|
||
พ่อครูว่า คนชั่วเขามีอะไรล่อ เราศึกษาธรรมะ ยิ่งจะลดอัตตามานะ ยิ่งจะเข้ากันได้ สนิทเนียนกัน มากขึ้น เราจะมี สาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ จะมีเอกภาพ เป็นปึกแผ่น พระพุทธเจ้าตรัส อะไรเป็นสัจจะ อย่าไปเถียงท่านเลย ยิ่งพิสูจน์ยิ่ งเป็นรูปธรรม ในสัจจะนั้น มีสองทาง ทางที่เราทำนี่สู่ มักน้อยสันโดษ เหนียวแน่น แต่อุดม สมบูรณ์ คือมักน้อย เราจะไปหาจน ไปสู่ก้นกรวย ไปหาศูนย์ แต่อีกทาง จะบานไม่จบ ของเรา จะเป็นปึกแผ่น แน่นเหนียว รวมแล้ว จะอุดมสมบูรณ์ แต่ทางไปมักมาก หรูหรามาก ไปทิศทาง บานปลาย เป็นปากกรวย แล้วจะแย่งกัน แข่งกัน พระพุทธเจ้าว่า ธรรมะใด เป็นไปเพื่อ ความมักมาก มักใหญ่ ธรรมนั้น วินัยนั้น ไม่ใช่ของเราตถาคต ธรรมใด เป็นไปเพื่อ ความมักน้อย ธรรมะนั้น เป็นของเราตถาคต มีข้อมูลที่คนนำมา เป็นของธรรมกาย ที่จัดอบรมครู เขาบอกว่า
.. คุยกับเพื่อนอาจารย์ที่รร. มัธยม เขาบอกว่า รัฐบาลมีคำสั่ง ให้ครูมัธยมทั่วประเทศ ไปอบรม ที่วัดธรรมกาย ที่ปราจีนบุรี โดยรัฐ ออกค่าใช้จ่ายให้ โดยส่งตรงไปยัง ธรรมกายเลย ไม่ผ่านเข้ามา ในรร.ก่อน อบรม 5 วัน ต้องหยุดรร. เพื่อให้ครูไปอบรม และเท่าที่ทราบ คำสั่งแบบนี้ บังคับไปทุกคน มีคนโวยว่า ไม่ชอบธรรมกาย ไม่ไป ได้หรือไม่ ผอ.บอกว่าไปก่อน ต้องเซ็นชื่อ แล้วค่อยว่ากัน มีครูบางส่วน ไปมาแล้ว และ บางคนบอกว่า ธรรมกาย ที่ปราจีน เป็นอาณาจักรเลยค่ะ ครูทั่วประเทศ เฉพาะมัธยม ประมาณ 200,000 คน แล้วครูประถม มีคำสั่งด้วยมั้ย และครูประถม ทั่วประเทศ มีเท่าไหร่ และต่อหัว รัฐบาลจ่ายเท่าไหร่ ค่าเดินทาง จ่ายด้วยมั้ย แต่ก็ไม่รู้ จะได้ข้อมูล มากแค่ไหน เพราะไม่ใช่ระดับผอ. ในรร. เลยส่งเรื่อง เข้ามา เผื่อแจ้งเข้า sms ส่งข้อมูล ให้ประชาชน ช่วยสืบต่อ ประเด็นคือ ตั้งใจให้ไปอบรมจริงหรือ แล้วเรื่องความศรัทธา ควรบังคับกันหรือ แล้วเงิน ที่รัฐบาล ให้ธรรมกายโดยตรง เป็นเท่าไหร่กัน เพราะไม่ส่งผ่าน เข้ารร.ก่อน นี่คือ เรื่องที่ส่งมา จริงหรือไม่ พ่อครูไม่รู้ แต่คนที่เวที บอกว่าจริง แต่ที่เราทำ ให้อิสระเสรี ไม่มีอะไรล่อ ไม่มีลาภยศศักดิ์ มีแต่สัจธรรมเท่านั้น มองได้สองนัย คือ นัยหนึ่ง ล่อด้วยอามิส แต่อีกนัยคือ ผูกมัดด้วยอำนาจ ยศสรรเสริญ แต่ของเรา ไม่ได้ผูกด้วยอามิส อีกประเด็นหนึ่ง ส่งมาว่า ดิฉันอนุโมทนาพ่อท่าน ที่ให้มุมมองความคิด แก่สังคม ดิฉันติดตามดูท่าน ตั้งแต่ออกทีวี เป็นรายการแรกเลย กราบขออภัย ที่ส่งประเด็นมาว่า พ่อครูตอบว่า... บริบทนั้น เถรวาทเข้าใจว่า ถ้าผู้ใด เป็นอรหันต์แล้ว กายแตกตาย ในชาตินั้น คนนั้นต้องสูญ จึงมีแนวคิดว่า ถ้าจะไปเป็น พระพุทธเจ้า อย่าเป็นอรหันต์นะ เพราะถ้าเป็นอรหันต์ ก็ต้องตายก่อน แล้วเข้าใจผิดอีกว่า โสดาบัน ที่ต่ำสุด ก็อีก ๗ ชาติ ก็ต้องบรรลุ อรหันต์ แล้วก็สูญอีก ดังนั้น จะบรรลุ โสดาบันไม่ได้ ก็เลยเจ๊งหมด ใครอยากเป็น พระพุทธเจ้า ก็เป็นอาริยะไม่ได้ แม้โสดาบัน ดังนั้น เขาเข้าใจว่า ถ้าจะไปเป็น พระพุทธเจ้า อย่าเรียนรู้ เพื่อบรรลุธรรม ซึ่งเป็นความเห็นผิดมาก ผู้ใด มีเชิงคิด เช่นนี้ จัดเข้าพวก อุทเฉจทิฏฐิ คือตายแล้วสูญ แต่พ่อครูว่า อรหันต์นี้ เป็นอมตบุคคล เป็นอตมยตา จะตายแล้วสูญ หรือต่อภพภูมิก็ได้ นี่คือ สัจจะอย่างนั้น ประเด็นที่ ๒ ถ้ามาชุมนุม ก็ให้มาชุมนุม เรื่องความเข้าใจ ในการชุมนุม อย่าไปตำหนิ เรื่องศาสนา หรือลัทธินิกายใดเลย พ่อครูก็ตอบว่า เลี่ยงไม่ได้เลย เพราะผู้เลี่ยง ไม่ตำหนิคนผิดนี่ ทำผิดนะ พระพุทธเจ้าว่า ให้ตำหนิ คนที่ควรตำหนิ และชมคนที่ควรชม ท่านพุทธทาส ท่านแปลว่า ต้องกระหนาบแล้ว กระหนาบอีก เหมือนแม่พ่อ จะต้องการให้ลูกดี ต้องเคี่ยว กระหนาบ จ้ำจี้จ้ำไชเลย เป็นเรื่องที่ต้อง เข้าใจให้ถูก ธรรมะจึงเจริญ ก้าวหน้า ที่พ่อครูทำนี่ เพราะเข้าใจธรรมะ และทำตามพระพุทธเจ้า ก็เห็นความเจริญ และขอแจ้งความจริงว่า ต้องขอบอกว่า มหาเถรสมาคม เขาทำผิด ที่จะบอกต่อไป ก็จะแจง สิ่งที่มหาเถรสมาคม ทำผิดต่อพ่อครู เพื่อคลายตะปูตรึงใจ ที่เขามีต่อพ่อครู ที่เขาเข้าใจว่า มหาเถรสมาคม เขาสั่งสึก พ่อครูถูกไล่ออก จากศาสนาแล้ว แล้วก็ยังมีหน้า เป็นภิกษุอีก พ่อครูก็ว่า ไม่ได้ถูกไล่ โปรดฟัง ดังต่อไปนี้ คือมหาเถรสมาคม ได้ประกาศ ทำประกาศนียกรรม เอาสงฆ์หมู่ใหญ่ มาประชุม แล้วประกาศว่า โพธิรักษ์ ไม่ใช่อย่างนั้น ที่จริงเราได้ประกาศ ลาออกจาก สงฆ์หมู่ใหญ่ มาก่อน เราได้ประกาศ นานาสังวาส กับมหาเถรสมาคม มันมีอยู่สองอย่างคือ หมู่ใหญ่ประกาศให้หมู่น้อย เป็นนานาสังวาส แต่อีกอย่างคือ หมู่น้อย ประกาศแยก นานาสังวาส เราก็ทำอย่างที่สอง คือเรามี หมู่อยู่ ๒๒ รูป ประกาศ นานาสังวาส ตอน พศ. ๒๕๑๘ ประกาศแก่หมู่สงฆ์ เกือบ ๒๐๐ รูป ที่ ต.หนองกระทุ่ม จ.นครปฐม กลางศาลา วัดหนองกระทุ่ม เมื่อวันที่ ๖ ส.ค. ๒๕๑๘ ต่อหน้า พระสังฆาธิการ หลายรูป ในหนังสือ ปกาสนียกรรม ก็พิมพ์รายละเอียด เอกสาร ไว้ครบหมด เพียงแต่ท่านทำที เบี่ยงเบน เล่นแง่ เท่านั้นเอง ตอนนั้น ให้เจ้าคณะอำเภอ ส่งให้ผู้ว่าราชการจ.นครปฐม เซ็นเลย (นายคล้าย จิตพิทักษ์) แล้วส่งให้ถึง อธิบดีกรมการศาสนา ยืนยันความจริง (หนังสือ ที่ นฐ. ๒๓/๑๓๔๓๐ วันที่ ๑๐ ก.ย. ๒๕๑๘) และสงฆ ์มหาเถรสมาคม ก็ยอมรับทราบ การเป็น นานาสังวาส ตามที่มีหลักฐาน ที่ทางมหาเถรสมาคม ส่งหนังสือไปที่ การรถไฟ ไม่ให้ลดราคา ให้หมู่สงฆ์อโศก ว่าไม่ได้อยู่ ในการปกครอง ของมหาเถรสมาคม ดังคำความว่า พระภิกษุสามเณร ในสำนักสันติอโศก มิได้ขึ้นอยู่ ในปกครอง ของคณะสงฆ์ไทย ตามพรบ. คณะสงฆ์ ๒๕๐๕ และไม่ได้อยู่ใน ความอุปการะ ของทางราชการ (หนังสือ กรมการศาสนา ที่ ศธ. ๐๔๐๗/๘๕๓๗) แต่แล้ว มหาเถรสมาคม ก็ กลับคำ หน้าตาเฉย ตามธรรมวินัย เมื่อสงฆ์เป็น นานาสังวาสกันแล้ว ทั้งสองฝ่าย ต่างก็ปฏิบัติกันไป ตามความเห็น และยึดถือ ที่แตกต่างกัน และที่สำคัญ คือ สงฆ์ฝ่ายหนึ่ง ไปฟ้องร้อง ชำระความผิด หรืออธิกรณ์ อีกฝ่ายหนึ่งไม่ได้ ถ้าฝ่ายใด ไปอธิกรณ์ อีกฝ่ายหนึ่ง ฝ่ายนั้น ก็ต้องอาบัติ และอธิกรณ์นั้น เป็นโมฆะ การตัดสินความนั้น ไม่เป็นอันทำ ใช้ไม่ได้ ไม่มีผลบังคับ แต่ทางคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคม ก็ได้ กระทำ กับคณะสงฆ์ สันติอโศก ถึงขั้น อนุวาทาธิกรณ์ หมายความว่า คณะสงฆ์มหาเถรสมาคม ได้โจทย์ หรือฟ้องร้อง กล่าวหา สันติอโศก แล้วก็ตั้งคณะพิจารณา ตัดสินความกัน นี่ก็เป็น การกระทำ ของคณะสงฆ์ มหาเถรสมาคม ซึ่งที่จริง ตามธรรมวินัย กระทำไม่ได้ และอีกอย่าง การทำสังฆกรรม ตัดสินความคดี ของสันติอโศก มหาเถรสมาคม ก็เอาสงฆ์ ทั้งฝ่าย ธรรมยุตินิยาย ทั้งสงฆ์ฝ่ายมหานิกาย ซึ่งเป็นสงฆ์ ๒ ฝ่าย หรือ นานาสังวาส กันแท้ๆ มาร่วมพิจารณาคดี ของสันติอโศก ซึ่งผิดธรรมวินัย ทำไม่ได้ แม้ทำ ก็ไม่เป็นอันทำ ไม่มีผลบังคับ โมฆะ ใช้ไม่ได้ (วินัยวิบัติ ในประเด็น คณปูรกะ) แถมที่คณะการกสงฆ์ ทำการวินิจฉัย ตัดสินความอาตมา ก็ไม่เป็น สัมมุขาวินัย คือ พิจารณาความ ลับหลังจำเลย เพราะไม่ได้แจ้งจำเลย ไม่ได้เรียกกลับจำเลย คือ อาตมา กับสงฆ์ สันติอโศก เข้าไปนั่ง อยู่ในที่พิจารณาความ ร่วมรับรู้ รับฟัง ร่วมให้การ แต่อย่างใดเลย สงฆ์มหาเถรสมาคม กระทำ เอาตามอำเภอใจ ดังกล่าวนี้ จริงทั้งสิ้น กระนั้นก็ตาม คณะสันติอโศก ก็อ่อนน้อมถ่อมตน ไม่ได้ดื้อดึงดัน ยอมในสิ่งที่ ยอมเสียสละได้ ก็พยายาม ไม่ให้เสียธรรม แม้ที่สุด ยอมขึ้นศาล ยอมเปลี่ยนสภาพ หลายอย่าง แต่ที่ไม่ยอม คือไม่ยอมสละ สมณเพศ ยังขอยืนยัน ความเป็นสมณะ ตามธรรมวินัย อยู่ตลอดเวลา (ไม่ได้ปาราชิกเลย และไม่ผิดตามหลัก ที่จะให้สึก ๑๑ ข้อ) แต่ที่ท่านว่า อาตมาปาราชิก ข้อ ๔ คือ อวดอุตริมนุสธรรม แต่เขาก็ไม่กล้า มาสอบว่า บรรลุธรรม จริงหรือไม่ ซึ่งพ่อครูนี่ ถ้ากดข่ม ก็บ้าตายแล้ว นี่สี่สิบกว่าปีแล้ว ก็ขอยืนยันว่า มาทำสิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ผิดธรรมวินัย แต่มหาเถรสมาคม ก็ทำผิด ต่ออาตมา อย่างร้ายแรง ไล่ออกมา ทั้งที่จริง ไม่ต้องไล่หรอก ออกมาอยู่แล้ว ขอออกมา ตั้งร้าน ปาท่องโก๋ ร้านเล็กๆ ส่วนท่านร้านใหญ่ ก็ทำไป แต่เรามั่นใจว่า เราทำสูตร พระพุทธเจ้า ให้ประชาชนกิน ถ้าอยู่ได้ ก็อยู่ต่อไป แต่มันมีว่า เขาไปฟ้องศาล ถ้าสั่งให้สึก แล้วไม่สึก ก็ผิดกฎหมาย ซึ่งต้องสึก ภายใน ๗ วัน อาตมาก็ยืนยันว่า ไม่สึก เมื่อไม่สึก ก็ผิดกฎหมาย แต่ยังเป็นพระอยู่ แต่ก็ยอมรับ เรื่องผิดกฎหมาย ก็ตัดสินลงโทษ ให้ติดคุก ๒ ปี ก็แพ้คดีความ ก็ลงโทษ ให้รอลงอาญา คือติดคุก อยู่นอกคุก ก็ต้องคุมประพฤติ ผู้คุมประพฤติ ก็มาที่วัด มาถึงก็ไหว้อาตมา ให้อาตมาสอน ก็เลยมาคุมอยู่ สองสามครั้ง แล้วก็ไม่มาอีก สองสามปีเลย มีคนหนึ่ง กลับไป กินมังสวิรัติเลย นี่คือความจริง ฟังแล้วน่าขัน แต่ก็เป็นไป เมื่อผิดตามกฎหมาย ก็ยอมรับโทษ แต่ว่าไม่ได้ขาดจาก ความเป็น ภิกษุสงฆ์ ถ้าไม่ผิดกฎหมาย ก็ต้องยอมสึกสิ แต่เขาก็หาว่า พ่อครูไม่เป็นพระแล้ว ก็ว่าไป อ.กฤษฎาว่า.. วันนี้ตั้งประเด็นว่า จะทำอย่างไร ให้คนที่มี กำแพงน้ำแข็งกั้นไว้ ไม่ยอมรับ แล้วเอาประเด็น ไปขยายผิดๆอีก จะทำอย่างไร ให้เขาเข้าใจ หลายคน กำลังมีวิตก ต่ออัตตา ว่ากำลังสร้างอัตตา แล้วไปสู่สิ่งผิด แล้วทำอย่างไร จะปรับกันได้ ให้พัฒนากัน อย่างมีปัญญา พ่อครูว่า.. เรื่องอัตตานี้มันยาว แต่จะพูดเรื่องของคุณ ๘๗๐๕ ก่อน เรื่อง คนบ้า พ่อครูว่าจะไม่สึก แล้วไปเป็นแกนนำนั้น สง่ากว่าเยอะ ถ้าสึกออกมา ไม่มีพล.อ. พ่อครูเป็นพระ อยู่อย่างนี้ มานำ แล้วเอาธรรมะมานำ ขออภัยนะว่า พล.อ.ปรีชา ก็สู้ไม่ได้หรอก สง่างามกว่า เยอะเลย ซึ่งคนเรา จะด่าใครก็ตาม แล้วจริงๆแล้ว โจรยังไม่ด่า พระเลย คนที่ด่าพระนี่ คนนี้แย่กว่าโจร หรือคนมีปฏิภาณปัญญา ก็จะเกรงใจพระ แม้รู้ว่าพระนี่ ไม่ค่อยดี แต่นุ่งจีวร โกนหัวอยู่ เขาก็ยังเกรงใจเลย แต่ว่าคนที่ด่า โดยไม่รู้ว่า ท่านเป็นพระดีหรือไม่ แล้วไปด่าส่งนี่ คนนั้น ตื้นมากเลย และที่เขาบอกว่า ธรรมดาคนเรา ย่อมยอมรับว่า ตนเองเครียด ในบางครั้ง มีแต่คนบ้า จึงบอกว่า ไม่เคยเครียด ... ซึ่งพ่อครูว่าเรื่องจริง คือตั้งแต่เป็นฆราวาส พ่อครูไม่มี ความเครียดเลย เช่น เขาบอกว่า กินพริกนี่ เขาบอกว่ามันแซบ พ่อครูเป็นลูกอีสาน กินพริกเก่ง กินพริกคำ ข้าวคำหนึ่งเลย ทั้งแสบทั้งมัน พ่อครูก็ติดพริก ติดเผ็ดตามเขา ถูกครอบงำ ตามเขาว่า รสอร่อย ตั้งแต่เป็นฆราวาส แต่เมื่อปฏิบัติธรรม ก็รู้ว่ารสอร่อย มันเป็นของหลอก มันอัลลิกะ มันไม่จริง ตอนก่อน ก็เห็นว่า มันอร่อย ตอนไม่ปฏิบัติธรรม แต่พอรู้แล้ว มันก็หายไป มีบารมี แต่ถ้าไม่มีบารมี ก็ต้องฝึก พอไม่มีแล้ว มันก็ไม่มี แต่คุณ ๘๗๐๕ ก็แย้งว่า คำโกหก เป็นคำไม่จริง แต่มันมีจริง ในโลกนี้ โกหกกัน เต็มบ้านเต็มเมือง พ่อครูก็เคยโกหก แต่ตอนนี้ ไม่โกหกแล้ว คือ ไม่มีโกหกแล้ว แต่เขาไม่เชื่อว่า โกหกไม่มี เพราะเขาก็ยังโกหกอยู่ เช่นเดียวกัน รสอร่อย เขายังมีรสอร่อยอยู่ ก็เลยว่า มันจะเป็นไปได้อย่างไรว่า ไม่มีรสอร่อย ส่วนคนที่ ปฏิบัติแล้ว ก็ไม่มีสุข ไม่มีทุกข์ มันเป็นของคู่กัน ระหว่างสุขกับทุกข์ ทุกข์เป็นเหตุ ให้ไปแสวงหาสุข สุขนั้นเท่าปลายเข็ม แค่ไคลแมกซ์แล้วก็หมด คุณก็อยากใหม่ ก็ไปแสวงหาใหม่ ซึ่งผู้ที่ทำความไม่มีได้แล้ว ก็จะเข้าใจ ดังพระพุทธเจ้าว่าไว้ ในพระไตรฯ ล.๑๖ ข.๔๓ ๔๓] พระผู้มีพระภาคได้ตรัสว่า ดูกรกัจจานะ โลกนี้ โดยมากอาศัยส่วน ๒ อย่าง คือ ความมี ๑ ความไม่มี ๑ ก็เมื่อบุคคลเห็นความเกิดแห่งโลก ด้วยปัญญาอันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความไม่มีในโลก ย่อมไม่มี เมื่อบุคคล เห็นความดับแห่งโลก ด้วยปัญญา อันชอบ ตามเป็นจริงแล้ว ความมีในโลก ย่อมไม่มี โลกนี้ โดยมาก ยังพัวพันด้วยอุบาย อุปาทาน และอภินิเวส แต่พระอริยสาวก ย่อมไม่เข้าถึง ไม่ถือมั่น ไม่ตั้งไว้ ซึ่งอุบาย และอุปาทานนั้น อันเป็นอภินิเวส และอนุสัย อันเป็นที่ตั้งมั่น แห่งจิตว่า อัตตาของเรา ดังนี้ ย่อมไม่เคลือบ แคลงสงสัยว่า ทุกข์นั่นแหละ เมื่อบังเกิดขึ้น ย่อมบังเกิดขึ้น ทุกข์เมื่อดับ ย่อมดับ พระอริยสาวกนั้น มีญาณหยั่งรู้ ในเรื่องนี้ โดยไม่ต้อง ประชาธิปไตยนั้นคือ สาธารณโภคี พระพุทธเจ้าทำสำเร็จ มาก่อนแล้ว ซึ่งสมัยนั้น คนไม่เข้าใจ สิทธิมนุษยชน คนไม่มีสิทธิ ในสิ่งต่างๆ ในการแสดงออก มีเจ้าของหมด เป็นระบอบ สมบูรณาญาสิทธิราช แต่ท่านก็ตั้งรัฐอิสระ ของท่านได้ แต่ยุคนี้ เป็นยุคที่ คนมี สิทธิมนุษยชนแล้ว ไม่มีทาส ไม่มีสมบูรณาญาสิทธิราช พ่อครูก็เอา สาธารณโภคี มาประกาศ ในหมู่ฆราวาส สามารถมีกินใช้ ร่วมกันได้ พึ่งเกิดแก่เจ็บตายได้ พ่อครู ไม่ได้ละเมิด คำสอนของพระพุทธเจ้า ที่พ่อครูมาชุมนุมนี่ มาประกาศ สาธารณโภคี มาเผยแพร่ลัทธิ สาธารณโภคีนะจ๊ะ เอามั๊ยๆ คืออยู่กันอย่าง พ่อแม่พี่น้อง เป็นญาติธรรม จะเป็นคน ที่ไหนก็ตาม มาอยู่ร่วมกันได้ อย่างน้อย ต้องมีศีล ๕ คือ ๑.ไม่ฆ่าสัตว์ ๒.ไม่ลักขโมยใคร ๓.มีผัวเดียว เมียเดียว ๔.ไม่โกหก ๕.ไม่มีอบายมุข กินก็ให้มีมื้อ มีคราว ใครเริ่มต้นปฏิบัติธรรม อย่ากินจุบจิบ กินสามมื้อ ให้มีกำหนด ในที่นั่งสามที่ ชาวอโศกนี่ ส่วนใหญ่ จะกินสองมื้อ การปฏิบัติเรื่องอาหาร โภชเน มัตตัญญุตา ก็เป็นอรหันต์ได้ แม้เป็นพระพุทธเจ้า ก็ต้องกินอาหาร เอาอาหารนี่เป็นประเด็น ปฏิบัติอย่างเดียว ก็ได้ ยืนยันว่าเมืองไทย เป็นเมืองพุทธ ตั้ง ๙๕ % มาเข้าใจคำสอน พระพุทธเจ้า ให้ถูกตรง ก็แล้วกัน ถ้าเข้าใจ สัมมาทิฏฐิ ก็บรรลุโสดาบัน ไม่ยากหรอก ศีล ๕ ถ้าสังวร กายกับวาจาได้ ในศีล ๕ ถ้าคนกลุ่มใน อยู่ในศีล ๕ ได้ ไม่ละเมิด แม้ใจจะกดข่มอยู่ ก็ถือว่า เป็นโคตรภูบุคคล คือมีรูปธรรมได้ แต่ถ้าจิต ไม่ฝืนแล้ว ในศีล ๕ เป็นปกติ ธรรมดา ศีลเป็นปกติแล้ว ก็ได้เป็นโคตรภูจิต ยิ่งอ่านออก กายวาจาใจ อ่านจิตออก เราไม่ทำ อย่างมีหิริโอตตัปปะ อย่างอัตโนมัติ คุณก็มีโคตรภูญาณ สมบูรณ์ ก็เป็นโสดาบันแล้ว ต่อไปเป็นเรื่องอัตตา ซึ่งที่เรามารวมตัวกันนี้ ให้เก็บอัตตาก่อน ลดตัวตน ใครจะใหญ่ อย่างไรเก็บก่อน เรามารวมตัวกันก่อน ถ้าทำได้อย่างนี้ ก็บรรลุผล พระพุทธเจ้า ท่านสอนเรื่องอัตตา ว่า คือความยึดติด ในตัวเอง นอกเหนือจาก กาม ซึ่งในธรรมจักร กัปปวัตนสูตร สอนเรื่อง ส่วนสุดสองฝ่าย คือ กาม กับ อัตตา กามคือ สุขโดยมีภพข้างนอก เสพสัมผัส ทางทวาร ๕ ภายนอก พระพุทธเจ้า ให้เรียนรู้ อัตตาหยาบ คือวัตถุ และลาภยศสรรเสริญ ภายนอก กายวิญญัติ วจีวิญญัติ เมื่อคุณ กระทบก็สุข แต่ถ้าคุณละได้หมด ไม่ระริกระรี้ กับผัสสะภายนอกแล้ว ก็หมด อัตตาภายนอก ก็เป็นพระอนาคามี พระอนาคามี ศีล ๕ ศีล ๘ สมบูณร์ เหลือศีล ๑๐ เป็นผู้ไม่มี บ้านช่อง เรือนชาน กายวิญญัติ วจีวิญญัติไม่มี มันเหลือแต่ ส่วนสุขทุกข์ อยู่ภายใน แต่ภายนอกมา มันก็ทนได้ โดยไม่ยาก ไม่ลำบาก นี่คือมีฌาน วางเฉยได้ ไม่ต้องไปมี กรรมกิริยา ร่วมกับเขา ถ้ามันรูปแรงอยู่ ก็จะมีมโนมยอัตตา เป็นการ สำเร็จสุขในจิต มีไคลแม็กในรูปจิต แต่ถ้าลดรูปจิตได้ ก็เหลืออรูปอีก เหลือเล็กน้อยมาก คนนี้คือ อนาคามี ไม่มีพิษภัยกับใคร อาจมีเรื่องชื่อเสียง อยู่หน่อย มีแต่ชื่อเสียง ทางดี ทางสุจริต ยังเป็นอยู่บ้าง แต่จะรู้ว่า เราไม่น่าจะไปติดยึด ในมานะ เป็นเรื่องความติด แม้ไม่ทุกข์มาก ก็ยังมีอยู่ ต้องลดลงๆอีก ถ้าคุณสามารถ อ่านจิตเจตสิกได้ อ่านได้เป็นอาการรูป ซึ่งซ้อนอยู่ใน ปริเฉทรูป คือ context เหมือนกับในเอกภพ ที่มีรูปเอกภพเต็มที่ จะมีกลุ่มหมู่บิ๊กแบง แตกตัวเป็น เนบิวล่า แล้วแตกเป็น กาแล็กซี่ แล้วแตกตัวเป็นจักรวาล ซ้อนกันเป็น จักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่ ซึ่งตัดแบ่ง เป็นซอย ย่อยไป จนถึงเล็กสุด เป็นความว่าง ถ้าคุณจะไม่ให้มีอีก ก็ต้องทำ ให้พ้น อรูปฌาน กำหนดรู้ให้หมด ไม่รู้ไม่ได้ ต้องพ้น สัญญาเวทยิตนิโรธ พ้นจาก เนวสัญญานาสัญญายตนสัญญา พ้นอวิชชาสังโยชน์ พ้นอวิชชาสวะ นี่คือ ตรวจใน ปริเฉทรูป คืออากาสธาตุ แต่ถ้าไม่รู้ ก็ทำอย่าง อยู่ในเทหวัตถุแท่งทึบ ก็ไม่รู้ ว่ามีอะไรบ้างมืด แต่ว่าถ้าทำอย่างรู้ มีจักขุ ญาณ ปัญญา วิชชา แสงสว่าง ก็จะรู้หมด ไอสไตน์ จะรู้แต่สสาร หรือวัตถุ แต่พ่อครู รู้ทั้งวัตถุ และวิญญาณ พ่อครูก็รู้ เพราะได้ ศึกษามนุษย์ มนุษย์ก็มีจักรวาลน้อย จักรวาลใหญ่ อยู่นั่นแหละ ตอนนี้ มีดาวหางดวงหนึ่ง มีการโคจร โค้งรอบประเทศไทย ดาวหางนี่คือ ดาวโสโครก เป็นวงรีเบี้ยว เข้าหาศูนย์กลาง ประเทศไทยไม่ได้ อ.กฤษฎาสรุป...หลายคนคงจะเข้าใจมากยิ่งขึ้นว่า ทำไมกองทัพธรรม จึงมาปรากฎ ตัวที่นี่ ประเด็นที่ มีผู้ส่งประเด็นว่า ให้สึกไปก่อน จึงมาทำการเมือง ก็ได้เฉลยว่า เป็นนักบวช นี่แหละ มีกองทัพธรรม และประเด็นที่เกี่ยวกับ การแยกตัว ของมหาเถรสมาคม ก็คงจะเข้าใจกัน เพิ่มขึ้นอีก.... จบ |
||
|