|
||
พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ... ยุคนี้หาความอบอุ่น เบิกบานได้ยาก แต่จะหาได้ ที่ชุมชนชาวอโศก นี่แหละ แสนสุข สบาย พูดไปก็เหมือนคุยอวด แต่มันน่าอวด อโศกเป็นครอบครัวใหญ่ มีสมบัติส่วนกลาง พึ่งเกิด- แก่ เจ็บ - ตาย กันได้ คนในหมู่กลุ่มอโศกทุกคน ทำงานให้ส่วนกลาง เท่ากับ เสียภาษี ๑๐๐ % จะหาที่ไหนได้ มีชีวิตกินใช้กับหมู่กลุ่ม ญาติมิตรสหายก็มาก วิเศษ พ่อครูนึกอยู่ แต่จะพูดไป ก็จะดูเหมือน เป็นเรื่องตลก คนอื่นอาจเห็น เป็นของลึกลับ แต่พวกเรา สัมผัสอยู่ เห็นชัดเจนจริง เป็นความมหัศจรรย์ ที่เกิดได้ในยุคนี้ ที่กิเลสคน หน้าจัดจ้าน ห้ำหั่นกัน อย่างหนัก แต่สังคมสาธารณโภคี ก็เกิดมายืนยัน ธรรมะ พระพุทธเจ้าว่า ยุคไหนก็ปฏิบัติ บรรลุธรรมได้จริง ถ้าสัมมาทิฏฐิ ก็ไม่จำกัดกาล พ่อครูเอาธรรมะพระพุทธเจ้า มาอธิบายขยายความ ตั้งแต่พ่อครูคนเดียว พออธิบาย ก็มีคน เข้าใจตาม แล้วกล้าทิ้ง โลกธรรม ออกมา จนรวมเป็น กลุ่มชุมชน จนเกิด พฤติกรรมสังคม เป็นระบบบุญนิยม สาธารณโภคี ที่กล่าวอ้าง ยืนยันได้ เป็นไปได้เพราะ ธรรมะพระพุทธเจ้า พ่อครูไม่คิดว่า จะเกิดได้ แต่เกิดด้วยธรรมฤทธิ์แท้ๆ เพราะสัมมาทิฏฐิ จึงเกิดได้ เป็นได้แล้ว มีสภาพที่ขัดแย้งกับทั่วไป จนเขาท้วง แต่ก็มีหลักฐาน ตามพุทธพจน์ ตามผู้รู้ ที่สัมมาทิฏฐิ ก็เห็นจริงเลย โดยเฉพาะเรื่องของ ความสุข ซึ่งเป็นเรื่องลึกซึ้ง ซับซ้อน เพราะมีทั้งที่เป็น สุขของโลกียชน ที่เขามั่นใจว่า นั่นเป็นของแท้ ในสุขอย่างนั้น ทั้งๆที่ มันไม่เที่ยง อนิจจัง มันมาแล้วก็ผ่านไป เดี๋ยวเดียว ยิ่งกว่าพยับแดด หรือฟองคลื่น ในความสุขชนิดนั้น ความสุขชนิดไม่เที่ยง คือ ความสุขเสพอารมณ์ สุขเพราะต้องมีสัมผัส แล้วก็ต้อง ให้ตรงกับสเปค ที่ตนตั้งไว้ แม้ไม่ตรงเป๊ะเอาแค่ ๙๐ ๘๐ - ๗๐ % ก็ยังดีวะ ถ้ามันได้แค่ ๕๐ หรือ ๖๐ % ก็จะไม่พอใจ ทำไมไม่ได้ตามที่สเปค หรืออุปาทานไว้ แต่ถ้าตรง ตามอุปาทาน ได้เท่าใด หรือตรงแล้ว แถมจัดจ้านมากขึ้น ก็ว่านี่คือ เยี่ยมยอด เขาก็ยิ่งหลงติด หนักขึ้นๆ สุขอย่างนั้น เมื่อได้สัมผัส ตามสเปค พอสัมผัสเสร็จ รสอันนั้น มันก็จางลง ไม่เที่ยง หายไปแล้ว เสร็จแล้วได้แล้ว ก็พักยก เป็นอุเบกขา เป็นไม่สุขไม่ทุกข์ หรือไม่ก็เปลี่ยนอิริยาบถ ไปสุขอย่างอื่นบ้าง ไปเกาะอยู่ ไปเสพอยู่ ในอย่างอื่นแทน ในทวารอื่นแทน แล้วหลงว่าสุข สุขอันนี้ไม่เที่ยง เกิดจากเหตุปัจจัย ที่ปรุงแต่งให้ สมอุปาทาน แล้วมันไม่เที่ยง เพราะเหตุแห่งกิเลส ตายสนิทเกลี้ยง อย่างมี จักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง รู้ว่าเรามี หรือไม่มีอะไร คือสุขที่ไม่ต้องมีสุข มีทุกข์ คนที่ไม่รู้ว่า สุขอย่างนี้มี แม้สุข ที่ตนหลง เป็นสุขโลกีย์ มันเป็นสุขเท็จ คนก็ไม่เข้าใจไม่รู้ เขาเสพทุกที แล้วก็หายไปทุกที คนไม่รู้ก็มี "อวิชชา" ไม่รู้ว่า "สุข" นี้เป็นภาระ ต่อไปเป็นบทความ จากหนังสือ "รู้คนขังสุข รู้ทุกข์ขังสัตว์" ที่พ่อครูกำลังเขียนอยู่ ยังไม่จบเล่ม แต่ก็เอามาสอน ในบางตอน ดังนี้ ๒๘)คนไม่รู้ (อวิชชา) สุขได้ง่ายๆ ว่าเป็นภาระแสนทุกข์ ๒๙) รู้อย่าง วิปัสสนา เป็นไฉน? คืออย่างไร? ๓๑) การตาย-การเกิดของจิต ที่รู้แจ้งเห็นจริง ความรู้เห็น การตาย-การเกิด ของจิตใจ เช่นนี้ คือ การเกิดที่เรียกว่า โอปปาติกโยนิ (การเกิดทางจิตวิญญาณ) ฉะนี้เอง คือ การเห็น การเกิด-การดับ ของจิตใจ เห็น อกุศลจิตตายลง และเห็น กุศลจิตเกิดใหม่ ชัดๆโต้งๆ
ตอบ... มี แต่ในยุคพระพุทธเจ้า มีแต่ในวงสงฆ์ เพราะเป็นยุค สมบูรณายาสิทธิราช ไม่สามารถ เอามาเป็นของกลางได้ เพราะเป็นของ พระเจ้าแผ่นดินหมด ยุคนั้น ยังไม่รู้ประชาธิปไตย
ตอบ... มี เพราะมีสภาพที่ คุณสมบัติของนิพพาน คือ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสlตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) จนกว่าจะหมด ในกลียุคต่อไป
ตอบ... ถ้าจะเลยเหตุผล ต้องใช้ของจริง ถ้าคุณใช้ภาษาว่า ไม่ใช่ตัวตนบรรเทา ก็ได้ แต่ไม่เที่ยง เราต้องรู้ อย่างมีปัญญา เข้าใจในไตรลักษณ์ (อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา) ต้องมี ปสาทรูป และ โคจรรูป พิจารณาไปด้วยกันเลย ไม่ใช่เอาแต่เหตุผล มาล้มล้างเฉยๆ
ตอบ... แปลว่า เป็นปัจจัยกันและกัน มีอันนี้แล้ว จึงมีอันนี้ จะคล้ายกับ ปัจจัยการ มันมีเหตุ มีผล ต่อเนื่องเป็น ปฏิกิริยาลูกโซ่ ต่างจากปัจจัยการ ที่คือ อาการของปัจจัย ต่อเนื่องกัน อันนี้ไปอันนี้ ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ เป็นแรงเคลื่อนต่อกัน เรียกว่า ปัจจัยการ
ตอบ... มีทั้งรูปสวยอย่างที่ว่า และมีการเคลื่อนที่ของน้ำ น้ำแตกตัว เป็นออกซิเจน ทำให้นิเวศวิทยาดี น้ำจะใส อากาศจะเย็น สดชื่น ไม่แห้ง เป็นคุณประโยชน์ ส่วนสวยนั้น เล็กน้อย เป็นสังคมศาสตร์ด้วย พ่อครูไม่พาพวกเรา ไปยึดเอาธรรมชาติ เหมือนวัดป่า ที่ไปยึดธรรมชาติ เป็นผิดกฏหมาย แต่เราสร้างขึ้นด้วยมือ ถ้ามันมีอยู่แล้ว อย่างแม่น้ำมูน เราก็ทำเพิ่มมาอีกด้วย
ตอบ... พระพุทธเจ้าเกิดมาแล้ว เท่าเมล็ดกรวดทราย ในมหานที เราไม่รู้หรอก นับไม่ได้ พระพุทธเจ้า สมณะโคดม กว่าจะเป็นพระพุทธเจ้า พบพระพุทธเจ้ามาแล้ว ๕๑๒,๐๒๗ พระองค์แล้ว โลกลูกๆนี้แตกดับ เกิดมาแล้ว ไม่รู้กี่ดวงเลย ท่านไม่รู้ที่ต้น ของสิ่งเหล่านี้
ตอบ... เพราะว่าจะต้อง มาทำงานธรรมะ อย่างดี มาบวชนี่บริสุทธิ์ ดุจสังข์ขัด โดยส่วนเดียว ทำงานเต็มที่ มาสืบทอด ศาสนาพระพุทธเจ้า
ตอบ...คือผีในเทพ มารในเทพ
ตอบ... นิพพานจริงๆ ไม่มีอะไรเทียบได้ ในมหาจักรวาลนี้ เพราะในมหาจักรวาลนี้ ทุกอย่าง ไม่มีสิ่งที่ นิจจัง (เที่ยงแท้) ธุวัง (ถาวร) สัสสตัง (ยืนนาน) อวิปริณามธัมมัง (ไม่แปรเปลี่ยน) อสังหิรัง (ไม่มีอะไรหักล้างได้) อสังกุปปัง (ไม่กลับกำเริบ) ดังนั้น นิพพานก็เลย นัตถิ อุปมา มีอยู่ในผู้ที่มี เท่านั้น ผู้ไม่มีก็ยาก
ตอบ... ก็รู้ว่านามธรรม ที่เป็นอกุศลจิต ของเราหมด ต้องมีญาณรู้ ในนามธรรม แต่ในรูปธรรม คนก็เห็นกันได้ ทุกคนแหละ
ตอบ... ก็เหมือนคนฝันทั่วไป เลอะเทอะ เป็นตุเป็นตะมาก็ได้ คนนั่งสมาธิ ก็มีมโนมยอัตตาได้ มันเป็นไปได้ ถ้ามีเทพสังหรณ์ แต่อย่าไปจริงจัง กับมันมากนัก อย่าไปยึดมั่น ถือมั่นมัน
ตอบ...ก็พ่อกับแม่ไง ศาสนาพระเจ้า เขาถือว่าทุกคนเกิดมา คือลูกพระเจ้าหมด แม้มีพ่อแม่ ก็สร้างได้แต่ สรีระพันธุ์ ไม่ใช่กรรมพันธุ์ แต่ว่าพระเจ้า สร้างจิตวิญญาณ แต่พระพุทธเจ้าว่า กรรมของเราสร้าง เราทำชั่วทำดี มันก็บวกลบคุณหาร ออกมาเป็นเรา จะมีทั้งวิบากกรรม และรูปร่างมา
ตอบ... เป็นปัจจัยแก่กันและกัน
ตอบ... ถามหมดศาสนาพุทธ พุทธนี่ชนะใจตน และหมดทุกข์ด้วย ต้องเรียนรู้ ธรรมะพระพุทธเจ้า
ตอบ... เพราะได้อิสระหมด จากวัฒนธรรมอินเดีย สมัยพระพุทธเจ้า แต่ยุคนี้ อิสระมากกว่า ไม่ต้องบวช ก็มีอิสระมากกว่า
ตอบ...หนังสือ "คนคืออะไร? ทำไม?สำคัญนัก"
ตอบ... จิตวิญญาณ คือในตัวคุณ มีร่างกายกับจิตใจ ซึ่งใจหรือมโน อยู่พร้อมกัน ในร่างกาย เมื่อมันกระทบอะไร หรือมันนึกคิดอะไร อาการอย่างนั้นคือ วิญญาณ จะรู้ชัด เมื่อมีผัสสะ เช่น มีตากระทบรูป ถามว่าคืออะไร ไปหัดฝึกเอา ทุกวันนี้ ทวาร ๕ กระทบ ก็อ่านวิญญาณ ประกอบไปด้วย เวทนา สัญญา สังขาร ถ้ากระทบอยู่ เรียกว่า "รูปกาย" วิญญาณเป็นภาษาองค์รวม ซึ่งวิญญาณ ไม่ใช่สิ่งล่องลอย วิญญาณเกิดเมื่อ กระทบสัมผัส แล้วเกิดอาการ มี เวทนา สัญญา สังขาร ทำงาน ก็คือวิญญาณนั่นเอง ๑.เกิดเมื่อมีสัมผัส ถ้าไม่มีสัมผัสไม่เกิด ๒.ตายลง วิญญาณก็มี แต่ไม่ล่องลอย เห็นไม่ได้ คุณคนเดียว อยู่กับมัน มันอยู่แต่ในภพ ของคุณเอง มีเวทนา ๓ ของคุณเอง จึงเรียกว่า ถ้าจะรู้วิญญาณ รู้ได้ด้วยสัญญา เป็นการกำหนดรู้ เมื่อมันเป็นอรูปแล้ว ขณะเป็นๆ มันก็อยู่กับเรา ตายไปแล้ว มันก็ไปกับเรา ไม่ใช่ล่องลอยไปไหน ใครเห็นวิญญาณล่องลอย อื่นๆ เป็นแบบนอกพุทธ เท่านั้น จะเห็นได้ไหม ผู้ที่เห็นจริง ก็เห็นได้ แต่ไม่พูด เป็นวิสัย เหนือมนุษย์ ส่วนที่เห็นไม่จริง ก็มีเยอะ ถ้าบอกมันจะหลง อย่างคุณ ๘๗๐๕ ก็หลงมา อย่าไปยุ่งกับมัน ถ้าจะเห็น ก็เป็นกำไร ในผู้ที่เห็นจริง มีบารมี
ตอบ... กอและตอบว่าใช่ครับ ...พ่อครูว่าใช่แล้ว ถ้ากิเลสทำงาน เราก็ตกนรก ถ้ากิเลส ไม่ทำงาน มันก็พักยก เป็นอนุสัย ถ้ามันออกมาทำงาน ก็เป็นตัณหา เป็น Kinetic energy เป็นพลังงานจลน์ ถ้ามันหลับ เป็นพลังงานศักย์ แต่ไม่กระดุกกระดิก แต่มันกระดุกกระดิกข้างใน เป็นอาสวะ.... จบ |
||
|