|
||
อ.กฤษฎาดำเนินรายการที่เวทีกลางสวนลุมฯ... เมื่อวานนี้ พ่อครูได้ตอบปัญหา เกี่ยวกับการเมือง ที่นศ.ธรรมศาสตร์ถามมา ซึ่งคำถามหนึ่ง ที่ผมได้ฟังคือ อโศกไม่ยกย่องตัวเอง แต่เวลาฟังพ่อครู ได้ยกตัวเอง มาอธิบาย เช่นกันกับผม ที่มักยกตัวอย่างตัวเอง ในการนำเสนอ แต่ไม่ได้เป็นการอวดตัว แต่อย่างใด พ่อครูว่า... สิ่งที่เราปฏิบัติมา เป็นหมู่กลุ่ม มีนักบวช มาปฏิบัติตาม ทฤษฎี พระพุทธเจ้า แล้วได้หมู่กลุ่ม มีญาติโยมมาบริจาคที่ ที่จะให้เป็นอาราม อาวาส แต่เราเรียก พุทธสถาน เรามาด้วยใจจริง มั่นใจว่า เราสัมมาทิฏฐิ เราทำตามพระพุทธเจ้า แล้วได้มรรคได้ผล คำว่ามรรคผลคืออะไร? มรรคคือทางปฏิบัติ ที่ได้ผลที่ใจ แน่นอน ได้กายกับวาจาก่อน แล้วใจก็จะได้ตามมา เราทำตามศีล เช่น จุลศีล มัชฌิมศีล มหาศีล ท่านก็ตราเป็นธรรมนูญ เป็นกฎหมายหลักเลย เป็น the rule of law ที่ตราไว้แล้ว ท่านก็ประกาศ ของท่านไป เมื่อผู้ใดปฏิบัติได้ แล้วได้ผล จิตใจลดกิเลสได้ สำรอกกิเลสได้ จริง เช่น มันยังติดยึด ในการใช้นำมนต์ ใช้ไสยศาสตร์ การทำนาย ทายทัก สิ่งเหล่านี้ เป็นสามัญ ของคนที่ติดยึด แต่ผู้ที่ละวางได้ ก็ไม่ติดยึด ไม่นับถือ ไปใช้กับชีวิต แต่ไม่ได้ไปทำร้ายทำลาย คนที่เขายึดถือ เราก็ทำตามคำสอน คืออนุสาสนี ของพระพุทธเจ้า เมื่อเราทำแล้วได้ผลจริง ตามอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ คนได้ผลจริง ก็มารวมกัน เหมือนจิตใจที่น้ำไหลไปหาน้ำ น้ำมันไหลไปหาน้ำมัน มาร่วมกัน อย่างมีสาราณียธรรม ๖ พุทธพจน์ ๗ เกิดกลุ่มหมู่ พฤติกรรม มีหลักเกณฑ์ ที่พระพุทธเจ้า ท่านประกาศไว้แล้ว อ.กฤษฎาว่า ทุกครั้งที่มีโรงทานของอโศก ก็จะรู้ว่าเป็นวัฒนธรรม ที่เป็นอาหาร มังสวิรัติ เป็นการปฏิบัติธรรม ใช่ไหม พ่อครูว่า เป็นการปฏิบัติที่ไม่ผิด อปัณณกปฏิปทา ถ้าผู้ใดสังวรสำรวมในศีล เพื่อจะได้ ละกาม ละอัตตา เรียกว่า เนกขัมมะ ทานก็ดี เพื่อล้างกิเลส ที่ใจมันอยากได้ คนไม่มี สัมมาทิฏฐิ คือคนทำทาน แล้วสร้างอัตตา ส่วนคนปฏิบัติศีลพรต ก็ไปสร้างกาม ต้องรู้เข้าใจ สัมมาทิฏฐิ ๑๐ ๑.ทานที่ให้แล้ว มีผล (ให้กิเลสลด) (อัตถิ ทินนัง) ๒.ยัญพิธี (พิธีการปฏิบัติ) ที่บูชาแล้ว มีผล (อัตถิ ยิฏฐัง) ๓.สังเวย (เสวย) ที่บวงสรวงแล้ว มีผล (อัตถิ หุตัง) ๔. ผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่วแล้ว มีแน่ (อัตถิ สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก) ๕. โลกนี้ มี (อัตถิ อยัง โลโก) หมายถึง วนในโลกีย์เดิมๆ ๖. โลกหน้า มี (อัตถิ ปโร โลโก) หมายถึง โลกโลกุตระ ๗. มารดา มี (อัตถิ มาตา) ๘. บิดา มี (อัตถิ ปิตา) ๙. สัตว์ที่ผุดเกิดอุปปัติเอง มี (อัตถิ สัตตา โอปปาติกา) สมณพราหมณ์ทั้งหลาย เป็นผู้ดำเนินชอบ -ปฏิบัติชอบ ซึ่งประกาศโลกนี้ -โลกหน้า ให้แจ่มแจ้ง เพราะรู้ยิ่ง ด้วย ตนเอง ในโลกนี้ มีอยู่ (อัตถิ โลเก สมณพราหมณา สัมมัคคตา สัมมาปฏิปันนา เย อิมัญ จ โลกัง ปรัญ จ โลกัง สยัง อภิญญา สัจฉิกัตวา ปเวเทนตีติ) อ.กฤษฎาว่า นักเรียนที่นี่ มาปฏิบัติเหมือนกันไหม พ่อครูว่า ปฏิบัติหมด ตามฐานะ เช่นเด็กตัวเล็กตัวน้อย ปฏิบัติศีล ๕ เช่นศีลข้อ ๕ หมายถึงอะไร เช่น ไม่เสพติดขนม หนูไม่กินท็อฟฟี่ ทีวีที่พ่อแม่ไม่ให้ดู เราก็ทำ ตั้งแต่เด็กเลย จนถึงผู้ใหญ่ เป็นวิถีชีวิตเลย อ.กฤษฎาว่า มีคำถามว่า กฎแห่งกรรม เป็นกฎที่ยุติธรรมที่สุด แล้วความหมาย ที่แท้จริง ของกฎแห่งกรรม คืออะไร? พ่อครูว่า... คำว่ากรรมคือการกระทำ คุณทำผิดทำชั่ว สุกฏทุกกฏานัง กัมมานัง ผลัง วิปาโก จากทิฏฐิ ๑๐ ถ้าคุณทำดี ก็เป็นกรรมดี ถ้าคุณทำชั่ว ก็เป็นกรรมชั่ว แล้วคุณ จะออกกฎหมาย มาล้างความผิด ไม่ต้องไปรับวิบาก ที่ตนต้องรับ ต้องใช้หนี้บาป หนี้เวร คุณไม่ทำ คุณก็ไปล้มล้างความผิด ให้สิ่งผิดเป็นสิ่งถูก มันก็ไม่เป็นไป ตามกฎแห่งกรรม ถ้าคุณทำแล้ว มันเป็นอดีตไปแล้ว ก็ล้างไม่ได้ สั่งสมเป็นสมบัติของคุณ คุณทำใหม่ ก็เป็น ตัวแปรของกรรม เป็นพลังงานที่ละเอียด มาทำให้กิเลส ที่เป็นบาปอกุศล ลดได้ เช่น ยกตัวอย่าง พระพุทธเจ้า ท่านบอกว่า เคยฆ่าน้องชาย ต่างมารดาตาย เอาหินทุบตาย อย่างทารุณ แต่ต่อมา ท่านก็สร้างกุศล ทำดี เศษบาปที่ท่านไปฆ่าน้องชาย ก็ยังไม่หมด แต่ปฏิบัติธรรมไป มันก็ลด แล้วในปางที่เป็น พระพุทธเจ้าแล้ว ยังมีเศษบาป ออกฤทธิ์ ให้เทวฑัต กลิ้งหินมาทับพระบาท ห้อเลือด ท่านบำเพ็ญกุศลมา จนมันลด เหลือเท่านี้ คุณทำกุศลไป มันก็จะสังเคราะห์เอง บางอย่างมันก็หมดได้ แล้วท่านก็เล่าว่า ไปปฏิบัติในป่า ๖ ปี คือการใช้วิบาก ไม่ใช่การปฏิบัติธรรม ที่ถูกต้องเลย อ้างอิง ในพระไตรฯได้ ถ้าทำกรรมแล้ว จะบางเบาหรือหนัก มันไม่หายไปไหน ไม่ตกหล่น แต่คุณสร้างกรรม ที่จะไปสังเคราะห์ ปรับเปลี่ยนได้ กรรมปัจจุบัน จึงเป็นตัวแปร ที่จะไปล้างวิบากได้ คุณทำแต่ดีๆ ละชั่วๆ จนไม่ทำบาปเลย ทำแต่กุศล ล้างกิเลส ได้หมดแล้วจากจิต กิเลสมันมาอีกเท่าไหร่ คุณก็เหนือมันหมดแล้ว มันจะมา อีกเท่าไหร่ ก็เข้าไม่ได้ คุณก็ทำแต่ดีๆไป แต่มันไม่หมดวิบากง่ายๆ อ.กฤษฎาว่า การที่เรามาชุมนุม มันเป็นวิบากกรรมของเรา หรือเรามาสร้างบารมี พ่อครูว่า... การที่ออกมาจะเรียกว่า มารับวิบากก็ได้ แต่จะเรียกว่า มาปฏิบัติ ละอกุศลเก่าก็ได้ คุณได้ฟังสัจธรรม ก็ไปปฏิบัติก็ได้ คุณฟังแต่ไม่ปฏิบัติ ก็ไม่ได้ ยิ่งสัมมาทิฏฐิ สัมมาปฏิบัติ ผลก็ได้จริง คุณมานี่ คุณได้จริงๆ แต่คุณจะมา ก็ด้วยปัญญา ของคุณเอง ไม่ได้ปะเหลาะ ภิกษุทั้งหลาย ! พรหมจรรย์ เราประพฤติ มิใช่เพื่อ... หลอกลวงคน ให้มาเคารพนับถือ (น ชนกุหนัตถัง) มิใช่เพื่อเรียกคน มาเป็นบริวาร (น อิติ มังชโน) มิใช่เพื่ออานิสงส์ เป็นลาภสักการะ และเพื่อเสียงสรรเสริญ มิใช่เพื่อจะได้เป็น เจ้าลัทธิ หรือค้านลัทธิอื่นใด ให้ล้มไป มิใช่เพื่อให้มหาชนเข้าใจว่า.. เราได้เป็นผู้วิเศษ อย่างนั้น ก็หามิได้ ภิกษุทั้งหลาย ! ที่แท้ พรหมจรรย์นี้ เราประพฤติเพื่อสำรวม เพื่อละ, เพื่อคลายกำหนัด, เพื่อดับทุกข์สนิท ฯ ไม่ใช่ว่า จะให้พรรคอโศกยิ่งใหญ่ ไปล้มล้างลัทธิอื่น พ่อครูมีหน้าที่ ประกาศสัจธรรม อย่างจริงใจ ใครจะมานับถือ หรือเห็นดีอย่างไร ก็แล้วแต่ปัญญา อ.กฤษฎาว่า หลายคนมา ก็ใช้เงินตัวเอง เป็นการทำทาน เพื่อมาสร้างกุศล สละส่วนตัว เพื่อส่วนรวม แล้วภาพการเสียสละส่วนตัว จะช่วยชาติได้ พ่อครูว่า ประชาธิปไตย คือคนแต่ละคน คือประชาชน อธิปไตยคือ หนึ่งคน มีหนึ่งอธิปไตย หนึ่งอำนาจ แล้วออกมาประท้วง รวมคะแนนเสียง สิทธิของแท้ เมื่อรวมกันแล้ว มารับธรรมะ ปฏิบัติธรรม ตอนนี้ เรามาชุมนุม ประท้วงการเมือง มันซ้อนอยู่ ในกฎเกณฑ์ทางโลก เราทำด้วยจริงใจ ตามสากล อย่างสงบ ไม่มีอาวุธ แล้วเราก็มี ประเด็นประท้วง ว่าอันไหน ต้องแก้ไข ก็จารนัยกันไป ท่านที่มีข้อมูลมา ก็มาสาธยายกัน ว่าไป พ่อครูก็อยากขอร้อง ไปถึงผู้ที่มาให้ความรู้ว่า ขออย่าหยาบได้ไหม คือ ๑.อย่าผิด ๒.อย่าหยาบ เวทีนี้ขอร้อง อย่าหยาบ เชื่อว่าเรามี ปฏิภาณปัญญา ไม่หยาบได้ เชื่อว่า พวกเรา ไม่มีนิสัยหยาบ ถ้าอยากหยาบ อยากมันก็ไปเวทีอื่น ก็แล้วกัน ส่วนไม่ผิดนี่ ก็ระวังกันอยู่แล้ว แต่ขอร้องอย่าหยาบ อ.กฤษฎาว่า ยกตัวอย่าง คนมาบนเวทีนี้ ศีลข้อหนึ่งที่จะมีคือ ไม่โกหก ไม่หยาบ นี่คือ นีโอโพรเทส พ่อครูว่า คือ Neo politics นี่คือสิ่งงดงาม ตามธรรมชาติ ที่เขาถามว่า อะไรคือ ความงดงาม ของการชุมนุม คือ สันติ อหิงสา ซื่อสัตย์ บริสุทธิ์ คมลึก แม่นประเด็น คำว่านิติรัฐ คือหลักเกณฑ์ที่รัฐออกมา ส่วนนิติธรรมคือ มีธรรมะด้วย เรามาเสนอทั้ง นิติรัฐ นิติธรรม อ.กฤษฎาว่า เป็นเหตุที่ทำไม เอฟเอ็มทีวี จึงมาถ่ายทำที่นี่ ซึ่งที่นี้ไม่ใช่ม็อบ หรือฝูงชน ที่บ้าคลั่ง เราเป็นพวก โพรเทส พ่อครูว่า ขอร้องไปยังสื่อสารมวลชน ก็ขอเรียกกลุ่มพวกเราว่า โพรเทส อย่าเรียกว่า ม็อบ บางทีท่านเรียกว่า ดีมอนสเตรท ตามนิติรัฐ นิติธรรมสากล เรียกว่าโพรเทส นี่แหละ ตรงที่สุด ในโอกาสต่อไป ก็หวังใจว่า ท่านผู้มีปัญญา จะเข้าใจว่า อันนี้มันน่าจะใช้ ให้แยกกันว่า กลุ่มนี้เป็นโพรเทส หรือม็อบ อ.กฤษฎาว่า คำว่านีโอ แปลว่าใหม่ อันนี้เป็นการประท้วงแนวใหม่ เป็นรูปธรรม ทำไมกองทัพธรรม จึงออกมาโพรเทส เราทำอย่างสงบสันติ เป็นดีมอนสเตรชั่น ตัวแบบ ก็ต้องดี มีศีลธรรม ลดกิเลส ถ้าไม่ก็ยาก อย่างที่กองทัพธรรม มานำเสนอ ก็ไม่เป็นไป เพื่อเพิ่มกิเลส แต่เห็นว่า บ้านเมืองทุกข์มาก จึงออกมา พ่อครูก็ว่า นี่ไม่ใช่มองสังคม ในแง่ร้าย แต่เอาความสุจริตใจ มองว่า สังคมไทยตอนนี้ เลวร้าย คือ เป็นอธรรม ไม่ใช่เรื่องสัจธรรม ผู้ที่เห็นความจริง ในสังคม ก็ควรออกมา ตามนิติรัฐ นิติธรรม ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา ๗๐ - ๗๑ และที่ อ.กฤษฎาว่า ทำไม พวกอโศก ต้องออกมา คือเราเห็น เป็นหน้าที่ของประชาชน พ่อครูเป็นผู้นำกลุ่ม ของอโศก และมั่นใจว่า ไม่ได้มาทำอกุศล จะบอกว่าเป็น โลกวัชชะ ก็เข้าใจ เราหาคนมาเสียสละได้ เราทำสิ่งนี้ มันไม่น่าจะผิดอะไร แม้แต่นักบวช ก็ออกมา ไม่ได้ทำให้เสีย สมณสารูปเลย ทำอยู่ในหลัก ธรรมวินัย ทั้งสัปปุริสธรรม ๗ ทั้งมหาปเทส ๔ ก็ประมาณ อย่างที่สุด ทำตามยุค ตามกาละ มันต้องเป็นเราแล้วล่ะ (วะ) อ.กฤษฎาว่า ทำไมการชุมนุม ที่มีกองทัพธรรมร่วมด้วย ทำไมจึงแตกต่าง จากอีก กลุ่มหนึ่ง ที่ชุมนุมกัน แล้วการมาชุมนุมโดยธรรม ควรเป็นเช่นไร และเรามาอย่าง ไม่ตำหนิใคร พ่อครูว่า ตำหนิได้ แต่ตำหนิอย่างมีเมตตา ตำหนิเลย พ่อครูก็มีคนตำหนิ แต่ว่าตำหนิ ก็อย่ามีอคติ ถ้าใจมีอคติ มีพยาบทมีชัง แต่พูดว่าไม่มี ก็คือมีบาป สองชั้น ทั้งโกหกแล้ว ใจก็มีกิเลสอีก อ.กฤษฎาว่า คนที่จะนำเสนอข้อมูล ก็ควรมีพรหมวิหาร ๔ ยกตัวอย่าง ปตท. เราก็เอา ความจริงมาพูด ในข้อบกพร่องผิดพลาด ข้อเท็จจริง การตำหนิ ต้องอยู่บน พื้นฐานความจริง เพื่อให้เขาไปแก้ไข พ่อครูว่า.. ถูกต้อง เสริมว่า ผู้ที่นำข้อมูลมาเปิดเผย แล้วชี้กระหน่ำว่า นี่ผิด นี่คอรัปชั่น คุณสังเกตดีๆ ถ้ามันไม่จริง ผู้ที่เปิดข้อมูล ถูกฟ้องหมดแล้ว แต่นี่ไม่กล้า ออกมาแย้ง เพราะกลัว ถูกเปิดเผยต่อ ก็ตัดสิน ตามปัญญาว่า มีเค้าความจริง เราจึงส่งเสริม ให้ไปถ่ายทำ ออกอากาศ เราไม่เล่นพรรคเล่นพวก มีแต่เรารับใช้โลก ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อโลก อ.กฤษฎาว่า ทุกบรรยากาศคือการรายงานความจริง พ่อครูว่า ความเชยเราก็ออกให้ดูตลอด อะไรจริงก็ออก อะไรน่าตำหนิก็มี อย่าหาว่า มาโฆษณาตัวเองเลย ค่าเช่าดาวเทียม เราก็เสียสตังค์ แล้วเราก็ทำงานไป ไม่ได้ทำ เพื่อค้าขาย ตอนแรก ก็นึกว่า เราจะทำไม่ไหว ก็ให้มีโฆษณา แต่ว่าก็ลำบาก ไม่คุ้มเลย ที่จะโฆษณา ก็เลยให้ทำขยะวิทยา เอารายได้มาทำทีวี ซึ่งขยะเป็นเรื่องพิษภัย ของมนุษย์ เยอะเลย ทั้งขยะวัตถุ และขยะในพฤติกรรมมนุษย์ ยิ่งมีกิเลส ยิ่งเป็นขยะร้ายแรง พวกเราต้องช่วยกัน กำจัดขยะ ทั้งวัตถุและพฤติกรรม และในจิตใจ และจะยิ่งใหญ่ ในอนาคต ไม่ต้องเอาอะไร ดูแค่แพคเกจ มีที่ใส่ใหญ่ แต่ข้างในเล็กนิดเดียว ขยะก็จะล้นโลกอยู่แล้ว พ่อครูว่า... การสื่อสารทีวี เราก็เอามาทำประโยชน์ เพื่อมวลมนุษย์ เราลงทุน หนักเหนื่อย แต่เราก็ตัดไม่มีโฆษณาจริงๆ ทำให้เป็นสื่อสาร เพื่อมนุษยชาติ อย่างแท้จริงเลย แต่คนก็รังเกียจ หาว่าเราไม่ใช่สื่อสารไม่หาเงินหาทอง ไม่มีบันเทิง เขาก็หาเรื่อง หาว่าอวดโชว์ แต่เราไม่ได้มีเจตนา อย่างนั้นเลย อ.กฤษฎาว่า... มีประเด็นคำถาม อีกคำถามหนึ่งว่า พ่อครูเคยเป็นประธาน อาชีวสัมพันธ์ พ่อครูก็ว่า เป็นงานประสานงาน ระหว่างอาชีวศึกษา และพ่อครูก็เรียนอยู่ ได้รับเลือก ให้เป็นประธาน ในปี ๒๔๙๙ อ.กฤษฎาว่า ที่ผ่านมานักวิชาการ นักการศึกษา ก็หาทางที่จะลด ปัญหาเยาวชน คือ นักศึกษาอาชีวะ ตีกัน แต่ว่าในเวทีนี้ นักเรียนอาชีวะ มาร่วมกันแสดงออก ถึงความรักสถาบัน พ่อครูว่า เป็นภาพประทับใจมาก ที่เขาไหว้กัน จากเคยทำร้ายกัน แม้จะฝืนใจ ก็ทำไปเถอะลูกๆหลานๆ เอ้ย อ.กฤษฎาว่า กระบวนการธรรมะ ส่งผลถึงลูกหลาน ให้เกิดสามัคคีกัน พ่อครูว่า เป็น มโนสัญเจตนาเลย ประสงค์ให้เกิด คนไทยไม่ว่า จะอายุน้อยหรือมาก ก็มีความปรารถนา จะทำดี เราจะนำพาทำสิ่งดี และการมาชุมนุมประท้วง เป็นงานใหญ่ ในระดับประเทศ ซึ่งคนเขาหัวร่อเยาะว่า จะเอาความสงบ สยบความเคลื่อนไหว จะได้อย่างไร พ่อครูก็ว่า I will try อ.กฤษฎาว่า คนที่ sms เหน็บกันอยู่ ก็ดูตัวอย่างน้องๆ ที่มาทำ กระบวนการ แห่งธรรมได้นะ พ่อครูก็ว่า มันมีนิมิตให้เห็น เราไม่ได้หลอกล่อให้มา เราไม่มี เรามีแต่ บอกความจริงใจ ชัดๆ สื่อออกไป แล้วสำนึกปัญญา ของเขาเอง ที่ทำให้เขาออกมา การที่เขารวมกัน แสดงสิ่งดี มันไม่ดีหรือไง แม้ใจไม่เห็นด้วย แต่การกระทำนี้ดี มันเป็นกุศลกรรมแล้ว ต่อตนต่อสังคม ซึ่งพ่อครูไม่มีเวลา ไม่มีแพ้ชนะ มันจะสรุปจบ อย่างงดงาม เราไม่อยากจะให้จบ อย่างถูกไล่ ถูกทำร้าย จนต้องเลิก มันเป็นเรื่องอุบาทว์ แต่เรายังหวังว่า เราจะทำสิ่งที่ มันลงเอย ด้วยความ เรียบร้อย ง่าย งาม อ.กฤษฎาว่า ในวันที่ ๗ ที่จะมีการแก้รัฐธรรมนูญ พี่น้องที่สวนลุมฯ ก็อยู่ที่เดิม แต่เขาขน ตำรวจมามากมาย พ่อครูว่า มันมากเกินไม่ประหยัด เป็นเรื่องใหญ่มาก เขาทำเพื่อหลายอย่าง คือ แสดงอำนาจ บาตรใหญ่ เพื่อที่จะขู่ ปราม เพื่ออวดอำนาจใหญ่ซ้อนว่า ฉันทำได้ เอ็งจะทำอย่างไร อ.กฤษฎาว่า ปรากฏการณ์พี่น้องสวนยาง ก็ใช้กำลังกัน ต่างปะทะ อย่างใส่อัตตากัน พ่อครูว่า ไม่ควรเกิดเลย เราก็มาสาธิต มาดีมอนสเตรท ว่าเราทำอย่างนี้ เราต้องการอย่างไร ก็เสนอไป แล้วก็ออกมา รวมตัวกัน ออกมาแสดงสิทธิ เสียงของเรา ให้พยายามศึกษา ให้เข้าใจ ถ้าประเทศไทย จบลงด้วย เรียบร้อย ราบลื่น ง่ายงาม จะเป็น ประชาธิปไตย ที่สวยสดงดงาม ที่สุดในโลก ไม่มีความรุนแรง ใช้ความถูกต้อง ชนะความไม่ถูกต้อง คนไทย น่าจะมีสำนึกได้นะ หวังไหม? เราไม่รอ เราไม่หวัง เราจะทำ อ.กฤษฎาว่า ไม่มีการเปลี่ยนแปลงอะไรหรอก ที่ไม่มีการสูญเสีย มารออยู่ คงไม่ได้ พ่อครูว่า มันมีอัตราการก้าวหน้า ที่มันเป็นปรากฎการณ์ ที่เป็นจริง พ่อครูก็คิดว่า คงไม่เบื่อหน้า พ่อครูไว จะพากเพียรมาอยู่ ถ้ามาได้ อ.กฤษฎาว่า เราอยากให้สังคมไทย เข้าใจว่า Neo protest อะไรเป็นเครื่องประกันว่า สามารถเปลี่ยน ประเทศได้ ถ้าออกมากัน พ่อครูว่า มั่นใจในเรื่องของจิตวิญญาณ มีฤทธิ์มีอำนาจ ถ้ามวลชนของไทยเรา มาบอกกันแล้วว่า ออกมาเถอะ ออกมาแสดงเสียงอธิปไตย ก็อยากรู้ว่า ธรรมฤทธิ์ของ จิตวิญญาณ ถ้าออกมา ๑ล้าน หรือ ๕ ล้าน ถ้าเป็นจริง ออกมาได้ วันพรุ่งนี้ แล้วยืนยันว่า คุณปู คุณหยุดนะ พูดสงบเรียบร้อยดีๆ ห้าล้านคน ถ้าไม่หยุด เราจะอยู่กลางถนนนี่แหละ พ่อครูก็ว่า จะแข็งจะทนแค่ไหน จะมีการต้านอยู่ไหม อยากรู้จริงๆเลย ก็ขอขยาย ความเติมว่า อำนาจอธิปไตย คือความเห็นรวม ของประชาชน ๑ คน ๑ เสียง ๑ ล้านคน ก็มีคะแนนเสียง มากกว่า ๑๕ ล้านคนแน่ มันคะแนนเสียงสดๆเลย ๑ ล้านคน เหนือกว่า ๑๕ ล้านคน นี้หมด อ.กฤษฎาว่า บรรพบุรุษว่า ความดีย่อมชนะความชั่ว ธรรมะย่อมชนะอธรรม คนไทยเรา นับถือพุทธศาสนา หรือศาสนาอื่นก็สอนว่า ต้องทำดี ก็อยากดูธรรมฤทธิ์ พ่อครูก็ว่า คนที่ดูคงเข้าใจหวังว่า สักวันหนึ่ง ดอกไม้จะบานสะพรั่ง สักวันหนึ่ง คนจริงจัง จักหลากหลาย อ.กฤษฎาว่า จะเป็นจริงได้ครับ ซึ่งหลายๆครั้ง แม้ตัวผมเอง ก็จะยังไม่เข้าใจ Neo protest แต่มาถึงวันนี้ ก็เข้าใจมากขึ้น การเอาธรรมนำหน้า แท้จริงคืออย่างไร วันนี้ ถ้าคนไทย มั่นใจว่า เราเป็นคนดีมีศีลธรรม ก็จงออกมาทำที่นี่ พ่อครูว่า อีกเรื่องต้องย้ำคือ ความหมายของการเมืองใหม่ หรือประชาธิปไตยใหม่ ซึ่งคนไทยเรา ทำมา ๘๐ กว่าปี นั้นเก่าเละเลย พ่อครูจะเอา ประชาธิปไตย ที่เก่าเอี่ยม ของพระพุทธเจ้า มาเสนอ แล้วหลักธรรม ที่พระเจ้าอยู่หัว ทรงตรัสว่า ให้เอาแบบคนจน จะได้สาธยายว่า แบบคนจน คืออย่างไร ลึกซึ้งอย่างไร เป็นจริงได้ไหม อ.กฤษฎาว่า หลักคิดของสันติอโศก ต่อการปกครอง ในอุดมคติ คืออย่างไร แล้วคำถามต่อไป คือนักการเมืองวันนี้ ขาดคุณธรรม มากมายเลยทำไม พ่อครูว่า..ขออภัยที่ต้องพูดความจริง ... ความจริงก็คือ คนไม่มีธรรมะ เพราะคนสอนธรรมะ สอนผิด เขาสอนมา ก่อนพ่อครูเกิด สอนผิด ต่อเนื่องมานาน พ่อครูก็มาแก้ว่า ผิดนะ อาศัยพระไตรฯยืนยันว่า ถูกต้องเป็นอย่างนี้ สอนให้มักน้อย สันโดษ ไม่สะสม (อปัจจยะ) อยู่ในหลัก กถาวัตถุ ๑๐ วรรณะ ๙ ในหลักตรวจสอบ ธรรมวินัยก็มี แต่เขาสอน ให้คนมักมาก แต่พระพุทธเจ้าก็ว่า ธรรมวินัย เพื่อความมักมาก ไม่ใช่ของพระพุทธเจ้า แต่ธรรมวินัย ที่สู่มักน้อย คือของพระพุทธเจ้า พ่อครูว่า...ต้องขอกล่าวถึงตนเอง ตอนสมัย ทำงานเป็นฆราวาส ทำงานได้เดือนละ ๒ หมื่นบาท ในขณะที่นายกฯ ขณะนั้น เงินเดือน ๘,๕๐๐ บาท ในตอนนั้น พ่อครูอายุ ๓๐ ปี ตอนออกบวช อายุ ๓๖ ปี พ่อครูก็ไม่ได้พ่ายแพ้ทางโลก แต่ว่าปฏิบัติตาม พระพุทธเจ้าสอน ก็เข้าใจ แล้วปฏิบัติ ตาม ศึกษา เกิดอธิศีล อธิจิต อธิปัญญา อธิวิมุติ ปฏิบัติมีบารมีเก่า แต่ปางบรรพ์ ไม่มีอาจารย์ ก็ประกาศว่าเป็นโพธิสัตว์ ที่ไม่ได้พ่ายแพ้ ทางโลก ไม่ได้อกหัก แล้วออกมา มาบวชตั้งแต่ปี ๒๕๑๓ ตอนนี้ก็ ๔๓ พรรษาแล้ว ก็มั่นใจว่า เหน็ดเหนื่อยอย่างไร ก็ต้องสู้ ซึ่งกระแสหลัก ไม่ได้เข้าใจ อย่างพ่อครูเลย ตีทิ้งด้วย ก็รักษาตัวรอด เป็นยอดเดี่ยวมาได้ จึงเห็นว่า อกาลิโก ใครจะยินดี มาทำอย่างนี้ ก็ยินดีทุกคนเลย อย่ามารวน หรือแกล้ง เพราะมันบาป อ.กฤษฎาสรุปว่า ...วันนี้ได้เข้าใจว่า ธรรมนำหน้าเป็นเช่นไร พ่อครูว่า ฟังด้วยดีย่อมเกิดปัญญา แถมด้วยพุทธพจน์ว่า ขาดตาปัญญาเสียแล้ว ก็เหมือนกับคนมีตาบอด เหยียบลงไปได้ แม้กระทั่งไฟที่ส่องทาง แสงแห่งสัจธรรมความดี คือไฟส่องทาง คุณก็เหยียบ กระทืบได้ คนหนอคน ...
จบ
|
||
|