560818_รายการสงครามสังคมฯ โดยพ่อครู ณ สวนลุมฯ
เรื่อง ตอบปัญหานักกฎหมายด้วยใจเป็นกลางถึงการชุมนุม

       พ่อครูจัดรายการสงครามฯพิเศษ...

วันนี้บรรยากาศใหม่ ตรงที่สงครามสังคมมันใหม่ มันเป็นวาระของสงคราม อยู่เหมือนกัน คำว่า “สงคราม” หมายความว่า... วันนี้อบอุ่น เพราะหลายกระแส มารวมกัน แล้วมารวมกัน อย่างไม่เล่นแง่ พยายามจับเหลี่ยม มาต่อกันให้สนิท มันยังเหลือเหลี่ยมอยู่ มีเหลี่ยมนี่ไม่ค่อยดีเลย มันเลยยังไม่สนิท แต่เห็นว่า กำลังลบเหลี่ยม ให้หายหมด ให้ประสานกัน อย่างกลมกลืน แม้จะมีเหลี่ยมมา ก็พยายามลบเหลี่ยม กันอยู่ แต่ไม่ใช่ลบเหลี่ยม แบบนักเลง ซึ่งต้องใช้ความหลากหลาย ของคนที่มาร่วมกัน เหมือนตัวจักร ที่มาทำงาน ประสานกันไป ซึ่งจักรนั้นมีอยู่ใน โพชฌงค์ ๗
๑.    สติ (ความระลึกได้) เปรียบเหมือนจักรแก้ว
๒.    ธัมมวิจัยะ (ความเฟ้นธรรม) เปรียบเหมือนช้างแก้ว
๓.    วิริยะ (ความเพียร) เปรียบเหมือนม้าแก้ว
๔.    ปีติ (ความอิ่มใจ) เปรียบเหมือนมณีแก้ว
๕.    ปัสสัทธิ (สงบจากกิเลส) เปรียบเหมือนนางแก้ว
๖.    สมาธิ (ความมีใจตั้งมั่น) เปรียบเหมือนคหบดีแก้ว
๗.    อุเบกขา (ความมีใจเป็นกลาง) เปรียบด้วยปรินายกแก้ว

       ผู้ศึกษาธรรมะมา ก็คงเคยได้ยินว่า เกิดมาก็เดินได้ ๗ ก้าว ซึ่งหมายถึง ความก้าวหน้า หรือก้าวเดิน ของศาสนา เดินด้วย โพชฌงค์ ๗ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่กำเนิดมา ก็ไม่มี โพชฌงค์ ๗ ถ้าพระพุทธเจ้าไม่อุบัติ มรรคองค์ ๘ ไม่มี คนอื่นไม่สามารถรู้ สูตรนี้ เป็นของ พระพุทธเจ้า ทุกกัปป์กาล พระพุทธเจ้า กำเนิดมามากมาย เหมือนเมล็ดกรวด ในมหานที ส่วนคนที่อธิบายว่า พระพุทธเจ้าคลอดออกมา ก็เดินได้เลย ไม่ต้องหัดคลาน พ่อครู ก็เลยบอกว่า แล้วก้าวที่ ๘ ท่านทำอย่างไร นั่งลง นอนหรืออย่างไร

       คำว่ากองทัพหมายถึง กองมนุษย์ที่มีพลัง รักษาร่างเมือง ทั้งโลกทั่วโลกเลย เป็นพลัง รักษาบ้านเมือง จะเป็นกองทัพธรรม หรือกองทัพประชาชน ก็รักษาบ้านเมือง จะเป็น กองทัพทหาร ก็เช่นกัน ตามนิยาม ของแต่ละกองทัพ กองทัพธรรม ก็ใช้ธรรมรักษา กองทัพประชาชน ก็ใช้ประชาชนรักษา กองทัพทหาร ก็ใช้ทหารรักษา

       เมื่อวานนี้ มีคนถามมาว่า ถ้าไล่ทักษิณได้แล้ว ควรปฏิรูปการเมือง หรือปฏิรูปคน โดย
       ๑. ไม่ให้นักการเมือง มายุ่งกับการศึกษาของชาติ เพราะพอเปลี่ยนรมต. ก็เปลี่ยน นโยบายทุกที มันก็ไม่มีการสืบสานก็เละ
       ๒. ให้คนเก่งๆมาดูแลการสร้างคน อย่างต่อเนื่อง เช่น
ก. คนเก่งศาสนา ก็มาสร้างศาสนา
ข. เก่งวิทยาศาสตร์ ก็มาสร้างวิทยาศาสตร์ เป็นต้น

       พ่อครูว่าโดยสามัญก็รู้กัน แต่คนเก่ง มีเยอะ แล้วไม่ยอมกัน ก็ใช้อำนาจ เอาเก่งของข้าก่อน มันเป็นอย่างนั้น ตลอดกาลนาน

       เมื่อวานนี้ พ่อครูได้เอาประเด็นของ คุณนักกฎหมาย ที่ว่ามาว่า ท่านอยู่ในคราบ นักบวช แล้วมาแสดงบทบาท การเมืองนี้ ไม่เหมาะสม เพราะเหตุที่สังคมวุ่นวาย ก็เพราะ ทำผิดหน้าที่ พ่อครูก็ได้ตอบไปแล้ว และเขาก็ต่อท้ายว่า บนเวทีการเมือง มีเป้าหมายคือ ชนะอย่างเดียว โดยไม่คำนึงวิธีการ ถ้าเราเป็นนักธรรมะ ต้องพิจารณาให้มาก เราเป็น นักธรรมะ ต้องพิจารณาให้ดี ซึ่งพ่อครูก็อธิบายว่า ชัยชนะมีสองอย่าง คืออย่างโลกๆ กับแบบธรรมะ ซึ่งแบบธรรมะ คือสร้างให้ ไม่เอาชนะเอาแพ้ คนชนะก็อนุโมทนา คนแพ้ ก็อนุโมทนา ไม่มีการทำร้าย ทำลายกันเลย

       วันนี้นักกฎหมายก็เฟสมาอีกว่า
       ๑. การที่เลือกอยู่เฉย ๆ ก็เพื่อจะไม่เข้าไปเพิ่มความวุ่นวาย เพราะความกังวลว่า ตนเองจะมีความเชื่อที่ตกอยู่ในกระแส แห่งการโฆษณา ตามข้อมูลจริงของสังคม ที่เกิดปัญหาจริง และเป็นไปในทิศทาง ของพวกที่กำลังวางแผน ที่คิดที่จะชิงอำนาจ ทางการเมือง ซึ่งมีความสลับซับซ้อน มากกว่าที่ผ่านมา โดย อาศัย คนจริตแบบเรา ที่มีลักษณะ ทนไม่ได้ด้วยใจกรุณา
       นั่นเป็นเหตุหลัก จึงไม่เห็นด้วย ที่นักบวช นำก้าวออกมา จึงได้มาวิพากษ์ - วิจารณ์ หรือ
       ๒ . การเลือกก้าวเข้าสู่ความชัดเจน ต่อการมีความเห็น อันเกิดแต่ ความปัญหาแผ่นดิน และ ความขัดแย้งสะสม ฯ กระทั่ง ได้นำพาประเทศ เสียหาย ตามที่ตนชัด อย่างมีสติ... เพื่อหมายจะช่วย คลี่คลายในปัญหาต่าง ๆ ในลักษณะที่ แต่ละฝ่าย แต่ละคน มองเห็น อย่างรอบคอบ โดยไม่ตกอยู่ภายใต้ ความห่วงใย ในข้อ ๑ จะโดย รู้ตัว หรือไม่ หรือ แม้จะตกลงไป ใน ข้อ ๑ ทั้งรู้ ก็ตาม
       อุปมาเหมือนขงเบ้ง ที่ สัมผัสความทนไม่ได้ ด้วยใจกรุณา ของเล่าปี่ ที่มีต่อประชาชน สมัยนั้น จึงก้าวออกมา จากหมู่บ้าน ณ เขาลังกั๋ง และที่สุด ก็ได้.. บาปกลับไปมากมาย แม้ตนเอง ก็ไม่ได้หลงเสพติดลาภ ยศ สรรเสริญ ใด ๆ... หากยังคงสมถะ วาง..ลาภ ยศ สรรเสริญ เป็นคนธรรมดา เช่นเดิมแต่แรก แม้กระทั่ง สิ้นลมหายใจจากแล้ว ก็คงสั่งศิษย์ อย่างชัดเจนไว้...
       หรือ พ่อครูจะมีแนวแนะนำ เช่นไร ? ก็ถวายเป็นข้อมูล แห่งมุมมอง ที่มีไว้ให้ทราบ ครับผม

       พ่อครูก็ขอใช้ประเด็นมาพูด... เรื่องนี้ซับซ้อนลึกซึ้ง ตั้งแต่บอกว่า การเลือกอยู่เฉยๆ เพื่อไม่เข้าไป เพิ่มความวุ่นวาย ประเด็นนี้ พ่อครูไม่มีความกังวล เหมือนนักกฎหมาย พ่อครูชัดเจนว่า เข้ามานี่ จะไม่เพิ่ม ความวุ่นวาย พ่อครูมั่นใจว่า ที่ทำนี่ ไม่ได้ทำ อย่างไม่ชัด พ่อครูเคยพูดนี่ว่า พ่อครูเป็นลูกพระพุทธเจ้า ถ้าคุณเข้าใจว่า โพธิสัตว์คืออะไร ในเถรวาทเข้าใจว่า โพธิสัตว์คือปุถุชน ไม่ได้เข้าใจทำงาน ซึ่งถ้าพ่อครู ใช้คำว่า อรหันต์ทำงาน ก็ไปไม่ได้แน่เลย เพราะเขาถือสากัน และเถรวาท เขาถือกันว่า เป็นโสดาบัน จะเกิดอีก ๗ ชาติ แล้วก็เป็นอรหันต์ แล้วตายสูญ เพราะเขาเชื่อกันว่า อรหันต์ ตายแล้วสูญ เขาก็เลยถือกันว่า โพธิสัตว์นี้ เป็นอรหันต์ไม่ได้ ต้องบำเพ็ญ ไปเรื่อยๆ เป็นปุถุชน ไปเรื่อยๆ

ซึ่งโสดาบัน มี ​๓ อย่าง
        ๑.เอกพีชี เกิดอริยชาติอีกเพียงส่วนเดียว แล้วจักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้ (พระบาลี ไม่มีคำว่าชาติ หรือเป็นการเกิด แบบเป็นตัวๆ เลย)
        ๒.โกลังโกละ (เกิดในสุคติภพอีก ๒-๖ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้)
        ๓.สัตตักขัตตุปรมะ (เวียนเกิดในสุคติภพ หรืออริยชาติ อีกเพียง ๗ ส่วนสังโยชน์ ก็จักทำที่สุด แห่งทุกข์ได้)

       ความคิดของเถรวาท ที่ผิดพลาดมากคือ
       ๑.เป็นอรหันต์ตายแล้วสูญ
       ๒.เป็นโสดาบัน ๗ ชาติก็ได้อรหันต์
       โสดาบันจะเป็นบรรลุ ๓ ชาติ คือ สักกายทิฏฐิ วิจิกิจฉา ศีลพตปรามาส ยังเหลืออีก ๗ ชาติ ของความเป็น ปรมัตถธรรม ซึ่งเถรวาท เข้าใจไม่เข้าปรมัตถธรรม จึงไม่บรรลุ แม้โสดาบัน เป็นอรหันต์เก๊ จึงเกิดการต้มกัน ซะเยอะเลย ไม่ได้ตั้งใจว่า ศาสนาทางหลักเขา แต่สาธยายสัจธรรม

       ส่วนโพธิสัตว์ คือผู้มีโพธิ พ่อครูเกิดมาชาตินี้ ก็ประกาศว่า ไม่มีอาจารย์ ไม่ได้ไปศึกษา สำนักไหนเลย ไม่มีศิษย์พี่ศิษย์น้อง หัวเดียว กระเทียมลีบ แล้วก็มา ทำงานศาสนา มาทำอยู่ ๔๕ ปี พ่อครูออกอากาศมา ตั้งแต่เป็นฆราวาส ซึ่งตอนนั้น โทรทัศน์ มีแค่สองช่อง ก็ออกโทรทัศน์บ่อย ไม่เกี่ยงเงิน ขยันทำงาน รายการไม่มีเงิน ก็รับทำ เหมาหมด เช่น ทางราชการ พ่อครูก็ทำหน้าที่พิธีกร ทำทุกอย่าง ตั้งแต่รายการเด็ก และรายการคนแก่

       พอเลิกจากรายการเมืองมายา มาทำงานศาสนา ระดับโลกุตระด้วย ก็ขัดกันสิ คนไม่เชื่อน้ำยา เขาดูตามรูปเรื่อง มาสอนธรรมะ ก็แอ็คเล่นละคร เพราะกระโดดจาก จอโทรทัศน์ เขาก็ไม่เชื่อน้ำมนต์หรอก แต่ไม่มีปัญหา ก็ทำมาเรื่อยๆ ทำมาแต่ ๔๐ ปีก่อน จนเกิด เป็นกลุ่มคน ที่เอาธรรมวินัย ๘ ข้อมาตรวจได้เลย หรือเอาวรรณะ ๙ หรือ สาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ มาเทียบตรวจได้ ก็เชิญมาดูได้จริงๆ เพราะพ่อครูบอก เขาก็ไม่เชื่อว่า พ่อครูเป็นโพธิสัตว์ เขาเชื่อว่า พ่อครูเป็น สัตว์ใต้ต้นโพธิ์

       พระพุทธเจ้าสอนว่า ลาภสักการะสรรเสริญ เป็นอันตรายอันแสบเผ็ด แม้พระอรหันต์ ขีณาสพ คนไม่เข้าใจว่า อรหันต์ ยังมีอันตรายอีกหรือ แต่มันเป็นเรื่อง เหตุปัจจัย ประมาณไม่ดี ก็บกพร่อง พระอรหันต์ผิดได้ แต่ท่านผิดด้วยความจริงใจไม่เก่ง อย่างที่ คุณนักกฎหมายติงมา ก็ถูกต้อง ต้องระมัดระวัง พ่อครู จึงรอจังหวะ ไม่ทำเล่น ตอนนี้ ออกมาแล้ว พ่อครูก็ประมาณอย่างดี และเห็นทิศทาง ที่คุณนักกฎหมายว่า เขากังวลว่า ตนเอง จะมีความเชื่อ ตกในกระแส เขาเข้าใจว่า กระแสเป็นการโฆษณา ตามข้อมูลจริง ของสังคม มีหลายฝ่าย ฝ่ายแดง ฝ่ายพธม. ฝ่ายกองทัพธรรม ที่รวมกันไม่ติด เพราะข้อมูล ของแต่ละกลุ่ม หรือ concept ก็มีที่ยังขบกันอยู่ ทุกวันนี้ แต่ละกลุ่ม ก็มีแผน ที่คิดจะชิงอำนาจ ทางการเมือง ซึ่งมีความสลับซับซ้อน มากกว่าที่ผ่านมา โดยอาศัย คนจริตแบบเรา ที่มีจริตทนไม่ได้ ด้วยใจกรุณา คือทนไม่ได้ ก็ต้องออกมาช่วย แต่กลัว ผิดพลาด เพราะไม่แน่ใจตนเอง จึงไม่เห็นด้วย ที่นักบวชนำก้าวออกมา

       พ่อครูว่า คุณกังวลถูกแล้ว แต่มี except ให้นักบวช อย่างโพธิรักษ์ ได้ไหม พูดไป ก็อย่าว่าถือดี ว่ามั่นใจในตนเอง มากเกินไป

       แต่ละกลุ่มแต่ละคณะ ที่มีแผน โดยไม่วางแผน ด้วยเจตนา หรือวางอย่างเผินๆ หรือ ลึกๆก็ตาม ขอให้อย่าพยายามไปยึด เป็นของตนเอง ได้ไหม วางแผนของตนเองก่อน ได้ไหม ใช้ความร่วมหัว brain strom โดยไม่เอาอัตตาตัวตนเข้ามา พ่อครูเชื่อว่า มันมีอยู่ สองกลุ่มใหญ่ๆ

       หนึ่งกลุ่มนู้นแหละ อีกกลุ่มหนึ่งคือ กลุ่มนี่แหละ มันชัดเจน มีแค่สองอัน ขณะนี้แหละ เอาให้ชัดกันเลย หนึ่งกลุ่มทักษิณ อีกกลุ่มหนึ่ง กลุ่มพระเจ้าอยู่หัว ต่างคน ต่างอ้าง ประเทศกับประชาชน แต่ลึกๆมีสองฝ่าย คือทักษิณกับ พระเจ้าอยู่หัว ถ้าใครเห็นว่า ควรมีแต่พระเจ้าอยู่หัว ก็มาเลย คุณจะสีอะไร สีแดง สีเหลือง สีกระดำกระด่าง ก็มาเลย ถ้าใจคุณมีพระเจ้าอยู่หัว ก็มาเลย วางทุกอย่างเลย แผนแต่ละคน วางไว้ก่อน

       พ่อครูเสนอแผน ในข้อสอง ของนักกฎหมายว่า การเลือกก้าว สู่ความชัดเจน ต่อความเห็น อันเกิดแต่ ปัญหาแผ่นดิน เป็นความขัดแย้งสะสม กระทั่ง พาบ้านเมือง เสียหาย ตามความเห็นตน เพื่อแก้ปัญหา ตามที่ตนเห็น อย่างรอบคอบ โดยไม่ตกอยู่ ภายใต้ ข้อ ๑ ซึ่งพ่อครูว่า ไม่ได้มีความกังวล และไม่ตกอยู่ ภายใต้กระแส

       พ่อครูว่า เป็นคนทำงานอย่าง no planning no project ไม่มีแผนอะไร แต่ทำตามเหตุ ปัจจัย ไม่สร้างความหวัง ไม่ให้วางโครงการ แล้วมีผลคาดว่าจะได้ พ่อครูว่า เป็นพวก ล้มเหลว มามากต่อมาก เขาวางแผนแล้วว่า จะได้ผลอย่างไร แต่มีเหตุปัจจัยมา ไปๆมาๆ เป้าหมาย ที่คาดว่าจะได้ ก็จะไม่ได้ พอใกล้เวลา ก็โกงก็เร่ง ให้ได้เป้า

       คนทำงานระยะยาวไม่เที่ยง พระพุทธเจ้าสอนว่า ทุกอย่างไม่เที่ยง ที่ตอบเมื่อวานคือ พ่อครูโกงไม่เก่ง เล่ห์ไม่มี ยังไงก็สู้ไม่ได้ แพ้แต่ในมุ้งเลย จะทำเท่าที่ทำได้ สร้างอย่าง จริงใจไม่มีการ loss ไม่มี leak ไม่มีเสียหายรั่วซึม พ่อครูจึงใช้คำว่า เราชนะรายทาง แต่คำว่าชนะ เราไม่อยากใช้ เราใช้ว่า เราก้าวหน้ารายทาง

       พ่อครูทำงานตามพระพุทธเจ้าว่า
       1.ใจหรือมโน ใช้ปัญญาปาสาโท คือเหมือนคนมีปัญญา อยู่ที่สูงมองมาข้างล่าง ก็จะมองได้ครบ มองจากข้างล่าง จะไม่ครบไม่ชัด เรามองแล้ว ก็เลือกทำงาน ตามผู้ที่ ถูกต้อง ย้ำอีกว่า พ่อครูจะมองอย่าง พระพุทธเจ้าสอน เหมือนอยู่บน ยอดปราสาท ให้เห็นครบ แล้วประมวล ว่ามวลนี้แหละใช่ เมื่อเห็นแล้ว ก็ช่วยกัน ไม่ได้หมายความว่า ไม่เข้าข้างใคร เป็นกลางไม่เข้าข้างใคร
       2.วจีหรือวาจา ใช้ นิคคันเห นิคคหารหัง คือติเตียนวิจัยวิจาร กดข่ม ตำหนิ พูดให้รู้ว่าผิด เสียหาย ท่านแปลว่า ตำหนิคนชั่ว ยกย่องคนดี (นิคคัณเห นิคคหารหัง ปัคคัณเห ปัคคหารหัง) ข่มคนชั่ว ยกคนดี คำสอนพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ให้ปิดปาก
       4.กัมมันตะ ใช้ จงอยู่กับหมู่บัณฑิต อย่าไปอยู่กับหมู่คนพาล
       คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่คนสอนว่า เป็นกลางคืออยู่เฉยๆ ไม่เข้าข้างใคร นั่นพระพุทธเจ้า คนละองค์กับ พ่อครู

       เคยพูดย้ำซ้ำว่า คนที่เข้าใจว่า ความเป็นกลาง ไม่ถูกต้อง มีอยู่ ๓ อย่างคือ  
       ๑. ไม่รู้เลยว่า ใครดีใครชั่ว หรือโง่ ไม่มีปัญญา ไม่รู้ เลยเข้าข้างไม่ถูก
       ๒. รู้ มีปัญญาเข้าใจ แต่กลัว กลัวจะเสียลาภยศ สรรเสริญ มีเยอะเลย ให้เขา รบกันไปเถอะ เดี๋ยวมันตีกันตายเลย คนนี้เห็นแก่ตัวมากเลย กลัวเสีย ลาภ ยศ สรรเสริญ ตำแหน่ง รู้ว่าอะไรผิด แต่ว่าบางท ีต้องยอม เข้าข้างคนผิด คนผิดมันมีอำนาจใหญ่ เดี๋ยวมันปลด คนประเภทนี้ มีเยอะมากเลย ตั้งแต่สูงจนถึงต่ำ
       ๓. ประเภทมิจฉาทิฏฐิ คือความเป็นกลาง ต้องอยู่เฉย คือสอนมาผิดๆ เข้าใจผิด ว่าเป็นกลาง ต้องไม่เข้าข้างใคร

ถามว่า ในสังคมทุกวันนี้ คนชั่วหรือคนดี มากกว่ากัน...

ตอบว่า คนชั่วมากกว่า...ดังนั้น เมื่อคนชั่วมาก คุณเองรู้ว่า อะไรควรมาถ่วงดุลอะไร ถ้าคุณ มีทุนทางสังคม คุณแสดงออก เข้าข้างจะมีพลังมากเลย เราต้องการนะ แล้วไปมี ความเห็นผิดว่า เป็นกลางคือ ไม่เข้าข้างใคร ก็เลยไม่เข้าข้างคนดี คนนี้ใจดำ อำมหิต ปล่อยให้คนดี อ้างว้างโดดเดี่ยว เพราะเห็นผิดว่า ความเป็นกลาง ไม่เข้าข้างใคร ยิ่งคนดี คนสะอาด มันยิ่งน้อย ก็ออกมา มาช่วยกันหน่อย

       ตอบคุณนักกฎหมายว่า พ่อครูก้าวมาด้วย อย่างไม่เผิน มาด้วยสัปปุริสธรรม ๗ ประการ และมหาปเทส โดยไม่ได้ขัดแย้ง กับธรรมวินัย ตรวจว่า พระพุทธเจ้า ไม่ได้ห้าม และไม่ได้อนุญาต เราต้องใช้ตามยุคสมัย เป็นยุคประชาธิปไตย ไม่ใช่ สมบูรณาญาสิทธิราช เขาไม่รู้ว่า พระพุทธเจ้านี่ ยอดประชาธิปไตย ปลดศักดินา ปลดความเป็นไพร่ หมดเลย ของพระพุทธเจ้า เป็นธรรมะที่ เก่าสมัย ใหม่เสมอ

       มีคนบอกว่า ให้คนหน้าเวที ส่งประเด็นมา พ่อครูก็ว่าไม่เหมาะ มันจะมากไป และเป็นแนวเดียวกันหมด ไม่มีความต่าง

       พล.เรือตรีมินท์ บอกว่า ธรรมะกับธรรมชาติ สามารถสร้างความสุข ได้ฉันใด เทคโนโลยี และทุกโนโลยี ก็สามารถสร้างความทุกข์ ได้เช่นกัน

       ทำอย่างไรจะเดินโพชฌงค์ ให้มีสติเท่าทันกิเลสได้ ตลอดคะ

ตอบว่า... เริ่มเดินเสียสิ คือเริ่มรู้ว่า สติคืออะไร รู้ตัวเสมอเลย ตื่นอยู่เสมอเลย เช่นเห็นว่า กลุ่มหมู่นี้กำลังมาชุมนุม เขาต้องการอะไร จะร่วมดีไหม จะต้องวิจัย เข้าไปให้ลึก สมมุติว่า เจอกองเงิน... ของใครวะ แล้วถ้ามีกิเลสก็ว่า เอาเว้ย แล้วถ้าวิจัยก็ว่า ทำอย่างนั้น ดีไหม สามัญสำนึกก่อนเลย ไม่ต้องเอาลึก มีสติ แล้วมีธัมวิจัย แล้ววิริยะ แล้วพยายามเพียร ทำให้ได้อย่างนี้ วิจัย แล้วละความชั่ว ทำแต่ดี ตามโอวาทปาติโมกข์ แล้วลึกหาจิต อย่างน้อยก็ได้ทำดี แต่พอมีสติ อ่านใจออกว่า ขี้โลภ ผิดศีลข้อ ๒ ถ้าเราไม่โลภ นี่ดีกว่า มันไม่เที่ยงหรอก ความโลภนี่ ทำไปก็จะทำได้ผล

       ทำดีก็รู้ว่าทำดี ไม่ทำชั่ว ก็ได้ปีติ และถ้าอ่านจิตได้ เกิดวิปัสสนา ล้างกิเลส โลภ โกรธ หลงได้ คุณก็จะลดกิเลสได้จริงๆ ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์ จะเจริญ สมาธิคือ จิตตั้งมั่น ในการละกิเลส สั่งสมการตกผลึก สูงสุดแห่งฌานคือ อุเบกขา ไม่ซ้ายไม่ขวาเลย เป็นเนกขัมมสิตอุเบกขาเวทนา สรุปแล้ว คุณทำไปทีละขั้น เริ่มต้นให้มีสติ แล้วทำ ธัมวิจัย และวิริยะ

       จากคนก่อกวน ทนอยู่ไม่ได้ ... ไอ้ตัวที่อยู่หน้าจอนี้ ใช่ไอ้ตัวที่เอาถุงขยะ คลุมหัว ตอนชุมนุม เสธอ้าย ใช่ไหม...

ตอบว่า ใช่ เขาเอามาให้ ไม่ใช่ถุงขยะ เป็นถุงดีๆ แต่ว่า คนแดกดันคนนี้ เป็นคนไม่ดี พวกเรา ไม่เอาถุงขยะ มาคลุมหัว แต่พวกคุณจะทำ ก็ไม่รู้ด้วย เข้าใจที่คุณประชด แก้ความเข้าใจผิดว่า ไม่ใช่ถุงขยะหรอก

       การคิดในใจของตน ใช่วจีสังขารไหม?...
ตอบว่า คำว่าวจีสังขาร เป็นความคิดในใจ คำว่าวจีสังขาร ไม่ใช่วจีกรรม ส่วนการ ปรุงแต่ง เป็นการคิด อยู่ในใจ แต่ไม่ได้พูดออกมา เป็นคำพูดแล้ว ส่วนคนไม่ฝึก ก็ออกมา ฉอดๆๆๆ ถ้าคุณเป็นคนไทย ก็คิดเป็นภาษาไทย มาจากใจก่อน เป็นวจีสังขาร ในใจก่อน วิธีปฏิบัติของพระพุทธเจ้า ต้องอ่านวจีสังขารก่อน ซึ่งมี ๗ ขั้นตอน พระพุทธเจ้า ให้จับกิเลส ที่มาปรุงใน ตักกะวิตักกะ กำจัดกิเลสได้ก็เป็นแกน อัปปนา พยัปปนา เจตโส อภินิโรปนา เป็น Potential energy ส่วนตักกะ วิตักกะ สังกัปปะ เป็นปัญญา เป็น Kinetic energy เป็นพลังงานจลน์ ทำงานเป็นวจีสังขาร ออกมาเป็นวจี เป็นกัมมันตะ เป็นอาชีพเลย

       ขอท่านช่วยเทศน์สอน คนพวกมักใหญ่ใฝ่สูง?...
ตอบว่า พ่อครูเป็นคนเล็กคนน้อย สอนให้คนมามักน้อย เป็นลูกศิษย์พระพุทธเจ้า ใครสนใจ มักน้อยสันโดษ เชิญ

       ผมว่าแม้ท่านจะพูดบนเทวี แล้วได้รับการตอบรับมาก มีดนตรีสลับ ให้ครึกครื้น แต่เชื่อเถอะว่า มวลไม่เพิ่มหรอก...

ตอบว่า No problem I will try

ผมไม่ได้ค้านแย้งหรอกว่า ผมเป็นคนผ่านโลกมาเยอะ

พ่อครูถามว่า ผ่านโลกมาเยอะ แล้วได้โรคอะไรมาบ้าง หลายโรคมันไม่ดี โรคอะไร ไม่หนักเท่า โรคติดลาภ ยศ สรรเสริญ กาม อัตตา

       คนไทยรับไม่ได้หรอกว่า พระมานำม็อบ... ผมว่าน่าจะมาลดบทบาทลงมา ไม่น่า มาเทศน์ทุกวันนะ ….

พ่อครูก็โหวต จากพวกเราว่า จะให้ลดหรือไม่...ส่วนใหญ่บอกว่า ให้มาเทศน์ต่อ พ่อครูก็ว่า ขอขัดใจคุณหน่อย ก็จะมาเทศน์ตลอดนะ และพ่อครู มีความเห็นว่า ที่ว่าคนไทย รับไม่ได้ ที่พระจะมา นำม็อบนั้น พ่อครูว่า เราไม่ใช้คำว่า ม็อบ จะใช้คำว่า โพรเทสต์ หรือ ดีมอนสเตรท จะดีกว่า พ่อครูไม่เคย ไปนำหน้าม็อบ พ่อครูนำหน้า โพรเทสต์ พ่อครูพาพวกเรา มาสาธิตการเมืองใหม่ มาแสดงการชุมนุมประท้วง ให้คน เข้าใจการเมือง ให้คนเข้าใจการเมือง ด้วยเหตุใดมาประท้วง แล้วทำถูกกฎหมายหรือไม่ อย่างไร พ่อครูก็ไม่ได้นำหน้า ให้คณะที่มาก่อนนำ พ่อครูมาตาม แค่นี้ คุณก็ยกฐานะ พ่อครู ผิดไปแล้ว และอีกที่คุณบอกว่า พระไม่น่าจะมา เดินนำชุมนุม ซึ่งพ่อครูก็ว่า ไม่น่าจะเสียหาย อย่างกรณีเสธ.อ้าย ก็เดินอย่างงาม ไม่เกเร ไม่เผาบ้านเมืองด้วย เราถูกรังแกด้วย เรามาทำความเรียบร้อย   

       แม้แต่เจตนารมย์ ต้องเจาะให้ลึก ถ้าคุณล้วงลึก ถึงคนที่มีเจตนาดี ไร้อะไรแฝง แม้แต่ อคติ แต่คุณไปว่าน่ะ คุณรู้ไม่ได้ แล้วไปว่า ก็ไม่มีหน้าจะขายนะ

       ก็ขอบคุณ ที่เสนอแนะมา ก็เคารพความคิดเห็น ก็ตอบไปตามเจตนาของเรา ที่พ่อครู ทำนี่ ด้วยเจตนาดี ไม่พาทำชั่ว ไม่พาทำผิด ตั้งใจจริง จะทำนานเท่าใด ถ้ามีผู้ร่วมทำ สามารถ มีองค์ประกอบทำงาน จะทำไปเรื่อยๆ การทำอย่างนี้ แม้แต่เจ้าของ สถานที่ ก็เห็นดีด้วย ร่วมมือ เราไม่ได้ทำเพื่อ ลาภยศสรรเสริญ โลกียสุข แม้จะมีเป้าหมายผสมว่า “จะให้แม้วไป” แต่เป้าหมายหลัก ของพ่อครู คือจะสร้างประชาธิปไตย ให้ดีงาม ทำไปเรื่อยๆ ยาวให้เป็น เย็นเรื่อยไป ไขความจริงออกมา ให้มากๆหมดๆ เราจะมี โจทย์ทำงาน ต้องหาคำตอบออกมา แต่เรามีเป้าหมายใหญ่ แล้วเราก็ทำ ความก้าวหน้า รายทางไป แล้วจะถึง เป้าหมายใหญ่

       จากเชียงราย ถึงคุณ ๘๗๐๕ วันนี้เอาเรื่องพ่อครูให้จนแต้มเลย ดิฉันสนับสนุน ดิฉันจะมาร่วมลงสนาม เมื่อคุณมาปรากฎตัว

       จาก ๑๑๐๒ ที่ท่านว่า ท่านเป็นโพธิสัตว์ คือจะเป็นพระพุทธเจ้าต่อไป ใช่หรือไม่ พระพุทธเจ้าองค์ไหนพยากรณ์ แล้วเป็นการอวดอุตริมนุสธรรมหรือไม่...

ตอบว่า ใช่ แต่บอกตรงๆว่า เป็นโพธิสัตว์ระดับ ๗ เที่ยงแท้ ต่อการเป็น พระพุทธเจ้า ยังเป็นเฟรสชี่ อาจรีทรายได้ ต้องไปตามลำดับ ยังไม่มีผู้พยากรณ์ แต่พากเพียรอยู่ ไม่ได้อวด อุตริมนุสธรรม แต่ว่าพูดความจริง พ่อครูเป็นคนจริงใจ และจริงจัง

       ๐๘๓๑ ท่านไม่ควรออกความเห็นการเมือง

       ตอบว่า... การเมืองเน่าๆ พ่อครูไม่ออกความเห็น มีแต่จะไล่อย่างเดียว เพราะพ่อครู ทุจริตไม่เป็น เผาบ้านเผาเมืองไม่เป็น ตอแหลไม่เป็น แต่จะพูดสัจธรรม ให้บ้านเมือง สงบสุข เป็นสาราณียธรรม คุณควรศึกษาการเมือง ที่มีสองนัย ซึ่งคำว่าการเมือง มันเป็น คำหัวเน่า ไปหมดแล้ว คนรังเกียจ แต่ที่จริง การเมือง คืองานเพื่อบ้านเพื่อเมือง ตั้งแต่โบราณกาล เช่น ผีตองเหลือง ก็มีหัวหน้า มาบริหารหมู่กลุ่มให้ดี คือการเมืองแท้ๆ แต่ที่ทำอยู่นี่ คือการเมา ไม่ใช่การเมือง พ่อครูจะออกความเห็นแบบนี้ อย่ามาห้าม เสียให้ยาก

       จากผู้ชมสดๆ ในกาละนี้ ท่านควรพูดง่ายๆกว่านี้
พ่อครูก็ถาม พวกคนที่อยู่หน้าเวทีว่า ง่ายหรือยาก ส่วนใหญ่ตอบว่า ง่าย

       ทำอย่างไรให้คนดีๆเสนอตัวให้คนเลือกเป็นผู้แทน

ตอบว่า.. ๑.ทำอย่างพระพุทธเจ้าพาทำ ๒.ทำอย่างพระเจ้าอยู่หัวพาทำ ๓.ทำอย่างพ่อครูพาทำ คือเราต้องสร้างคนดีขึ้นมา ทุกวันนี้ พ่อครูก็สร้างคนดี เราไม่อยากตั้ง พรรคการเมืองเลย แต่เทวดา ก็จับให้เราตั้งพรรค เราไม่เอาพรรค มาทำงาน แต่เราเอา คนอโศก มาทำงาน แล้วพรรค ก็ได้ผลพลอยได้ แล้วซักวันหนึ่ง พรรคพฟด. ก็จะมีประชาชน ที่อยากเลือก แล้วเมื่อนั้น คุณมาบอกนะ สมมุติว่า เขตนี่มีคนอยู่ แสนคน แล้วคนมาบอก ห้าหมื่นหกหมื่นคนมา บอกให้ลงสมัคร ก็จะลง แล้วเรา ไม่หาเสียง ลงแล้วไม่หาเสียง นี่คือตราสาร ไปบอก กกต.เลย เมื่อสมัครแล้ว ประชาชน ต้องการ คุณก็ไปเลือกสิ คุณเลือกเรา ก็ไปเป็นผู้แทน ไม่เลือกเราก็ไม่ได้ ไม่ได้ก็ไม่เป็นไร

       ทำอย่างไร ให้ประชาชนทราบว่า คนใดเป็นคนดี ไม่ถูกหลอก หากว่าสส.พวกนี้ เสนอตัว แต่คนดี ไม่เสนอตัว จะรู้ได้อย่างไร...

ตอบ.. ขณะนี้ชาวอโศก มาแสดงตัว อย่างจริงใจ เป็นคนรับใช้สังคม ทำจริงไปเรื่อย จะบอกว่า เสนอตัว ให้เลือกหรือไม่ จะใช่หรือไม่ก็ ดูไปๆ หรือ Go on and see out

      มีเพื่อนบอกว่า พ่อท่านเคยถูกสั่งให้สึก ให้ไปธรรมกายดีกว่า อย่าดูช่องเดียว...

ตอบว่า...อย่าดูช่องเดียว ซึ่งธรรมกาย เขาไม่แขวะพ่อครูเลย จะเข้ารกเข้าพงอย่างไร เขาก็ไป อยู่ที่ปัญญา ของใครๆ พระพุทธเจ้าก็ว่า สุดท้ายก็นานา คือเห็นต่างกันได้ พระพุทธเจ้า ให้อิสรเสรีภาพ ให้ไปดูสองข้าง ฝ่ายไหนเป็นธรรมวาที ฝ่ายไหนเป็น อธรรมวาที พระพุทธเจ้ามีหลัก นานาสังวาส ให้ตัดสินเอง ของแต่ละคน

       โลกธรรม ๘ ทำให้ผู้คุณธรรมเสื่อม และเน่าใน อำนาจทำให้เน่าเร็ว เช่นคุณปู ส่วนข้าว ก็ถูกทำให้เน่าอีก ... พ่อครูก็ขอผ่านประเด็นนี้

       ขออ่าน ๔​ประเด็น สุดท้ายคือ

       ๑. ท่านไปโดนแก๊สมายังไม่เข็ดอีกรึ...
ตอบว่า.. เข็ดอยู่หรอกสิ่งควรเข็ด แต่ว่าพ่อครู มีภาวะที่ทนไม่ได้ ต่อความกรุณา คนเรา คงไม่ใจจืด ใจดำ คงหยุดใจร้ายหรอก ไม่เลวร้ายถาวรหรอก
       ๒.เอาใจช่วยนะคะ เดี๋ยวจะพามาเป็นมวลค่ะ
       ๓.ปชป. นี่จริงใจไหม ที่จะมาร่วม...

ตอบว่า..พ่อครูไม่มีอาเทสนาปาฏิหาริย์ ไปรู้ใจเขา แต่ที่นี่เราไม่มีปัญหา ขอให้เข้าใจให้ดี ปชป.ก็ตามขอให้อย่าเป็น นักรัฐศาสตร์สร้างอำนาจ ให้ทำความสุจริต รับใช้ประชาชน ให้จริง แต่ถ้าทำเพื่อ พรรคพวกอำนาจ มันไม่ใช่ประชาธิปไตยจริง

       ๔.ระบอบทักษิณส่งเสริมคนชั่ว...

      ทำไมคุณฉลาดจัง...    

จบ

 

 
๑๘ สิงหาคม ๒๕๕๖ ที่สวนลุมพินี กทม.