560802_รายการเรียนอิสระฯ โดยพ่อครูและส.ฟ้าไท
เรื่อง รู้วิปัสสนาพาพ้นคุก ตอน ๒

    ส.ฟ้าไทดำเนินรายการที่บ้านราชฯ...

รายการนี้คนมาฟังก็ได้ ไม่มาฟังก็ไม่ได้ แม้แต่พ่อครู ก็ไม่ได้บังคับใครให้มาฟัง ให้อิสระ ศานาพุทธให้อิสระ เป็นศาสนาที่อิสรเสรีภาพ เป็นตัวของตัวเรา ใช้ปัญญาชำระกิเลสตน มีปัญญาจึงปฏิบัติได้ ถ้าไม่มีปัญญาก็ไม่ได้ วันนี้พ่อครู ก็คงจะสนทนาธรรมกับ ๘๗๐๕ ได้ข่าวว่า เป็นวันสุดท้าย เป็นความกรุณา ของมหาบุรุษ ที่ทนต่อความกรุณาไม่ได้

      พ่อครูว่า...ตั้งใจว่าจะบรรยาย โดยเอาของคุณ ๘๗๐๕ มาอ่านอีกครั้งหนึ่ง ตอนแรก ก็คิดว่าไม่อ่าน แต่ไปคิดอีกที ก็น่าจะได้พูดกัน ก่อนจะได้หยุด ซึ่งเขาได้ sms มาตั้งแต่ วานนี้ เขาต่อว่า อ่านของเขาไม่ต่อเนื่อง ก็ขึ้นใหญ่เลย วันนี้ตั้งใจจะอ่านรวด แต่ก็เอา ข้อความสั้น มาอ่านก่อน แล้วค่อยอ่านรวด

      พระพุทธเจ้าว่า ใครมาว่าเรา ถ้าเราเป็นเช่นนั้นก็รับ แต่ถ้าคนมาติเตียน แล้วเราไม่เป็น เช่นนั้น เราก็ชี้แจงบอก ใครมาชมเรา เราก็อย่าเหลิง ท่านพูดไว้ในพรหมชาลสูตร

      ประเด็นแรกเขาว่า
0888705xxx ถ้าคนนอนหลับ.. มโนวิญญาณดับด้วยละก็.. แล้วคนๆนั้น จะฝันได้ ยังไงกันจ๊ะ!

      พ่อครูว่า ถ้าคนเราหลับแล้ว มโนวิญญาณดับ มันก็ดับปื๋อไปเลย ขอตอบว่า ในตอน นอนหลับ มโนวิญญาณไม่ดับก็มี เขาถึงฝัน ส่วนผู้ที่มโนวิญญาณดับก็มี แต่น้อยคน ที่เป็นได้ พวกสายหลับตา จะดับไปหมด เขาชอบเช่นนั้น กลับมาท้วงพ่อครูว่า จะฝันได้ อย่างไร ก็ถ้าดับมโนวิญญาณ ตอนหลับก็ไม่ฝันได้ ในสายหลับตา คือมันได้ดับจริงด้วย

      0888705xxx พุทธเจ้าบอกให้คนไปปฏิบัตเอง ถึงจะพ้นทุกข์ แต่พธร.กลับบอก ให้คนมา ฟังตนฝอย ถึงจะพ้นทุกข์!

      พ่อครูว่า นี่ใส่ความกันหรือเปล่า ส.ฟ้าไทเพิ่งพูดไปตอนเริ่มรายการ และพ่อครู ไม่ได้เจตนา ต้องการให้คน มาเป็นบริวาร ไม่ต้องการลาภยศสรรเสริญ ไม่ได้เอามา ล้มล้างลัทธิใด ก็ยืนยันตามพระพุทธเจ้า แต่เขาก็ยังเข้าใจอย่างนั้นอีก แต่ที่จริงฟังธรรม ก็บรรลุธรรมได้

      0888705xxx กระจกสะท้อนภาพอื่นๆได้ แต่สะท้อนกระจกเอง ไม่ได้ฉันใด.. วิญญาณ ก็เห็น (ปัสสติ) รูปอื่นๆได้ แต่เห็นวิญญาณมันเอง ไม่ได้ฉันนั้น! จึงมีแต่ปัญญา เท่านั้น ถึงจักรู้จัก เจ้าวิญญาณได้! เพราะถ้าวิญญาณสามารถจะเห็น (ปัสสติ) ได้ด้วยวิญญาณ เองแล้ว.. ถ้างั้น, พุทธเจ้าก็คงไปโปรด อรูปพรหมได้แล้วซิ! แต่ทำไม? พุทธเจ้า ถึงไม่สามารถ ไปโปรด อาฬารดาบส ที่ตายไปแล้ว เกิดเป็นอากิญจัญฯพรหม ที่เหลือแต่ มโนวิญญาณได้ล่ะ! ไหนพ่อคุณทูลหัว พธร.ตอบหน่อยซิ!

      พ่อครูว่า คุณพูดเอาเองว่า วิญญาณเห็นรูปอื่นๆได้ แต่วิญญาณมันเองเห็นมันเองไม่ได้ เหมือนกระจก คุณก็ยกตัวอย่างวัตถุ มาเทียบจิตวิญญาณ ที่มีความวิเศษกว่า วัตถุเยอะนะ พ่อครูอ่านข้อความนี้ ก็ชัดเจนว่า คุณยังไม่มีความรู้ เรื่องรูปเรื่องนามจริงๆ ที่บอกว่า วิญญาณเห็นตัวเองไม่ได้ แต่ว่าพระพุทธเจ้า สอนให้เห็น วิญญาณตนเอง และที่เห็น ตัวเองนั้น นามก็มี เวทนา สัญญา เจตนา ผัสสะ มนสิการ แล้วคุณ ๘๗๐๕ ก็ว่า ไม่เห็น มีคำว่า วิญญาณเลย แล้วเขาว่า วิญญาณไม่เป็นนาม หรืออย่างไร... ซึ่งพ่อครูก็ว่า คุณไม่เข้าใจ วิญญาณเลย วิญญาณคือรวมเอา เวทนา สัญญา สังขาร เป็นเนื้อแท้ ของวิญญาณ ผู้ศึกษาจะเข้าใจ ทะลุปรุโปร่ง แต่คุณติดแค่ พยัญชนะภาษา แถมความรู้ ก็สั้นแคบ อีกด้วย

      0888705xx ธรรมชาติของรูป28 ที่มีเป็นปกติอยู่แล้ว เช่น ปุริสภาวะรูป กับ อิตถีภาวะรูป ซึ่งทั้ง2นี้ ก็เป็นลักษณะ ทางกายภาพของรูป (ที่เกี่ยวกับฮอร์โมน) ที่แม้ภิกษุณี อรหันต์ ก็ยังต้องมี อิตถีภาวะรูป นี้อยู่เหมือนเดิม! แต่พธร.ชอบมั่ว ไปหาว่า ผู้ปฏิบัต จะต้องเปลี่ยน อิตถีภาวะรูป ให้เป็นปุริสภาวะรูปก่อน ถึงจะปฏิบัตธรรม สำเร็จผล เป็นอรหันต์ได้! แต่พธร. ลืมไปแล้วรึว่า อรหันต์ทั้งหลาย ย่อมเป็นอุดมเพศ ที่พ้นไปจาก ความเป็นเพศคู่แล้ว! OKไม๊

      พ่อครูว่า มั่นใจว่าคุณ ๘๗๐๕ ไม่รู้จักคำว่า “กาย” เพราะใช้คำว่า กายภาพ แต่ที่จริง คำว่า “กาย”หมายเอาถึง ทั้งรูปและนาม แต่คุณ ๘๗๐๕ ก็เอาฮอร์โมน ซึ่งเป็นเรื่อง รูปธรรม มาเกี่ยวกับนามธรรม เอาไปเป็นเรื่องเพศ ที่เป็น ปุคคลาทิฏฐาน เพราะใน ทางธรรมแล้ว อิตถีภาวะ และปุริสภาวะ เป็นเรื่องของ นามธรรมต่างหาก และที่บอกว่า ต้องเปลี่ยน อิตถีภาวะ เป็นปุริสภาวะ นั้นคุณตู่มา ก็ถูกแล้ว เพราะวิการรูปนั้น สามารถดัดแปลง เปลี่ยนไปอย่างวิเศษ อย่างสูงได้ จากหยาบมาเป็น อาการเบาบาง เป็นลหุตา มุทุตา เป็น กัมมัญญตา ได้ สามารถเปลี่ยนจาก อิตถีภาวะ มาเป็นปุริสภาวะ ได้จึงจบ และทำให้รู้ว่า คุณ ๘๗๐๕ แยกแยะลิงค ไม่ออกนั่นเอง ในการอ่านนามธรรม และอุดมเพศ คือปุริสภาวะ สูงสุดนั้นเอง แม้แต่ภิกษุณี ก็มีจิตวิญญาณเป็น ปุริสภาวะ สูงสุดแล้ว ไม่เอาสรีระร่าง มาเป็นสำคัญ

      0888705xxx ที่เราเล่าประสบการณ์ วิกขัมภนวิมุต และตทังควิมุต (สมัยที่ยังเป็น ปุถุชน).. ให้พธร.ฟังนั้น มิได้หมายความว่า.. จุดหมายของการปฏิบัตธรรม คือ วิกขัมภนวิมุต หรือตทังควิมุต ก็หาไม่! แต่เพราะพธร. ฟังไม่ศัพท์ จับไปกระเดีอด! จึงฟังไม่ออกว่า นั่นเป็นเพราะว่า เรากำลังจะอธิบายเพื่อให้เข้าใจถึง ลักษณะของวิญญาณ โดยเฉพาะมโนวิญญาณ ตะหากเล่า! ซึ่งขนาดแค่อธิบาย ลักษณะของ วิญญาณให้ฟัง.. พธร.ก็ยังฟัง ไม่รู้เรื่องเลย!
         แล้วถ้าเราสามารถ จะอธิบาย โลกุตตระธรรมของจริง (ที่เป็นปัจจัตตัง) ให้พธร. ฟังได้รู้เรื่อง แล้วละก็.. สงสัยว่า ต่อไปนี้ ใครๆก็สามารถ จะสอนสุนัข ให้กินทุเรียนเป็น ได้เหมือนกัน! ซึ่งแม้ที่เราจะได้พูดถึง เรื่องปาฏิหาร อันเกิดจาก มโนวิญญาณ หรือ สัมผัสที่6 ไว้มากก็จริง.. แต่เราก็ได้สรุปรวม มาลงที่หลักของ การปฏิบัตวิปัสนา ไว้แล้ว ไม่ใช่รึว่า เห็นก็สักแต่ว่าเห็น, ได้ยินก็สักแต่ว่าได้ยิน, รู้แจ้งธรรมารมณ์ + ปาฏิหาร ก็สักแต่ว่า รู้แจ้งธรรมารมณ์ + ปาฏิหาร!
         ฉะนั้นพธร. จึงควรโยนิโสมนสิการ คือหัดฟังให้เป็นมั่ง.. หรือทำจิต ให้เหมือนกับ ภาชนะ ที่รองรับน้ำฝน! มิฉะนั้นแล้ว, ถึงแม้พธร. จะท่องพตปฎ. จนจบได้.. ก็หาได้รู้ถึง สาระที่แท้จริง แห่งธรรมะเลยไม่! ซึ่งทีแรกก็นึกว่า.. มีสัญญาณที่ดีแล้ว!
         เพราะพธร.บอกเองว่า จะอ่านไปทีเดียว ให้จบก่อน.. โดยจะยังไม่แทรก วิจารเลย! แต่ที่ไหนได้ พึ่งจะพูดไปเอง.. อยู่หลัดๆแท้ๆ พธร.ก็ขาดสติ! ลืมที่ตนเอง พูดไว้เสียสิ้น เพราะพอเริ่มอ่านไป วรรคหนึ่ง.. คำจารก็พรั่งพรู ออกมาเลย! เหมือนว่า พยายาม จะเถียงเอาชนะ ทุกวรรคทุกตอน ให้ได้! ซึ่งธรรมะนั้น ต้องอ่าน ปะติดปะต่อกันไป ถึงจะฟัง รู้เรื่องได้! แต่ถ้าอ่านไปวรรคหนึ่ง ก็หยุด เพื่อหาข้อจับผิด อยู่เช่นนี้แล้ว.. คนอื่นๆที่กำลังฟังทั้งหลาย จะไปเข้าใจความหมาย ในเนื้อเรื่อง ที่ต้องการสื่อ.. ได้อย่างไรกัน! เพราะแม้ควาย ที่ว่าโง่แล้ว มันก็ยังรู้จักเคี้ยวเอื้อง โดยไม่หยุดเลย! หรือว่าพธร. จะอีเดียด ยิ่งกว่าควาย หรือกระมัง?
         แต่คิดว่าเป็นเพราะ พธร.คงกลัวไปเองว่า หากขืนว่า ตนไม่วิจาร เพื่อชี้ข้อผิด เสียก่อนแล้ว ประเดี๋ยวคนฟังทั้งหลาย (โดยเฉพาะ พวกที่เป็นศิษย์บริวาร) จะหันไปเชื่อ 8705 กันจนหมด! แล้วก็จะแข็งข้อ คือเริ่มไม่เชื่อไต้ก๋ง พธร.อีกต่อไป! ฉะนั้นพธร. จึงจำต้อง คงรักษา นโยบายเดิมไว้ คือฉายหนัง 1 นาที แล้วก็สลับด้วย โฆษณาชวนเชื่อ (เล่ากงกงพธร.) คั่นเสีย5นาที.. อย่างนี้เรื่อยไป!
         ซึ่งแม้ว่า ตั้งแต่ก่อนจนถึงปัจจุบัน พธร.พยาพยาม ที่จะนำเสนอตัวเอง เป็นปรโตโฆษะที่ดี เพื่อหวังให้เป็นแบบอย่าง แก่คนส่วนใหญ่ ที่อยู่นอกอโศก ทั้งหลาย ที่ไม่ค่อย GET กับพธร.เท่าไรนัก.. เผื่อว่าจะได้หันมาฟัง พธร.กันบ้าง! ฉะนั้น จึงย่อม เข้าใจกันได้ ไม่ยากว่า ทำไม?พธร. ถึงยอมเปิดใจกว้างอ่าน SMS ธรรมะของเรา แต่ก็ดูเหมือนว่า ใจจะกว้างยังไม่จริง! เพราะเวลาที่อ่าน.. ต้องคอยแทรก วิจารอยู่ตลอด! ไม่ยอมเปิดโอกาส ให้ผู้ฟังที่เป็นศิษย์ ได้ฟังอย่างอิสระ ต่อเนื่อง.. เพื่อจะได้หัดใช้ วิจารณญาณ ที่เป็นของ ตัวลูกศิษย์เองบ้างเลย!
         ทั้งนี้ก็เป็นเพราะ พธร.มีนิสัยขี้หวง คือยังหวงแหน บริวารของตนว่า จะพากันไป เชื่อคนอื่นหมด (เช่น8705) นั่นเอง! ซึ่งทักษิณเป็นบ้า เพราะกอดความร่ำรวย ของตน ไว้แน่น ฉันใด.. พธร.ก็เป็นบ้า เพราะกอดทิฐิของตนไว้แน่น ฉันนั้น! ฉะนั้นทักษิณ จึงทนไม่ได้ หากจะโดนยึดทรัพย์ แม้แต่เพียงบาทเดียว ฉันใด.. พธร.ก็ทนไม่ได้ หากทิฐิของตน จะโดนขัดแย้ง แม้ด้วย SMS ฉันนั้น!
         ดังนั้นธรรมดาแล้ว, พธร.จึงไม่น่าที่จะอ่าน SMSธรรมะของเรา (ทั้งๆที่ขัดแย้ง กับพธร.) ได้! แต่เพราะเราย่อมรู้ดีว่า ทักษิณมีนิสัย ไม่ยอมแพ้ใคร เพราะเชื่อ ในอำนาจของตน ฉันใด.. พธร.ก็มีนิสัยชอบเถียง เอาชนะคนอื่น เพราะเชื่อมั่นใน (มิจฉา) ทิฐิของตน ฉันนั้น! และด้วยเหตุที่ชอบเถียง เอาชนะคนอื่นนี่แหละ พธร.ถึงต้อง ยอมอ่าน ธรรมะของเรา ก็เพื่อจะจับผิด.. หวังเถียงเอาชนะ นั่นเอง! แต่กลับอ้างกับลูกศิษย์ว่า เป็นการตีงู ให้กากิน!
         ซึ่งแท้จริงแล้ว, ไม่เคยมีสักครั้งเลย ที่พธร.จะยอมอ่านธรรมะ ของเราแต่โดยดี คืออ่านไป ตั้งแต่ต้นจนจบ โดยไม่แทรกวิจาร ทุกวรรคทุกตอนเลยนั้น.. พธร.ย่อมไม่เคย! แม้ครั้งล่าสุด ที่บอกเองอยู่หลัดๆว่า จะอ่านไปทีเดียว จนจบ โดยไม่แทรกเลยนั้น.. อรหัน พธร. ก็กระทำตามปากว่า ยังไม่ได้! หรือว่า สัจจะวาจา ในอรหันพธร. ย่อมหาไม่ได้ อีกแล้ว.. แม้จะบนโพเดียม หน้าจอ FMTV ก็เถอะ!
         และรู้หรือไม่ว่า การที่จะอ่านธรรมะ ต้องรู้จักเคารพ ธรรมะนั้นด้วย คือต้อง อ่านไปทีเดียว ให้จบก่อน.. แล้วถึงควรจะวิจาร ธรรมะนั้นได้! แต่การที่พธร. อ่านไป วรรคหนึ่ง ก็ออกความเห็น วิจารไปเลยนั้น.. จึงย่อมไม่ถูกต้อง! เพราะบางที ต้องอ่าน ติดต่อกัน หลายๆวรรค.. ถึงจะได้ความหมายกันครั้งหนึ่ง! ฉะนั้น การที่ไม่เปิดโอกาส ให้ผู้ฟังได้ฟัง อย่างต่อเนื่องนั้น.. นั่นย่อม=ว่า กำลังมัดมือชกอยู่! เพราะไม่โอกาสให้ฟัง ได้ใช้วิจารณญาณ เป็นของตนเองบ้างเลย! หรือว่าพธร. ชอบล้างสมอง แบบคอมมูนิสต์ ที่คอยชี้นำตลอด แม้ในด้านความคิด ของพวกลูกศิษย์.. อย่างนั้นหรือจ๊ะ! เอวฐ
         ป.ล..ขอให้ชาวพุทธทั้งหลาย ควรหัดใช้วิจารณญาณ ของตนเองดูบ้างว่า พระดังๆ ทั้งหลาย ที่ยังแถมอวดด้วยว่า ตนเองต่างก็เป็น อรหันต์กันทั้งนั้น เช่นนิกร ยันดะ พุทโธ ปู่เณรคำ เป็นต้น.. ย่อมล้วนปราชิก กันทั้งสิ้น! เพราะขาดจาก ความเป็นพระแล้ว! แต่สำหรับ เสด็จปู่แล้ว อวดยิ่งกว่าเพื่อนๆ! เพราะเป็นแค่ อรหันต์นั้น ยังน้อยไป.. เคยไปอ่านเจอ ในหนังสือแสงสูญ เสด็จปู่บอกเลยว่า ถึงแม้ตอนนี้ ตนเองจะยังมิได้ เป็นพุทธเจ้า แต่ญาณความรู้ของตน.. ก็เทียบเท่าระดับน้องๆ พุทธเจ้าเลยทีเดียว ที่เรียกว่า สะยังอภิญญาไง! ฉะนั้น จึงสรุปได้ว่า หากเสด็จปู่ จะปราชิกแล้ว ย่อมจะไม่ปราชิก ธรรมดาแน่ๆ เพราะปราชิกธรรมดา ย่อมหมายถึง.. แค่ทำวิปริตจากธรรมวินัย เช่นนิกร ยันดะ พุทโธ เณรคำ เป็นต้น ส่วนเสด็จปู่ ชอบทำธรรมวินัย ให้วิปริต คือมีเจตนา แปลงคำสอน ของพุทธเจ้า ให้เป็นคล้ายกับ ลัทธิการเมือง เอียงซ้ายลัทธิหนึ่ง (สาย RUSSIA) จึงน่าจะเข้าขั้น ปราชิกยกกำลัง2 เลยทีเดียว! OKไม๊?

       พ่อครูตอบว่า... ผู้รู้แท้หรือปราชญ์ จะเห็นความผิดของคนผิด เป็นความถูกแล้ว ส่วนผู้ที่ยังไม่รู้ หรือไม่ใช่ปราชญ์ จะเห็นความถูกของคนถูก เป็นความผิด พ่อครูก็เห็นว่า ความผิดของคนผิด ก็เป็นเช่นนี้ ถูกแล้ว คนไม่รู้ก็เห็นความถูกของคนถูก เป็นความผิด แน่แล้ว ก็คงจะจบ เป็นอันสุดท้ายแล้ว ไม่ได้อ่านแทรกเลยนะ ในข้อความยาวๆ

      ก็มาว่ากันต่อ ถึงบทต่อเนื่อง จากเมื่อวานนี้ ที่ได้อธิบายถึง จิตวิญญาณ
     ๒๘ ) คนไม่รู้ ( อวิชชา ) สุขได้ง่ายๆว่า เป็นภาระแสนทุกข์ ซึ่งมันแสนจะเป็น “ทุกข์” ต่างหาก ที่ฝังไว้ในใจว่า มันน่าได้ น่ามี น่าเป็น ไม่ปล่อยวาง จึงเป็นภาระ ที่จะต้องเป็น “ทาส” มัน ต้องซมซาน ซ็อกๆ แสวงหามาให้มันเกิด “สุข” ไม่รู้แล้ว
     ผู้ไม่รู้ตัวได้สักทีว่า “สุข ” โลกีย์นี้มันเป็น “ เท็จ” (อลิกะ) ก็จะต้องแสวงหา “สุข” มาให้ตน บำเรอตน เสพอารมณ์ที่ว่าเป็น “สุข” นี้อยู่ไม่หยุด เด็ดขาดลงได้ ไม่ปลดปล่อย “สุข” นี้ออกไปจาก ความหลงติดหลงยึด “ขังสุข” นี้ไว้ในก้นบึ้งของจิต (อนุสัย) ไม่ยอมปล่อย
     คนหลงใหลมัน (โมหะ) คนไม่รู้ความจริงนี้ (อวิชชา) จึงขังมันไว้ หวงแหนมัน ไม่ให้มันพราก จากห้วงอนุสัย
     โอ! เมื่อไหร่จะรู้ความจริงนี้ กันได้สักทีหนอ
     มีแต่คนพยายามสร้าง “คุก” ชนิดนี้ให้แข็งแรงยิ่งขึ้น สร้างให้มากขึ้นๆ ใส่ใจตนเอง เพิ่มขึ้นๆ เพื่อ “ขังสัตว์” ที่หลงมัน ว่า มันเป็นเทพบุตร เทพธิดา แต่แท้ๆ มันคือ “มาร” คือผี ที่เรียกด้วยศัพท์ ทางธรรมว่า “เทพบุตรมาร” นั่นเอง แท้ๆ “มันคือผีมาร” จริงๆ
        “เทพบุตรมาร” แปลว่า “ผีหลอก, ไม่ใช่เทพตัวจริง” มันไม่มีรูปร่าง(สรีระ) ตัวตน(อัตตา)หรอก จึงรู้จักตัวมันยากมาก ซึ่งจะต้องรู้เป็น “นามรูป” (นามธรรมที่ถูกรู้ ด้วยความรู้ อันมีการสัมผัสของจริง นั่นคือ ต้องมีการสัมผัส หรือมีการสัมพันธ์ รู้ภาวะที่เป็นนาม” นั้นอยู่โต้งๆ มิใช่รู้แบบเนรมิต หรือรู้แบบ ไม่มีอิทัปปัจจยาการ)
     แม้มันจะมีแค่ “นามธรรม” (การทรงอยู่ของนามนั้น) แค่ “นามกาย” (องค์ประชุม ของนามธรรม) ก็ต้องรู้ด้วย “การสัมผัสเห็น” มันไม่มี “รูป” ไม่มี “ร่าง” ไม่มี “โฉม” แต่มันเกิดจริง เป็นจริง มีจริงในตัวคน ที่ “สัมผัสรู้” ได้ด้วย “วิปัสสนาญาณ”

      ๒๙) รู้อย่าง “วิปัสสนา” เป็นไฉน? คืออย่างไร?
        “การรู้” ที่เรียกว่า “วิปัสสนาญาณ” ก็คือ ความรู้ที่เกิดจาก กิริยาของ “ปัสสติ” (แปลว่า เห็น หรือมองเห็น) นั่นคือ ต้อง “เห็น, มองเห็น” จึงจะเรียกว่า “ปัสสนา” คือ ต้องมีเหตุกับปัจจัย สัมผัสกัน หรือสัมพันธ์กันอยู่ เช่น มีตาสัมผัสรูป อยู่หลัดๆ มีหูสัมผัสเสียง อยู่โต้งๆ แม้ทวารอื่น ก็ต้องมีสัมผัสอยู่โทนโท่ ทั้งนั้น เป็นปัจจยาการ (มีเหตุและปัจจัย สัมผัสกัน แล้วเกิดผลต่อๆ กันไปเรื่อยๆ เป็นปฏิกริยาลูกโซ่)
หรือ อิทัปปัจจยตา (เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนั้นจึงมี เมื่อมีสิ่งนั้นแล้ว จึงมีสิ่งนี้ ต่อกันไปเรื่อยๆ เป็นปฏิกริยาลูกโซ่)
     มิใช่มีอย่างหนึ่งอย่างเดียว โผล่ขึ้นมาให้ “รู้” ซึ่งมันมาจากไหน ก็ไม่รู้ ลึกลับ ไม่มีเหตุ ที่มาที่ไป เหมือน magician นักเล่นกล แสดงให้ดู เหมือนนักปลุกผี หรือผู้วิเศษ แสดงเก่ง เนรมิตปุ๊บ ก็ได้ปั๊บ มาจากไหน ไปยังไง มายังไง ก็ไม่รู้ และหรือ มิใช่ “รู้” จากการขบคิด แค่ผลของการขบการคิด จากเหตุจากผล จนกระทั่ง รู้แจ้งแทงทะลุ” ที่เรียกว่า รู้ด้วยตรรกะ อยู่แค่นั้น
     แต่ต้องรู้ที่ไปที่มา มีเหตุมีปัจจัย สืบเนื่องเชื่อมโยงกันอยู่มี นั่นคือ มีความสืบต่อ มีความต่อเนื่อง (สันตติ แปลว่า ความสืบต่อ, ความสืบเนื่อง) มิใช่ “ไม่มีสันตติ”

      ๓๐) ไม่ใช่รู้ลึกลับ แต่รู้แจ้งเห็นจริงครบเหตุปัจจัย
     รู้กิริยาอาการของจิตใจ ในขณะที่มีสิ่งสัมผัสกัน อยู่หลัดๆ และมีความสืบต่อกันอยู่ นั้นแหละ การสืบเนื่องยังไม่ขาด ทันทีนั้นก็ “เห็นอยู่รู้อยู่ เป็นปัจจุบันนั้นทีเดียว” (ชานโต ปัสสโต วิหรติ) “วิปัสสนา” ที่เกิด “ญาณ” ต้องรู้ต้องเห็นอย่างนี้
         “เห็นจิตใจตนเอง” ในบัดนั้นว่า เป็นผี เป็นเทวดา ไม่มีรูปร่างสีสันตัวตนใดๆ แต่เห็น “อาการ”ของมัน มี “เครื่องหมายให้รู้ได้” (นิมิต) ว่า “จิตใจ” เช่นนี้ๆ ที่เป็น “ผี” หรือเป็น “เทวดา” มันมีทั้ง “ความรู้สึก” (เวทนา) ทั้ง “การกำหนดรู้” (สัญญา) ทั้ง “ความมีจุดมุ่งหมาย” (เจตนา) ทั้ง “การสัมผัสอยู่” (ผัสสะ) ทั้ง “การทำใจในใจ” (มนสิการ) เป็นการปรุงแต่งกันอยู่(สังขาร) มันคือ “จิตใจ” คนแท้ๆ ที่เป็น “ผี” เป็น “เทวดา” อันเป็นภาวะจริงๆอยู่ที่ใจ ตั้งอยู่ที่ “หทัยรูป” ทีเดียว
         “หทัยรูป” คือ รูป (อุปาทายรูป=สิ่งที่ถูกรู้) ที่เป็น “จิตใจ” หรือจิตวิญญาณ ขณะนี้กำลัง “ตาย- เกิด” อยู่ในใจเราหลัดๆ
     เช่น “อกุศลจิต” หรือกิเลสซึ่งคือ “ผี” แท้ๆของตนเอง “ตายลง” ก็จุติ หรือจิตเราก็ “เลื่อนขึ้น” ไปปฏิสนธิ (เกิด) เป็น กุศลจิต” เป็นจิตใหม่ที่ “เกิดขึ้น” เป็น “เทวดา” แท้ๆ (อุบัติเทพ)

      ๓๑ “การตาย-การเกิดของจิต” ที่รู้แจ้งเห็นจริง ความรู้เห็น “การตาย-การเกิด” ของจิตใจเช่นนี้ คือ การเกิดที่เรียกว่า “โอปปาติกโยนิ” (การเกิดทางจิตวิญญาณ) ฉะนี้เอง คือ การเห็น “การเกิด-การดับ” ของจิตใจ เห็น “อกุศลจิตตายลง” และเห็น “กุศลจิตเกิดใหม่” ชัดๆโต้งๆ เมื่อมีการสัมผัส ด้วยเหตุกับปัจจัย ของรูปและนาม จึงสามารถรู้ได้ ในตนของตน
     ภาวะดังกล่าวนี้แล ปรากฏอยู่ตรงไหนที่ “ญาณ” สามารถหยั่งรู้ ณ ตรงนั้นได้ ก็ตรงนั้นแหละ คือ “ที่ตั้งของใจ” (หทัยรูป)

         ๓๒) “การเกิด-ดับ” ของรูปและนามที่แท้จริง เช่น “อกุศลจิต” หรือกิเลสของเรา ซึ่งคือ “ผี” แท้ๆ ของตนเอง “ตายลง” .. จิตเราก็จุติ หรือจิตเราก็ “เลื่อนขึ้น” ไปสะสมไป (อุปจยะ ; ตรงข้ามกับอปจยะ) กระทั่ง “เกิดขึ้น” (ปฏิสนธิ) เป็น “กุศลจิต” คือจิตใหม่ “เกิดขึ้น” เป็น “เทวดา” แท้ๆ (อุบัติเทพ) และถ้าถึงที่สุด ก็เป็น “พรหม” (วิสุทธิเทพ) จิตบริสุทธิ์
        ต้องเรียนรู้ความเป็น “รูปธรรม” ให้ดีๆ โดยเฉพาะ “รูป” ที่เป็น “รูปกาย” (องค์ประชุมของ ภาวะนามและรูป ประกอบกัน ให้เรารู้) และ “รูป” ของ “นามกาย” (องค์ประชุม ของภาวะนาม ประกอบกันให้เรารู้) จนสามารถรู้ ความเป็นลักษณะ ทั้งอาการะ (กิริยาท่าทาง) และวิการะ (การเปลี่ยนแปลงในภาวะ) ของ “รูป” (สิ่งที่ถูกรู้)
      “รูป” คือ สิ่งที่ถูกรู้ ซึ่งต้องเข้าใจดีๆชัดๆ ให้ครบ สิ่งหรือภาวะที่ถูกรู้ ด้วยวิญญาณ - ด้วยธาตุรู้” นั้น ไม่ว่าจะ “รู้” จากการสัมผัสของ ทวารทั้ง ๕ ภายนอก หรือแม้แต่ “รู้” จากการสัมพันธ์ อยู่ในใจภายใน ก็เรียกว่า “รูป” ทั้งนั้น

         ๓๓) “รูป” คืออะไร? หมายเอาแค่ไหน?
      “รูป” ไม่ใช่หมายถึงแค่ “ภาพ” (ในภาษาไทย) หรือแค่ “รูป” (ที่ไทยเข้าใจ) อันเกิดจาก “ตา” กระทบสัมผัส สิ่งภายนอกเท่านั้น คนส่วนมาก ไปติดอยู่ แค่ภาษาคำว่า “รูป” ที่คนไทยกำหนด สำหรับ “การรู้ได้” จากทวาร “ตา” แล้วใช้คำว่า “รูป” ถ้า “การรู้” จากทวารอื่น กระทบสัมผัส ก็ไปเรียกอย่างอื่น เช่น การรู้ที่หู กระทบสัมผัส “เสียง” แล้วใช้คำว่า “ยิน” หรือการรู้ที่จมูก กระทบสัมผัส “กลิ่น” แล้วใช้คำว่า “กลิ่น” การรู้ที่ลิ้น กระทบสัมผัส “รส” แล้วใช้คำว่า “รส”
        ความซับซ้อน ที่คนไทยเข้าใจยาก อีกภาวะหนึ่ง ก็คือ การรู้ที่ “ตา-หู-จมูก-ลิ้น” กระทบสัมผัสเป็น “องค์ประชุมร่วมกัน” อย่างนี้เรียกว่า “กาย” แล้วใช้คำว่า “กายสัมผัส หรือ สัมผัส” เฉยๆ (โผฏฐัพพะ ; กาเยน โผฏฺฐัพพัง ผุสิตฺวา) ซึ่งอาจจะเป็น “องค์ประชุม” แค่ ๒ ทวารเท่านั้น ร่วมสัมผัสกันอยู่ หรือ ๓ ทวารเท่านั้น ร่วมสัมผัสกันอยู่ หรือทั้ง ๔ ทวาร ประชุมกันหมด ก็เรียกว่า “กาย” (องค์ประชุม) ได้ทั้งนั้น
        ส่วนคำว่า “รูป” คือ สิ่งที่ถูกรู้ ไม่ใช่คือ องค์ประชุม ภาวะที่มีการกระทบกัน สัมผัสสัมพันธ์กันอยู่ “ตา” สัมผัส “สิ่งภายนอก” ใช้คำเรียกว่า “ รูป” ไม่ใช้คำว่า “กาย” “หู” กระทบ “สิ่งภายนอก” ก็เรียกว่า “รูป” หมายถึง “สิ่งที่ถูกรู้” ทางทวาร “หู” ไม่ใช้คำเรียกว่า “กาย”
        “จมูก-ลิ้น-กาย” แต่ละทวารกระทบ “สิ่งภายนอก” ล้วนต้องใช้คำเรียกว่า “รูป” แต่คนไทย ขาดตก ความรู้นี้ไป
        แม้ใจที่มีสัมพันธ์กันอยู่ เฉพาะใจภายในใจ ก็กำหนด “รู้” ได้ การรู้เช่นนี้ ก็ยังเรียกว่า “รูป” คือ “นามรูป” ไง!
      “นามรูป” จึงหมายถึง “นามธรรมที่ถูกรู้” โดยวิญญาณ ที่ วิญญาณสามารถสัมผัส หรือสัมพันธ์อยู่ ก็ “กำหนดรู้” (สัญญา)ได้ แม้จะเหลือ เฉพาะ ใจในใจขั้น “อรูป” (ไม่เกี่ยวกับ ภายนอกแล้ว) ก็ยังสามารถเกิด “สิ่งที่ถูกรู้(รูป)” ได้ด้วย “สัญญา” (การกำหนดรู้) ซึ่งเป็น “องค์ประชุมเฉพาะนามในใจ” (นามกาย)

         ๓๔) “ปริเฉทะ” คือ “การตัดรอบขอบเขต” ไปเป็นลำดับ จึงต้องเรียนรู้ ความเป็น “รูปกาย” (องค์ประชุมของภาวะ นามและรูป ประกอบกันให้เรารู้) และ “นามกาย” (องค์ประชุมของภาวะนาม ประกอบกันให้เรารู้) ให้เข้าใจถึงภาวะที่เป็น ปริเฉทะ ของ “รูปกาย” และ “นามกาย” ให้ได้
      “ปริเฉทะ” (ปริจฺเฉท) แปลว่า การตัดรอบขอบเขต, การกำหนดที่เที่ยงแท้ แน่นอน, การจำกัดวง, การวางแบบแผน) “ปริเฉทรูป” ก็คือ “รูปที่ได้รับการตัดรอบขอบเขต หรือสิ่งที่ถูกรู้ ที่ได้รับการกำหนด ที่เที่ยงแท้แน่นอน ไปตามลำดับ
        ซึ่ง “ปริเฉทรูป” จะเปลี่ยนแปลงไปตามความสามารถ ทำให้ “ปริเฉทรูป” ที่หยาบใหญ่ หนาโตนั้นๆ เปลี่ยนไปได้ ดังเจตนา “ปริเฉทรูป” นั้นลดลงๆๆๆๆ จนที่สุด ถึงขั้นสามารถ “กำหนดรู้ปริเฉทรูป” ในภายใน ขั้น “อรูป” ที่เรียกว่า “ อากาสธาตุ” (รูปที่ว่าง, ช่องว่างที่มีแสงสว่าง) ก็รู้แจ้งความเกิดภาวะนั้นได้ ก็รู้แจ้งภาวะ ที่เป็นได้นั้น ในใจเรา
        รู้ตั้งแต่ “องค์รวมของความคิด, มโนคติ” (concept) ที่มีการสัมผัสสัมพันธ์อยู่ ในปัจจุบันนั้น ตั้งแต่สัมผัส มหาภูตรูป แล้วเกิด “รูป” เป็นสิ่งให้วิญญาณรับรู้ กระทั่งมี “การตัดรอบขอบเขต, การกำหนดที่เที่ยงแท้แน่นอน, การจำกัดวง” (ปริเฉทะ) และรู้เข้าไปถึง “สิ่งที่บรรจุอยู่, ปริมาณของความจุ, สาระ” (content) ก็จะเข้าใจ บริบท หรือ กรอบแห่งความสัมพันธ์ เชื่อมโยงแวดล้อมกันอยู่ (context) ของ มโนคติ ของสาระ  และผู้ปฏิบัติ ก็สามารถกำจัดกิเลสลงได้

         ๓๕) “ภาวรูป” คือ เครื่องชี้ให้รู้ความแตกต่าง
        จึงจะ รู้แจ้งเห็นจริง ความเกิด-ความดับจาก “รูป” (สิ่งที่ถูกรู้) ต่างๆได้ จากภาวะของ ความเป็นจริง ยืนยันความจริง
        โดยเฉพาะ “ภาวรูป ๒” อันได้แก่ ความเป็น “เพศ”
        หรือ “ลิงคะ” ของ “รูป-นาม” ที่อยู่ในภาวะ “กาย” ทั้งปวง ว่า
        เมื่อใดยังมี ภาวะของ “อิตถินทรีย์” หรือ “อิตถัตตะ” (dynamic หรือ kinetic energy) ซึ่งยังไม่ถึงที่สุดแห่ง “สมมุติ” “อิตถีเพศหรืออิตถีภาวะ” คือ สิ่งที่ปรากฏให้รู้ว่า อยู่ในขั้นที่ ยังไม่ถึงที่สุดแห่ง “สมมุติ” ภาวะที่ยังไม่เป็น เอกบุคคล - เอกบุรุษ ยังไม่เป็นภาวะของ “คนประเสริฐ”
        เมื่อใดถึงขั้น สัมบูรณ์สุดแห่งภาวะเป็น “ปุริสินทรีย์” (static หรือ potential energy) ซึ่งถึงที่สุดแห่ง “สมมุติ” (อัตตะ)นั้นแล้วคือ “ปุริสัตตะ” สัมบูรณ์ ไปแต่ละรอบ แต่ละขั้น ผู้บรรลุเอกบุคคล - เอกบุรุษ คือภาวะที่สำเร็จถึงยอด ของแต่ละลำดับ ในความเป็น อุตตริมนุสสธรรม แห่งมนุษย์
        ซึ่งมี “การตาย” ของอกุศลจิต อย่างรู้ๆเห็นๆ ว่า จิตเราจุติเข้าสู่ “การเกิด” ของกุศลจิต ด้วยความสามารถปฏิบัติ ที่บรรลุธรรมนั้นจริง ด้วย “วิชชา ๘ หรือญาณ ๑๖”

         ๓๖) นี้คือ “การตาย-การเกิดของจิต” ที่รู้แจ้งเห็นจริง
        ความรู้เห็น “การตาย-การเกิด” ของจิตใจ เช่นนี้ คือ “การเกิด” ที่เรียกว่า “โอปปาติกโยนิ” (การเกิดทางจิตวิญญาณ) เห็น “การเกิด-ดับ” นั้นเห็นอย่างนี้ ไม่ใช่เห็น อะไรก็ไม่รู้ที่ “เกิด-ดับ” คลุมๆเครือๆ เดาเอา หรือไปเห็นแค่ ภาวะของวัตถุ ของมหาภูตรูป เท่านั้นตาย-เกิด แต่เป็นการตายของ “จิต-เจตสิก” และการเกิดของ “จิต-เจตสิก” ด้วยการสัมผัสรู้ อยู่หลัดๆโทนโท่กันจริงๆ
        เรียกเต็มๆอีกทีว่า เห็น “รูป-นาม” เกิด-ดับ ก็นี้แหละ วิญญาณที่เรียกว่า “อกุศลจิต” ตายแล้ว “กุศลจิต” ก็เกิด คือ การเห็น “การเกิด-การดับ” ของจิตใจ เห็น “อกุศลจิตตายลง” และเห็น “กุศลจิตเกิดใหม่” ชัดๆโต้งๆ
เห็น “การดับ” คือเห็นภาวะ “นิโรธ” (กิเลสดับ) เห็น “การเกิด” คือเห็นภาวะ “อภินิพพัตติ” (เกิดจำเพาะ)
        เมื่อมี การสัมผัสด้วย เหตุกับปัจจัย ของรูปและนาม จึงสามารถรู้ได้ ในตนของตน
      “อกุศลจิต” เป็น “รูป” ที่ถูกรู้ “ญาณ” คือ “นาม” ที่หยั่งรู้
        ภาวะดังกล่าวฉะนี้แล ปรากฏอยู่ตรงไหนที่ “ญาณ” สามารถหยั่งรู้ ณ ตรงนั้นได้ ก็ตรงนั้นแหละคือ “ที่ตั้งของใจ” เรียกด้วยภาษา วิชาการว่า “หทัยรูป ” ซึ่งหมายถึง “นามรูป” ที่ถูกเห็นด้วย “ญาณ” เรียกด้วยศัพท์ วิชาการว่า “นามรูปปริเฉทญาณ”

         ๓๗) “หทัยรูป” ที่แท้จริง เป็นปรมัตถธรรม ไม่มีสรีระ
      “หทัยรูป” นี้ไม่ใช่สภาวะของ มหาภูตรูปแล้ว ละเอียดยิ่งกว่าแสง ยิ่งกว่าอากาศ เป็น อุปาทายรูป เป็นปรมัตถธรรม ที่ได้แก่ จิต-เจตสิก แม้จะเรียกว่า “รูป” ก็เป็น “นามกาย” เช่น อุปาทายรูป ๒๔ เป็นต้น
      “หทัย” ไม่มี “รูปหยาบ” ที่ประกอบด้วย เส้นแสง สีเสียงแท่งก้อน ไม่ใช่วัตถุรูป หรือเลือดเนื้อ แต่อย่างใดแล้ว เป็นแค่ “นามธรรม” จริงๆ
      “หทัย” ไม่ใช่เนื้อหนังมังสา ไม่ใช่ก้อนหัวใจ ที่เป็นเลือดเป็นเนื้อ แต่เป็น “นามธรรม” ที่เกิดขึ้นในบัดใด นั่นก็คือ “หทัยรูป” ที่ผู้มี “วิปัสสนาญาณ” สามารถ สัมผัสห็นได้ ในบัดนั้น
      “หทัยรูป” เคยได้ยินสอนกันมาว่า หมายถึง “หัวใจ” ที่เป็นเส้นเลือด ก้อนเนื้อ หนังมังสา ของคน อยู่ในอกข้างซ้าย ถ้าไปหมายถึงอันนั้น นั่นผิดแน่ เพราะนั่น ยังไม่ใช่ “ปรมัตถธรรม” ที่ปลอดพ้นจาก การเป็น “มหาภูตรูป”
        หากหมายเอา “ปรมัตถธรรม” ก็คือ “นามธรรม” ที่ปลอดพ้นไปจาก ความเป็น ภาวะของ “มหาภูตรูป ๔” ซึ่งไม่มี “สรีระ” ไม่มี “รูปร่าง” สีสันเส้นแสง แท่งก้อน แต่เป็น “จิตวิญญาณ” ที่ต้องเกิดจาก “ผัสสะ” ต้องศึกษาจาก “ผัสสะ” แล้วจึงจะเป็นเหตุ ให้มีวิญญาณ ขึ้นมาศึกษาทุกข์ กำจัดเหตุแห่งทุกข์ ได้สำเร็จ ตามที่พระบรมศาสดาตรัส ในพระไตรปิฎก เล่ม ๑๖ ข้อ ๑๖๑ เป็นต้น

     ๓. ทุกขนิโรธสูตร
[๑๖๑] พระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวัน อารามของท่าน อนาถบิณฑิกเศรษฐี เขตพระนครสาวัตถี ... พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดง เหตุเกิดแห่งทุกข์ และความดับแห่งทุกข์ ท่านทั้งหลายจงฟัง จงทำไว้ในใจให้ดี เราจักกล่าว ภิกษุเหล่านั้น ทูลรับพระผู้มีพระภาคว่า พระพุทธเจ้าข้า ฯ
    ๑๖๒] พระผู้มีพระภาค ได้ตรัสดังนี้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความเกิดขึ้น แห่งทุกข์เป็นไฉน เพราะอาศัยจักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ เพราะอาศัยหูและเสียง ... เพราะอาศัยจมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้นและรส ...เพราะอาศัยกาย และโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัยใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความเกิดขึ้นแห่งทุกข์ ฯ
    [๑๖๓] ดูกรภิกษุทั้งหลาย ก็ความดับแห่งทุกข์เป็นไฉน เพราะอาศัย จักษุและรูป จึงเกิดจักขุวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการเป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหานั้นเทียวดับ ด้วยสำรอก โดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะ โสกปริเทวทุกขโทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับ แห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้
      ภิกษุทั้งหลาย นี้แลเป็นความดับแห่งทุกข์ เพราะอาศัยหูและเสียง ...เพราะอาศัย จมูกและกลิ่น ... เพราะอาศัยลิ้นและรส ... เพราะอาศัยกาย และโผฏฐัพพะ ... เพราะอาศัย ใจและธรรม จึงเกิดมโนวิญญาณ ความประชุมแห่งธรรม ๓ ประการ เป็นผัสสะ เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงเกิดเวทนา เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงเกิดตัณหา เพราะตัณหา นั้นเทียวดับ ด้วยสำรอกโดยไม่เหลือ อุปาทานจึงดับ เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ เพราะภพดับ ชาติจึงดับ เพราะชาติดับ ชราและมรณะโสกปริเทว ทุกขโทมนัส และอุปายาสจึงดับ ความดับแห่งกองทุกข์ ทั้งมวลนี้ ย่อมมีด้วยประการอย่างนี้ ภิกษุทั้งหลาย นี้แล เป็นความดับแห่งทุกข์ ฯ
จบสูตรที่ ๓

        ๓๘) “การเกิด-ดับ” ของจิตวิญญาณ เห็นได้ตรงไหน
        ซึ่ง “จิตวิญญาณ” ที่เกิดจาก “ผัสสะ” นี้ เมื่อหมด ผัสสะ” ก็ดับ แล้ว “วิญญาณ” ก็มีแต่จมอยู่ใน “สัญญา”
        เมื่ออยู่ใน “สัญญา” มันไม่มี “การเกิดเป็นวิญญาณ ล่องลอยออกมา จากจิตของตน” แล้ว “วิญญาณ” มันก็ “เกิด” ก็ “ดับ” อยู่แต่ภายในจิตตน เท่านั้น
        คนทั่วไปที่ยัง “ไม่สัมมาทิฏฐิ” จะหลงผิดว่า “วิญญาณ” ล่องลอยออกไปจากร่าง ไปไหนต่อไหน พบกับสิ่งนั้นสิ่งนี้นอกตน อย่าว่าแต่ “ออกจากร่าง” เลย ต่อให้ตายไปแล้ว จิตวิญญาณของตน ทุกคนก็ไม่สามารถ ล่องลอยออกจาก “จิตของตน” ไปได้ มันจะจมอยู่ใน “สัญญา” ของตนเท่านั้นเป็น “อรูปอัตตา” จะมี “มโนมยอัตตา” คือ “รูปที่สำเร็จด้วยสัญญา” เท่านั้น ไม่มี “วิญญาณ” ล่องลอยออกไปไหน  เหมือนอย่างที่ ภิกษุสาติ หลงผิด มิจฉาทิฏฐิ แล้วถูกพระพุทธเจ้า ทรงบริภาษ (พระไตรปิฎก เล่ม ๑๒ ข้อ ๔๔๐ เป็นต้นไป)

         ส.ฟ้าไทสรุป...วันนี้เราได้ฟังอภิธรรมที่ลึก ในการเกิดดับ ของนามรูป ซึ่งคำว่า “รูป” กับ “กาย” ก็แยกแยะออกไปต่างกัน ซึ่งกายก็ต้องมีทั้ง รูปและนาม ประกอบกัน อีกอย่างหนึ่งคือคำว่า ปริเฉท คือขอบเขตในการปฏิบัติ เช่น เข้าพรรษา เราจะตั้งตบะ เท่าไหร่ แล้วแต่ใครว่า จะทำในเขตแคบหรือกว้าง ถ้าเราทำได้ เราก็จะมีปีติ ส่วนการเกิด การตาย ก็ชัดเจนว่า “ตาย” แล้วไม่ไปไหน อยู่กับสัญญา ถ้ามีโทสะ มีราคะเท่าใด ก็อยู่กับมัน ทั้งมืด ดำ แคบ ระบายไม่ออก มีแต่ตกไปใน Blackhole จมอยู่ในสัญญา ออกไม่ได้  ขนาดเป็นๆ เรายังเอาออกยาก แต่ว่าตอนตาย จะยากกว่าอีกมาก ใครทำวิบาก อย่างไร ก็ของคุณเอง เราจะเห็นว่า นี่คือวิญญาณไม่ล่องลอย จมอยู่กับสัญญา

จบ

 
ศุกร์ ๒ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก