|
||
พ่อครูออกเดินทาง จากราชธานีอโศก วันที่ ๑๑ สิงหาคม ๒๕๕๖ ตอน ๐๖.๓๐ น. มาถึงศีรษะอโศก ตอนประมาณ ๐๗.๓๐ น. วันนี้ได้รับนิมนต์มา เนื่องในวันแม่แห่งชาติ ซึ่งในวันพรุ่งนี้ ก็จะเป็นวันแม่แห่งชาติ ชาวศีรษะอโศก จึงจัดงานวันแม่แห่งชาติขึ้น ในวันอาทิตย์ จะมีตลาดอาริยะด้วย ในวันแม่ แต่ทางที่กลุ่มใหญ่เรา ก็จะมีดำริ จัดตลาดอาริยะใหญ่ ที่สวนลุมพินีวัน มันก็สัมพันธ์กันหมด ทั้งพฤติกรรม ตลาดอาริยะ ที่ยิ่งใหญ่ ถ้าโลกนี้ เป็นตลาดอาริยะ หมดเลย จะประเสริฐมาก อาริยะคือฉลาด อย่างถูกต้อง ยอดเยี่ยม คือผู้ฉลาด จะค้าขาย อย่างขาดทุน พ่อของแผ่นดิน ตรัสไว้แล้วว่า our loss is our gain สอดคล้องของพ่อ ของมหาจักรวาล คือสมเด็จ พระสัมมาสัมพุทธเจ้า ท่านตรัสว่า ธรรมใดวินัยใด เป็นไปเพื่อ ความมักน้อย ธรรมนั้นวินัยนั้น เป็นของเราตถาคต มีทั้งเศรษฐกิจ การเมือง สังคม อยู่ในนั้น คนดีมาร่วมกันทำสิ่งดี ครบพร้อมเลย จะเป็นสถานที่อันเหมาะ คือที่ประสูติคือที่เกิด วันนี้เราจะมาพูดถึง ความเกิด ภาษาบาลี คือ ชาติ ถ้าการเกิดนี้ เป็นอกุศล มีสิ่งไม่มีดีปรุงแต่งจัดแจง จนมีบทบาทลีลา เป็นแรงงาน จนเป็นแรงร้ายแรงดี เป็นพลังดี พลังไม่ดีก็เกิดจริง เกิดจากมนุษย์เป็นแรง ซึ่งพลังของ ดินน้ำลมไฟ ก็เคลื่อนตัว มีเหตุปัจจัย มีฤทธิ์แรงเกิดมันช้า แต่มนุษย์นี้ มีจิตแววไวมาก เป็นจิตเป็นตัวประธานให้เกิดสภาพเร็วไว ทั้งความคิด และเปลี่ยนแปลงตัว เรียกว่า มุทุ คือ อ่อนไวเร็ว เรียกว่า เป็นปัญญา และเจโต ก็เร็วแตกตัวไว เช่น ตัวเรามีพฤติกรรมชั่ว เราก็เปลี่ยนเป็นดีเร็วไว มีปัญญารู้ได้เร็วไวว่า ตนชั่ว แล้วเปลี่ยนได้เร็ว เป็นมุทุภูตธาตุ เป็นจิตหัวอ่อน แปรสภาพได้ไว นี่คือ สัจจะทางนามธรรม คือ มโนบุพพังคมา ธัมมา มโนเสฏฐา มโนมยา พลังงานจิต ละเอียดกว่า นิวเคลียส ที่จะระเบิดเป็นนิวเคลียร์ แต่พลังทางจิต มีสภาพ ยิ่งใหญ่กว่ามาก เราจะมาขยายความ เรื่องการเกิด คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน ทุกอย่างเป็นวัฏฏะ วน เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป และในช่วงที่ตั้งอยู่นี่แหละ อยู่อย่าง สงบสุข หรืออยู่กลางๆ หรือทุกข์มากกว่าสุข ซึ่งทุกวันนี้ ตั้งอยู่ในเขต ทุกข์มากกว่าสุข แต่มันก็จะ เกิดและดับ ตามเหตุปัจจัย ไม่มีใครห้ามได้ แต่ตัวจิตวิญญาณนั้น เหนือกว่า ธรรมชาติ แต่ถ้าได้ระดับธรรมชาติ ก็ยังดี แต่ว่า ถ้าระดับ ต่ำกว่าธรรมชาติ ก็เหลวไหล ร้ายแรง เป็นธรรมชาติที่โง่เง่า ใครรู้แล้ว ก็ลดธรรมชาติ ให้อยู่ระดับพอดี เข้าไปหา ๐ ซึ่งผู้จบ ๐ คือหมดธรรมชาติ มีหรือไม่มีก็ได้ มีก็ไม่มี ไม่มีก็ไม่มี จะเห็นได้ว่า ความต่อระหว่าง ความมีกับไม่มี และความไม่มีกับไม่มี ซึ่งความมีคือเกิด ความไม่มีคือดับ ความต่อคือ continuum เป็นความต่อเนื่อง จาก connection relation continuum ทุกวันนี้ สังคมไทย เป็นธรรมาธรรมสงคราม คือ อธรรมกับธรรมะ มาทำสงครามกัน พ่อครู ก็ยังเห็นว่า ไทยเรายังเห็น ความสำคัญของพุทธ ขณะนี้เกิด กองทัพประชาชนขึ้น และจะไปไม่รอด กองทัพธรรม จึงมาร่วม และเราเห็นว่า กองทัพเป็นเชิงรบรา ก็เลยเอา กองทัพออก ก็ให้เป็น ปรองดอง ประชาชน ส่วนเพื่ออะไร ขอหมกเม็ดไว้ และ ก็มาทำงาน เราพยายามกำจัด ชำระสิ่งไม่ดี ให้ออกไป ให้สิ้นไปจาก มหาจักรวาลนี้เลย เอาสิ่งที่ดีไว้ เท่าที่เราจะทำได้ เรากำลังจะทำสิ่งหนึ่ง ให้ดับไป สิ่งหนึ่งให้เกิดมาก เราไม่เอา ชนะหรือแพ้ เราทำสุดที่ จะแพ้ก็แพ้ชะตาทราม ดวงใจทรงความมั่นคง เกิดมาอีก ก็ทำอีก เราจะทำการดับชาติให้ได้ เราจะอยู่ เท่าที่ชีวิตเรา จะอยู่ได้ ประเทศไทย ก็ควรอยู่ต่อ เป็นชาติ เราเป็นพลเมืองไทย เราจะให้เกิดต่อ ตั้งอยู่อย่างดี อย่างเจริญ คือรู้ว่าอะไร ที่สูงสุด รู้ว่าอะไรที่หมดสุดสูงสุด ที่ควรมี ควรให้เกลี้ยง ของตนเอง เรียก อมตบุคคล คำว่า มยหรือมยัง คือความสำเร็จ อันเป็นเรา ดังนั้น มยังที่เป็นมโนมยะ คือใจนี่แหละ ทำให้สำเร็จ ใจเรานี่แหละ เป็นตัวพลังงาน ความสามารถกระทำ ให้สำเร็จได้ เราเข้าใจองค์รวม ที่ประชุมกัน เรียกว่า กาย คือองค์ประชุมของ รูปและนาม ผู้ศึกษา ปรมัตถ์ ก็สามารถ เข้าใจเรื่องรูป รูปรูปัง ซึ่งรูปคือ ของหยาบอยู่นอก สัมผัสได้ ด้วยทวารนอก สิ่งที่สัมผัสได้เรียกว่า รูปกาย คือมีนามเข้าไปรับรู้ รู้ว่านี่คือ สิ่งที่ถูกรู้ คนมีนามธรรม มีจิตวิญญาณรู้ว่า ตนคือคนในชาติไหน ประเทศไหน ไม่ใช่ว่าไม่รู้ คุณจะมาเกิดในชาตินี้ ประเทศนี้ทำไม คุณก็ต้องไปเกิด ในชาติอื่นประเทศอื่น คำว่า กาย ลึกซึ้งกว่าคำว่า ร่าง กายนี้เป็นกายแห่งธรรมะ ที่ลึกซึ้งมาก คนไม่เข้าใจกายแห่งธรรมะ จะไประลึกรู้ อย่างเป็นรูปเป็นร่าง เป็นเรื่องโลกมอมเมา ยั่วย้อม จนเลี่ยนหมดเลย มันเกินเลย มากจัด อัตตาก็มาก กามก็มาก โดยไม่เข้าใจ กามและอัตตา พวกนี้จมอยู่ในความมืด อยู่ในหลุมลึกของอวกาศ คือ เทหวัตถุแท่งทึบ ใน space คือจักรภพ ถ้าใครไม่มี จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ก็จะตกในหลุมดำ Black hole เป็นสัตว์ในความมืด ถูกดูดเข้าไป เป็นเทหวัตถุแท่งทึบ มันก็เคลื่อนตัว ไปในอวกาศ โดยไม่รู้ว่า คืออะไร เป็นดวงดาว เป็นอุกาบาต เป็นสารพัด ส่วนผู้มีดวงตา จักษุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง จะเห็นหมดเลย รู้หมดเลย และรู้อะไรมีคุณ มีโทษ ก็จัดการสิ่งมีโทษ ในจักรวาลเล็ก ของเราได้ จัดการเอาออก สิ่งไม่ดี ทั้งรูปและนาม เราก็อยู่กับ รูปและนามที่ดี สังเคราะห์กัน อยู่อย่างเจริญ ซึ่งไอสไตน์ คิดเรื่อง space and time of continuum แต่ไม่มีวิธีควบคุมการใช้ คนเอาไปทำระเบิดปรมาณู เป็นบาดแผล และพ่อครู รู้บาดแผลนี้ และไม่พยายามให้เกิด พุทธศาสนาเมืองไทยนั้น ขาเป๋ พ่อครูต้องมาต่อขา เชื่อมขาให้เดินได้ จะทำได้แค่ไหน ก็แล้วแต่ เรื่องชาตินี้ พระพุทธเจ้า ท่านแจกไว้ ๕ คำ สัตว์โลกทุกตัว ก็มีการเกิด ตามสัญชาติญาณ แต่เราจะทำอย่าง โอกกันติ ทำที่ไม่ให้ มันเกิดสำเร็จได้ เราเกิด เราทำอกุศลจิตตายได้ เราก็เกิดเป็นเทวดา เป็นอุบัติเทพ เป็นวิญญาณ ที่ถูกสำรอกกิเลสออก มีการเกิดการตาย อย่างมีปัญญา เรียก โอกกันติ จนเป็น นิพพัตติ สุดท้าย หมดเกลี้ยงเป็น อภินิพพัตติ concept คือตีกรอบ เท่าที่เราจะรับรู้ได้ทั้งหมด เป็นองค์รวม ซึ่งในนั้นมี content and context มาสู่การเกิดการตายขอ งรูปกับนาม ซึ่งตัวจบจริงๆ ของรูปและนาม นั้นตัวจบจริงๆ คือ นามธรรม แต่เราไม่ทิ้งรูป เราเกี่ยวกับรูป ที่อยู่เกี่ยวเนื่องกับเรา ไม่ต้องไปเกี่ยวกับ สิ่งไกลมาก เช่นอวกาศ เอาแค่ตัวเล่น ที่มีอยู่ในนี้ ก็พอแล้ว เอา content เท่านี้ หรือ สารบัญแค่นี้ เอาแค่ในกระดานนี้ ก็เล่นให้ดี แค่นี้ เขาเรียกว่า สารบัญ คือรวบรวม หมวดหมู่ เอาไว้ ในตัวเล่น มีตั้งแต่หยาบ ไปจนถึงนิพพาน แต่ละบทนี่เรียกว่า รวมไปหมดเลย คือ context หรือบริบท และในบริบท ก็มีแยกเป็น ปริเฉท มีหลาย ปริเฉท จากหยาบไปจน ปริเฉทของความว่าง ความหมด เราต้องทำ อย่างรู้แจ้งชัด เป็นวิทยาศาตร์ ข. โคจรรูป หรือ วิสัยรูป 5 (รูปที่เป็นอารมณ์ หรือแดนรับรู้ ของอินทรีย์ : material qualities of sense-fields) ค. ภาวรูป 2 (รูปที่เป็นภาวะแห่งเพศ - material qualities of sex) ง. หทยรูป 1 (รูปคือหทัย - physical basis of mind) (แปลตามทั่วไป ตามพจนานุกรม ประมวลศัพท์ฯ) จ. ชีวิตรูป 1 (รูปที่เป็นชีวิต - material qualities of life) ฉ. อาหารรูป 1 (รูปคืออาหาร - material quality of nutrition) ช. ปริจเฉทรูป 1 (รูปที่กำหนดเทศะ : material quality of delimitation) คือ context คือ สารบัญ ปริเฉท คืออย่าละโมบโลภมาก เอาทั้งหมด ต้องเอาทีละ ปรเฉท เช่น เรียนศีล ๕ ก่อน ค่อยศีล ๘ ค่อยไป ศีล ๑๐ ต่อไป ตัดรอบไปจนละเอียดถึง อากาศธาตุ ญ. วิญญัติรูป 2 (รูปคือการเคลื่อนไหวให้รู้ความหมาย : material intimation; gesture) ฏ. วิการรูป 5 (รูปคืออาการที่ดัดแปลง ทำให้แปลก ให้พิเศษได้ : material quality of plasticity or alterability) อาการใดที่ดี เอาไว้ อาการที่ไม่ดี เอาออก คือ วิ คือ ทำให้ยิ่ง คือ ได้วิตกวิจาร มาหมดแล้ว เราจะประมาณ ขนาดไหนก็ได้ ดัดได้ ปรับได้ ฏ. ลักขณรูป 4 (รูปคือลักษณะ หรืออาการ เป็นเครื่องกำหนด) เอากวฬิงการาหาร มาอธิบายเหตุปัจจัย ...เมื่อคุณสัมผัสอาหาร ที่คุณติด คุณชอบ พอได้รับ ตามอยาก ได้สัมผัส ได้กิน ก็เกิดรส มันมีสองรสแฮะ คือ ถ้านิโรธฤาษี ดับอย่างไม่รู้ผัสสะ คุณดับทวารแล้ว อ่านไม่รู้ว่า รสหวาน รสชอบชื่น อยู่ตรงไหน คุณปฏิบัติ ก็ฝันเพ้อเอาเท่านั้น ไม่จริง นิโรธหลับตา ดับผัสสะ จึงไม่มีความจริง สันตติต้องรู้จัก ความตายความเกิด เมื่อคุณยังมีอิตถีภาวะอยู่ ยังไม่นิ่ง ไม่กลาง ไม่เฉยแน่ คุณดับสุดจบเลย สะอาดสนิท นี่คือปุริสสภาวะ นี่คือ คุณเห็นความดับ ความจบ ความไม่มี แล้วคุณเห็นเทวดา พระพรหมเกิด คุณก็ยังมีอยู่ ความไม่มีก็ไม่มี แต่ความมีนั้น ไม่มีความมี รสน้ำตาล คือความจริงตามธรรมชาติ คุณต้องสัมผัส เอามาแตะลิ้น จึงเกิดรู้รสได้ มันหวาน ก็เรียกตามภาษา ของตนเอง พยัญชนะสื่อสภาวะนั้นๆ นี่คือหนึ่งเดียวกัน ตรงกันหมดทั้งโลก ส่วนสภาวะที่สองนั้น กิเลสใครกิเลสมัน ถ้าคุณจบ ไม่มีกิเลส กลางเลยก็คือ ปุริสภาวะ ถ้ายังไม่กลาง ก็มีอิตถีภาวะ คุณจะรู้ ชีวิตรูปยังมีอยู่ แต่ถ้าหมดกลางแล้ว ก็ไม่มีชีวิตของกิเลสแล้ว นี่คือ สันตติของ ความเกิดและความตาย ของที่เรามีตัวตน รูปร่าง แล้วสัมผัส แล้วจิตเรา ไม่มีกระดิกเลย นั่นแหละปุริสภาวะ เรียนได้ทั้ง คนผู้ชายและผู้หญิง แม้สัมผัสอยู่ อย่างทนโท่ จิตเราก็ไม่กระดิก ทำได้ถาวรด้วย นี่คือสันตติ ต่อเนื่อง ระหว่าง การเกิดและตาย เราตายอันไหน และเกิดอันไหน ไม่มีรสดูดผลัก ไม่มีทั้งอิฏฐารมณ์ และ อนิฏฐารมณ์ แต่เรายังไม่ตาย ก็ยังมีผัสสะอยู่ แม้จะแรงแค่ไหนเราก็ ๐ ได้ คุณมีโลกุตรจิต แน่นอน เมื่อคุณสามารถ รู้จักอุปจยะ และรู้สันตติ คุณก็อยู่กับมันที่มี ชรตา คือเสื่อมไป ถ้าคุณ ยังเกิดต่อเนื่อง ใช้มันอยู่ คุณก็อุบัติอยู่ แต่ถ้าคุณไม่ใช้ มันก็เสื่อม หรือคุณจะจำไว้ เพื่อใช้งาน แต่อย่าแอบเสพนะ เหมือนหมัดพวกเล็น แทรกไปหร็อยเสพ เมียท้าวพรหมฑัต แอบเสพทีเผลอ ลักลอบ ระวังเถอะ พวกคนธรรพ์ เราต้องหมด ดับแม้แต่ เป็นคนธรรพ์ ตอนนี้ มีพวกที่โง่ เสพอยู่กับพรหมฑัตอยู่ แม้พรหมฑัต ตอนนี้ยังไม่ตาย แต่นึกว่า พรหมฑัต จะอยู่ไปล้านปี หมัดนึกว่า พรหมฑัตจะตายทีหลัง แต่เราเห็นว่า พรหมฑัต กำลังจะตาย แล้วหมัด มันจะกระโดดออก หรือไม่นะ? ทุกอย่างไม่เที่ยง อนิจจตา อะไรเราพออาศัยได้ ก็เอา แต่อย่าไปยึดเป็นเรา เป็นของเรา อันไหนเป็นพิษก็เลิก ทุกอย่างไม่เที่ยง เผลอก็กินตัวเลย ตัวที่มาแทรก มาทำร้าย เร็วไวมาก ขนาดพ่อครู ทุกวันนี้ไปไหน ตำรวจก็ตามตัว เขาไม่ไว้ใจ แต่ที่จริง พ่อครู ไม่ไปทำร้ายใครหรอก แต่เขาก็ทำตาม นายสั่ง เขาจะเห็นเองว่า เราไม่ทำร้ายใคร เราเผยแพร่สิ่งที่ดี แม้แต่ลักขณะ รูป ๔ ที่เป็นอุปจยะ คือสิ่งที่เรา ใช้อาศัยเกิด แต่ไม่สะสม รู้ว่าเจริญ คืออย่างไร แล้วไม่ยึดมั่นถือมั่น ใช้แล้วจบ ไม่ปริเทวนาการ ไม่เหลือเสพอะไรอีก อะไรที่หมดขีด ที่เจริญแล้ว ก็เสื่อมลงไป เป็นธรรมดา การเกิดพร้อมมีปัญญา จะทำเกิดไม่เกิน จะทำพอดีสมดุล นี่คือความจบ ถ้าสิ่งใด มีอยู่ ก็อยู่กับสมดุล ถ้าเกินต้องรู้ overload หรือ overlap ไม่เอาอย่าง overload แต่ถ้ามี overlap อยู่ก็ต้องรู้ นิดหน่อยอย่างไร หรือมากอย่างไร ก็คือ อันตา คือปลายข้าง ยังไม่กลาง ถ้าหมดแล้ว ไม่มีอะไรแลบออกไปเลย แม้แต่แสงแวบหนึ่ง ก็ไม่มีแวบ คือ สุดยอดเลย นิ่งสว่าง อยู่ตรงกลาง เป็นพลังนิวเคลียร์ รัศมี กัมมันตภาพรังสีมาก พ่อครูว่า ทำงานกับมนุษย์ มาหลายชาติ ไม่เบื่อก็บุญแล้ว คือคนที่หมดแล้ว ไม่มีอะไรยึดแล้ว จะอยู่ไปทำไม? แต่ว่าพ่อครู กตัญญูต่อศาสนา จึงทำงานต่อไป จนเป็น พระพุทธเจ้า องค์ใดองค์หนึ่งบ้างแล้วก็จบ จบที่อนิจจตา มันไม่เที่ยง แต่มันเที่ยงเพราะ คุณกำหนดเอง เป็น สัญญาย นิจจานิ ถ้าคุณ กำหนดให้ไม่มี ก็อนิจจตา กำหนดให้มี ก็นิจตา แต่กำหนด ให้มีอย่างไร มันก็ไม่เที่ยง คุณจะทำความมีอย่างไร ไม่มีอย่างไร ทำอกุศลให้หมดไป แต่อันตราย คือลาภ สักการะ และเสียงสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ และมานะนี่ จะทำให้เกิดอันตราย ในโลกธรรม คือประมาณไม่พอ ก็มีวิบากได้ ความผิดพลาด ของพระอรหันต์นั้น แสบเผ็ดนะ ผิดนิดผิดหน่อย ก็ร้ายแรง ด่างพร้อยไม่ได้นะ แต่พระอรหันต์ ต้องทำงาน ผู้ใดจะไม่ทำงาน ก็ปรินิพพาน ผู้จะทำงานคือผู้จะต้อง มีประโยชน์ต่อโลก ให้มากที่สุด ศึกษาต่อ เป็นความก้าวหน้า เป็นสัมมาสัมโพธิญาณ ไปเรื่อยๆ ไม่ใช่สัมมาสัมโพธิเจโต (คือไม่เกิดแล้ว) เกิดจากความรู้ ความฉลาด ความเข้าใจ เป็นสัตบุรุษ รู้จักจัดสัดส่วน ประมาณ ในทุกกาละเวลา โอกาส ตามมหาปเทส ไม่แน่นอน ตามเหตุปัจจัย เช่นพ่อครู สร้างสาธารณโภคี ในระดับนี้ แต่สมัยพระพุทธเจ้า สร้างได้ ในระดับหนึ่ง แต่ท่านมีรัฐอิสระ ของพ่อครู ไม่อิสระ เท่าไหร่ เพราะเขาไม่รู้ เราจะไปโกรธเสือหรือหมา ที่มากัด ก็ไม่ใช่ เราก็หลบเลี่ยงเอา ไม่ต้องไปทำร้ายมัน หมาดีไม่กัดหรอก หมาดีมาช่วยเราด้วยซ้ำ เสือก็ช่วยได้แต่ยาก ช้างก็ช่วยได้มาก สัตว์ที่พระโพธิสัตว์ จะไปเกิดก็มีหลายอย่าง แต่จะไม่เกิดเป็นเสือ เป็นต้น สรุป...รูปทั้ง ๒๘ ต้องมีภาวะจริง สัมผัสได้ และจัดสรรให้ดี ไม่ว่าจะมีทวาร ๕ ไปกระทบสัมผัส แล้วเกิด อุปาทายรูป ตามปสาทรูป แล้วรูปใด เป็นอิตถินทรีย์ ก็ต้องรู้ แล้วคุณก็ทำให้เป็น ปุริสสินทรีย์ได้ ไม่เกี่ยงว่า หญิงหรือชาย คุณไปทำร่างกาย ให้เท่ากับชาย ไม่ได้หรอก ผู้ชายถูกสร้างมา สมบูรณ์กว่าหญิง เช่น ผมผู้ชาย มีน้ำเลี้ยง มากว่า ไม่ต้องไปไว้ผม แข่งกับผู้หญิงหรอก ในรูป ๒๘ นี้เอามาใช้ได้ ให้รู้ถึงนามธรรม ให้ปรับมโน ให้เป็นลหุตา มุทุตา ให้เป็นกัมมัญญตา เราก็อยู่กับ ชรตา คือ สันตติ (ความเชื่อมอยู่) ชรตา (ความพาเคลื่อนไปเสื่อม) อนิจจตา (ความเคลื่อนพาไปเสื่อม หรือเจริญก็ได้) คือ ทุกข์เท่านั้น ที่เกิดขึ้น - ทุกข์เท่านั้นที่ตั้งอยู่ - ทุกข์เท่านั้นที่ดับไป... จบ |
||
|