|
||
ส.ฟ้าไทดำเนินรายการที่บ้านราชฯ... บ้านราชฯเมืองเรือ บ้านไม้เมืองหิน บ้านดินเมืองน้ำ บ้านงามเมืองพุทธ บ้านพิสุทธิ์ เมืองอมตะ พ่อครูก็มาสอนให้คน เป็นคนอมตะ เมื่อวานนี้ พ่อครูก็ได้แสดงธรรม โดยสากัจฉากับ sms ของคุณ ๘๗๐๕ ทำความเข้าใจ กับข้อความ ที่เขาส่งมา นำมาเป็นประโยชน์ และวานนี้พ่อครู ได้สาธยายเรื่องของ ปฏิจจสมุปบาท ให้เราเข้าใจ เรื่องของวิญญาณ แต่ก่อนเขาว่า มีผีตัวเป็นๆให้เป็น แต่เราก็ไม่เคยเห็น แต่ว่ามาอยู่กับ พ่อครู ก็ได้เห็นผีที่แท้จริง อยู่ในตัวเรานี่แหละ ให้เราแยกผี เทวดาที่แท้จริง ในตัวเรา นี่แหละ ถ้าไม่เจอพ่อครู ก็คงไม่รู้จักผี, เปรต, เทวดาที่แท้จริง ขนาดรู้แล้ว ยังยาก ที่จะฆ่าให้มันตาย มันอยู่กับเรา มานานแล้ว พ่อครู...ขอแวะขยายความคำว่า ผี เพิ่มเติมอีก คำว่า ผี และ เทวด หรือ พรหม คือจิตวิญญาณ ,ใจ, มโน ซึ่งนอกจาก จิตวิญญาณแล้ว จะเป็นผี เป็นเทวดา เป็นพรหมไม่ได้ และวิญญาณนี้ อนิทัสสนัง (เห็นไม่ได้) อสรีรัง (ไม่มีรูปร่าง) แต่เห็นได้ด้วย อาการ ลิงค นิมิต อุเทศ สัมผัสได้จริง จิตวิญญาณเกิด เมื่อมีผัสสะ ๓ (ตากระทบรูป หูกระทบเสียง... และมีนามของเรา มารับรู้) เช่น เห็นฟักทองบนโต๊ะ แล้วอยากได้ ก็คือวิญญาณเปรต ดังนั้น คำว่า ผีเปรต เทวดาก็คือ คำเรียกจิตวิญญาณ จะเป็นผีเปรต เทวดา ก็คือจิตวิญญาณ จะรู้จิตวิญญาณได้ ต้องมีสัญญากำหนดรู้ ในนามธรรม รู้จิต เจตสิก รูป นิพพาน การเห็นผี ไม่ใช่ว่าเห็นรูปร่าง อย่างไปนั่งหลับตา เห็นผีเป็นรูปร่าง อย่างนั้นอย่างนี้ มีสรีระ มีรูปโฉม ก็คือไปติดที่รูป ก็เลยไม่อ่าน ไปถึงนามธรรม ไม่มีโอกาสเข้าใจ จิต เจตสิก รูป นิพพาน ไม่รู้จัก อาการ ลิงค นิมิต เหมือนคุณ ๘๗๐๕ แต่เห็นว่า ปัญญาคือ อาการแวบขึ้นมารู้เลย เป็นต้น เมื่อวานนี้ มี sms มาหลายราย น่าอ่านให้ฟัง พ่อครูว่า ก็เริ่มมีคนรู้ขึ้นมาเรื่อยๆ ก็ถูกแล้ว พระพุทธเจ้า ให้ลืมตาสัมผัส ทางทวาร ๕ ต่อเนื่องไปถึง อุปาทายรูป มันจะมีภาวะรูป เช่นที่นายกฯ แสดงอิตถีภาวะ ให้คน ทั่วโลกเห็น ในวันที่โอบามา มาเยือน แต่อิตถีภาวะ คือลักษณะไม่จบ แต่ว่ามันเป็น การเกื้อกูลกัน ทั้งสองอย่าง ทั้งอิตถีภาวะ และปุริสสภาวะ คือมีให้เกิด การเปรียบเทียบ เหมือนขาวกับดำ ในสิ่งที่เรายังมี เราก็รู้ว่ายังมี ในสิ่งที่เราจะไม่ให้มี อย่างเด็ดขาด เที่ยงแท้ถาวร จิตเราก็สามารถ ทำให้มันไม่มีได้ โดยเฉพาะ สภาวะนามธรรม ส่วนรูปธรรม เป็นทุกข์ ที่เลี่ยงไม่ได้ ในทวารทั้ง ๕ เราผัสสะแล้ว ทำให้เราเห็น นามธรรม ที่เกิดจาก การผัสสะ เรียกว่า มี วิปัสสนาญาณ จะมีความรู้จริงแท้ ทั้งรูปและนาม รูปคือสิ่งที่ถูกรู้ ส่วนนาม คือ ญาณปัญญา มีทั้งรูปและนาม ตั้งแต่สัมผัสที่ ๑ คือตา ๒ คือหู ๓ คือจมูก ๔ ลิ้น ๕ กาย และสัมผัสที่๖ คือใจ สัมผัสที่๖ ของ ๘๗๐๕ เป็นเรื่องลึกลับ พิสูจน์ไม่ได้ เหมือนกับคนที่ว่า เขาได้นิโรธ แบบสมาธิหลับตา ก็คือ หายเข้าไป ในหลุมดำ นิโรธคือเข้าไปในหลุมดำ ซึ่งเรียก อีกอย่างว่า เทหวัตถุแท่งทึบ ใครเข้าไป ก็หายไปเลย แต่มันมีสารพัดในนั้น เพราะมันเป็น เอกภพ เหมือนคนที่หายเข้าไป ในสามเหลี่ยม เบอร์มิวด้า นี่คือนิโรธมืด แต่ของพระพุทธเจ้า มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ซึ่งต่างจาก นิโรธฤาษี คนละอย่างเลย มีสัมผัสทั้ง ๕ และรู้สัมผัสที่ ๖ ตลอดเวลา มีทั้งรูปและนาม อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่ว่า มีแต่สัมผัสที่ ๖ อย่างเดียว ไปรู้แต่ในภวังค์ เป็นสิ่งลึกลับ มหัศจรรย์ เหมือนคนเข้าไป ในหลุมดำ เป็นเทหวัตถุแท่งทึบ เป็นกิณหะ พวกที่มีสัมผัส ๖ ครบ จะสัมผัสรู้ทุกอย่าง อย่างไม่ลึกลับ แต่คนที่ตกเข้าไป ในหลุมดำ จะไม่เห็นอะไรเลย คือไปเดี่ยว มันเอกจรัง มุ่นอยู่แต่ของตนเอง คุณสร้างภพ ในภวังค์อย่างไร ตายไป ก็ตกภพนั้นแหละ เมื่อเข้าไปอยู่ในนั้นแล้ว คุณเคยเสพ ทางทวาร ๕ มาก่อน คุณเคยสุข ที่ได้เสพรส อยากเหยียดขา ก็ทำได้ อยากกินอะไร ก็เอามาเสพ แล้วตายไป ไม่มีทวาร ๕ ให้เสพแล้ว จะดิ้นขนาดไหน แม้แต่ต้องการอยู่เฉยๆ ก็ทุกข์ เพราะไม่มีอาการ ๓๒ แล้ว มีแต่อาการที่ ๓๓ เป็นตาวติงส์ คืออาการดิ้นไป ในกามานุสัย ดิ้นไปตาม กามุปาทาน คุณไม่รู้ว่า มีอนุสัย แต่มันมีจริง คุณจะไม่ได้สัมผัส ในสิ่งที่อยากอีก เพราะไม่มีอะไร ให้บำเรอ จะได้อย่างเดียวคือ หยิบสัญญาเก่า มาปรุงอีก เป็นการตื่นในภพ แต่ตื่นมาอยาก โดยคุณไม่รู้ว่า คุณไม่มีทวาร ๕ ให้เสพ คุณไม่รู้ว่า คุณตายหรอก ส.ฟ้าไทว่า แค่เหยียดแข้งเหยียดขา ก็เป็นนรกแล้วหรือ? พ่อครูว่า มันละเอียดมาก ลองดูสิว่า เราอยู่นิ่งๆ มันก็อยากขยับ ในอิริยาบถที่เราอยู่ อย่างมีอาการ ๓๒ มันก็อยากไป สารพัด เมื่อคุณตื่นอยู่ คุณก็หาบำเรอ ไปตามเรื่องตามราว เขาก็หามาเสพ เท่าที่สามารถ แต่ตอนตาย อนุสัยยังเต็มเบ้าเลย แต่ตายแล้ว ไม่มีสัมผัส เหมือนเดิม คุณไม่มีสวรรค์หรอก แต่คุณอยากสัมผัส มันก็จะมีแต่นรก และนรก อยู่แทบตลอดเวลาเลย อธิบายเป็นสัจจะ ไม่ได้ขู่ให้กลัว แต่พอฟังได้ เข้าใจได้ ซึ่งถ้าไม่เรียนรู้ สัมผัสทั้ง ๖ ให้ครบ และลดละ ล้างอนุสัย ล้างอุปาทานไปเรื่อยๆ จนแม้สัมผัส คุณก็ไม่สุขไม่ทุกข์ ตอนเป็นๆ ตายไปก็ไม่ดิ้น อย่างอนาคามี ก็หมดอุปาทาน ในกามภพแล้ว ที่เหลือ ก็เบาบางแล้ว ถ้าเข้าใจว่าสวรรค์ มันจี๊ดเดียว แวบเดียว แล้วคุณไปจำว่า เป็นสวรรค์ นั่นมันของจำ ไม่ใช่ของจริง เพราะสุขมันแวบเดียว ที่ว่าจำความรู้สึกดีๆ นั้นไว้ อย่างนี้ ก็ทุกข์ไปนาน โลกเขาสอนอย่างนี้กัน พ่อครูต้องมาสอนใหม่ แต่ทุกวันนี้ สื่อมันมอมเมา เปิดทีวี มันก็เล่นงานแล้ว ทั้งเสียงและรูป และยังมีของจริงกันโจ๋งครึ่ม อยู่ในอโศก ไม่เท่าไหร่ แต่ข้างนอก เขานึกว่า เก๋เท่ห์ด้วยนะ 888705xxx หนังฉาย1นาที แต่สลับด้วยโฆษณา5นาที แล้วคนอื่น จะดูหนังรู้เรื่องไม๊เนี่ย? พ่อครูว่า รู้ดีเลยว่า หนังที่ฉายไปน่ะ หนังมอมเมา หนังหนึ่งนาที เป็นหนังมอมเมา หนังเลอะเทอะ ก็เลยขยายความไป พ่อครูถามว่า พวกเรารู้เรื่องไหม?... ตอบ.. รู้เรื่อง พ่อครูว่า ก็เห็นใจ คนที่ไม่รู้เรื่องเขา 0888705xxx เสด็จปู่พธร. ดิ้นรนเป็นทุกข์มาก.. เพราะจ้องจะไปเถียง กับคนทั้งโลก พ่อครูว่า พ่อครูไม่เถียงหรอก แต่เป็นการสากัจฉา พ่อครูรู้ว่า คนทั้งโลก เขาเป็นอย่างไรกัน คุณรู้สึกเองว่าเถียง ไม่คิดว่าจะทำ แบบที่คุณพูดหรอก 0888705xxx นักบวชที่ต้องอาบัตหนักแล้ว สัมผัสที่6 จะหายไป.. กลายเป็นพิการ ทางจิตวิญญาณ! จึงห้ามสวรรค์ ห้ามนิพพานแล้ว สำหรับปู่พธร.เน้อ! พ่อครูว่า นี่เป็นความเข้าใจของ ๘๗๐๕ ก็เห็นใจคุณมากเลย พ่อครูเข้าใจ ชัดเจนว่า คุณมีสัมผัสที่ ๖ อย่างไร พ่อครูว่า ถ้าทวาร ๕ ไม่มีธาตุรู้ มาร่วมด้วย สัมผัสที่ ๖ ไม่เกิด แต่ถ้าจะเกิด ก็อยู่ในภพ เป็นการสำเร็จด้วยจิต เป็นอัตภาพ ที่อยู่ด้วย มโนมยัง เป็นจิต ที่ปั้นเสพเอง ในภพ ถ้าคุณมีสติ แต่มันไม่ง่าย เวลาสติตกภพ มันไม่ง่ายเลย ดังนั้น คุณเอง เวลาคุณตกภวังค์ ก็สร้างวิมาน ได้เสพสุข คุณตายไป คุณก็ได้สุขเวลาฝัน แต่เวลา ตายจริงๆ อนุสัยอาสวะ มันจะทำงานเต็มที่ ซึ่งเวลาคุณมีชีวิต คุณก็อยู่กับทวาร ๕ เป็นธรรมดา แต่เวลาตายไปมัน จะกระตุ้นให้คุณอยาก คุณดิ้น ทุกข์ทรมาน คำว่าวิปัสสนา แปลว่า ต้องมีผัสสะ มีสัมผัส การไปนั่งหลับดับ สมาธิอย่างเดียว ในสายนั่งหลับตา คือพวกไปหาหลุมดำ อย่างเดียว จะไม่เกิด จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง พุทธะคือผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน ไม่ใช่ไสยศาสตร์ 0888705xxx พิจรณาดีๆ จะเห็นว่า พธร.เล่นการเมือง โดยอาศัยศาสนา บังหน้า..รึเป่า? พ่อครูว่า กำลังเขียนเล่มหนึ่ง แต่ที่ผ่านมา หนังสือพ่อครู พิมพ์ออกมา เป็นล้านกว่า เล่มแล้ว เอาทุนจากไหน? เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์บุญนิยม ซึ่งคิดเอาได้ยาก วันนี้ คุณในน้ำคำ ก็พูดมาเรื่อง สาธารณโภคี จะออกสื่อ เรื่องเครื่องมือ ที่ใหญ่โตของเรา ได้ไหม เราก็หมู่บ้านนิดเดียว แต่ทำไม มีรถแบ็คโฮล ๘๐๐ ซึ่งเป็นคันใหญ่ หายาก และ ก็มีอุปกรณ์ มากมาย เช่น โรงพิมพ์ เขาว่าเอาเงิน มาจากไหน? ตั้งแต่ตั้งโรงพิมพ์มาใหม่ๆ ก็พิมพ์ฉับแกละ ทำจนนิ้วขาด ไปหลายคน ได้เครื่อง ออฟเซ็ต จากนายห้างเกรย์ ขายถูกๆมาให้ ต่อมาตั้งตัวได้ ก็ซื้อมือสอง จนตอนหลัง ก็ซื้อแกะกล่องได้ เป็นเรื่องเศรษฐศาสตร์บุญนิยม อีกหน่อย เขาจะมาศึกษา คุณ ๘๗๐๕ มาก็ดี ทำให้ เราได้อวด ในสิ่งที่ดี สิ่งที่จริง ต้องขอบคุณ ที่เปิดทางให้พูด ถามว่าเอาเงินจากไหน? ก็จากเลือดและวิญญาณ ของชาวอโศก ทุกวันนี้ เราก็ยัง แข็งแรง ในกฏที่จะรับเงิน ของคนภายนอก เมื่อต้องมาคบคุ้นกับเรา อย่างดีแล้ว แม้คนบริจาค ภายนอกมา เราก็เอาเข้าเป็นเงิน กองสาฯ คือให้ทำงาน กับคนข้างนอก ถ้าหมดกิจกรรม ก็หยุดรับเงินบริจาค แต่เข้าภาวะปกติ ก็ไม่รับเงินบริจาค แต่จะเอาของ มาทำทานก็ได้ ไม่มีปัญหา แต่เงินเราไม่รับ เราเลี้ยงตัวเอง ด้วยลำแข้งของเรา เป็นเรื่องสัจจะ พวกเรามาปฏิบัติ แบบพระพุทธเจ้า จะมีพลัง ๔ มีปัญญาเลือกเฟ้น งานที่ไม่มีโทษ ผู้รู้ไม่ติเตียน เราทำมาได้ มีส่วนเกิน เพราะเรามาลดละ ไม่เปลือง ไม่ถูกมอมเมา เราขยันหมั่นเพียร ไม่เสียเวลาไปพักผ่อน บันเทิงเริงรมย์ เราทุ่น ไปหลายอย่าง ประหยัดจริงๆ economy จริงๆ เราเป็นเศรษฐกิจ ประหยัดจริง เราไม่หรูหรา ฟุ่มเฟือย แต่เราขยัน มีพลัง ๔ แล้วสละช่วยคนอื่น เราเหลือกินใช้ แล้วให้คนอื่น คนก็ทึ่ง มันบอกว่ามันจน แต่มันมีแจก มันเอาที่ไหนมาแจก มันไม่ใช่เรื่องลึกลับ แต่เป็นเรื่องลึกซึ้ง ไม่ใช่เรื่อง magic แต่เป็นเรื่อง enlightenment 0888705xxx ถ้าไม่ได้ปกครองด้วย ลัทธิคอมฯแล้ว ทำไมสมณะอื่นๆ จึงเหมือนลูกกะโล่.. ไม่ค่อยได้พูด เท่าไรนัก! ส.ฟ้าไทว่า... พวกผมพูดก็ไม่ได้ดี ไม่ได้สาระเท่าพ่อครู และพวกเรา ไม่ค่อย อยากขึ้นเวที พ่อครูว่า มันซ้อนว่า ผู้ที่ไม่อยากเด่น อยากดัง ก็ไม่ต้องการหรอก แต่คุณเดาเอา จากการที่มีอัตตา ก็เดาผิดสิ ตนเองก็เดาว่า เราเป็น เราคิดอย่างนี้ แต่เขาไม่เป็น อย่างเราก็ได้ พ่อครูก็ไม่ได้บังคับใคร ทุกคนก็เต็มใจ ไม่ได้แย่งหรอก แต่เข็นกันแทบตาย จะยอมขึ้นเวที 0888705xxx บาปที่พธร. สอนผิดๆ จะบาปหนักยิ่งกว่า นิกร + ยันดะ + พุทโธ + เณรคำ รวมกันเสียอีก! พ่อครูว่า ก็ไม่เป็นไร เป็นความเข้าใจของคุณ เราก็รับฟัง ตรวจสอบ ขอบคุณ ที่ให้เรา ตรวจสอบตนเอง พ่อครูว่า ไม่ได้ไปทำอย่างนั้นเลย มั่นใจ อุ่นใจดีใจ ว่าเรายังเป็น ลูกพระพุทธเจ้า ไม่นอกรีตนอกรอย ห้ามคุณคิดอย่างนั้นไม่ได้ แต่ทั้งที่รู้ว่า พ่อครูเคร่ง ไม่เป็นอย่างนั้น แต่เจตนาประจานก็ได้ ต้องการดิสเครดิต เรียกว่า ใส่ไข่ ไส่ความ ถ้าคุณทำจริง ก็บาป นี่คือการเดาเอานะ แต่ว่าถ้าคุณเข้าใจ อย่างนั้นจริง ก็ไม่เป็นไร พ่อครูว่า คุณเข้าใจผิด พระพุทธเจ้าว่า ถ้าคนเขาบอกว่า เราเป็นเช่นไร แต่เราไม่เป็น เช่นที่เขาบอก ก็ต้องบอกไป ชี้แจ้งให้เขาเข้าใจ 0888705xxx พธร.อยู่กับนาม-รูปแท้ๆ แต่ไม่เคยเห็น นาม-รูปจิงๆ เพราะใจบอดสนิทแล้ว! 0817404xxx คนเคยรู้รสกามราคะแล้ว กับคนไม่เคย สงสัยอยู่นั่น ใครปฏิบัติธรรมง่ายกว่า พ่อครูว่า ตอบตายตัวไม่ได้ แล้วแต่บารมี คนที่ถูกครอบงำมา คนที่ตายแล้ว เกิดมา ก็ไม่ได้เอา ความจำเก่า มาใช้เลย แต่เอา สัญชาติที่ติดตัว มาใช้แค่นั้น แต่ของเก่า ทั้งของดี คุณก็ไม่ได้ใช้ คุณเป็นลิงลม อมข้าวพอง มาก่อน แม้พระพุทธเจ้า ก็ถูกครอบงำ ต้องถึงเวลา ค่อยตื่น เป็นพระพุทธเจ้า พ่อครูมีเรื่องลึก ที่จะอธิบาย... ผู้ที่มีบารมีแล้ว แต่ยังไม่ถึงเวลา แต่เมื่อตั้งใจจริง เมื่อมีสมาธิ เป็นจิตตั้งมั่น ของตนเอง แล้วระลึก ของเดิมก็จะขึ้นมา อันนี้ของจริง ผู้ที่มีของจริง เมื่อระลึกแล้ว ก็จะได้ของจริง อย่างพระพุทธเจ้า ไปทำทุกรกิริยา ทำได้ยอดกว่า คนอื่นเลย ใน ๖ ปี พระพุทธเจ้า มาบอกทีหลังว่า นี่คือ ไม่ใช่ทาง บรรลุธรรมเลย เป็นการไปใช้หนี้ วิบาก แต่คนไปหลงว่า ๖ ปี คือทางปฏิบัติ และ มีพระสูตร ในอุบาลีสูตร ก็ตรัสถึงโทษ ของการออกป่า พวกเรานั่งสมาธิน้อย แต่การไปนั่ง จะได้สองอย่าง คือ ของจริง กับของปลอม พ่อครูไม่ได้คัดค้าน การนั่งสมาธิ แต่ถ้าคุณมีจริง มันก็จะได้ แต่ถ้าคุณ ไม่มีของจริง นี่แหละคือ ความเสียหาย ถ้าคุณไม่มีมรรคผล คุณได้แต่เรียนรู้ เพ้อผัน ไปตามที่เรียนมา คุณก็ไปปั้นเอา แล้วคิดว่าใช่ ได้ของปลอมเยอะ ถ้าคุณไม่มีของจริง คุณปั้น จนคุณ มั่นใจว่า นี่ของจริง เรียกว่า มโนมยอัตตา เช่นคุณได้ยินว่า สระอโนดาษ เป็นอย่างนี้ สวนอัมพวันต์ เป็นอย่างนี้ พ่อครูก็เคยเล่นมา แต่ปั้นไป คนละเรื่องราวเลย แม้คุณ จะไปเรียนมา เหมือนกัน แม้จะปั้น ตรงตามที่ติวมา เหมือนเป๊ะ ก็ของใครของมัน ไม่ใช่อันเดียวกัน แต่ยังไง ก็ไม่เหมือนเป๊ะ ปรมาณูสองตัว ก็ไม่เหมือนกัน คนนั่งสมาธิ อย่างพระพุทธเจ้า มีของจริง ท่านมีฤทธิ์มาก ดึงออกมา พรวดเดียวเลย หลายล้านชาติ ท่านตั้งใจว่า แม้เนื้อและเลือด ในสรีระเรา จะแห้งเหือดไปหมดสิ้น จะเหลือแต่ หนัง เอ็น กระดูก ก็ตามที หากเรายังไม่บรรลุ พระสัมมา สัมโพธิญาณ ก็จักไม่ทำลาย บัลลังก์นี้ ท่านก็รู้ว่า ท่านคือพระพุทธเจ้า พ่อครูว่า ทุกวันนี้ ไม่ได้ฝึก เรื่องเหล่านี้เลย แต่ให้มันไหล ออกมาเอง เช่น ตอนที่นอน แล้วคุยกับเทวดา มันหาคำตอบ ก็จะค้นของตนเอง จึงเป็นสองอย่าง ในการทำสมาธิ คือของจริง และ ของปลอม คนที่มีแล้วเคยแล้ว ถ้ามีบารมีแล้ว คุณก็ละได้ง่าย แต่เคยแล้ว แต่คุณไม่มีบารมี แม้ไม่สงสัย แต่คุณติดก็ช้า เพราะมันมีนัยลึกซึ้ง หลายอย่าง 0847599xxx เพิ่งติดตามได้3 เดือน ข้าพเจ้า รู้จัก ... 1 ลดอัตตาตัวเอง 2 สมาธิลืมตา ผ้สสะ 3 วจีสังขาร ทำทันบ้าง ไม่ทันบ้าง แต่ดีใจ ที่ได้รู้จักวิธี และได้ทำตามคำสอน และจะทำต่อไป พ่อครูถามว่า ใครรู้จักวจีสังขาร ของตนเองบ้าง... ยกมือกัน ค่อนห้องเลย 0824039xxx ธรรมะย่อมชนะอธรรม! ปชช.ไม่มีธรรมแท้ มีแต่ธรรมเทียม จึงแพ้อธรรม โดยมิรู้สึกว่าตัวเองแพ้! เพราะบางคน ก็เอากะมันด้วย! ปชช.ต้องดึงศีลธรรมกลับมา ปท.ไทย จะไม่พินาศ! พ่อครูว่า... เมื่อวานนี้ อธิบายถึงนามรูป อธิบายถึงว่า ต้องรู้รูปและนาม ได้อธิบาย ในรูป ๒๘ ก็ลองแจกแทรกใน อุปาทายรูป ๒๔ และมหาภูตรูป ๔ คร่าวๆ ส่วนจิตวิญญาณ มีเวทนา มีอุปาทานยึดถือสะสม สร้างอะไร เป็นกรรมวิบาก ไปได้เรื่อยๆ [40] อุปาทารูป หรือ อุปาทายรูป 24 (derivative materiality) สัญญาเป็นคลังความจำ หน้าที่ของวิญญาณ เป็นการกำหนดรู้ กำหนดหมาย - กับการกำหนด จำได้ หมายรู้ว่า สักแต่ว่ารู้ ในปุถุชน ก็ได้ชั่วคราว แต่อรหันต์ ทำได้ตลอดไป แต่ถ้าคุณไปรู้วิญญาณ ล่องลอยเป็นรูปร่าง ก็ไม่เข้าถึงนามธรรม ของตนเอง คือ เวทนา สังขาร วิญญาณของตน ที่ปรุงแต่งเป็น เทวดา เป็นผี คุณก็ไม่รู้ ไปติดที่รูป แต่แม้คุณระลึก ก็จะรู้ได้ว่า ตนเคยเป็นเทวดา เป็นผี แต่ไม่ศึกษาในอาการ ก็ไม่รู้ ไม่รู้ว่า จิตนี่มีกุศล หรืออกุศลจิต คนศึกษาจิตตนเป็น จะแยกแยะได้ มีตีรณปริญญา (แยกแยะ) และมีปหานปริญญา (ทำลายกิเลสได้) และจะรู้สังขาร ซึ่งก็คือวิญญาณนั่นแหละ และก็คือ เวทนานั้นแหละ เมื่อสามารถอ่าน นามธรรมตนได้ ก็ปฏิบัติ มีผัสสะ ๖ อายตนะ ๖ ตัณหา ๖ เกิดทางทวาร ๖ ร่วมกัน เกิดกิเลส คุณก็สามารถแยกแยะได้ (ตีรณปริญญา) รู้ของเรา มันไม่มีรูปร่าง เส้นแสง แต่รู้ได้ด้วย อาการ เมื่อกระทบ สัมผัสมหาภูตรูปแล้ว มีการรับรู้ กำหนดรู้ เรียกว่า กายในกาย และมี ตีรณปริญญา หรือ ธัมวิจัยสัมโพชฌงค์ และรู้ตัวที่จะต้องกำจัด จับอาการของ ตัณหาได้ และทำ ให้มันดับได้ ตัณหาดับ อุปาทานก็ดับได้ มันเป็น kinetic energy และ potential energy อ่าน กายวิญญัติได้ (เป็นองค์รวม ที่แสดงออกมา) เป็นการเคลื่อนไหวให้รู้ ได้กระทบสัมผัส มีทั้งกรรม ๓ ร่วมกัน แม้แต่เหลือ วจีวิญญัติ เช่นการมี นัจจะ คีตะ แต่มีตรง วาทิตะก็มีวจีวิญญัติ แต่องค์รวมของ การเคลื่อนไหว ก็เป็น กายวิญญัติ เปรียบเหมือน เมื่อดับไฟมืด เป็นเทหวัตถุ แท่งทึบ ก็ไม่เห็นอะไร แต่ว่าพอเปิดไฟ ก็เห็นได้ ก. ปสาทรูป 5 (รูปที่เป็นประสาท สำหรับรับอารมณ์: sensitive material qualities) จ. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต - material qualities of life) ชีวิตของผี ของเทวดา จะอยู่นานแค่ไหน ก็แล้วแต่คุณเลี้ยง ผีกับเทวดา คือ ตัวเดียวกัน เทวดาเป็นของปลอม เป็นเท็จทั้งนั้น ผีสิของแท้กว่า มันหน้าด้าน อย่างนี้จริงๆ สมมุติเทพ คือเทวดาโลกีย์ ลดกิเลสได้ ก็เป็นอุบัติเทพ กิเลสหมด ก็เป็น วิสุทธิเทพ จากมหาภูตรูป ก็เนื่องมาเป็น อุปาทายรูป ก็ต้องรู้ว่า มีกิเลสมาร่วม (สัมปยุตตัง) เราก็กำหนดศีล ภายนอกเราไม่ละเมิดแล้ว ก็มาอ่านจิต ที่มันเริ่มคิดดำริ มันมีการปรุง ในนั้นไหม มันจับอาการกามได้ไหม? คุณกำจัดมันสำเร็จ ก็เป็นวิตักกะ สังขารก็เป็น วิสังขาร ถ้ากำจัดมันไม่ได้ ก็เป็นมิจฉาสังกัปปะ ลดได้บ้าง ก็มีส่วนแห่งบุญ ให้ผลแก่ขันธ์บ้าง ทำบ่อย ทำสมุทเฉทปหานได้ ก็ทำอาเสวนา ภาวนา พหุลีกัมมัง ไปจนเป็น นิสสรณปหานได้ การปหาน ไม่ใช่แค่กดข่ม การกดข่มก็ช่วยด้วย ต้องรู้ว่ามันเป็นเรื่องเลวร้าย ไม่อยู่ถาวร แต่มันลดได้ ไม่ให้บำเรอ มันก็ไม่ตาย และไม่เปลืองด้วย มีประโยชน์อีกเมื่อลดมัน พระพุทธเจ้าให้รู้ ทาน ศีล สวรรค์ทางกาม โทษของสวรรค์ ให้รู้ว่าสวรรค์นั้น มันเป็นสมมุติเทพ การทาน ไม่ใช่บำรุงกิเลสโต ในสัมมาทิฏฐิ ๑๐ ต้องทำให้เกิดสวรรค์ ของอุบัติเทพ เป็นเนกขัมมสิตะ ไม่ใช่เคหสิตะ ต้องเห็นอย่าง มีปัญญาญาณ เห็นโทษภัย มีญาณ ๑๖ มันลดละได้จริง อาการของมันมี คุณเห็นอย่างมีปัญญาญาณ เจริญเป็นญาณ ๑๖ ที่ได้ขยายความ ให้ฟัง ที่เกิดจาก มีสัมผัสทั้ง ๖ จึงเป็นพระพรหม เป็นเทวดา สูงขึ้นเรื่อยๆ เราเห็น สัตว์อบาย ตายไปเรื่อยๆ หมดเรี่ยวแรงไปเรื่อย จนเป็นเทวดาแท้ นี่คือเห็นเทวดา สัตว์นรก พรหม อย่างแท้จริง ไม่เป็น magical แต่มีจักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ส.ฟ้าไทสรุป... วันนี้พ่อครูอธิบายช้าๆ ค่อยๆง้างมือ และเข้าเป้า ค่อยๆต่อยเข้าเป้า วันนี้ได้ฟัง เรื่องเกี่ยวกับ ๘๗๐๕ ว่าเขาเพ่งร้าย แต่พ่อครูฉลาด กลับทำให้เกิด สิ่งที่ดีได้ ต้องมีความสามารถมาก จึงทำได้ เช่นอธิบาย เศรษฐศาสตร์บุญนิยม ก็อาศัยคำย้อนเขา มาอธิบายได้ อโศกบอกว่าเป็นคนจน แต่เอาที่ไหนมาแจก? ถามว่า เอาเงินจากไหน? ก็จากเลือดและวิญญาณ ของชาวอโศกไง!.... จบ |
||
|