เพราะเขาเตือนเรา เราก็ระลึกว่า เพราะอะไรเราถึงโกรธ แล้วเราควรโกรธไหม? เขาเตือนเราด้วยดีนะ เราไม่ควรโกรธ ถ้าระลึกเช่นนี้ ก็มีประโยชน์มาก เราระลึกได้ถึง ชาติ สัญชาติ โอกกันติ นิพพัตตะ อภินิพพัตติ ชาติ ๕ อย่างนี้ พระพุทธเจ้าให้ศึกษา ชาติ คือเกิดอย่างทั่วไปองค์รวม แต่สัญชาติญาณ คือเกิด ตามของเก่าติดมา แต่เราสามารถกำหนดรู้ ในปัจจุบันได้ เราหัดใช้สัญญะ ในการกำหนดรู้ชาติ หรือความเกิดได้ เมื่อกำหนดรู้ความเกิดได้ ก็รู้โอกกันติ คือเมื่อมันมีอะไร กระทบสัมผัส แล้วก็เกิดสภาพ อย่างที่เรารู้ไม่ทัน แต่ก่อนนี้ แต่เราศึกษาแล้ว เราก็รู้ให้ทัน รู้ทันปัจจุบัน ดีกว่าต้องระลึกชาติ แต่มันตามไม่ทัน ก็ระลึกชาติเอา ศึกษาว่าเรื่องราว เหตุ นิทาน สมุทัย เราทำเป็นกุศลอกุศล แล้วเราควร ปรับปรุง ควรเลิกอะไร ทำให้กิเลสไม่เกิดได้ นี่คือทำให้ชาติมันลดลง ก็เจริญขึ้นเรื่อยๆ จับปัจจุบันดีกว่า ไประลึกชาติ ทำชาติที่เลวให้ดับ แล้วจะมีชาติที่ดีเกิด จิตเราเกิดใหม่ เป็นนิพพัตติ เป็นโอปปาติกโยนิ เข้าหานิพพาน กิเลสตายก็ นิพพัตติ สุดท้ายก็ อภินิพพัตติ ทำให้กิเลสตายจนหมด เป็นฐานนิโรธ นิพพาน เป็นการเกิดที่พิเศษ จำเพาะเลย
ตอบ... ดื้อนี่ศีลข้อ ถัมภะ คือดื้อด้าน ไม่มีในศีล ๕ ทีเดียว แต่รวมในศีลข้อต้น คนเอาแต่ใจตัว คือคนมีโลภะ เอามาให้ตัว จัดเข้ากิเลส อภิชฌาวิสมโลภะ แม้ไม่ดีก็จะดื้อ ทำตามใจตน อย่างนี้หนักนะ ถ้าดื้อมาก ก็ทำรุนแรง ไม่เข้าท่านะ.... จบ |
||
|