560728_รายการวิถีอาริยธรรม โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท
เรื่อง  แจ้งชัดหลุมดำต้องเปิดตาทำวิปัสสนาญาณ

       ส.ฟ้าไทดำเนินรายการที่บ้านราชฯ...

วันนี้เรามาเงี่ยโสต สดับฟัง คือให้มีความตั้งใจฟังจริงๆ ทิ้งอย่างอื่นก่อน เหมือนสมัยก่อน ที่ว่า ฟังธรรมอยู่ ไฟไหม้บ้านก็ให้ไหม้ไป ขอฟังธรรมให้จบก่อน บ้านค่อยสร้างใหม่ได้ นี่คือ เขาให้ความสำคัญ ของการฟังธรรมมาก ตอนก่อนหน้านี้ พ่อครูก็สาธยายถึงเรื่อง “ชาติ” ที่เน้นเรื่อง การเกิดของสัตว์ ทางจิตวิญญาณ

       พ่อครูว่า... พระพุทธเจ้าสอนให้อย่าเดา เอาตามอาการ อย่างพ่อครู เวลาบรรยาย มีลักษณะ เคร่งเครียด เอาจริงเอาจัง แต่ที่จริง ใจไม่ได้เคร่งเครียด แต่ว่าคุณ ๘๗๐๕ เดาเอาตามอาการ ไปในทางลบ มากกว่าทางบวก

       วันนี้จะเอาเรื่องของคุณ ๘๗๐๕ เป็นหลักในการบรรยาย ต้องขอบคุณเขามาก ที่ทำให้พ่อครู สามารถควักเพชรออกมา ให้บรรยายได้เพิ่มขึ้น เขาเป็นเหตุให้ พ่อครูตรวจสอบ ตามที่เขาจี้มา เช่นคุณ ๘๘๐๕ sms มาว่า

0888705xxx ฝึกแต่ตา,หู,จมูก,ลิ้น,กาย แต่ไม่ฝึกใจ ที่ตั้งอยู่ที่ หทัยรูป อโศกจึงเป็น พวกที่ใจบอดแล้ว!
0888705xxx ธรรมของอโศก เหมือนสปอตโฆษณา ที่ฉายซ้ำแล้วซ้ำอีก เพราะต้องการ โฆษณา ชวนเชื่อ

         พ่อครูว่า อย่างสำนักนั่งหลับตาดับ ก็ฉายซ้ำยิ่งกว่าอีก วนแล้ววนอีกกว่าอีก

               พ่อครูว่า ที่เขาบอกว่า ไม่ได้ฝึกใจ ฝึกแต่ทวาร ๕ นั้น คงฟังไม่ได้ศัพท์ จับไปกระเดียด พ่อครูว่า สัมผัสทวาร ๕ เมื่อใด ใจก็รู้เมื่อนั้น พูดแล้วพูดอีก และถ้าไป เข้าใจว่า “กาย” เป็นแต่เพียง มหาภูตรูปเท่านั้น ก็ปฏิบัติไม่ได้หรอก เช่น พวกพีชะ ก็มีชีวะ ขึ้นมาบ้าง มีอัตโนมัติของมันบ้าง แต่ก็ไม่ได้มีตัวรู้ขนาดเวทนา มาปฏิบัติธรรมไม่ได้

       มีคนส่งคำถามว่าขอว่า 0862134xxx ขอให้พ่อท่าน อธิบายเรึ่อง นิพพานเป็นๆ ยังไม่ตาย กับอรหันต์ ยังกลับมาเกิด

       พ่อครูว่า... นิพพานเป็นๆ คือคนผู้ปฏิบัติ ให้ครบเหตุปัจจัย ให้เกิดนิพพานได้ เป็นการรู้ อย่างแจ่มแจ้ง สว่าง ไม่ใช่ว่าเป็นนิพพาน ที่เป็นความลึกลับ เป็น Blackhole เป็นหลุมดำ หรือความเป็น Bermuda triangle คือสามเหลี่ยม เบอร์มิวด้า เทียบว่า ธรรมะพระพุทธเจ้า เมื่อบรรลุ จะมี “จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง” ต่างกับ พวกที่บรรลุ แบบตก ในหลุมดำ      
       เหมือนอาฬารดาบส อุทกดาบส ตายไป ก็ตกในหลุมดำ ซึ่งวัตถุกับนามธรรมนั้น มันซ้อนกันอยู่ ไม่ต่างกันเลย
       อย่างวัตถุอะไร ตกในสามเหลี่ยม เบอร์มิวด้า นั้นก็หายไปเลย ไม่มีใครรู้ได้ด้วย เป็นเรื่อง ลึกลับ เอามาพิสูจน์ บรรยายไม่ได้ แต่พ่อครู กำลังฉายภาพให้ดู เพื่อที่จะได้ สามารถรู้ได้ ยืนยันว่า พ่อครูไม่ใช้พวก magician แต่พ่อครูเป็นพวก มีหลักฐาน มีรู้ความจริง พิสูจน์ได้

       0888705xxx การที่เรียกว่า รู้แจ้งรูปทั้งหลายได้..ก็คือ เช่นการเห็นภาพ, การได้ยินเสียง, การดมกลิ่น, การลิ้มรส, การถูกต้อง โผฐฐัพพะ รวมทั้ง5นี้.. ถือว่า เป็นเพียงส่วนหนึ่ง ของการรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ ที่เป็นรูป เท่านั้น!

       คุณใช้ธรรมารมณ์ที่เป็นรูป พ่อครูก็ว่า สัมผัสทวาร ๕ เป็นโผฏฐัพพารมณ์ ไม่ใช้คำว่า ธรรมารมณ์ ที่หมายเอาแต่ภายใน เป็นสิ่งลึกละเอียด เช่นเดียวกันคำว่า รูปกาย กับนามกาย ซึ่งคำว่า รูปกายนั้นหยาบกว่า แต่รวมทั้งใจด้วย รวมทวาร ๖ เลย แต่ถ้าพูดคำว่า “นามกาย” ก็เป็นที่รู้ว่า ละไว้เรื่องรูป เอาเฉพาะนาม แต่ก็ต้องต่อเนื่อง มาจากรูปด้วย เช่นเดียวกัน ธรรมารมณ์ ก็จำกัดเฉพาะนามได้ แต่ว่าโผฏฐัพพารมณ์ ก็จำกัดที่ ทวาร ๕ ชัดๆ แต่ว่า จะใช้ภาษา “ธรรมารมณ์” อย่างนี้ มาอธิบาย ในความหยาบ หรือละเอียด ก็เข้าใจได้ เช่นกัน

       อย่างคุณ ๘๗๐๕ เป็นสายสัทธานุสรี แต่ว่าพ่อครูเป็นสายธัมมานุสารี ถ้าคุณ ๘๗๐๕ เอาอย่างที่ พ่อครูอธิบาย ไปปฏิบัติด้วย จะไปได้ดี

       ๘๗๐๕ ต่อว่า ซึ่งถ้าเป็นมนุษย์ปกติ ที่มีอาการครบ32 ไม่หูหนวกตาบอด.. ก็ย่อมที่ จะสามารถ รู้แจ้งธัมมารมณ์ ทั้ง5ชนิดนี้ ได้อยู่แล้ว! แต่ว่าเป็นเพียงแค่ การรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ ชนิดที่หยาบเท่านั้น! แต่หากผู้ใด ประสงค์จะรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ ชนิดที่ละเอียด.. เช่นสามารถ ไปเห็นรูปกาย ของสัตว์โอปะปาติกะเปรต หรือเห็นรูปกายทิพย์ ของเทวดาได้.. ผู้นั้นก็ต้อง มีจิตตั้งมั่น เป็นสมาธิเสียก่อน! ถึงจักสามารถไปรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ทั้งหมด.. คือรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ ชนิดที่หยาบ และทั้งธัมมารมณ์ ชนิดที่ละเอียดได้ ในคราวเดียวกันด้วย! แต่ถึงแม้.. จะสามารถรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ทั้งหมด ดังที่กล่าวมานี้ ได้ก็ตาม.. ก็ยังถือว่า เป็นเพียงแค่ การรู้แจ้ง ด้วยสัมผัสที่6 หรือด้วย มโนวิญญาณ เท่านั้นเอง!

         พ่อครูว่า การรู้นาม ต้องรู้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ ต้องมีญาณที่รู้ ในสิ่งที่ ไม่มีตัวตน รูปร่างเส้นเสียง จึงรู้ด้วยญาณปัญญา รู้วิญญัติ ที่ละเอียดว่าบัญญัติ รู้โดยการ สื่อออกมาทาง กายวิญญัติ หรือวจีวิญญัติ มีแค่ท่าทีลีลา มีนัจจะคีตะวาทิตะ ที่พ่อครู สื่อออกมา เป็นลีลาการแสดง เป็นนาฏกรรม dramatic มีสุ้มเสียง สำเนียงประกอบ เป็นร้อยแก้ว สื่อให้คุณฟัง เป็นองค์ประกอบศิลป์ รวมทั้งหมด เรียกว่า “กายวิญญัติ” ส่วน วจีวิญญัติ ก็คือ เอาเฉพาะวาจา

         มีคนอยู่ต่างประเทศ อยากให้พ่อครูอธิบาย เขาว่าอยากให้อธิบาย
. กายวิญญัตติ คือ การให้รู้ความหมายด้วยกาย เช่น พยักหน้า กวักมือ
. วจีวิญญัตติ คือ การให้รู้ความหมายด้วยวาจา คือพูด หรือบอกกล่าว หมายถึง การแสดงออก ได้ไหมคะ
In English is it verbal/bodily expression or verbal/bodily manisfestation or body/verbal language ? Or can be used to mean all of these things kha? I am trying to understand kha.
ด้วยคารวะค่ะ Pim Solasachinda (ปิ๋ม)

         พ่อครูว่า กายวิญญัติ คือให้รู้ความหมายด้วยกาย เช่น กวักมือ พยักหน้า เป็นต้น แต่วจีวิญญัติ นี้เอาแค่พูดให้ได้ยิน เช่นนั่งนิ่งๆพูด หลับตาพูด เป็นต้น แต่ที่พ่อครูแสดง นี่คือ ตุ๊กตาทอง ปรุงแต่งจัดกว่าตุ๊กตาทอง เลยเต็มไปด้วย “กายวิญญัติ”

         พ่อครูว่า พยักหน้ากวักมือ ก็ใช่ แต่มันมีมากกว่านั้น ส่วนวจีวิญญัติ ตามที่คุณ บอกมา ก็ถูก มันเล็กกว่า กายวิญญัติ

         มาสู่ข้อความของ ๘๗๐๕ ต่อ
         เพราะการรู้แจ้งเยี่ยงนี้ พุทธเจ้าก็ยังไม่ทรงนับว่า เป็นการรู้แจ้ง ด้วยวิปัสนาญาณ หรือด้วยปัญญา อย่างที่เสด็จปู่พธร. ชอบไปมั่วเอาเอง ก็หาไม่!

         พ่อครูว่าไม่ได้มั่วเอง เอามาจากของพระพุทธเจ้า วิปัสสนาญาณ อยู่ในญาณ ๑๖ ซึ่งรู้แจ้ง อย่างมีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง

         ๘๗๐๕ ต่อว่า อธิบายว่า ความรู้แจ้ง มีถึง3ระดับขั้นคือ
1.ขั้นรู้ด้วยสัญญา หรือก็คือ ด้วยสัญชาตญาณ ที่มีมา ตั้งแต่เกิดแล้ว.. เช่นที่นกกระจอก ทำรังได้ เป็นต้น หรือแม้ที่มนุษย์ จะมาศึกษาเพิ่มเติม ในภายหลัง จากตำรับตำรา (รวมทั้ง พตปฎ.ด้วย).. ก็ยังจัดเลยว่า เป็นเพียงแค่ ความรู้ขั้นต้น คือระดับสัญญา เท่านั้น! ซึ่งแน่นอนว่า มนุษย์แต่ละคน ก็จะมีระดับความรู้ คือสัญญาที่ติดมา ตั้งแต่เกิด (พร้อมกับ ปฏิสนธิวิญญาณ) ที่รู้มากน้อย และลึกซึ้ง.. ย่อมจะไม่เท่ากันอยู่แล้ว! และยังหมายรวมทั้ง วิชาทั้งหลาย เช่นสมาธิพุทธ หรือแม้ปฏิจสมุปปาท ที่พธร.ศึกษาค้นคว้า มาจากพตปฎ.. ก็ยังนับว่า เป็นแค่ความรู้ ในขั้น สัญญานี้ เท่านั้นเอง!

         พ่อครูว่า การฝึกสร้างฌาน-สมาธิ ต้องปฏิบัติอย่างมีผัสสะ ทางทวาร ๕ อย่างลืมตา ก็พิสูจน์ได้จริง เป็นของสด ไม่ใช่ของแห้ง อย่างที่คุณ ๘๗๐๕ ว่ามา อย่างนั้น มันลึกลับ พิสูจน์ไม่ได้ เป็นของหลอก ที่คุณสร้างเอง

         ๘๗๐๕ ต่อว่า
2.ขั้นรู้ด้วยวิญญาณ ซึ่งความรู้แจ้งธัมมารมณ์ ด้วยวิญญาณทั้ง5 คือเห็นภาพด้วย จักขุวิญญาณ, ฟังเสียงด้วยโสตวิญญาณ, ดมกลิ่นด้วย ฆานวิญญาณ, ลิ้มรสด้วย ชิวหาวิญญาณ, ถูกต้องโผฐฐัพพะด้วย กายวิญญาณ ซึ่งความรู้ด้วย วิญญาณ ทั้ง5นี้ เป็นความรู้ ที่ย่อมมีในคนทั่วๆไปอยู่แล้ว จึงยังไม่นับว่า.. ถึงขั้นที่รู้ด้วยวิญญาณ ในที่นี้ได้! เพราะว่า การที่จะรู้แจ้ง ธัมมารมณ์ทั้งหมด ทั้งชนิดที่หยาบ และชนิดที่ละเอียดได้.. ย่อมจักต้องรู้ด้วย สัมผัสที่6 หรือมโนวิญญาณ เท่านั้น!

         พ่อครูว่า อย่างนี้คงไปตกใน blackhole คงไปเจอกับ อาฬารดาบส อุทกดาบส แต่มัน ไม่รู้กันหรอก เพราะมันดับดิ่ง มันอยู่ในเทหวัตถุแท่งทึบ เป็นความดับดิ่ง ไม่รู้เรื่อง แต่พ่อครูรู้ว่า ตนรู้อย่างสว่างแจ้ง

         ๘๗๐๕ ต่อว่า ฉะนั้น ที่จะถึงขั้นเรียกว่า รู้ด้วยวิญญาณ.. จึงย่อมหมายถึง เฉพาะการรู้แจ้ง ด้วยมโนวิญญาณ คือสัมผัสที่6 นี้เท่านั้น! เพราะนอกจาก มโนวิญญาณ จะทำหน้าที่ เห็นรูปที่หยาบ เช่นเห็นรูปกายของมนุษย์ ด้วยกันได้.. แทนการเห็นด้วย จักขุวิญญาณแล้ว.. มโนวิญญาณนี้ ก็ยังสามารถเห็นรูปกาย ที่ละเอียดของสัตว์ โอปะปาติกะ
         เช่นเห็นรูปกายของเปรต หรือเห็นรูปกายทิพย์ ของเทวดาได้ด้วย! และ นอกจากนี้แล้ว, มโนวิญญาณ ก็ยังสามารถ ไปรู้แจ้งนาม ได้อีกด้วย.. ที่แม้จะรู้แจ้งนาม ได้อย่างหยาบๆ ก็ตาม! โดยการที่รู้แจ้ง นามได้นี้.. ย่อมจักหาไม่ได้เลย!. ทั้งในจักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ, ฆานวิญญาณ, ชิวหาวิญญาณ, หรือ ในกายวิญญาณ ซึ่งทั้ง5 วิญญาณนี้ รู้แจ้งได้ก็เฉพาะ แต่รูป (ที่หยาบ) อย่างเดียวเท่านั้น เพราะหาสามารถรู้แจ้ง ถึงนามได้เลยไม่!

         พ่อครูว่า นี่คือคุณบอกเองว่า ไม่สามารถอ่านรู้นาม ในขณะที่ผัสสะ ทางทวาร ๕ ได้ เขาไม่มี ญาณแบบนี้ ทำไม่เป็น และเขาจะไปรู้แค่นาม ในภพ ในภวังค์ของเขา และก็เป็น มโนมยอัตตาด้วย ซึ่งการปฏิบัติที่ถูกต้อง จะรู้ทั้งรูปและนามด้วย ได้กำไร กว่าคุณ และ จริงกว่าด้วย เพราะอย่างรูปที่หยาบ ก็รู้ได้ด้วย วิญญัติรูป คือกายวิญญัติ วจีวิญญัติ แต่ถ้ามัน บางเบามาก เป็น “ลหุตา” ก็รู้ได้ยาก ถ้าเป็นมุทุตาก็รู้ได้ อ่านได้ จึงรู้ กายกัมมัญญตาได้  พ่อครูว่า การปฏิบัติแบบ ครบทุกทวาร จะรู้วิญญัติรูป ๒ ได้ รู้ วิการรูป ๕ ได้ ซึ่งอยู่ในหมวด รูป ๒๘
         ญ. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture)
16. กายวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยกาย : bodily intimation; gesture)
17. วจีวิญญัติ (การเคลื่อนไหวให้รู้ความหมายด้วยวาจา : verbal intimation; speech)

         ฏ. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลง ทำให้แปลกให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability)
18. (รูปัสส) ลหุตา (ความเบา - lightness; agility)
19. (รูปัสส) มุทุตา (ความอ่อนสลวย : elasticity; malleability)
20. (รูปัสส) กัมมัญญตา (ความควรแก่การงาน, ใช้การได้ : adaptability; wieldiness)

0. วิญญัติรูป 2 ไม่นับเพราะซ้ำในข้อ ญ.

        พวกไม่ศึกษา เอาแต่ทวารใน ก็มีแต่นาม แต่ว่ามันจะอยู่ในหลุมดำ เป็นกิณหะ มันแคบ และไม่จริง พิสูจน์ไม่ได้

          ๘๗๐๕ ต่อว่า จึงสรุปตรงนี้ ให้ชัดๆเสียก่อนว่า ความรู้ที่เลยขั้นสัญญา มาถึงขั้น รู้ด้วยวิญญาณนี้ ก็หมายถึง สัมผัสที่6 นั่นเอง! เพราะเป็นความรู้แจ้ง ที่เกิดจาก มโนวิญญาณ ที่ย่อมจะคลอบคลุม ความรู้แจ้งทั้ง5 ที่เกิดจาก จักขุวิญญาณ, โสตวิญญาณ,,, จนถึง กายวิญญาณด้วย!

         พ่อครูว่า ต้องรู้ไปถึงการปรุงแต่ง เป็นสังกัปปะ ๗ ที่มีกามหรือพยาบาท มาร่วม ปรุงแต่งด้วย มีลักษณะที่เป็น

. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ - material qualities of sex)
10. อิตถัตตะ, อิตถินทรีย์ (ความเป็นหญิง - femininity)
11. ปุริสัตตะ, ปุริสินทรีย์ (ความเป็นชาย – masculinity)

         คุณต้องอ่านรู้ แยกแยะให้ได้ และสามารถกำจัดกาม กำจัดพยาบาท สามารถทำ ตักกะ ให้เป็นวิตักกะได้ ที่เป็นองค์ของฌาน ๑ แล้วจะรู้จัก องค์รวมของ การประพฤติ คือ วิจาร จะต้องกำจัด อกุศลได้ เมื่อสำเร็จก็เป็นวิตักกะ ที่เป็นองค์ประกอบ ไปเป็นสังกัปปะ ที่กุศลได้ มันต้องให้วิปยุติได้ แต่ถ้าทำไม่ได้ กามกับพยาบาท ก็มาสัมปยุติ อยู่นั้นแหละ

         ๘๗๐๕ ต่อว่า อีกทั้งมโนวิญญาณ ก็มิใช่จะรู้แจ้ง ได้เฉพาะแต่รูป.. เพราะยังสามารถ ทั้งรู้แจ้งนาม ได้อีกด้วย! ที่แม้จะเป็นแค่การรู้แจ้งนาม ได้อย่างหยาบๆ ก็ตาม! หรือสรุป ก็คือ มโนวิญญาณนี้ ถึงแม้จักรู้แจ้ง นาม-รูปได้.. แต่ก็รู้สูงสุด ได้แค่ขั้น สมสณญาณ เท่านั้นเอง! เหตุก็เพราะยังไม่สามารถ ที่จะเห็นนาม-รูป.. เกิด-ดับได้จริงๆ ที่เรียกว่าขั้น อุทัพยญาณ. . (ที่แปลว่า แสงอาทิตย์อุทัย หรือแสงอรุณแห่งธรรม) ได้เลยไม่!

        พ่อครูว่า ญาณนี้ที่เรียกว่ อุทยัพพยานุปัสสนาญาณ จะเก่งกว่า สัมมสนญาณ เพราะจะรู้ ถึงความดับ ได้มากกว่า รู้ว่ามันจะไปจบที่ การดับการสูญ รู้จักอนัตตาธรรม เพิ่มขึ้น เพราะมัน มีลักษณะของอนัตตาคือ
     ๑. ปรโต (ความเป็นอื่น แปรปรวนไป)

     ๒. อนัตโต (ไม่ใช่ตัวไม่ใช่ตน)

     ๓. วิตถโต (แผ่ผ่านไป, เคลื่อนไปๆ อยู่เสมอ) .

     ๔. ตุจฉโต (ไม่เป็นแก่น, ไร้ประโยชน์)

    ๕. สุญญโต (เป็นสูญ, ว่างเปล่า)

         ๘๗๐๕ ต่อว่า ฉะนั้นด้วยสัมผัสที่6 จนเกิดเป็น มโนวิญญาณนี้.. จึงยังคงเป็นความรู้ แค่ขั้น จินตามยปัญญา เท่านั้นเอง! แต่ก็นับเป็นความรู้ ขั้นเดียวกันกับ ไอสไตน์ ที่คิดทฤษฎี สัมพัทธภาพ E=mcกำลัง2 เพราะที่ไอสไตน์ คิดสำเร็จได้ ก็ด้วยวิธีจินตนาการ หรือจินตภาพ ที่กว้างไกล จนออกนอกกรอบ ได้นี่แหละ! แต่ว่า ปัญญาแบบไอสไตน์ หรือ =ขั้นที่รู้ด้วย มโนวิญญาณ คือสัมผัสที่6นี้.. พุทธเจ้าก็ยัง ไม่ทรงนับว่า เป็นปัญญาถึงขั้น ภาวนามยปัญญา ที่เกิดจาก วิปัสนาญาณ อย่างแท้จริง เลยไม่!
         ฉะนั้น พึงควรสังวร ให้ดีเถิดว่า.. หากพธร. ยังขืน ไปสอนแบบผิดๆว่า สัมผัสที่6 ก็คือ วิปัสนาญานนี้เอง! บาปของพธร. ก็จะยิ่งหนักกว่า บาปที่ไปฆ่าคนตาย เสียอีก! ซึ่งพธร. ลองหัดสังเกตุ ดูตัวเองบ้างว่า.. ยิ่งถ้าพธร.คิดว่า ตัวเองรู้ธรรมะ มากขึ้นเท่าไร.. พธร.ก็ยิ่ง จะเป็นทุกข์ มากขึ้นเท่านั้น! เหตุก็เพราะ ที่จ้องจะไปเถียง กับคนทั้งโลกไง!

         พ่อครูว่า พ่อครูสิ้นทุกข์แล้ว อวดอุตริมนุสธรรมอย่างนี้ แต่คุณก็ไม่เชื่อ พ่อครูไม่เถียง แต่ถกกับคุณ ไม่ใช่ดันทุรัง ให้ถูกต้องตามตน ไม่รู้เรื่องว่า อันไหนถูก หรือไม่ถูก พ่อครูว่า อันไหนถูกผิด ก็พูดตามภูมิปัญญา ไม่ได้เถียง พ่อครูบานเบิก อยู่ตลอด ส่วนเวลาปรุงแต่ง ก็อาจดูเคร่งเครียด แต่ไม่ได้เครียดเลย พระพุทธเจ้าสอนว่า อย่าเดา เอาตามอาการ

         ๘๗๐๕ ต่อว่า จริงอยู่.. อรหันต์ทั้งหลาย อาจมีจริต ที่ต่างกันได้! แต่สิ่งที่อรหันต์ ทั้งหลาย ย่อมจะมีเหมือนๆกัน.. สิ่งนั้นก็ย่อมคือ ความเบิกบาน! แต่ทำไม? คนทั้งหลาย จึงรับรู้ได้ว่า เสด็จปู่พธร.. ถึงดูเครียดนักเล่า! (ไม่ได้ไซโคฯ.. ยืนยันได้ว่า พูดจาก ความรู้สึก จริงๆ)

         พ่อครูว่า คุณ ๘๗๐๕ อ่านอย่างไร จึงบอกว่า พ่อครูเครียด แต่ที่จริง พ่อครูว่า ไม่เคยเครียด ในชีวิตนี้ มันไม่ต้องไปอยากได้ อยากเถียงเอาชนะ จนดิ้นหรือทุกข์ บอกความจริงไป จะเชื่อหรือไม่ ก็แล้วแต่ และคุณก็พูด ตามความรู้สึกจริง ของคุณ คือ มา อาการปริวิตกฺเกน คือเดาเอาตามอาการ คุณก็เดาผิด พระพุทธเจ้า สอนแล้ว อย่าไปตัดสิน เชื่อตามที่เราเห็น แค่อาการ แล้วก็มาเดาว่าเครียด พ่อครูว่า ตนไม่ได้เครียด มันเป็นเรื่อง ปั้นปรุงแต่ง ให้ดูเอาจริง เอาจังน่ะ (ส.ฟ้าไทว่า ถ้าเขาปรุง อย่างพ่อครู คงเครียด) นี่คือ สัจจานุโลมมิกญาณ อันไม่เท่ากัน พ่อครูสามารถ อนุโลมปรุงแต่ง เล่นขายข้าวแกง กับลูกๆ ตอนเด็กเล่น เยี่ยวใส่ทราย แล้วทำเป็นขนมครก ก็เล่นจริงจัง สนุก แต่ว่าไม่ได้รู้สึกว่า เป็นสิ่งจริง

         ส.ฟ้าไท ว่าผมจะมาพลิกปุ๊ป ให้เบิกบานเร็ว ยาก มันค้างมันติด ต้องปล่อย ให้อีกระยะหนึ่ง

         พ่อครูว่า คุณยังไม่มีมุทุภูตธาตุ ที่มันจะเก่งเท่าใด ก็แต่ละคน พ่อครูฝึกได้ ก็ได้เร็วไว

         ส.ฟ้าไท สังเกตว่า พ่อครูพลิกปุ๊ปเลย แต่ของผม ต้องใช้เวลา

         พ่อครูว่า นี่คืออาการยึด คนยึดอยู่ อย่าไปพูดว่า ไม่ยึดเลย คุณไม่รู้ต่างหาก

         ๘๗๐๕ ว่า.. แต่ถึงแม้..สัมผัสที่6 จะยังมิใช่วิปัสนาญาณ ตามที่พุทธเจ้า ได้ตรัสเอาไว้จริง.. ก็ขอบังอาจชี้แนะ ให้กับพธร.ว่า หากคนเรา แค่ตาบอด หรือหูหนวก ผัสสะอื่นๆ ที่เหลืออยู่.. ก็ยังพอจะเป็นไปได้! แต่หากคนเราใจบอด หรือสูญเสีย สัมผัสที่6 เสียแล้ว ผัสสะทั้ง5 ที่เหลืออยู่ ก็ดูเหมือนว่า จะบอดตาม ไปเสียทั้งหมดด้วย! เพราะก็คง จะใช้ประโยชน์ ในการปฏิบัตธรรม ไม่ค่อยได้มากแล้ว ฉะนั้นสัมผัสที่6นี้ จึงถือเป็นเบสิค อย่างดี ที่จำเป็นต้องมี เพราะเป็นฐานของ การปฏิบัตวิปัสนา อย่างแท้จริง! ที่จำต้องรู้แจ้ง ให้ได้ว่า ทั้งนามทั้งรูป โดยสามัญลักษณะแล้ว.. ล้วนเป็นอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา!
         ซึ่งก็เพราะที่มโนวิญญาณ หรือ สัมผัสที่6นั้น สามารถไปรู้แจ้ง นาม-รูป ที่เป็น อัชฌัตตาธัมมา คือรูปภายใน ที่สมมุตว่าเป็น..ตนได้! และทั้งยังสามารถ ไปรู้แจ้ง นาม-รูป ที่เป็น พหิทธาธัมมา คือรูปภายนอก ที่สมมุตว่าเป็น.. ผู้อื่นได้ด้วย! เหมือนกับเช่น.. ที่ไปเห็น รูปกายของเปรต หรือไปเห็นรูปกายทิพย์ ของเทวดาได้ เป็นต้น!

         พ่อครูว่า แต่คุณปิดตา แล้วคุณจะรู้ทั้งภายนอก ได้อย่างไร คุณรู้แต่ อัชฌัตตา (ภายใน) แต่ว่า พหิทธา (ภายนอก) คุณจะไปรู้ได้อย่างไร? แถมดำน้ำ คิดว่าตนรู้ว่า ใจคนอื่น คิดอย่างไร เช่น เห็นผู้หญิงก็ว่า เขาคิดว่าตนเองสวยไหม? อย่างนี้ พิสูจน์ด้วยไม่ได้ จริงหรือไม่จริง ไม่รู้

         ๘๗๐๕ ต่อว่า ซึ่งผู้ปฏิบัตนั้น จำต้องรู้เสียก่อนว่า ตนเองมีหน้าที่ เพียงอย่างเดียว เท่านั้น! คือใช้สติ ระลึกรู้ให้ทันกับ นาม-รูป ที่กำลังเกิด-ดับ อยู่อย่างต่อเนื่อง.. ก็เพื่อที่จะ ให้ทันกับ ปัจจุบันขณะ นั่นเอง! จนกว่า สัมมาสมาธิ จะบังเกิดขึ้น.. ซึ่งจะเป็นปัจจัยให้เกิด วิปัสนาญาณตัวแรก คืออุทัพยญาณ ที่เห็นนาม-รูปได้ว่า เป็นอนิจจัง, ทุกขัง, อนัตตา แล้วนั่นเอง! จึงเป็นที่มาของ ภาวนามยปัญญา หรือคือปัญญาตัวจริง ตัวแรก.. ที่เริ่มนับจาก ญาณนี้ไป.. จนกว่าจะถึง มรรคญาณ อันเป็นที่สุด! ก็เพราะที่ได้ดวงตา เห็นธรรม คือเห็น อริยสัจ4.. บรรลุเป็นโสดาฯ จ้อยแล้วนั่นเอง!
         จึงสรุปเลยว่า ความรู้แจ้ง มีถึง3ระดับคือ1.รู้ด้วยสัญญา 2.รู้ด้วยวิญญาณ (=สัมผัสที่6) 3.รู้ด้วยปัญญา (=วิปัสนาญาณ)
         สุดท้ายนี้ ขอถามว่า สิกขมาตุคือ ผู้ถือศีล10 ใช่หรือไม่? ส่วนสามเณร ก็คือ ผู้ถือศีล10 อยู่แล้ว! ฉะนั้น ถ้าสิกขมาตุ เป็นผู้ถือศีล10จริง.. และถ้ายกเอาเหตุผล อย่างพธร. มาอ้าง แล้วละก็.. สิกขมาตุก็ย่อมคือ สามเณร! เหตุผลเพราะถือ10 อย่างเดียวกัน นั่นเอง! ก็เหมือนกับที่ พธร.บอกว่า รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ และเมื่อนามก็คือ สิ่งที่ถูกรู้ได้ ฉะนั้น นามก็คือรูป นั่นเอง! สรุปว่า ธรรมะของพธร. คือธรรมเสมือนว่าจริง! แต่แท้จริง เป็นธรรมเทียม!

         พ่อครูว่า ...ใครเสมือนจริง ใครเป็นของจริงหรือไม่ เขาบอกว่าหลับตา จะเห็นจริง แต่พ่อครูว่า ลืมตาสิ แล้วจะเห็นว่า นามธรรมคืออย่างไร ที่ร่วมกับทวาร ๕ ด้วย

         พ่อครู..สรุปว่า คุณ ๘๗๐๕ ยังไม่มีปัจจัยการ ของปรมัตถ์ แต่เขารู้ทาง บัญญัติภาษา ไม่เข้าถึง ปรมัตถธรรม เขารู้แค่สมมุติสัจจะ ยังไม่หยั่งรู้ ธรรมารมณ์แท้ แม้แต่ โผฏฐัพพารมณ์ เขาก็ยังแยกจาก ธรรมารมณ์ไม่ได้ เพราะแยกแยะ มโนปวิจาร ๑๘ ไม่ได้ แยกเนกขัมมะ และ เคหสิตะไม่ได้ แยกเวทนาในเวทนา ในขณะมีผัสสะ ทางทวาร ๖ ซึ่งเป็นกาย ที่เนื่องต่อจาก มหาภูตรูป ไปสู่อุปทายรูป เป็นกายในกาย เมื่อปรุงเป็น สังขารเทวดา ก็ชอบ (อิฏฐารมณ์) หรือไม่ชอบ (อนิฏฐารมณ์) ก็คือเวทนาในเวทนา เราเห็นผี เห็นเทวดาจาก อาการ ลิงค นิมิต เห็นวิการรูป ที่เป็นอาการ ลีลา ไม่มีสีสัน เส้นแสง แต่เป็นวิการต่างๆ มันมีลีลาอย่างไร เป็นผี เทวดาอย่างไร บางคนที่เก่ง มีมุทุภูตธาตุ มีจิตที่มีลักษณะคล่องตัว ดัดได้ไวเร็ว เชิงปัญญา รู้ได้เร็ว เชิงเจโต ก็ปรับได้เร็ว อรหันต์จะปรับได้เร็ว รู้ได้เร็ว
         ผู้ใดแยก มโนปวิจาร ๑๘ ไม่ได้ ไม่มีทางเป็นอรหันต์

         สัมผัสที่ ๖ ของ ๗๘๐๕ จึงไม่เป็นวิปัสสนาญาณ แต่เขาก็ว่า เริ่มต้นเป็นก็ได้ ซึ่งเป็นจริงแล้ว ต้องมี หากไม่มี ก็อยู่ในหลุมดำ อีกนานเท่านาน

         ใครจะ “เห็น” วิญญาณกันได้จริงๆ ก็ต้องมี “วิปัสสนาญาณ”

ซึ่งเป็นการเห็นของจริง ด้วยการสัมผัส ของจริงนั้น แม้จะเป็น “นามธรรม” ขั้นละเอียด สุดยอด ปานใดๆ (นิปุณา) ก็ต้องเกิดจาก “ปัสสติ”  คือ  “เห็น”  และเป็นการเห็น ที่ต้องมี “สัมผัสหรือถูกต้อง” (ผัสสะ, ผุสิต) จึงจะเป็นปัญญา หรือความรู้ที่เรียกว่า “สัมมัปปัญญา” ที่เข้าขั้น “ปรมัตถธรรม”  คือ ภาวะที่เป็นอยู่ ทรงอยู่หลัดๆ

         ซึ่งความหมายแท้ๆ ของคำว่า “ปรมัตถธรรม” นั้นคือ “ภาวะแห่งธรรม ที่เป็น ความจริงสูงสุด หรือภาวะที่ทรงไว้ อยู่ในขณะนั้น เป็นความจริงสูงสุด”  อันมีหลายระดับ

         และภาวะที่ว่านี้ เป็นภาวะขั้นจิต-เจตสิก-รูปธรรม ลึกไปถึงอรูปธรรม ที่เรียกว่า รูปกาย เพราะต้อง “รู้” ด้วยการสัมผัส ตลอดไปถึง นามกาย ที่เกิดจาก “นามรูป”  อันได้แก่  “เวทนา - สัญญา - เจตนา - ผัสสะ - มนสิการ” นี้เรียกว่า “นาม”  กับ “มหาภูตรูป ๔ และอุปาทายรูป ๔”  นี้เรียกว่า “รูป”  

         ทำมนสิการ คือให้ถูกตัวตน สักกายะคือ ตัวตนของตัวเอง ตัวอกุศลจิต อย่าไปมั่ว เอาจิตทั้งหมด ต้องทำขณะผัสสะด้วย แล้วจัดการสัตว์นรก เปรต อสุรการ เดรัจฉาน เช่น เห็นฟักทอง ก็อยากเอาไปทำแกงบวด มีสัตว์เปรต ก็ต้องกำจัดมัน อย่าให้มัน พาเราขโมย ต้องซื้อเอา หรือปลูกเอา เป็นต้น

         นามและรูป ดังพรรณนามานี้ เรียกว่า นามรูปในบริบทของ “ปฏิจจสมุปบาท” ผู้ปฏิบัติ จะต้องเรียนรู้ให้ชัดว่า พระพุทธเจ้าตรัสการจำแนก (วิภังค) ความเป็น “นามรูป” ไว้ อย่างที่อาตมา ได้นำมาอธิบายนี้แล [พระไตรปิฎก  “วิภังคสูตร”  เล่ม ๑๖ ข้อ ๑๔]

         มนสิการเป็น ก็ต้องใช้เจตนาเป็น คือต้องมีวิภวภพ คือภพล้างภพ ล้างตัณหา ไม่ใช่ ไปสร้างกามภพ แก่ตน เรียนรู้ขณะผัสสะ เช่นอยากได้ จนจะไปขโมย เป็นอบายสัตว์อยู่ คุณก็ต้องรู้ และกำจัด สัตว์อบายให้ได้ อย่างหยาบๆ คุณก็ไม่รู้เลย ก็ปฏิบัติไม่ได้ แต่ไปรู้ว่า สัตว์นรก สัตว์เปรตผี คือมีรูปร่างตัวตน ปากจู๋ ไส้โผล่ ท้องโต อย่างนั้น มันไม่ถูกพุทธ หรือ ต้องไปนั่งดับหลับตา เห็นอย่างนั้น พ่อครูเคยทำ และเบื่อหน่ายแล้ว

         แม้ที่สุด ภาวะที่ยอดปลาย ขั้นนิพพาน ก็สามารถสัมผัส “ความจริง” นั้นด้วย “วิชชา” หรือ “ความรู้” ที่ต้องครบ “วิโมกข์ ๘” และต้องเข้าขั้น “สัมผัส” ด้วย “กาย (องค์ประชุม) ของ “รูปและนาม” ครบครันอยู่พร้อม โดยมีปัญญาขั้น สัมมัปปัญญา อย่างแท้จริง จึงจะสัมผัส ภาวะแห่งนิพพานในตน และจะ “รู้แจ้งเห็นจริง” นั้นก็ต้อง “จับต้องอยู่ หรือ สัมผัสภาวะนั้นๆ อยู่ โต้งๆ โทนโท่หลัดๆ”  ใช่มั้ย ?

         จึงจะชื่อว่า  “ของจริงสดๆ หรือความจริงสดๆ” ที่ยืนยันกันได้ เป็นวิทยาศาสตร์ โดยเฉพาะ เป็นปัจจุบัน ภาวะนั้นๆมีอยู่ เป็นอยู่ ทรงภาวะอยู่เห็นๆ รู้ๆ หลัดๆมีทั้ง “รูปธรรม” และทั้ง “นามธรรม” ให้เรารู้อยู่ มีอยู่ ทรงอยู่ จึงเรียกว่า “ธรรม”  ที่หมายถึง ภาวะที่ทรงอยู่ หรือสภาพที่ทรงไว้

         ภาวะใด ถ้ามีแต่ “รูป”  ไม่มี “นาม”  การตรัสรู้ในที่นั้น ไม่เกิดขึ้น การตรัสรู้ มีไม่ได้
         ภาวะใด ถ้ามีแต่ “นาม”  ไม่มี “รูป”  ก็ไม่มีการตรัสรู้ หรือตรัสรู้ไม่ได้
        “ตรัสรู้”  แปลว่า  “ความรู้” ที่เป็นอาริยธรรม ตามที่พระพุทธเจ้า ทรงค้นพบ แล้วนำมา ประกาศ ให้ผู้ศึกษา ฝึกฝนปฏิบัติ จนเราเกิดผล มีภาวะแห่งพุทธธรรม ตามพระพุทธองค์ แล้วเราก็ “รู้” ภาวะแห่งผลจริงนั้น ในตัวเราที่ทำได้ ตรงพุทธธรรม ตามที่พระพุทธองค์ “ตรัส”
         คำเรียกภาวะ ผู้บรรลุพุทธธรรมแล้ว “รู้แจ้งผลธรรม ที่เราบรรลุนั้นของตน” ด้วยภาษาสั้นๆว่า “ตรัสรู้”
         ซึ่งคำว่า “ตรัสรู้” นี้ ใช้กับผู้บรรลุอาริยธรรม ของพระพุทธเจ้าจริง ได้ทุกคน ตั้งแต่ขั้น โสดาบัน ขึ้นไป จะไม่ใช่คำที่ ใช้เฉพาะกับ พระพุทธเจ้า พระองค์เดียว เท่านั้น

         ส.ฟ้าไทสรุป...วันนี้เราได้ฟังพ่อครู ตีงูให้กากิน เราก็ได้ประโยชน์ เวลาพ่อครู แสดงธรรม ก็ไม่ออมมือ แสดงเต็มที่ ทุกด้าน ไม่ว่าบู๊หรือบุ๋น เป็นครูชั้นยอด คนธรรมดา ทำไม่ได้ จะเหนื่อยมาก ติดเทอร์โบตลอด เราต้องเงี่ยโสตสดับฟัง ให้เข้าใจ พ่อครูสอนให้เรา อย่างเอาแต่ตรึกตรองตามอาการ (มา อาการปริวิตกฺเกน) ….

จบ

 
อาาทิตย์ ๒๘ กรกฎาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก