560808_รายการสงครามสังคมธรรมะการเมือง โดยพ่อครู
เรื่อง ล้างกามล้างอัตตาก้าวสู่ธรรมาธิปไตย

           พ่อครูจัดรายการที่บ้านราชฯ...

ยืนยันว่าสงครามก็เป็นธรรมะ คือธรรมาธรรมะสงคราม ไม่ว่าจะสังคมหรือการเมือง ก็เป็นเรื่องของธรรมะ ธรรมะเป็นยาดำอยู่ด้วยทั้งหมด คราวที่แล้ว ในวันอาทิตย์ที่ ๔ ออกอากาศไป ยังติดค้างประเด็นของคุณนักกฏหมาย ที่ถามถึง บุญญาวุธว่า....

คำถาม... จากนักกฎหมาย....
บุญญาวุธ หมายเลข ๑. อาหารมังสวิรัติ
บุญญาวุธ หมายเลข ๒. ตลาดอาริยะ (พาณิชบุญนิยม)
บุญญาวุธ หมายเลข ๓. กสิกรรมไร้สารพิษ
บุญญาวุธ หมายเลข ๔. สุขภาพบุญนิยม
บุญญาวุธ หมายเลข ๕. การศึกษาบุญนิยม
บุญญาวุธ หมายเลข ๖. สื่อสารบุญนิยม
บุญญาวุธ หมายเลข ๗. การเมืองบุญนิยม

           กระผมเห็นด้วยกับ ข้อ ๑ ถึงข้อ ๖ แต่ข้อ ๗ กระผมเห็นว่า... ไม่ใช่หนทาง สู่พระนิพพาน จงฝึกจิต ข้ามให้พ้น ให้ได้เถิด แล้วจะเกิดประโยชน์ตน ประโยชน์ท่าน อย่างแท้จริง ไม่ดีกว่า รึ ครับ

           พ่อครูว่า ได้ตอบไปในระดับหนึ่ง แม้ไม่ละเอียดพอ ก็คงต้องพูดกันต่อไป อย่างสำคัญ เพราะเป็นเรื่องยากมาก ที่จะพูด แต่คงจะได้พูดเรื่องการเมือง อย่างสำคัญก่อน

           การเมืองตอนนี้ กำลังเข้าไคล กำลังตื่นตัวตื่นเต้น ยิ่งสองวันก่อน ยิ่งตื่นเต้น ตอนนี้ ก็ลดลงหน่อย ทุกคนก็คงสัมผัส บรรยากาศเอง ก็ต้องขอบอกกล่าวไปว่า... ตอนนี้ มีสำนักข่าว หลายสำนัก รายงานว่า ตอนนี้กองทัพธรรม ก็ไปช่วย กปท. (กองทัพ ประชาชน โค่นระบอบทักษิณ) ทีนี้เมื่อมีข่าว เราก็ไม่ได้ปิดข่าว เราก็ทำ ตามประสา แต่เราไม่ทำ อย่างครึกโครม เราก็ทำตามประสา ความเห็นควร เราก็ดำริว่า เราจะออก ไปช่วย เพราะว่า... เห็นว่า รู้สึกว่า กปท. ขณะนี้ที่ร่วมกลุ่มกันนี่ ที่สวนลุมฯ ตอนนี้ รู้สึกกระป้อกระแป้ลงไป เราเห็นแล้วก็สงสาร เจตนาของ กปท. ที่ออกไป ก็เห็นว่า เขาไปแก้เรื่องการเมือง เป็นเรื่อง ประชาธิปไตยแท้ๆ พ่อครูบอกเลยก่อนว่า กองทัพธรรม เราไม่ได้ลำเอียง เข้าข้างไหน ไม่ได้อยู่ข้างไหนเลย เราดูอยู่ อย่างเห็นควร เราก็ไปช่วย เราไป ก็ไม่ได้ไปเอาชนะ คะคาน เราไปให้ความรู้ กับไปช่วยเหลือ เราไปให้ความรู้ สัจธรรม

           แม้เราออกไปร่วมชุมนุม หลายที เราก็ไปสาธยายธรรม ตามปกติ แต่คนก็หาว่า เราออกไปทำไม และที่เราแสดงนั้น จะมีลักษณะ เข้าข้างไหน นั่นก็เป็นเรื่องถูก เพราะความเป็นกลาง ต้องเข้าข้าง ความถูกต้อง อย่าไปคบคนชั่ว คบบัณฑิต ต้องข่มคนชั่ว ยกคนดี นิคคัณเห นิคคหารหัง ต้องใช้ปัญญาอย่าง “ปสาทปัญญา” คือ เหมือนอยู่ข้างบน มองลงมาข้างล่าง เหมือน Bird eye view เห็นให้ทั่วรอบได้ เมื่อเห็นแล้ว ก็ต้องเข้าข้างคนดี ตามพระพุทธเจ้าพาทำ มีหลักฐาน เราทำอย่าง มีปัญญา ปาสาโท

           อะไรที่ถูกต้อง หรือไม่ถูกต้อง อะไรที่ควรเราต้องรู้ ส่วนคนที่ไม่มีปัญญา หรือ เข้าใจไม่ได้ มี ๓ อย่างคือ .โง่ ไม่รู้ว่าอะไรผิดหรือถูก ๒.ขี้กลัว กลัวเสื่อมโลกธรรม อัตตา (ประเด็นนี้ จะมีมากโดยเฉพาะ คนที่มีตำแหน่ง คือฉลาดรู้ แต่ต้องเข้าข้างคนผิด) ๓.มิจฉาทิฏฐิ คือเห็นผิดว่า ความเป็นกลางแล้ว ไม่ต้องเข้าข้างคนไหน นี่คือ มิจฉาทิฏฐิ แม้รู้ว่าข้างไหน ถูกหรือผิด ก็ต้องอยู่กลางๆไม่ต้องเข้าข้างใคร ไม่รู้ว่าใครสอนมา แต่ขอยืนยันว่า ศาสนาพุทธไม่สอน ตั้งแต่ อย่าคบคนพาล หรือยกย่องคนดี ข่มคนชั่ว ตำหนิว่าได้เลย ส่วนทางมโน ต้องมีปัญญาปาสาโท รู้ว่าอะไรผิดหรือถูก แล้วก็ปฏิบัติ ยกคนดี ข่มคนชั่ว คบหาบัณฑิต อย่าคบคนพาล

           ผู้ใดปฏิบัติธรรม จิตเป็นกลาง คือจิตได้อุเบกขา คนนี้จะมีปัญญา ที่สุดแล้ว จะได้ถึง “มัชฌิมา” ซึ่งเป็นธรรมะ บทที่ ๑ เลยที่ประกาศต่อโลก สอนปัญจวัคคีย์ สอนมัชฌิมา ปฏิปทา ซึ่งคนเพี้ยนสอนว่า คือ ทางสายกลาง ซึ่งไม่ผิด แต่เพี้ยน
           คำว่า ปฏิปทา คือ ทาง หรือสาย และ มัชฌิมา คือ กลาง หรือเป็นตัวผล
           หมายความว่า ถ้าคุณเดินทางสายนี้ จะได้ความเป็นกลาง หรือมัชฌิมา สองคำนี้ เป็นคำแยก
           ถ้าจะแปล มัชฌิมา ปฏิปทา ก็ต้องแปลว่า ทางเดินไปสู่ความเป็นกลาง
           แต่ถ้าแปลว่า ทางสายกลาง ก็คือเดินตรงๆอย่างเดียว อย่าเป๋นะ เดินเอียงไปไม่ดี ก็ถูกแต่ไม่ครบ
           ผล คือ เราไม่โต่งไปปลายข้างใดข้างหนึ่ง เราต้องทำจิตเรา ให้เป็นกลาง ไม่เอียง ข้างใด คือจิตเรายังมีกิเลสกาม หรืออัตตา นั่นคือ มันยังเอียง ยังมี อันตา (ปลายข้าง) คือ แม้มันจะไป ปลายข้างใดนิดหน่อย ก็ไม่ให้มี จึงจะหมดความเป็นกลาง คือคุณสมบัติของ จิตที่เป็นกลาง ไม่ได้บอกพฤติ ส่วนพฤติ ต้องส่งเสริมคนดี อยู่กับหมู่คนดี อย่าอยู่กับพาลชน

           มาสู่เรื่องการเมือง...
มาฟังกวี เรื่อง “ประชาธิปไตยที่ยิ่งใหญ่แท้จริง”         

                                  (๑) อธิปไตยที่ใหญ่แท้           ในมนุษย์
                                  วิเศษวิสุทธิ์พุทธ                    บัญญัติไว้
                                  สามชนิดวิศิษฏ์สุด                พร้อมศาสตร์ 
                                  หากมนุษย์ประพฤติได้          อีกด้วยประเสริฐสม                          
                                  (๒) ปฐมแห่งอำนาจนั้น        คือ “อัตตา”
                                  หากมนุษย์ขาดวิชชา             กิเลสขย้ำ
                                  คนหลง “อัตตา” พา              บ้าบาป มานักแล
                                  ถ้าใหญ่แล้วเลวซ้ำ                  แหลกบ้านเมืองประลัย                    
                                  (๓) สองไซร้อำนาจนั้น         คือใด 
                                  คือ “โลก” ซึ่งมีนัย                 ยากสู้            
                                  คนสยบอยู่ทั่วไป                   เป็นทาส มันเลย                    
                                  ลาภยศสรรเสริญรู้                 แต่แพ้ “อัตตา” ตน
                                  (๔) เป็นคนพ้น “โลก”           พร้อม “อัตตา”
                                  ยากกว่ายากศาสนา               ช่วยได้
                                  พุทธสอน “อัตต-โลกา”        ปรมัตถ- ธรรมเฮย
                                  อธิปไตยเป็นสติไซร้              อุตระขั้นปัญญา        
                                  (๕) นำพาอำนาจแท้               ในคน
                                  เหนือ “โลก” เหนือ “อัตตา”   ตน ยิ่งผู้
                                  ช่วยหิตะพหุชน                     เป็นสัจจ์
                                  ธรรมะอธิปไตยกู้                  “โลก” ทั้ง “อัตตา”   
                                  (๖) ธรรมาธิปัตย์ต้อง             โลกุตระ
                                  จึงจะช่วยชนชนะ                 “อัตตะ” แท้
                                  หากธรรมแค่โลกียะ                พ้น “โลก”  มิได้เลย
                                  อาริยธรรมพุทธแก้                 อำนาจร้ายโลกา
                                  (๗)  “ธรรมาธิปัตย์” นั้น        เป็นสาม
                                  อำนาจตามนิยาม                   พุทธชี้
                                  ประชาธิปไตยงาม                 ดังปรารถ-นาแล
                                  หากอำนาจเป็นฉะนี้               ใหญ่แท้ยิ่งใด.

                                                                      “สไมย์ จำปาแพง”                    
                                                                         ๔ ก.ค. ๒๕๕๖
             [นัยปก “เราคิดอะไร” ฉบับ ๒๗๗ ประจำเดือน สิงหาคม ๒๕๕๖]    
      

พ่อครูว่า... ก็ขอเข้าสู่คำว่า “โลก” หรือ “อัตตา” คือตัวเรา ตัวตนที่แท้จริง โลกทุกวันนี้ ยังไม่รู้จักอัตตา และก็มีอัตตา ก็เลยเกิดเรื่อง ทุกวันนี้ เพราะคนไม่รู้จักอัตตา จึงไม่เข้าใจ คนที่มีอัตตา สำหรับชาวอโศก มาเป็นคน ที่ล้างอัตตา (อัตตา ๓ มีโอฬาริกอัตตา - มโนมยอัตตา - อรูปอัตตา) ไม่ว่าจะเป็นปฏิลาโภ กับอัตตาไหน ในอัตตา ๓ นี้ ถ้าเรารู้จักอัตตา และลดกิเลสได้ เมื่อหมด ก็เป็นกลางได้

           อย่างอโศก จะออกไปช่วยการเมือง เราไปทำงานนี่ ไปช่วยประชาชน เราไม่ได้ บำเรออัตตา ไม่ได้ล่าโลกธรรม พ่อครูพยายาม ประคับประคอง แม้พวกเรา กิเลส ยังไม่หมด แต่พ่อครู คุมเกมอยู่ เราอโศกออกไป ก็ชัดเจน อย่างคุณนักกฏหมาย ที่ค้านแย้งมา ไม่เห็นด้วย ก็เข้าใจไม่ได้ พ่อครูทำงานการเมือง โดยเข้าใจ ทั้งสองอย่าง คือ ทั้งอย่างที่ทำเพื่อ ตัวเองและพวก อย่างนี้พ่อครูว่า ไม่ใช่การเมืองที่แท้ แต่อย่างพวก อาชีพต่างๆ เป็นครู เป็นพ่อค้า ฯลฯ เขาว่า เขาทำอาชีพ ไม่เกี่ยวกับการเมือง เพราะคำว่า “การเมือง” เป็นคำเสียไปแล้ว เขาคิดว่า “การเมือง” คือสิ่งเลวร้ายไปแล้ว เพราะฝีมือ นักการเมือง ทำเสียไปแล้ว แต่แท้จริง “การเมือง” คือเรื่องของบ้านเมือง ทุกคน ต้องช่วย บ้านเมือง ไม่อย่างนั้น จะเป็นคน เห็นแก่ตัว เพราะคุณ อยู่ในบ้านเมือง หากบ้านเมือง เดือดร้อน คุณก็เดือดร้อนด้วย

           ประชาธิปไตย ไม่ใช่การเลือกตั้งอย่างเดียว การเลือกตั้ง เป็นประชาธิปไตย ลำดับ ๕
           พ่อครู ก็ไม่ยุ่งกับนักการเมือง แต่เราทำงาน ก็ต้องเข้าไป เกี่ยวกับประชาชน ต้องเชื่อมกับ การเมือง แต่เราไม่ได้ไป เข้าข้างสิ่งเลว เราจะทำการเมือง ที่ถูกต้อง ซึ่งการเมือง ที่พ่อครูเคยนิยาม การเมืองไว้ ๑๐ ข้อไว้ ตอนปี ๒๕๔๙ ว่า

           การเมืองที่เป็นประชาธิปไตยแท้ๆ
๑. การเมืองต้องมีคุณธรรมและเป็นกุศล ต้องเป็นคุณงาม ความดี เป็นความเฉลียวฉลาด (กุศล) เพื่อมวลมนุษยชาติ
๒. นักการเมือง ต้องรู้จักประชาธิปไตยที่แท้ มีอิสรเสรีภาพที่ นำไปสู่คุณภาพ คุณธรรม เพื่อให้อำนาจ ความเป็นใหญ่ เป็นของประชาชน ไม่ใช่อำนาจใหญ่ เป็นของตัวกู
๓. นักการเมืองต้องสอน หรือเผยแพร่ประชาธิปไตย ให้กับประชาชน ประชาชนก็ต้อง ขวนขวาย ศึกษาความเป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่ ว่านักการเมือง ครอบงำ ทางความคิด ประชาชน แล้วก็ทำให้ประชาชน งมงาย หรือว่าโง่ไปเรื่อยๆ แล้วก็จะได้ ประชานิยม เอาประชาชน เป็นบริวาร
๔. นักการเมือง ต้องเป็นผู้พึ่งตนเองได้แล้ว มีความรู้ความสามารถ เลี้ยงตนได้แล้ว
๕. นักการเมือง ต้องเป็นผู้มักน้อย สันโดษ ต้องเป็นคนจน รู้จักพอ ไม่สะสม ซึ่งเราได้บทเรียน ราคาแพง จากคนรวยแล้วไม่โกง มาแล้ว
๖. นักการเมือง ต้องไม่ทำงานการเมือง เป็นอาชีพหากิน โดยพ้นมิจฉาชีพทั้ง ๕ คือ ๑.โกง (กุหนา) ๒.พูดหลอกลวง (ลปนา) ๓.ตลบตะแลง (เนมิตกตา) ๔.ยอมมอบตน ในทางผิด (นิปเปสิกตา) และ ๕.เอาลาภแลกลาภ (ลาเภนะลาภัง นิชิคิงสนตา) เช่น หมูไป ไก่มา จะพ้นจาก มิจฉาชีพ ข้อที่ ๕ ได้ ก็ต้องทำงานฟรี โดยไม่มีรายได้ เงินเดือน ตอบแทน
๗. นักการเมือง ต้องเป็นงานอาสาเสียสละ อาสาหมายความว่า เราเข้าไปเสนอตัว ขอทำงานนั้น โดยไม่ได้ทำงาน เพื่อที่จะเรียกร้อง เอาอะไรตอบแทน จึงจะเป็นการอาสา เสียสละ
๘. นักการเมือง จะต้องไม่มีอคติ คือไม่มีความลำเอียงในใจ ไม่อคติ ลำเอียงเข้าข้างตัวเอง ไม่อคติ เข้าข้าง หมู่ฝูงตัวเอง ไม่อคติ เข้าข้าง ครอบครัวตัวเองแคบๆ ไม่อคติ เข้าข้าง พรรคพวกตัวเอง
๙. นักการเมือง คือ ผู้มีอิสระแท้จริง ไม่เป็นทาสโลกธรรม
๑๐. การเมืองที่เป็นประชาธิปไตย ไม่ใช่งานเพื่อตัวเรา เพื่อครอบครัว เพื่อหมู่พวก เพื่อพรรค แต่เป็นงานเพื่อบ้านเมือง เพื่อประชาชน ทั้งมวล เพื่อผู้อื่น ที่พ้นไปจากตัวเอง พ้นไปจากครอบครัว พ้นไปจากหมู่พวก แม้แต่พ้นไปจาก พรรคของตน

           อโศกเราได้ไปช่วยเหลือ กปท. ตอนแรก ก็ออกไปเล็กๆน้อยๆ แต่ว่าตอนนี้ ช่วยเต็มที่ เพราะเรารู้ว่าคณะนี้ ทำเพื่อบ้าน เพื่อเมืองจริงๆ แต่ทำไม เราไม่ไปช่วย ปชป. เพราะเขา เป็นพรรคอยู่ ยังเป็นตัวตน แต่คณะนี้ เขาไม่มีพรรค เป็นเจ้าของ เหมือนกรณี เสธ.อ้าย เป็นการทำเพื่อ ประชาชนจริงๆ ไม่ได้ทำเพื่อ อย่างอื่นใด ก็มีคนที่ ไม่เห็นแก่ตัว มารวมตัวกัน แม้แต่เรา ไปอยู่กับ พธม. เราก็ไป เราก็ทำงานร่วมกันได้ ครั้งนี้เราไป เพื่อช่วย เราเห็นเนื้อแท้ ว่าอันนี้ มันเป็นงานเพื่อชาติ เราเห็นร่วมว่า จะไม่เอา ระบอบทักษิณ การจะเสนอ พรบ.ปรองดอง เข้าไปนี่นะ พวกนี้มีเล่ห์เหลี่ยมมาก เราก็ไม่เห็นด้วย ขณะนี้ เขาก็ละเมิด กฏหมายกันอยู่ จนเป็นอาณาจักร แห่งความกลัว แม้แต่ตำรวจ ก็อยู่ในคอก ภยาคติ กลัวเสียอำนาจ เสียตำแหน่ง มันก็เลยกลายเป็น เรื่องเลวร้าย ในสังคม

           มองว่าตอนนี้ พวก กปท.นี้ ยังไม่ค่อยได้แต้ม แต่อีกพวกหนึ่ง ก็กำลังได้แต้ม ในสภา ก็ชนะ เป็นเผด็จการ ในสภาแล้ว จะให้หมาเป็นควาย ให้ควายเป็นลิง ให้กล้วย เป็นกล้าย ได้หมดแล้ว มันเป็นอำนาจเผด็จ การทางสภา ที่แท้จริง คนยังไม่เข้าใจ อำนาจถ่วงดุล มันเอียงอยู่แล้ว ตอนนี้ก็เลย ต้องยอมตามกฏหมาย แต่เราก็ต้องไม่หยุด เราต้องช่วยกัน ต้องช่วย คนเพลี่ยงพล้ำ แต่ไม่ได้ไปแย่งชิง เอาชนะ ถ้าทางนี้ ชนะได้ก็ดี แต่ต้องไปช่วย เรื่องพลาธิการ เรื่องพยาบาล เราอโศก หรือกองทัพธรรมนี่ เช็ด ปัดกวาดเก่ง จะให้ไปตีรัน ฟันแทง เราไม่เป็น จะบอกว่า สู้ไม่สู้ เราไม่สู้ แบบนั้นไม่เอา ใครจะว่า ขี้ขลาด ก็ไม่ว่า

           การเมืองใหม่ เราก็ทำมาแล้ว ออกมาเลย ยืนยันคะแนนเสียง หนึ่งคน หนึ่งเสียง ล้านคน ล้านเสียง มาเดินเลย ล้านเสียง ตำรวจมีไม่ถึง ล้านเสียงหรอก ตอนนี้ตำรวจ ก็ผิดอยู่แล้ว ประชาชน ยังไม่ออกมาเลย ตำรวจออกมาก่อนแล้ว ถ้าประชาชน ออกมา มากกว่า เขาทำร้ายประชาชนไม่ได้ เขาเข้าคุกเลย ประชาชน อย่าโกรธแค้น ทำร้ายตำรวจ ก็แล้วกัน

           ตอนนี้เราเห็นว่า อีกฝ่ายหนึ่ง หยาบคายมาก เราก็ลดบทบาท เราใช้ความสงบ สยบความเคลื่อนไหว ให้ได้มากที่สุด เราทำมา ตั้งแต่ผู้การแต้ม จะมาสลายเรา ตอนอยู่ สะพาน ชมัยมรุเชฏ เราก็นั่งสงบเฉย จนเราชนะได้ เขาก็มาค้นเราหมด หาว่าเราจะมีอาวุธ แต่ก็ไม่มี ไม่พบ ที่เขากะว่าจะมี

           ผู้การแต้ม เขาเป็นคนมีคุณธรรมก็เลยได้ แต่ถ้าตำรวจอัณฑพาล อาจแย่กว่านี้ ซึ่งตำรวจ มีคุณธรรม เขาไม่ทำร้าย คนมีคุณธรรม แต่ตำรวจ ตอนนี้ร้ายมาก หากอยู่ตอน เจอแก๊สน้ำตา อยู่ต่อเจอ สไนเปอร์แน่ มันต่างกัน

           ผู้ล้มเราก็ต้องช่วย ผู้เดือดร้อนเราก็ต้องช่วย เราไม่ได้มีอคติ คนอาจไม่เข้าใจ ในรายละเอียด ก็บอกแจ้ง ต่อพวกเราว่า เราจะออกไปช่วยนี้ เราจะไปทำงานช่วย ส่วนผู้ที่ ทำงานอยู่ ก็ไปฟังเขา เขาจะให้ช่วยอะไรก็ทำ อะไรเราจะเป็นประโยชน์ ต่อเขาได้ เราก็ทำ โดยสิ่งที่จะเสริม ก็ต้องไม่เป็นอธรรม เราเป็นนักปฏิบัติธรรม มาตลอด ๔๐ กว่าปี ก็ทำอย่างนี้ กับสังคม

           ก็บอกกล่าวกับพวกเรา และประชาชน เราออกไป ไม่ได้ไปรบรา ฆ่าฟัน การเมือง เป็นหน้าที่ของ ประชาชนทุกคน เราไม่เห็นแก่ตัว ไม่อกตัญญูต่อบ้านเมือง เราอาศัย กินอยู่ ในบ้านเมืองนี้ เรามาตาย ในบ้านเมืองนี้ หากใครเขาไล่ จากประเทศ ก็แล้วไป ประชาชนคนไทย มีคุณธรรม เขารู้ว่าอะไร ควรไม่ควร

           เหตุการณ์มาขนาดนี้ เราก็ไปช่วย เพราะทางนี้ทรุดไป เราก็ต้องช่วย ช่วยทำอาหาร พยาบาล เขาทำตาม หลักเกณฑ์สังคม ไม่เห็นเขาละเมิด กฏเกณฑ์สังคม ทางด้านโน้น เขามีแรง เราก็ไม่ต้อง ไปช่วยเขาหรอก ก็ประมวล ข้อมูลว่า เราควร ไปช่วยกัน ตามหน้าที่ ตอนนี้ เราเปิดตัวชาวอโศก ทำงานการเมือง เศรษฐกิจ สังคม คนยังไม่ค่อย รู้จัก อโศกดีนัก ว่ามีแนวทาง ทฤษฏีเป้าหมาย มีคุณสมบัติอันลึก อย่างไร

           เรามั่นใจว่าเป็น พุทธสมบัติ พ่อครูก็ตรวจสอบแล้ว ก็เห็นว่า เป็นไปสอดคล้อง กับธรรมะพระพุทธเจ้า ตลอดเวลา ตามหลักฐาน เราทำอย่างมั่นใจ ไม่ได้ทำอย่าง บ้าระห่ำ ก็บอกแจ้ง อโศกทั้งหลายว่า เราต้องไปช่วยกัน วันนี้ประกาศ เป็นทางการ ตามความถนัดของเรา ตามความจริงของเรา

           คนเขาเข้าใจเรายาก จะระแวง ก็ห้ามคนยาก เขาเชื่อใจคนยาก อย่างอโศกว่า เราทำด้วย จิตสะอาด ไปก่อวิวาท ทำเพื่อพรรคพวก เราไม่ทำ เราทำตามหลัก การเมือง ๑๐ อย่าง ที่อธิบายไปแล้ว พ่อครูเข้าใจ การเมืองเป็นแบบนี้ และอย่างนี้คือ ประชาธิปไตย ไม่ได้เป็นไปเพื่อ ตัวเอง พรรคพวก หมู่ฝูง ครอบครัว เราทำเพื่อประชาชนจริง แม้เขาไม่เชื่อ น้ำใจเราหรอก แต่พวกเราพร้อมพิสูจน์ กับพ่อครูไหม?.... เสียงว่า...พร้อม

           ตอนนี้เราจะไปทำงานการเมือง ตามอุดมคติ ตามความเข้าใจ ของเราว่า การเมือง ของเรา ไม่ได้เหมือนกับ ที่คุณเข้าใจหรอก

           เมื่อวันที่ ๒๑ ก.ค. ๕๖ พ่อครูบรรยายถึงเรื่อง การเมือง กับประชาธิปไตย ไว้พอสมควร ตั้งใจขยายความ ไว้พอสมควร เอามารีรัน อีกก็ได้ ให้เห็นว่า การเมือง คืออะไร เป็นความเข้าใจพ่อครู อย่างนั้นแท้ๆ

           แม้ขณะนี้ มีสองฝ่าย มีพระมหากษัตริย์ เป็นประมุข มีลูกสองแบบ คนหนึ่งชั่ว คนหนึ่งดี ลูกที่ดี ต้องมาช่วยพ่อ เพราะพ่อนี่ ทำอะไรไม่ได้ กับลูกทั้งสอง ลูกที่ดี ต้องมากำหราบ ลูกที่ชั่ว

           อ้างอิงหลักฐาน กฏหมายสากล Supreme law และขยายความ มาตรา ๒ - ๓ ของ รธน. คือประชาชนนั้น เป็นเจ้าของ อำนาจอธิปไตย และมาตรา ๓ นั้น พระมหากษัตริย์ ทรงใช้อำนาจผ่าน ๓ สถาบัน ตอนนี้ สองสถาบัน ล้มเหลวแล้ว ก็เหลือแต่ อำนาจศาล ก็กำลังแย่ ทำอะไรไม่ถนัด ไม่ได้

           พ่อครูเคยคิดมาก่อนว่า มีสองอย่าง คือ “ประชาภิวัฒน์” หรือ “ประชาชนาภิวัตน์” หนึ่งอย่าง กับ อย่างที่สองคือ “ตุลาการภิวัฒน์” ซึ่งตุลาการ ก็สามารถไล่ไป สองรัฐบาล แต่ตอนนี้ สถาบันศาล อ่อนลงมาก ต้องใช้อำนาจประชาชน ไม่ต้องมาทำอะไร ออกมานั่ง ให้เต็มพื้นที่เลย อาศัยอำนาจประชาชน ๑ คน ๑ เสียง ออกมาให้เห็นว่า เราไม่เห็นด้วยนะ ไม่เอากฏหมายอันนี้ ร่วมกันก่อน ออกมาล้าน สองล้านคน ได้ทันที ไม่ต้องถึง ๑๕ ล้านเสียง เอาสดๆเลย อยากรู้พฤติภาพสังคมดู ใครที่เป็นไทยเฉย ไม่เดือดร้อน ก็น่าจะคิดดู ก็ค่อยๆไป เราก็ร่วมไม้ร่วมมือ กันไปเรื่อยๆ อโศกเรา มีไม่มากหรอก แต่อโศกเรา เป็นปึกแผ่น มีคุณธรรม มีสาราณียธรรม

           คุณนักกฏหมาย เห็นไม่เหมือน เราก็ไม่เป็นไร แต่เราเห็นอย่างนี้ เราก็ทำตาม ความเข้าใจ

           วันนี้ สภามีการรับกฏหมาย วาระที่ ๑ และจะแปรญัตติ ในวาระที่สอง อีก ๗ วัน และ จะให้เสร็จสิ้น ภายในสิ้นเดือนนี้ พ่อครูก็เห็นว่า เราต้องมา ช่วยกันค้าน ใครเห็นด้วย ก็มา ไม่เห็นด้วย ก็ไม่เป็นไร สามัคคี คือความขัดแย้ง ที่พอเหมาะ

          ต่อไปเป็นการตอบประเด็น

  • กรณีคนกินมื้อเดียว ควรจะไม่ให้เกินกี่โมง หากเขาไปกินตอน ๑ - ๒ทุ่ม จะถือว่ารักษาศีล กินมื้อเดียวหรือไม่

ตอบ...ในคำสอนพระพุทธเจ้า ท่านก็ไม่กำหนดเวลา ไม่เห็นหลักฐานว่า ท่านกำหนด ไม่ให้เกินเที่ยง สมัยพระพุทธเจ้า บิณฑบาตเย็นก็มี บิณฯ ตอนไหนก็กิน ท่านกำหนดว่า ฉันในที่นั่งแห่งเดียว ไม่มีหลักฐานว่า ฉันในที่นั่ง สองแห่ง เป็นหลักเกณฑ์ ศาสนาพุทธ ในจุลศีล – มัชฌิมศีล - มหาศีล เป็นธรรมนูญพุทธ อย่างของคริสต์ เขามีหลักบัญญัติ ๑๐ ประการ แต่ของพุทธมี จุลศีล ๒๖ มัชฌิมศีล ๑๐ และมหาศีล อีก ๗ แล้วท่านก็นำ ธรรมนูญ ไปในรัฐไหนๆ ถ้ามาเข้ารีตอันนี้ คนเหล่านั้น มาเป็นคนของ พระพุทธเจ้า ท่านได้คน จากรัฐ หรือแคว้นต่างๆ เป็นรัฐอิสระ ประกาศไปในศีล มีแต่ประกาศว่า ฉันที่นั่ง แห่งเดียว แม้แต่ศีล ๘ ก็มีแต่วิกาลโภชนา คือกำหนดที่กาละ เป็นครั้งๆ หรือเวลาใด วันละ ๑ ครั้ง จะเย็น หรือเวลาใดก็ได้ แต่มันไม่ควร กินเย็น เพราะเย็น ไม่ถูกต่อ สุขภาพ ทำให้สุขภาพเสีย ถ้าฉันตอนเช้า หรือกลางวัน ก็ได้แล้ว พระพุทธเจ้าท่านสอน

  • อานิสงส์ฉันมื้อเดียว มีอานิสงส์ ๕ ประการ
    ๑.        ร่างกายไม่เจ็บป่วย อาพาธน้อย (อัปปาพาธัง)
    ๒.       ไม่มีอะไรบกพร่อง (อัปปาตังกัง)
    ๓.       กระปรี้กระเปร่า เบากาย เบาใจ (ลหุฏฐานัง)
    ๔.       มีพละกำลังเหลือใช้ (พลัง)
    ๕.       เป็นอยู่สบาย จิตใจผาสุก (ผาสุวิหารัง)

           ที่นั่งแห่งเดียวคือ นั่งที่นี่แหละ อย่าไปกินจุบจิบ กินจุบจิบฟันไม่ดี อย่างพ่อครูนี่ ฟันยังดีอยู่เลย มันฟันจริง อยู่เกือบครบ คุณก็ไม่ได้ไปแทะเนื้อ แทะกระดูก ส่วนมาก ก็ใช้ฟันกราม ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องฟัน มีหมอหาญณรงค์ ทำฟันให้พ่อครู มานานแล้ว บอกว่าพ่อครู มีเคล็ดลับอะไร ไม่มีขี้ฟัน หรือ Plaque พ่อครูก็เปิดเผยว่า... พ่อครู กินมื้อเดียว กินแล้วไม่กินเล่น กินเสร็จ สีฟันเลย ครั้งเดียวต่อวัน เป็นเคล็ดสว่าง ไม่ใช่เคล็ดลับ

  • เจ๊ลั้งถามว่า จะไปช่วยแจกอาหาร ที่สวนลุมได้หรือไม่?

ตอบ...ได้

  • สุราษฏร์ธานี กม.นิรโทษกรรม จะออกมาในรูปแบบใดครับ ถ้าสมมุติว่า ช่วยแต่คนผิด ไม่ออกมาช่วยคนอื่นๆ ที่เป็นคนทั่วไป ถ้าอย่างนั้น บ้านเมืองวิกฤติแน

ตอบ... ทำไมไม่นิรโทษให้เขา คือกม.นิรโทษกรรมนี่ ออกตอนปฏิวัติ ทำแล้วล้างผิด ให้ตนเอง มันไม่ค่อยตรงสัจธรรม แต่จะออกมา ในรูปใด พ่อครูตอบไม่ได้ แต่เขา จะออกมา ล้างผิดพวกเขา คนอื่นก็พลอยได้ด้วย จริงๆเขาจะล้างผิด ให้คนผิด เรื่องการเมือง แต่คือออกกฏหมาย ให้ตนและพวก พ้นผิด แต่ตีขลุมว่า คนอื่นก็ได้ด้วย ทางด้านคุณจำลอง คุณสนธิก็ว่า ไม่ต้องออกให้ผม ผมยินดีสู้ ตามสัจธรรม ถ้าไม่ผิด จะออกมาแก้ตัวทำไม ถ้าไม่ผิด คุณก็สู้สิ เขาว่าตุลาการ สองมาตรฐาน พอตัดสิน ตัวเองถูก ว่าดี แต่ตัดสินว่าตนผิด ก็ว่าไม่ดี แล้วจะเอาอย่างไร มันขัดแย้งกับ สัจธรรม แต่มันเป็น อำนาจเผด็จ การทางสภา ที่เขาได้อันนี้ สำคัญคือ อำนาจทางสภา ตอบไม่ได้ว่า จะออกมา ในรูปไหน แต่ใช้สูตร “ดูไป” คือ Wait and See คือดูไปเรื่อยๆ ไม่ต้องใช้สูตร “ดูไบ”

  • คนแจกอาหาร ของกองทัพธรรม วานนี้หน้างอ ไม่รับแขก ไม่น่าเคารพศรัทธา เหมือนก่อน เรียนมา เพื่อเป็นข้อมูล

ตอบ... หน้างอๆ มาจับยืดเสียให้ตรง แล้วไม่รับแขก ก็ต้องเปลี่ยน รับทั้งแขก ทั้งไทย เราไม่จำกัด เชื้อชาติหรอก พวกเรามีหลักเกณฑ์ ในการแจก ว่าอ่อนน้อม ถ่อมตน ยกมือไหว้ก่อน ด้วยซ้ำไป เราเจตนา ไม่ได้มาเอาดิบเอาดี เอาบุญคุณ เราถือว่า มาช่วย เกื้อกูลกัน

  • หนูเกิดมาเป็นผู้หญิง หากอยากเกิดเป็นผู้ชาย ในชาติหน้า ต้องทำอย่างไร

ตอบ... ก็ต้องสร้างให้เกิด ปุริสภาวะ อาจจะยากหน่อย คุณต้องเข้าใจใน “ภาวรูป” ที่เป็น อิตถินทรีย์ กับ ปุริสสินทรีย์ ท่านเรียกว่า เพศ คือ “ลิงค” มีเพศแม่เพศพ่อ ที่มีอยู่ในทิฏฐิ ๑๐ ในข้อ มาตาและปิตา แม่เป็นภาวะ อิตถีภาวะ พ่อเป็นปุริสภาวะ ถ้าเข้าใจสภาวะ อาการนี้ ที่เป็นนามธรรม ซึ่งรูปธรรมก็มี เป็นการเคลื่อนไหว เป็นวิญญัติรูป จากกายวิญญัติ วจีวิญญัติ เช่นเขาพูดอย่างนี้ เป็นลักษณะผู้หญิง ผู้ชายที่ดัดจริต พูดแบบ ผู้หญิง เขาเรียกกระเทย ส่วนกายวิญญัติ คือลักษระรวมทั้ง กายและวจี ถ้าคุณธรรม ของเรา ทำได้ สรุปว่า ปริสภาวะคือ ภาวรูปที่เป็นตัวจบ ตัวสำเร็จ ไม่ติ๊งต่องๆ ไม่ปริเทวนาการ ที่ไม่รู้แล้วรู้จบ กระบิดกระบวน จุ๊กจิ๊กจู้จี้ ไม่รู้แล้ว นั่นคือ ลักษณะ ที่ไม่จบ ปุริสภาวะ คือสภาวะที่จบสมบูรณ์ ในแต่ละเรื่อง แต่ถ้ากระดุ๊กกระดิ๊กอยู่ ก็ไม่จบ

  • สัมมาทิฏฐิ ๑๐ มี

.ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ . ทินนัง)
๒.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล  (อัตถิ ยิฏฐัง)
๓.สังเวย (เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง)
๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง  ผลัง วิปาโก)
๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ .
๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร  โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ
๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา)

๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) .
๙. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา)
๑๐. สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่งด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก  สมณพราหมณา  สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง  ปรัญ จ โลกัง  สยัง อภิญญา  สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ)

           สรุปคือ ต้องปฏิบัติธรรม เราได้คุณธรรมที่จริง ก็ไม่ต้องอยากเป็นผู้ชาย เดี๋ยวไป เป็นกระเทย การหายดื้อนี่ เป็นผู้ชาย กินจุบจิบนี่ เป็นผู้หญิง กินเป็นมื้อเป็นคราว นี่คือผู้ชายนะ

  • พลเรือตรีมินทร์
    ประชาธิปไตยคือ
    ๑.ประชาธิปไตยที่ทำความชั่วคือ ประชาชนตายชัวร์

    ๒.ขอให้ชาวกองทัพธรรม ร่วมกายใจกับชาว กปท. เพื่อผลประโยชน์ประชาชน
  • จะทำอย่างไร ให้ไฟใต้ดับ ใช้คาถาบทใดดี

ตอบ... เป็นกรรมวิบาก ที่มีคนทำย่ำยีกับเขาไว้มาก ถ้าแก้ได้ ตรงคนนี้ ไม่อยู่แล้ว ก็คง จะแก้ได้ต่อไป จัดการการเมือง ตอนนี้ได้ แล้วค่อย แก้ไฟใต้ได้

  • วจีกรรมกับวจีสังขาร ต่างกันอย่างไร

ตอบ... วจีสังขารนี่รู้ยาก ถ้าใครไม่รู้ปรมัตถ์ ในองค์ ของสังกัปปะ ซึ่งมีวจีสังขาร เป็นจิตสังขาร หรือ เป็นนามกายภายใน ผู้รู้อันนี้ ไม่ต้องออกมา ข้างนอกก็ได้ เอากิเลส ออกได้ ตอนตักกะ กิเลสออกได้เป็น วิสังขาร ….เป็นวิตักกะ ...ออกมาเป็น วจีสังขาร ภายใน และต่างจาก จิตสังขาร ที่จิตสังขารคือ คำกลางๆ เป็นองค์รวม ส่วนวจีสังขารนั้น เตรียมออกมาเป็น กายหรือวจีกรรม จากจิตเป็นประธาน ออกมาเป็น สังกัปปะ วาจา กัมมันต อาชีวะ ก็เป็นสัมมา ต้องปฏิบัติธรรม รู้จักต้นตอ คือ สมุทัย แล้วกำจัดเหตุ สรุปคือ จิตสังขารรวม กว้างกว่า ส่วนวจีสังขาร คือภาคประพฤติ มีองค์ ๗ เป็น สารบัญ (content) แล้วในนั้น มีรายละเอียดคือ สาระ (context) ที่ลงรายละเอียด แต่ละตัว เป็นปฏิภาคสัมพัทธ์ เป็นองค์รวม จึงจะทำวจีสังขาร เป็นคนมี วิปัสสนาญาณ ทำผลสำเร็จ เป็นผลสำเร็จ เป็นปฏิภาคสัมพัทธ์ทวี ทำกิเลสลดได้ เป็นอัตรา การก้าวหน้า การปฏิบัติธรรม

  • ไปร่วมชุมนุมกับสวนลุมฯนานๆ เพราะเขาเบื่อ ออกมาแล้วอหิงสา ไม่ชนะหรอก แต่ถ้าเอาอาวุธไป ชนะแน่

ตอบ... ขอปฏิเสธ ความคิดแบบนั้น ถ้าคุณจะทำที่ไหน บอกด้วย เราจะไม่ไปร่วม แม้เราจะแพ้ เราก็ไม่ทำแบบนั้น เราไม่ทำให้เกิด การบาดเจ็บ ล้มตาย เป็นความคิด ที่ต่างจากเรา ขอบอกว่า ถ้าใครจะไป กรุณาอย่าเอาอาวุธไป ถ้าเอาอาวุธไป ก็อยู่บ้านเถอะ หรือไปอยู่ กับพวกอื่น พ่อครูก็ไม่ส่งเสริมหรอก ไม่เข็ดหรือ เมษาฯ๕๓ มั่นใจว่า เมืองไทย เป็นเมืองที่ มีคุณธรรม ยังหวังว่า บ้านเมืองไทย จะมีสิ่งที่ดีงาม

  • ถ้ารัฐบาลเสนอกฏหมายนิรโทษคู่กับ ต่อไป หากนักการเมืองทุจริต ให้ประหารชีวิต ได้ไหม
  • ตอบ... เห็นด้วยได้เลย คนสุจริต จะกล้าออกกฏหมายนี้ แต่คนทำผิดอยู่ ก็ไม่กล้า ออกหรอก เป็นเรื่องยากลำบาก แต่คนบังคับ ใช้กฏหมาย ทำไม่ได้ แต่อย่างอินเดีย มีกฏหมาย รธน. ที่ออกโดยจัณฑาล ตอนนี้ก็ใช้ ฉบับนี้อยู่ ออกโดย ดร. เอ็มเบดการ์....

    จบ

 
พฤหัสบดี ๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่ราชธานีอโศก